ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 82 จากทั้งหมด 566 หน้า แสดงรายการที่ 1621 - 1640 จากข้อมูลทั้งหมด 11307 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1621 | ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | นร.10 | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติร่างกฎ.ก.พ.
รวม ๒ ฉบับ ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ ๑.๑ ร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดประเภทตำแหน่งและระดับตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเป็นตำแหน่งประเภทบริหาร
ระดับสูง ๑.๒ ร่างกฎ ก.พ.
ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา
๒๐,๐๐๐ บาท
และตำแหน่งรองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา
๑๔,๕๐๐ บาท ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นจากการจัดประเภทตำแหน่ง
และการกำหนดให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งดังกล่าว จำนวน ๖๐๐,๐๐๐ บาทต่อปี ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
โดยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1622 | ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2516 เรื่อง ร้านค้าปลอดภาษี | คค. | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๖
เรื่อง ร้านค้าปลอดภาษี ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้บริษัท การบินไทย จำกัด
เป็นผู้ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษี ณ ท่าอากาศยานกรุงเทพฯ
ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคมและบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด
(มหาชน) รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น (๑) ให้กระทรวงคมนาคมประสานกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย
กำกับมาตรฐานการใช้ประโยชน์พื้นที่ภายในอาคารผู้โดยสารท่าอากาศยาน และ (๒)
ให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
คัดเลือกและกำกับดูแลผู้รับสิทธิตามกฎและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปด้วยความโปร่งใส
ตรวจสอบได้
และส่งเสริมให้เกิดการแข่งขันของเอกชนผู้สนใจเข้าร่วมลงทุนอย่างเป็นธรรม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1623 | รายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี | อส. | 22/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดีที่สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำขึ้น
มีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลพิจารณาชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการและเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๔๗ เรื่อง
และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ
๒๐ กำหนดให้สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำรายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี เสนอต่อคณะรัฐมนตรี
เพื่อทราบทุก ๖ เดือน และข้อ ๒๗ กำหนดให้การพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการพิจารณาชี้ขาดการดำเนินคดีทั้งปวง
ซึ่งค้างพิจารณาอยู่ในคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙ ในวันก่อนที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ ให้คณะกรรมการตามระเบียบนี้เป็นผู้มีอำนาจพิจารณาชี้ขาดต่อไป
ตามที่คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1624 | การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ สำหรับการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 1 คัน | นร.04 | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑
เพื่อดำเนินการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง จำนวน
๑ คัน ระยะเวลา ๒๖ เดือน (ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๖๔-กรกฎาคม ๒๕๖๖)
ขนาดปริมาตรกระบอกสูบไม่เกิน ๒,๔๐๐ ซีซี อัตราค่าเช่าคันละ ๓๓,๑๗๐
บาทต่อคันต่อเดือน ภายในวงเงิน ๘๖๒,๔๒๐ บาท
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
แผนงานพื้นฐานด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐ
ผลผลิตการริหารจัดการของรัฐบาล งบดำเนินการ จำนวน ๑๓๒,๖๘๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน
๗๒๙,๗๔๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-พ.ศ. ๒๕๖๖
โดยให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาตามขั้นตอนต่อไป
และยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี กรณีเช่ารถยนต์มาใช้ในราชการต่ำกว่า ๕ ปี
เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ทั้งนี้
ขอให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสมสอดคล้องกับเงื่อนเวลาของภารกิจดังกล่าว
และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1625 | ขอความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ | พน. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างถ้อยแถลงร่วมของการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ
การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เป็นผู้ให้การรับรองในถ้อยแถลงร่วมฯ นี้
ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกดังกล่าว โดยร่างถ้อยแถลงร่วมฯ
เป็นเอกสารที่จะมีการรับรองโดยไม่มีการลงนามในการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงานกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ
การค้า และอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น สมัยพิเศษ (The Special AMEM-METI Consultations Meeting) ในวันที่ ๒๑ มิถุนายน
๒๕๖๔ ผ่านระบบการประชุมทางไกล
มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศญี่ปุ่นในการส่งเสริมความร่วมมือด้านพลังงานเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
การพัฒนาพลังงานสะอาด และการพัฒนาที่ยั่งยืน
เพื่อมุ่งสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกป้องสิ่งแวดล้อม
ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างถ้อยแถลงร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพลังงานดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงพลังงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1626 | รายงานรายรับจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2550 และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2559 | กค. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานรายรับจากการจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การจำหน่ายหุ้นบริษัท หินอ่อน จำกัด และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๗ กันยายน ๒๕๕๙ เรื่อง
การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๔ เรื่อง
การจำหน่ายหลักทรัพย์ของรัฐ สรุปได้ ดังนี้ (๑) ให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จำหน่ายหุ้นบริษัท หินอ่อน จำกัด
โดยกระทรวงการคลังได้รับเงินจำนวน ๓๐๒,๕๐๐๐,๐๐๐ บาท (๒) จำหน่ายหุ้นสามัญบริษัท
บางกอกเดินเรือและการค้า จำกัด และหุ้นสามัญบริษัท สยามซิตี้ประกันภัย จำกัด
(มหาชน) โดยกระทรวงการคลังได้รับเงินจำนวน ๑,๐๗๕,๐๐๐ บาท
และได้นำเงินจำนวนดังกล่าวเข้าบัญชีเงินฝาก
เพื่อการซื้อหุ้นตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจำหน่ายหุ้นและซื้อหุ้นของส่วนราชการ
พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1627 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมรองรับการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ 1 ปี) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2562 | สธ. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพิ่มเติมรองรับการทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว
Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี)
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๒ โดยมอบหมายสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองออกคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๓๕ แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒
ปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณากรณีคนต่างด้าวขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว
และมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงแนวปฏิบัติการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว
Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี) รวมทั้งมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงมหาดไทย
ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติทราบอย่างทั่วถึง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
ที่เห็นว่าควรให้กระทรวงสาธารณสุขส่งเสริมการประกันสุขภาพของประเทศให้พัฒนาตอบสนองความต้องการของคนต่างประเทศควบคู่ไปด้วย
และควรมีการเชื่อมข้อมูลการเข้าออกประเทศของผู้เอาประกันระหว่างสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและบริษัทผู้รับประกันภัยโดยตรง
เนื่องจากเป็นสาระสำคัญในการให้ความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย
และเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับรายละเอียด วิธีการ
และขั้นตอนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์การทำประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างด้าวผู้ขอรับการตรวจลงตราประเภทคนอยู่ชั่วคราว Non–Immigrant Visa รหัส O-A (ระยะ ๑ ปี)
ที่ได้ปรับปรุงในครั้งนี้ให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนได้ทราบอย่างถูกต้อง
และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1628 | ขออนุมัติหลักการในการอุดหนุนทางการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพิ่มเติม จำนวน 3 โรง | ศธ. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติในหลักการการอุดหนุนทางการเงิน
และให้ความช่วยเหลือด้านอื่นให้แก่โรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ เพิ่มเติมอีกจำนวน ๓
โรง ได้แก่ โรงเรียนดาราวิทยา โรงเรียนนราวิทย์อิสลาม และโรงเรียนสมานมิตรวิทยา
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๖๗ เพื่อให้การอุดหนุนด้านอาคารเรียน อาคารประกอบ
และสื่ออุปกรณ์การเรียนการสอน โดยตั้งงบประมาณเป็นรายปี
โดยให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
โดยให้คำนึงถึงความคุ้มค่า ประสิทธิภาพ และผลสัมฤทธิ์เป็นสำคัญ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม
กำกับ ดูแลโครงการตามพระราชดำริฯ ดังกล่าว ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
และในระยะต่อไปควรให้ความสำคัญกับการวางแผนการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาคุณภาพทางวิชาการของครูและผู้เรียน
โดยเฉพาะทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ภาษาอังกฤษ การพัฒนาทักษะชีวิตผู้เรียนและการแนะแนวการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒.
ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
และพิจารณาสร้างความร่วมมือกับประชาชนในพื้นที่เพื่อส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เหมาะสมกับความต้องการและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่
รวมทั้งกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินโครงการฯ อย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง
โดยให้กำหนดตัวชี้วัดในระดับกิจกรรมที่สะท้อนถึงผลลัพธ์ต่อผู้เรียนในมิติคุณภาพการศึกษา
(ทักษะด้านวิชาการ ทักษะชีวิต และทักษะอาชีพ)
และตัวชี้วัดที่สะท้อนเรื่องการมีงานทำของนักเรียน
ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๓ (เรื่อง ขออนุมัติหลักการโครงการส่งเสริมการพัฒนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามในโครงการตามพระราชดำริสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ให้มีคุณภาพ) |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1629 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2563 | ทส. | 15/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๓ และรายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๑ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
ในการประชุม ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ สรุปได้ (๑) รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.
๒๕๖๓ ได้เสนอสถานการณ์และการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมในระดับโลก ระดับภูมิภาค
และภายในประเทศ สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา จำนวน ๑๑ สาขา
ประเด็นสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่สำคัญ พ.ศ. ๒๕๖๓
และได้คาดการณ์แนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและนำเสนอข้อมูลเชิงนโยบาย (๒) รายงานผลการติดตามการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ซึ่งพบว่าหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินได้ครบถ้วน จำนวน ๑๑๑ ข้อเสนอแนะ (ร้อยละ ๙๓
ของข้อเสนอแนะทั้งหมด) จากทั้งหมด๑๑๙ ข้อเสนอแนะ ๑๑ สาขา
และยังดำเนินการได้ไม่ครบถ้วน ๘ ข้อเสนอแนะ สำหรับข้อเสนอแนะที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้
เพราะต้องมีกระบวนการการมีส่วนร่วมจากหลายภาคส่วน
บางข้อเสนอแนะเป็นการศึกษาวิจัยและนวัตกรรม ทำให้การดำเนินการต้องใช้งบประมาณสูง
และใช้ระยะเวลานาน
นอกจากนี้ได้รายงานปัญหาและอุปสรรคในภาพรวมจากการติดตามการดำเนินงานดังกล่าว และแนวทางแก้ไขปัญหาด้วย
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
และข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่เห็นว่าการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องคำนึงถึงการมีส่วนร่วม
การสร้างความรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ตลอดจนจัดให้มีระบบติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการดำเนินงาน
รวมทั้งแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม
และควรมีการสนับสนุนการบูรณาการข้อมูลและกำหนดกรอบความร่วมมือในการใช้ประโยชน์ข้อมูลของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย
ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจและปรับปรุงข้อมูลภาพและการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าไม้และพื้นที่ลุ่มน้ำต่าง
ๆ ให้เป็นปัจจุบัน
เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดนโยบายการอนุรักษ์และฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ดังกล่าวให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1630 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องจักรกลสำหรับรองรับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง | นร.14 | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔๒๖.๔๗๒
ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้ในการดำเนินโครงการจัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องจักรกลสำหรับรองรับการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง
รวม ๒๔ รายการ จำนวน ๓๒ เครื่อง ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำแบบเคลื่อนที่เร็ว
ขับด้วยระบบโฮดรอลิค ขนาด ๒๔ นิ้ว ขนาด ๓๐นิ้ว และขนาด ๔๒ นิ้ว ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1631 | การขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 | รง. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ในคนต่างด้าวที่ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ดังนี้ (๑) ขยายระยะเวลาให้คนต่างด้าวดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 การประกันสุขภาพ จากเดิมภายในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ เป็นวันที่ ๑๓
กันยายน ๒๕๖๔ (๒) ขยายระยะเวลาให้กลุ่มคนต่างด้าวที่ลงทะเบียนไม่มีงานทำทะเบียนประวัติคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย
(ทร. ๓๘/๑) จากเดิมภายในวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๔ เป็นวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๖๕ (๓)
ขั้นตอนอื่นตามที่กำหนดไว้ในมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓ ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๔
ไว้ดำเนินการตามที่แนวทางที่กำหนดเดิม ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นว่า “คนต่างด้าวที่ตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เรียบร้อยแล้ว และได้รับผลการตรวจ
ที่แสดงว่าไม่เป็นผู้ติดเชื้อ ก่อนประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง
การตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่
2019 พ.ศ. ๒๕๖๔ ลงวันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ จะมีผลบังคับใช้ ซึ่งยังไม่เข้ารับการตรวจสุขภาพและซื้อประกันสุขภาพ จะต้องดำเนินการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 อีกครั้ง” ไปพิจารณาด้วย ๒. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓
(ฉบับที่ ..) และร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะสำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา
ลาว และเมียนมา ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
2019 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๖๔ (ฉบับที่
..) รวม ๒ ฉบับ
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โดยให้กระทรวงแรงงานเร่งประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการนำคนต่างด้าวเข้ารับการตรวจหาเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต่อไป
เพื่อให้การดำเนินงานขึ้นทะเบียนคนต่างด้าวให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา
และหลังสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษแล้ว
ให้หน่วยงานความมั่นคงดำเนินการตรวจสอบปราบปราม จับกุมดำเนินคดี
คนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย หรือทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต
และผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๔. ให้กระทรวงแรงงานได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1632 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 19/2564 | นร.11 | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๙/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณากลั่นกรองความเหมาะสมของข้อเสนอแผนงานหรือโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดฯ
ได้แก่ โครการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ภายใต้พระราชกำหนดฯ
เพิ่มเติม จำนวน ๓ โครงการ ของกรมการแพทย์ กรมอนามัย และกรมสุขภาพจิต
กระทรวงสาธารณสุข
ข้อเสนอแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบนโยบายการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ของกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
การเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของโครงการ กรณีโครงการภายใต้แผนงานฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนของจังหวัดยโสธร
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและกระทรวงต้นสังกัดรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าเพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
คุ้มค่า และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนด ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1633 | ขอความเห็นชอบร่างปฏิญญาเมืองและการขนส่ง : ความปลอดภัย ความมีประสิทธิภาพ และความยั่งยืน | คค. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาเมืองและการขนส่ง
: ความปลอดภัย ความมีประสิทธิภาพ และความยั่งยืน ซึ่งได้แสดงเจตนารมณ์ในการสนับสนุนการพัฒนาระบบขนส่งที่ยั่งยืนและคุณภาพชีวิตของประชาชน
การแก้ไขปัญหาการใช้เครื่องยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น
การพัฒนาระบบการขนส่งสาธารณะที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน
ปัญหาการจราจรหนาแน่น เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
และให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
(หนังสือกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด ที่ กต ๑๐๐๓/๘๐๘ ลงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม
๒๕๖๔) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาการประชุมระดับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
“เมืองและการขนส่ง : ความปลอดภัย ความมีประสิทธิภาพ และความยั่งยืน”
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงคมนาคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงคมนาคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน
๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1634 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 (วัคซีน) | ดศ. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด
๑๙ (วัคซีน) เพื่อให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ในการติดตาม
ประเมินผลและวางแผนบริหารจัดการวัคซีนให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
ครอบคลุมทุกพื้นที่ และสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน
และลดความสับสนของข้อมูลข่าวสารการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙
รวมทั้งการกำหนดนโยบาย/มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
โดยเจ้าหน้าที่ของสำนักงานสถิติแห่งชาติไปสัมภาษณ์สมาชิกในครัวเรือนที่มีอายุตั้งแต่ ๑๘ ปี ขึ้นไป ครัวเรือนละ
๑ คน จำนวน ๔๖,๖๐๐ คน ระหว่างวันที่
๑๗-๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๔ สรุปได้ดังนี้ ๑) ประชาชนร้อยละ ๗๕.๒
ต้องการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ ขณะที่ร้อยละ ๑๙.๓ ไม่ต้องการฉีดวัคซีน ๒)
ประชาชนร้อยละ ๔๕.๓ มีความเชื่อมั่นต่อคุณภาพของวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙
ขณะที่ร้อยละ ๕๔.๗ ไม่เชื่อมั่น ๓) ประชาชนร้อยละ ๕๖.๖ ระบุว่าการที่รัฐให้เงินชดเชยเป็นหลักประกันการเจ็บป่วยและเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด
๑๙ มีผลต่อการตัดสินใจฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ ๔) ประชาชนร้อยละ ๘๐.๙
เห็นว่าควรเพิ่มสถานที่ให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ ๕)
รัฐบาลควรสร้างความเชื่อมั่นในการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙
และลดความสับสนของข่าวสารการให้บริการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ ให้แก่ประชาชน ๖)
หากรัฐจะจัดเจ้าหน้าที่หรืออาสาสมัครเพื่ออำนวยความสะดวกในการรับลงทะเบียนฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด
๑๙ พบว่า ประชาชนร้อยละ ๔๕.๓ ระบุว่าต้องการ และร้อยละ ๕๔.๗ ระบุว่าไม่ต้องการ ๗)
ประชาชนร้อยละ ๙๐.๕ ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙ และ ๘)
เรื่องที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ๑๙
ได้แก่ ค่าครองชีพ ลดภาระค่าสาธารณูปโภค จ่ายเงินชดเชย/เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ
การพักชำระหนี้/ลดอัตราดอกเบี้ย และจัดหาวัคซีนป้องกันโรคโควิด ๑๙ เป็นต้น
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ๒.
ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของสำนักงานสถิติแห่งชาติและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เช่น
ควรประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคุณภาพของวัคซีนและผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีน
ควรตรวจสอบและสกัดกั้นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือบิดเบือนจากความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว
ควรมีหน่วยงานเพียงหน่วยงานเดียวเป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสาร
และชี้แจงถึงขั้นตอนการเข้าถึงวัคซีนที่ชัดเจน ควรกำหนดมาตรฐานของวัคซีนทางเลือกเพื่อไม่ให้เกิดการเอาเปรียบประชาชนเกินควร
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1635 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 - 2565 สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามประเมินผลแผนงาน หรือโครงการภายใต้พระราชกำหนด ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 | กค. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๕ สำหรับโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามประเมินผลแผนงาน
หรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อติดตามประเมินผลแผนงานหรือโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๕ ภายในกรอบวงเงิน ๓๗,๙๖๖,๙๐๐ บาท
ตามนัยมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ เป็นกรณีเฉพาะราย
โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๗,๕๙๓,๔๐๐ บาท ที่ได้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายแล้ว ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๐,๓๗๓,๕๐๐ บาท
ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
ซึ่งได้เสนอตั้งงบประมาณในชั้นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ รองรับไว้แล้ว และให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
คำนึงถึงความจำเป็นและเหมาะสม และประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
และให้กระทรวงการคลัง
หน่วยงานรับผิดชอบโครงการหน่วยงานที่ใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ที่เห็นว่าควรกำหนดแนวทางการดำเนินโครงการจ้างที่ปรึกษาดังกล่าว เพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
รวมถึงหน่วยงานรับผิดชอบโครงการสามารถนำข้อมูลจากรายงานผลการติดตามและประเมินผลโครางการไปประกอบการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้แก่ประชาชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างสะดวก
และให้คณะรัฐมนตรีกำชับให้หัวหน้าหน่วยงานรับผิดชอบโครงการที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินโครงการโดยใช้จ่ายจากเงินกู้ตามพระราชกำหนดกู้เงินฯ
พ.ศ. ๒๕๖๓ รายงานผลการดำเนินโครงการในระบบ eMENSCR และให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เป็นประจำทุกเดือนโดยเคร่งครัด ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1636 | รายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช 2564 | กต. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
๑. คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔ (Thailand’s Voluntary National
Review on the Implementation of the 2030 Agenda for
Sustainable Development 2021-VNR) และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศจัดส่งรายงานให้
UN DESA
ภายในวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๔ โดยอนุญาตให้กระทรวงการต่างประเทศปรับปรุงแก้ไขรายงานฯ
ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญของรายงานฯ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรายงานการทบทวนการดำเนินการตามวาระการพัฒนาที่ยั่งยืน
ค.ศ. ๒๐๓๐ ระดับชาติ โดยสมัครใจของไทย พุทธศักราช ๒๕๖๔
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1637 | หลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม | อื่นๆ | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักเกณฑ์การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ตามที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมเสนอ ทั้งนี้
ในการกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของรองผู้อำนวยการดังกล่าว
เห็นควรที่สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมพิจารณาเทียบเคียงกับองค์การมหาชนในกลุ่มเดียวกันในตำแหน่งดังกล่าวอย่างเหมาะสมและคำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจด้วย
สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น
ให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมใช้จ่ายจากงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้ หรือหากไม่เพียงพอขอให้ปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ
หรือพิจารณาจากแหล่งเงินอื่นมาสมทบก่อนเป็นอันดับแรก
พร้อมทั้งขอให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตามนัยของกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1638 | ความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน (ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement ; AFSRF Agreement) | กษ. | 08/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบความตกลงว่าด้วยกรอบข้อบังคับด้านความปลอดภัยอาหารอาเซียน
(ASEAN Food Safety Regulatory Framework Agreement;
AFSRF Agreement) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดแนวทางการดำเนินการที่ครอบคลุมและมีการบูรณาการเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหารของประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการคุ้มครองสุขภาพของผู้บริโภคและอำนวยความสะดวกการเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของอาหารปลอดภัยในอาเซียน
โดยมีการกำหนดหน้าที่ให้รัฐสมาชิกต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับการทำให้อุปสรรคทางเทคนิคต่อการค้าอาหารภายในอาเซียนเหลือน้อยที่สุด
และลดความแตกต่างของระบบการควบคุมของประเทศสมาชิกอาเซียน
ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ๒.
อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว
และเมื่อลงนามแล้วให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งความตกลงฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
แล้วเสนอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ก่อนแสดงเจตนาให้มีผลผูกพันต่อไป ทั้งนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒ (เรื่อง แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการเสนอหนังสือสัญญา ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๘
ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers)
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำที่มิใช่สาระสำคัญและไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการมอบสัตยาบันของความตกลงดังกล่าวให้แก่เลขาธิการอาเซียนเพื่อรับทราบการให้สัตยาบัน
เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงดังกล่าวแล้ว ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
ที่เห็นว่าร่างความตกลงฯ เป็นสนธิสัญญาตามกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ที่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนการลงนามและดำเนินการให้มีผลผูกพัน
มุ่งเน้นการขจัดอุปสรรคทางการค้าในรูปแบบที่ไม่ใช่ภาษี อันเป็นลักษณะการค้าเสรี
และหากในอนาคตมีการจัดทำพิธีสารของร่างความตกลงฯ ควรพิจารณาส่งร่างพิธีสารฯ
ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๕.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์เร่งพิจารณาการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาอาหารไทย
เพื่อรักษาเอกลักษณ์และภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของไทยต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1639 | ขอความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย ฉบับปรับปรุง ภายใต้องค์การการค้าโลก | พณ. | 01/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย ฉบับปรับปรุง
ภายใต้องค์การการค้าโลก
มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทย
สำหรับบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน ๔ บริการ ได้แก่ บริการโทรศัพท์ บริการเทเลกซ์
บริการโทรเลข และบริการโทรสาร เพื่อให้สอดคล้องกับกฎระเบียบที่ใช้ในปัจจุบัน
และเป็นไปตามหลักการกำกับดูแลบริการโทรคมนาคมพื้นฐาน
หลักการขององค์การการค้าโลกและมาตรฐานสากล ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา
๑๗๘ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ๒.
ให้กระทรวงพาณิชย์นำร่างตารางข้อผูกพันสาขาบริการโทรคมนาคมของไทยรอบอุรุกวัย
ฉบับปรับปรุง ภายใต้องค์การการค้าโลก
เข้าสู่กระบวนการภายใต้องค์การการค้าโลกเพื่อให้ร่างตารางข้อผูกพันที่ได้ปรับปรุงแล้วดังกล่าวมีผลผูกพันทางกฎหมายต่อไป
เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างตารางข้อผูกพันดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างตารางข้อผูกพันดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย
ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1640 | ขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก | สกพอ. | 01/06/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน
๕๖๘,๒๒๘,๒๕๕ บาท สำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
ภายใต้แผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
และให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและครบถ้วน
และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการฯ
ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้สามารถส่งมอบพื้นที่ให้กับเอกชนคู่สัญญาได้ตามที่กำหนดไว้ในสัญญาร่วมลงทุน
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|