ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 283 จากทั้งหมด 568 หน้า แสดงรายการที่ 5641 - 5660 จากข้อมูลทั้งหมด 11341 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5641 | ขออนุมัติขยายวัตถุประสงค์เพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการใช้จ่ายงบประมาณในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย | มท | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้จังหวัดที่ได้รับอนุมัติงบประมาณจาก ๑ จังหวัด ๑ เขต ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติงบกลางเพื่อให้จังหวัดและส่วนราชการใช้จ่ายในการช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย) ขยายขอบเขตการให้ความช่วยเหลือได้มากกว่า ๑ จังหวัด ถ้าเขตที่จับคู่เดิมหมดปัญหาเดือดร้อนแล้ว (เดิมได้ ๑ จังหวัด ต่อ ๑ เขต) เป็น ให้จังหวัดที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ๒๕ จังหวัด สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้เพิ่มเติม ในทุกพื้นที่ของ ๒๒ เขต และจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม ตามที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมายเพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์อื่น ๆ คงเป็นไปตามเดิม ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5642 | ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อให้ ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมและความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ครั้งที่ 1/2554 | มท | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอขอแก้ไขความคลาดเคลื่อนของข้อมูลมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และความเป็นอยู่ของประชาชน (กศอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ในหนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๒๑๑.๖/๑๑๘๑๒ ลงวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ในส่วนของมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต หน้า ๗ จากเดิม “๔,๑๔๖,๓๘๘,๓๐๐ บาท” เป็น “๔,๑๔๖,๓๘๔,๓๐๐ บาท” และจากเดิม “๒๖๕,๔๖๐,๐๐๐ ล้านบาท” เป็น “๒๖๕,๔๖๐,๐๐๐ บาท”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5643 | รายงานความก้าวหน้าในการป้องกันและฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และการช่วยเหลือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | อก | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าในการป้องกันและฟื้นฟูนิคมอุตสาหกรรม และการช่วยเหลือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความก้าวหน้าในการป้องกันและฟื้นฟูอุตสาหกรรม โดยการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะประสบอุทกภัย กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนและดำเนินการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงที่จะประสบอุทกภัย โดยประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำ และเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยอยู่ในระดับที่ปลอดภัยจากวิกฤตอุทกภัย และโรงงานทุกแห่งในนิคมอุตสาหกรรมประกอบการได้ตามปกติ สำหรับการฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย ส่วนใหญ่ระบายน้ำออกจากพื้นที่แล้วเสร็จ และเร่งดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาสาธารณูปโภคพื้นฐานให้กลับมาใช้งานให้ได้ตามปกติโดยเร็ว พร้อมทั้งโรงงานอุตสาหกรรมเร่งทำความสะอาดซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย และมีโรงงานบางแห่งเริ่มประกอบการได้บางส่วนแล้ว ๒. ความก้าวหน้าการช่วยเหลือสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย มีดังนี้ ๒.๑ การเปิดรับลงทะเบียนช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัย เพื่อรับทราบข้อมูลความเสียหายและความช่วยเหลือที่ต้องการรับการเยียวยาของทางราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามมาตรการที่รัฐบาลกำหนด เช่น การพักชำระหนี้ เงินกู้เงื่อนไขผ่อนปรน เงินกู้ระยะยาว การลดหย่อนภาษีนำเข้าเครื่องจักร และความช่วยเหลือด้านสาธารณูปโภคอื่น ๆ เป็นต้น ผลการดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีจำนวนผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น ๒,๔๔๔ ราย ๒.๒ การอนุญาตให้วัตถุดิบที่ได้รับการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งได้รับความเสียหาย และไม่มีเศษซากเหลืออยู่ ไม่ต้องชำระภาษีอากรในลักษณะเป็นส่วนสูญเสีย และยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรที่นำเข้ามาทดแทนเครื่องจักรที่เสียหาย ดำเนินการไปแล้วจำนวน ๒๑ โครงการ มูลค่าเครื่องจักรที่จะนำมาทดแทน ๓,๕๖๕ ล้านบาท อยู่ระหว่างการพิจารณา ๘ โครงการ มูลค่าเครื่องจักรที่จะนำมาทดแทน ๑,๗๘๘ ล้านบาท ๒.๓ การอนุมัติขยายสิทธิประโยชน์ในการส่งเสริมการลงทุนให้แก่โครงการที่ประสบอุทกภัย จำนวน ๗ โครงการ เงินลงทุนรวม ๕๐๔ ล้านบาท และอยู่ระหว่างพิจารณาอีก ๙ โครงการ เงินลงทุนรวม ๒,๑๒๗ ล้านบาท ๒.๔ มาตรการช่วยเหลือในเรื่องวีซ่าและใบอนุญาตทำงานแก่บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งต้องการผู้ชำนาญการต่างชาติมาฟื้นฟูโรงงานจากเหตุอุทกภัยเป็นการเร่งด่วน โดยขยายเวลาอนุญาตให้ทำงานได้ จากเดิมไม่เกิน ๑๕ วัน เป็นไม่เกิน ๓๐ วัน และผ่อนปรนหลักเกณฑ์และเอกสารที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงประเภทวีซ่า เพื่อให้ผู้ชำนาญการต่างชาติได้รับอนุญาตให้ทำงานเกิน ๓๐ วัน มีบริษัทฯ มาขอใช้บริการรวม ๔๓ ราย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5644 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 2554) | มท | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ คือ ประเทศไทยตอนบน ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวม ๙๑ อำเภอ ๖๙๙ ตำบล ๔,๓๕๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๗๑๖,๒๘๑ ครัวเรือน ๔,๖๑๒,๙๙๖ คน ส่วนสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๒ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช และจังหวัดพัทลุง รวม ๑๑ อำเภอ ๕๘ ตำบล ๓๑๑ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๓๑,๐๐๘ ครัวเรือน ๑๑๐,๑๔๑ คน ๑.๒ การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) ใน ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว จำนวน ๓๘๓,๑๒๘ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๙๑๕,๖๔๐,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๑๖.๗๓ และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๙,๔๑๑ ครัวเรือน (ข้อมูล ณ วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๒. สถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวม ๒ อำเภอ ๑๑ ตำบล ๑๔๐ หมู่บ้าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5645 | ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเรื่อง การโอนทางหลวงพิเศษวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ช่วงถนนพระรามที่ 2 ถึงถนนสุขสวัสดิ์ | คค | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ (เรื่อง โครงการทางหลวงพิเศษวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ ช่วงสุขสวัสดิ์ - บางพลี) ที่อนุมัติให้กรมทางหลวงโอนโครงการทางหลวงพิเศษวงแหวนกาญจนาภิเษกด้านใต้ ช่วงถนนพระรามที่ ๒ ถึงถนนสุขสวัสดิ์ ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการและบริหารโครงการต่อไป เพื่อจะได้นำเงินรายได้จากการเก็บค่าผ่านทางของโครงการเป็นส่วนหนึ่งให้ผู้เข้าร่วมลงทุนประมาณการเป็นผลตอบแทนโครงการตลอดอายุโครงการฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) เป็นหน่วยงานบริหารจัดการจัดเก็บรายได้ค่าผ่านทาง บำรุงรักษาทาง และงานกู้ภัยบนทางหลวงพิเศษหมายเลข ๙ ถนนสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ที่ กม. ๓๑ + ๒๘๔.๔๖ - กม. ๔๕ + ๙๘๖.๓๑ (ทางหลวงพิเศษหมายเลข ๓๗ เดิม) ให้กรมทางหลวงเพื่อนำเข้าเงินทุนค่าธรรมเนียมผ่านทาง โดยให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) รับไปพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลง ระเบียบ หลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการเบิกจ่ายเงินที่จัดเก็บได้ ร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาข้อตกลง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการในการเบิกค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียม และการจัดให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ควรพิจารณาให้เหมาะสมและสอดคล้องกับผลการดำเนินงาน เพื่อป้องกันปัญหาข้อพิพาทในอนาคตที่อาจจะเกิดขึ้น และพิจารณาให้ครอบคลุมถึงการจ่ายคืนเงินลงทุนของระบบเก็บค่าผ่านทางและระบบควบคุมความปลอดภัย เพื่อบรรเทาภาระหนี้สินของ กทพ. โดยให้กระทรวงคมนาคม สำนักงบประมาณ และกรมบัญชีกลางเข้าร่วมพิจารณาข้อตกลงระหว่างกรมทางหลวงและ กทพ. เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างรอบคอบและเป็นธรรมต่อไป นอกจากนี้ ให้กรมทางหลวงพิจารณาเตรียมพื้นที่สำหรับเป็นจุดจอดพักรถบรรทุกบริเวณหน้าด่านเก็บเงินพระรามที่ ๒ เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด โดยประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในการจัดระเบียบจุดจอดรถบรรทุกบริเวณดังกล่าว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5646 | การพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเชิงพาณิชย์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ โดยการนำพื้นที่ในเขตทางพิเศษไปพัฒนาเพื่อสาธารณประโยชน์ และการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษในเชิงพาณิชย์ตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ควบคู่กันไปตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การดำเนินการตามแผนงานพัฒนาการขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ที่ให้ กทพ. ดำเนินการจัดระบบการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนต่าง ๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และเกิดประโยชน์สาธารณะสูงสุดโดยไม่นำไปใช้ในกิจการเชิงพาณิชย์ เช่น การจัดทำเป็นสวนสาธารณะ ลานกีฬา ที่จอดรถ เส้นทางลัดเพื่อระบายรถยนต์ และเส้นทางรถโดยสารใต้ทางด่วน เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. นำรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ที่จะดำเนินการพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5647 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 | กค | 06/12/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒,๔๗๓,๖๕๘.๓๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๗๔ ของวงเงิน จำนวน ๒,๖๙๖,๓๙๔.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๙๕๗,๘๙๙.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๕๘ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๑.๕๘ ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๙๙,๕๒๒.๒๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๙.๑๐ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕๘,๓๗๗.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๒.๗๙ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๐.๗๙ ๑.๒ เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๙๒,๖๔๐.๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๖๘ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙๙,๙๕๓.๘๔ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุนตามแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ จำนวน ๕,๑๘๑.๒๘ ล้านบาท และรายจ่ายประจำ จำนวน ๓,๓๑๖.๕๙ ล้านบาท ๑.๓ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๒๗,๓๕๕.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๙.๓๓ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๑๘๓,๖๘๓.๘๑ ล้านบาท ๑.๔ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๒,๗๔๒.๗๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๙๕,๗๖๓.๒๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๖.๒๙ ๒. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๑๘๔,๑๖๖.๒๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๙๐ ของวงเงิน จำนวน ๒,๐๗๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑๖๓,๕๙๕.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๕๙ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๐,๕๗๐.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๖๖ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5648 | ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | วธ | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ ให้มีความต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔) เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยใหม่มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลไกการบริหารจัดการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของเอเชีย และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่สำคัญในตลาดโลก โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เสริมสร้างให้ประเทศไทยเป็นเขตปลอดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เสริมสร้างค่านิยมที่เหมาะสมในการบริโภคภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์กับต่างประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการของภาครัฐเพื่อลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ เช่น การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ การอำนวยความสะดวกหรือประสานงานด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ ให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น ส่วนข้อจำกัดหรืออุปสรรคจากโครงสร้างระบบภาษีต่อการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงการคลังจะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี นอกจากนี้ ในร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ควรมีความชัดเจนในด้านกลไกการดำเนินงาน กระบวนการทำงาน และแผนปฏิบัติการเพื่อให้สามารถบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการระดมความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการตามยุทธศาสตร์มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำเรื่องนี้ไปพิจารณารวมกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเพื่อจะได้พิจารณาในภาพรวมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5649 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (ครั้งที่ 9) | วท | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนการจัดตั้งห้องเรียนวิทยาศาสตร์ในโรงเรียน โดยการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัย (โครงการ วมว.) (ครั้งที่ ๙) ช่วงเดือนเมษายน - กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สนับสนุนนักเรียนห้องเรียนวิทยาศาสตร์ของโครงการ วมว. จำนวน ๔ รุ่น (ปีการศึกษา ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔) รวม ๑๖ ห้องเรียน ใน ๗ โรงเรียน ประกอบด้วย ๑.๑ โรงเรียนที่เป็นมหาวิทยาลัย - โรงเรียนนำร่อง ๔ แห่ง โรงเรียนละ ๓ ห้อง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัยในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี โรงเรียนดรุณสิกขาลัยในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และโรงเรียน มอ.วิทยานุสรณ์ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๑.๒ โรงเรียน - มหาวิทยาลัยที่ขยายเพิ่ม ๓ แห่ง ได้แก่ โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ในการกำกับดูแลของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี จำนวน ๒ ห้องเรียน โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน - มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน จำนวน ๑ ห้องเรียน และโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยขอนแก่น (ศึกษาศาสตร์) - มหาวิทยาลัยขอนแก่น จำนวน ๑ ห้องเรียน ๒. จัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนห้องเรียนวิทยาศาสตร์โครงการ วมว. ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔ ของวิทยาลัยโครงการ วมว. ทั้ง ๗ แห่ง ๓. จัดกิจกรรมระหว่างมหาวิทยาลัย - โรงเรียนในโครงการ วมว. ได้แก่ กิจกรรมปฐมนิเทศนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ (รุ่นที่ ๔) ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๔ ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาลัยเขตกำแพงแสน และสนับสนุนมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ในการจัดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “การจัดการเรียนรู้แบบ Inquiry Based Learning” ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ ๔. การติดตามและประเมินผลโครงการ วมว. เมื่อสิ้นปีที่ ๓ โดยจัดจ้างสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดลเป็นที่ปรึกษา ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณารายงานฉบับสมบูรณ์ ๕. งบประมาณในการบริหารโครงการ วมว. ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวนทั้งสิ้น ๙๖,๘๒๒,๓๑๑.๒๙ บาท และกันเงินเหลื่อมปี จำนวน ๒,๖๔๒,๓๘๓.๓๗ บาท เพื่อใช้จ่ายในการดำเนินงานโครงการ วมว. สืบเนื่องในปี พ.ศ. ๒๕๕๕
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5650 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2554) | มท | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ คือ บริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้บางจังหวัด จำนวน ๑๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวม ๑๐๗ อำเภอ ๘๖๙ ตำบล ๕,๐๘๑ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๘๒๐,๖๖๘ ครัวเรือน ๔,๘๘๑,๗๔๙ คน และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน จากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) รวม ๗ จังหวัด ๔๙ อำเภอ ๒๔๗ ตำบล ๑,๔๗๗ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑๕๔,๑๔๔ ครัวเรือน ๓๒๔,๒๔๒ คน ได้แก่ จังหวัดพัทลุง ตรัง สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช นราธิวาส สงขลา และยะลา มีผู้เสียชีวิต ๗ ราย ๑.๒ การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๒๐๔,๕๒๗ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๐๒๒,๖๓๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๘.๙๓ ( ณ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ - ปัจจุบัน) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ รวม ๒ อำเภอ ๑๑ ตำบล ๑๔๐ หมู่บ้าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5651 | พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จะเข้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและ ความยุติธรรมทางอาญา สมัยที่ 21 ในนามผู้แทนราชอาณาจักรไทย | ยธ | 29/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบเรื่องพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา จะเป็นผู้แทนประเทศไทยเข้าดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา (United Nations Commission on Crime Prevention and Criminal Justice - CCPCJ) สมัยที่ ๒๑ เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๕๔ - ธันวาคม ๒๕๕๕ อันเป็นการยกระดับการดำเนินการทูตพหุภาคีอย่างสร้างสรรค์และสอดคล้องกับแนวนโยบายของรัฐบาล และเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทย ๑.๒ เห็นชอบให้หลักการให้กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงาน ก.พ. ร่วมกันพิจารณาถวายตำแหน่ง “เอกอัครราชทูต” ให้กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นกรณีพิเศษ โดยยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องที่อาจไม่เอื้อต่อการแต่งตั้งก่อนที่จะได้รับมอบหมายให้เสด็จไปประจำการที่กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ เพื่อให้มีตำแหน่ง และเอกสิทธิ์/ความคุ้มกันทางการทูตเทียบเท่าเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรแห่งประเทศไทยประจำสำนักงานสหประชาชาติ ณ กรุงเวียนนา พร้อมทั้งให้เร่งรัดดำเนินการโดยด่วน ๒. เห็นชอบการดำเนินการเพื่อสนับสนุนข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการพิจารณาถวายตำแหน่ง “เอกอัครราชทูต” ให้กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นกรณีพิเศษตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง มาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๖)] โดยให้กำหนดตำแหน่งเอกอัครราชทูต (นักบริหารการทูตระดับสูง) เพิ่มใหม่เป็นการชั่วคราวในกระทรวงการต่างประเทศ จำนวน ๑ ตำแหน่ง เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติให้กับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เป็นกรณีพิเศษ ในการปฏิบัติหน้าที่ประธาน CCPCJ สมัยที่ ๒๑ โดยมีเงื่อนไขว่า ให้ยุบเลิกตำแหน่งเมื่อสิ้นสุดภารกิจในเดือนธันวาคม ๒๕๕๕ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ. ๓. อนุมัติในหลักการให้เบิกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการทรงปฏิบัติภารกิจและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและการต้อนรับประมุขต่างประเทศ และงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามที่กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงยุติธรรมเสนอ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5652 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร | กค | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (Closed Circuit Television System : CCTV System) โดยกระทรวงการคลังได้ดำเนินโครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเทคโนโลยีอื่นที่เหมาะสมกับการควบคุมทางศุลกากร ซึ่งเป็นการติดตั้งกล้องที่จุดผ่านแดนถาวร ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ที่ว่าการศุลกากร เพื่อบันทึกภาพเหตุการณ์บริเวณพื้นที่ที่มีการเข้า - ออกของบุคคล สินค้า และยานพาหนะ โดยเชื่อมโยงข้อมูลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เช่น กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นต้น ทั้งนี้ โครงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๑) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๓ และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบโทรทัศน์วงจรปิด (ระยะที่ ๒) ได้ดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มใช้งานเมื่อวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5653 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. .... | ศธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้กระทรวงศึกษาธิการชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับย้อนหลังเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาในการนำร่างพระราชกฤษฎีกาฯ ขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ต่อไป และให้ดำเนินการต่อไปได้ สำหรับสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป เว้นแต่บทบัญญัติมาตรา ๔ (๑๐) (ค) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้นไป บทบัญญัติมาตรา ๔ (๖) (ข) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๒๕ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นต้นไป และบทบัญญัติมาตรา ๔ (๘) (ค) ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ๑.๒ ยกเลิกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ และเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช พ.ศ. ๒๕๒๔ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ๑.๓ กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาแพทย์แผนไทยและสาขาวิชาการบัญชี เพิ่มขึ้น ๑.๔ ปรับเปลี่ยนชื่อปริญญาในสาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ เป็นสาขาวิชาบริหารัฐกิจ ๑.๕ กำหนดปริญญา ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต เพิ่มขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๕๓ และ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๓ ที่ให้กระทรวงศึกษาธิการถือปฏิบัติตามมติคณะรฐมนรีเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๒ อย่างเคร่งครัด โดยกำชับให้มหาวิทยาลัยหรือสถาบันการศึกษาใด เมื่ออนุมัติหลักสูตรวิชาใดแล้วจะต้องเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดปริญญาในสาขาวิชานั้นเสียก่อน แล้วจึงจะเปิดทำการสอนในสาขาวิชานั้นได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5654 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 21 พฤศจิกายน 2554) | มท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๑๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี ชัยนาท อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวม ๑๒๔ อำเภอ ๘๖๗ ตำบล ๕,๗๕๒ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๘๘๖,๐๖๒ ครัวเรือน ๕,๐๕๑,๒๓๕ คน โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งสิ้น ๖๔ จังหวัด มีผู้เสียชีวิต ๖๐๖ ราย สูญหาย ๓ คน ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู จำนวน ๔๗ จังหวัด ๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการในการดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) ใน ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๑๔,๐๓๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๐,๑๙๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๐.๖๑ (ณ วันที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ๓. การเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว กระทรวงมหาดไทยได้มีคำสั่งที่ ๕๔๗/๒๕๕๔ ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาว ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๕ ณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย พร้อมทั้งแต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการ และเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้อำนวยการศูนย์ มีหน้าที่อำนวยการ ประสานแผน และบูรณาการการปฏิบัติงาน รวมทั้งกำกับ ดูแลการปฏิบัติงานของฝ่ายต่าง ๆ ให้เป็นไปตามนโยบายของศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ นอกจากนี้ ได้สั่งการทุกจังหวัดเตรียมการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยหนาวของจังหวัด โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ของจังหวัด โดยให้มีการเตรียมการทั้งก่อนเกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุ และภายหลังเกิดเหตุ รวมทั้งให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจฯ ทั้งในระดับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5655 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธี มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 โดยไม่ถือเป็นวันลา | วธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคตซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มรับราชการ ตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยยังคงได้สิทธิลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการฯ แต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศ โดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการจะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงการคลังรับไปแก้ไขพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อให้ข้าราชการที่ลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาตามมติคณะรัฐมนตรีสามารถลาอุปสมบทได้อีกโดยมีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลา ตามความเห็นของกระทรวงการคลังต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5656 | การดำเนินการของธนาคารแห่งประเทศไทยในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยตามมติคณะรัฐมนตรี | ธปท | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ เกี่ยวกับการกำหนดแนวทางให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับ ธปท. หารือกับสมาคมธนาคารไทยในการออกมาตรการทางด้านสังคมในการพักชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้เท่าเทียมกับธนาคารภาครัฐ ซึ่งมีผลการดำเนินการสรุปได้ ดังนี้
๑. การช่วยเหลือลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัย ๑.๑ ธปท. ได้ขอความร่วมมือสถาบันการเงิน บริษัทที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่มิใช่สถาบันการเงิน บริษัทที่ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่มิใช่สถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และสนับสนุนให้ลูกหนี้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ โดยพิจารณาผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และปรับลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ของยอดคงค้างได้ จนถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๑.๒ ธนาคารสมาชิกทุกแห่งเห็นชอบที่จะกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า SMEs และลูกค้าบุคคลที่ประสบความเดือนร้อนจากอุทกภัย โดยผ่อนผันการชำระเงินต้น และ/หรือดอกเบี้ยเป็นเวลาสูงสุด ๖ - ๑๒ เดือน ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ให้สอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ และการให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อฟื้นฟูกิจการในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ โดยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบรุนแรงและได้รับความเสียหายมาก ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาพิเศษเป็นรายกรณี ๑.๓ ธปท. ได้ทบทวนหลักเกณฑ์ในการจัดชั้นและกันเงินสำรองให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ โดยให้สถาบันการเงินสามารถคงสถานะการจัดชั้นลูกหนี้เช่นเดิมเหมือนที่เคยจัดชั้นอยู่ก่อนการได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยในครั้งนี้ เพื่อให้ลูกหนี้ดังกล่าวไม่ถูกจัดเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) และให้ถือว่ามาตรการในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น การให้สินเชื่อใหม่ในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ รวมถึงการลดเงินต้นและ/หรือ ดอกเบี้ย หรือ Reschedule เป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ทั่วไป รวมทั้งช่วยเหลือลูกหนี้บัตรเครดิตที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยให้สถาบันการเงินลดอัตราการผ่อนชำระหนี้บัตรเครดิตขั้นต่ำให้ต่ำกว่าร้อยละ ๑๐ ของยอดคงค้าง ๑.๔ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติได้มีการตกลงกับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเกี่ยวกับการรายงานข้อมูลเครดิต โดยลูกหนี้ที่ประสบอุทกภัยสามารถชำระหนี้ได้ตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตามข้อตกลงใหม่ หรือข้อผ่อนผันที่สถาบันการเงินผ่อนผันให้กับลูกค้าให้รายงานข้อมูลภายใต้สถานะบัญชีปกติแทนการรายงานว่าลูกหนี้ผิดชำระหนี้ ๒. มาตรการอื่นเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับเหตุการณ์อุทกภัย ๒.๑ ด้านระบบการชำระเงิน เช่น ระบบการโอนเงินระหว่างธนาคาร ระบบบาทเน็ต และระบบการหักบัญชีเช็ค ได้เตรียมศูนย์สำรองไว้ที่พุทธมณฑลสาย ๗ ในส่วนระบบรองรับการโอนเงินรายย่อยข้ามธนาคาร ได้ประสานกับผู้ให้บริการระบบให้มีการเตรียมความพร้อมทั้งศูนย์หลักและศูนย์สำรอง ๒.๒ ด้านการดูแลสภาพคล่องของระบบการเงิน ธปท. ยังทำธุรกรรมตามปกติเพื่อดูแลสภาพคล่องทั้งเงินบาทและเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และสามารถทำธุรกรรมทั้งจากศูนย์หลักและศูนย์สำรอง รวมทั้งได้สื่อสารให้ธนาคารพาณิชย์ฝากเงินไว้ในบัญชีที่ ธปท. เพิ่มขึ้น เพื่อให้สามารถเบิกถอนได้ตามต้องการ ๒.๓ ด้านการสำรองธนบัตร ธปท. ได้เตรียมธนบัตรไว้เพื่อการเบิกถอนของธนาคารต่าง ๆ อย่างเพียงพอ และสำรองไว้ที่ศูนย์จัดการธนบัตรที่การคมนาคมสะดวก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5657 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล | ยธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลเกี่ยวกับปัญหายาเสพติด ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและการดำเนินงานตามนโยบายสำคัญของรัฐบาล) ตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (สำนักงาน ป.ป.ส.) เสนอสรุปได้ ดังนี้
๑. การเปิดปฏิบัติการวาระแห่งชาติพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อทำความเข้าใจและบูรณาการแนวความคิดตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล รวมทั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจในแนวทางปฏิบัติให้เป็นไปทิศทางเดียวกัน ๒. การประชุมศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้ ๒.๑ เห็นชอบการขับเคลื่อนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด จำนวน ๔ ภารกิจ ได้แก่ ๒.๑.๑ การจัดตั้งกลไกการดำเนินงาน ประกอบด้วย ศพส. ระดับกระทรวง การจัดตั้งสำนักงาน ศพส. การจัดตั้งกลไกเฉพาะใน ๓ พื้นที่สำคัญ ได้แก่ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ สกัดกั้นชายแดนภาคเหนือ ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ แก้ไขปัญหากรุงเทพมหานครและปริมณฑล และศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินฯ แก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ และการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๒.๑.๒ การจัดทำแผนระดับต่าง ๆ รองรับปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ได้แก่ การบูรณาการประสานแผนส่วนกลาง จำนวน ๗ แผนงานหลัก การบูรณาการแผนและงบประมาณลงพื้นที่ และการให้สำนักงาน ป.ป.ส. ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดประชุมชี้แจงแผนระดับจังหวัด ในวันที่ ๒๒ - ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔ และให้จังหวัดจัดทำแผนปฏิบัติการฯ ภายในเดือนตุลาคม ๒.๑.๓ การเตรียมการรองรับการปฏิบัติ เช่น การคัดเลือกและอบรมชุดปฏิบัติการมวลชนระดับอำเภอ การจัดหาสถานที่จัดทำค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ ๑ อำเภอ : ๑ ค่าย การจัดชุดปฏิบัติการปราบปรามนักค้ารายสำคัญตามเป้าหมาย และการเตรียมห้อง Operation Room ของ ศพส. เป็นต้น ๒.๑.๔ การปฏิบัติการ ๖ เร่ง ระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน ถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ โดยให้ทุกจังหวัดเร่งหาข้อมูลผู้ค้า ผู้เสพ กลุ่มเสี่ยง/พื้นที่เสี่ยง และเร่งจัดค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้เสพ รวมทั้งให้จังหวัดป้องกัน กวดขันพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง และปัจจัยเสี่ยงรอบสถานศึกษา ๒.๒ เห็นชอบแนวทางการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดและบังคับใช้กฎหมาย แนวทางการดำเนินงานแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด แนวทางการดำเนินงานสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติดในสถานศึกษา และการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลรองรับแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ๓. การประชุมเชิงปฏิบัติการสกัดกั้นยาเสพติดพื้นที่ชายแดนภาคเหนือตอนบน เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อระดมความคิดเห็นในการดำเนินงานของหน่วยงานต่าง ๆ และวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหายาเสพติดร่วมกัน เพื่อบูรณาการการดำเนินงานให้เป็นเอกภาพโดยเฉพาะด้านการข่าว ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ได้แก่ การเน้นการสกัดกั้นตามแนวชายแดนที่เป็นพื้นที่ลักลอบนำเข้ายาเสพติด และสกัดกั้นสารตั้งต้นโดยใช้กลไกระดับอำเภอ โดยแผนบูรณาการระดับอำเภอดำเนินงานในพื้นที่ รวมทั้งเพิ่มและเสริมสร้างความเข้มแข็งของพลังแผ่นดินและพลังประชาชนที่อยู่เดิม ได้แก่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ให้มีส่วนในการสกัดกั้นโดยเฉพาะแหล่งข่าวภาคประชาชน ๔. การประชุมผู้นำชุมชนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครตามแผนยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อมอบนโยบายและชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดด้วยการใช้แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานครให้แก่หน่วยงานทั้งภาคราชการและประชาชนในชุมชนพื้นที่กรุงเทพมหานคร ๕. การประชุมกองบัญชาการตำรวจนครบาลและผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ส. เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อเร่งรัดแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5658 | กรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน และอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน 10 ฉบับ | กค | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ นำเสนอกรอบการเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อน ซึ่งเป็นกรอบมาตรฐานต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบสำหรับการนำไปเจรจาอนุสัญญาหรือความตกลงกับกลุ่มประเทศคู่เจรจาของไทย ได้แก่ ประเทศที่จะขอเปิดเจรจาใหม่และที่จะขอเปิดเจรจาแก้ไข (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) ประเทศที่เจรจาแล้ว แต่ยังมีประเด็นติดค้าง (ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีไว้แล้ว) และประเทศที่จะทำการเจรจาในอนาคต พร้อมทั้งพิจารณากรณีการอนุมัติประเทศคู่เจรจาต่าง ๆ ของไทยภายใต้กรอบการเจรจาดังกล่าวให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี ๑.๒. เห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาที่ยังไม่มีผลใช้บังคับ จำนวน ๑๐ ฉบับ และเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบต่อไป ดังนี้ ๑.๒.๑ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งซิมบับเวและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๑.๒.๒ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งรัฐเอกราชปาปัวนิวกีนี เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๓ อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรโมร็อกโก เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๔ ความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๕ อนุสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐทาจิกิสถาน เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๖ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเคนยา เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๗ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งไอร์แลนด์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้และผลได้จากทุน ๑.๒.๘ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐลิทัวเนียและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๙ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๒.๑๐ อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเอสโตเนีย เพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปดำเนินการทางการทูตเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบความตกลงและอนุสัญญาตามข้อ ๑.๒ แล้ว ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร) รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อให้เกิดความชัดเจนในทางปฏิบัติในการบริหารการจัดเก็บภาษี และเร่งประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ ในสถานะของอนุสัญญาหรือความตกลงฯ ที่มีผลบังคับใช้ให้กับผู้ประกอบการและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อช่วยเสริมสร้างบรรยากาศการลงทุน และส่งเสริมให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนและเทคโนโลยีระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5659 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีในการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการพร้อมขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. 11 ชั้น โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ | สธ | 22/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ในการเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการค่าก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จากเดิม อาคาร คสล. ๑๐ ชั้น วงเงินค่าก่อสร้าง ๓๓๕,๑๐๐,๐๐๐ บาท เป็นอาคาร คสล. ๑๑ ชั้น พื้นที่ใช้สอย ๑๙,๑๔๐ ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร วงเงินค่าก่อสร้าง ๓๗๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ๒. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เป็นอาคาร คสล. ๑๑ ชั้น โรงพยาบาลหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่สำนักงบประมาณได้จัดสรรให้แล้ว จำนวน ๔๗,๘๗๓,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ จำนวน ๓๓๐,๑๒๗,๐๐๐ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้ดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5660 | ร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (จัดตั้งกรมฝนหลวงและการบินเกษตร) | กษ | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพื่อยกฐานะสำนักฝนหลวงและการบินเกษตร ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขึ้นเป็นกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และให้โอนบรรดาอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี และบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณ สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง และอัตรากำลังที่เป็นของสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสำนักงานฝนหลวงและการบินเกษตร ไปเป็นของกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ๒. ให้สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดสรรอัตรากำลังให้กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไปด้วย
|