ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 281 จากทั้งหมด 568 หน้า แสดงรายการที่ 5601 - 5620 จากข้อมูลทั้งหมด 11341 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5601 | การดำเนินการเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบการดำเนินการเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอุทกภัย ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัย ต้องมีการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ ประกอบด้วยช่วงต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ โดยช่วงต้นน้ำจะต้องส่งเสริมการดูแลพื้นที่ต้นน้ำและการปลูกป่า ปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน รวมทั้งสร้างฝายชุ่มชื้นเพื่อเก็บกักน้ำในพื้นที่สูง โดยยึดหลักการตามแนวพระราชดำริ ส่วนช่วงกลางน้ำต้องมีการบริหารจัดการพื้นที่กักเก็บน้ำและระบายน้ำให้เหมาะสม และช่วงปลายน้ำต้องควบคุมดูแลการบริหารจัดการพื้นที่และช่องทางระบายน้ำให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ ในส่วนของการดำเนินการในช่วงต้นน้ำ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการโดยได้น้อมนำเอาพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มาดำเนินการใน ๒ เรื่อง คือ การปลูกป่าฟื้นฟูแหล่งน้ำ และการปราบปรามยาเสพติด ๑.๒ การดำเนินการช่วงกลางน้ำและช่วงปลายน้ำ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทยเร่งประสานงานกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณ รวมทั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาจัดทำแผนปฏิบัติการให้สอดคล้องกับแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ โดยระบุรายละเอียดแยกเป็นรายจังหวัดและรายโครงการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] และเร่งรัดดำเนินโครงการในความรับผิดชอบที่มีความจำเป็นเร่งด่วนและมีความพร้อมในการดำเนินการให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว สำหรับการดำเนินการในส่วนของการขุดลอกคูคลองและทางระบายน้ำ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณามอบหมายให้แต่ละหน่วยงานรับผิดชอบการขุดลอกคูคลองและทางระบายน้ำแต่ละแห่งให้ชัดเจน รวมทั้งให้สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้ว ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบแต่ละพื้นที่จังหวัดกำกับติดตามการดำเนินการควบคู่ไปกับการตรวจติดตามการปฏิบัติราชการตามกลไกการตรวจราชการของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย เพื่อให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องรวดเร็ว โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งรัฐมนตรีที่กำกับดูแลในระดับจังหวัดเร่งรัดการดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5602 | การลงพื้นที่ปฏิบัติราชการของรัฐมนตรี | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการของรัฐมนตรี ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ประสานงานกับเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี รวมทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการตรวจราชการและติดตามงานของนายกรัฐมนตรี ในระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่แหล่งต้นน้ำภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลาง เพื่อตรวจราชการและติดตามการดำเนินการตามโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามกรอบเวลาและเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม ฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภค และโครงการตามแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับไปสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมความพร้อมในการรายงานผลการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของแต่ละจังหวัดด้วย หากพบว่าโครงการใดที่ได้รับอนุมัติงบประมาณไปแล้วและไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณนำโครงการดังกล่าวมาพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมและจัดลำดับความสำคัญของโครงการดังกล่าวใหม่เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง สรุปผลการพิจารณาแผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานของคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.)]
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5603 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 24/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานเลขานุการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การแก้ไขบทบัญญัติความผิดเกี่ยวกับเพศและความผิดต่อเสรีภาพที่มีอายุเด็กเป็นองค์ประกอบความผิด) ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน โดยก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรให้แก้ไขถ้อยคำในร่างมาตรา ๓ ที่แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๒๗๗ วรรคท้าย และแก้ไขหลักการและเหตุผลให้สอดคล้องกันตามข้อสังเกตของคณะอนุกรรมการกลั่นกรองร่างกฎหมายของคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ๒๕๕๕ ๒. สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๕๕ สำหรับการจัดลำดับร่างพระราชกำหนด จำนวน ๔ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... ร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ. .... และร่างพระราชกำหนดการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย พ.ศ. .... ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕] เพื่อเสนอต่อรัฐสภา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5604 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองกลาง ในคดีระหว่างนายเหวง โตจิราการ ฟ้องคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม 2 คน ต่อศาลปกครองกลางขอให้เพิกถอน มติคณะรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโครงสร้างอัตราค่าไฟฟ้า | อส | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาของศาลปกครองกลางในคดีหมายเลขดำที่ ๒๓๑/๒๕๔๙ ระหว่างนายเหวง โตจิราการ ผู้ฟ้องคดี
กับคณะรัฐมนตรีกับพวกรวม ๒ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง ขอให้เพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง หลักเกณฑ์ การกำหนดโครงสร้างอัตรา ค่าไฟฟ้า ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางมีคำพิพากษายกฟ้อง ตามที่สำนักงานอัยการสูงสุดเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5605 | การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นใช้เป็นแนวทางการวางแผนและจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำประมาณการรายได้และรายจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยให้รวมถึงภาระงบประมาณที่รัฐบาลจะต้องดำเนินการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และแผนปฏิบัติการบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕) ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5606 | นโยบายรัฐบาลในการสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติ | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบูรณาการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ เพื่อดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง การสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ มีการดำเนินการอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และมีความครอบคลุม และสามารถบูรณาการให้นำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรผู้ยากจน และไม่มีที่ดินทำกิน พร้อมทั้งปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวทั้งหมด ตลอดจนเสนอความเห็น และแนวทางในการบริหารจัดการที่ดิน เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำในการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ อย่างเป็นระบบ ชัดเจน มีความครอบคลุม และสามารถบูรณาการให้บังเกิดผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายรัฐบาล ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5607 | การจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 | ศธ | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๑) โดยไม่ยืนยันการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเฉพาะทาง ๔ แห่ง ได้แก่ สถาบันการอาชีวศึกษาเทคโนโลยีการเกษตรพิจิตร สถาบันการอาชีวศึกษาอุตสาหกรรมยานยนต์อุบลราชธานี สถาบันการอาชีวศึกษาเทคโนโลยีการจัดการโรงแรมกรุงเทพ และสถาบันการอาชีวศึกษาพาณิชย์นาวีนครศรีธรรมราช ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอคณะรัฐมนตรีขอให้ทบทวนการออกกฎกระทรวงฯ ในกรณีการจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาเฉพาะทาง ๔ แห่ง ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเห็นว่าหากฝ่ายบริหารประสงค์จะยกฐานะสถานศึกษาอาชีวศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งเพียงแห่งเดียวขึ้นเป็นสถาบันการอาชีวศึกษาตามมาตรา ๑๔ การดำเนินการเช่นว่านั้นจะต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการการอาชีวศึกษากำหนด ๒. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงการรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษาเพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ การรวมสถานศึกษาอาชีวศึกษา จำนวน ๑๖๑ แห่ง เพื่อจัดตั้งสถาบันการอาชีวศึกษาแบบกลุ่มจังหวัด ๑๙ แห่ง ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเข้าร่วมพิจารณาโดยเฉพาะในประเด็นการรวมสถานศึกษา และการจัดตั้งสถาบันอาชีวศึกษารูปแบบกลุ่มจังหวัดด้วย แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5608 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา และน่าน) | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ ๗ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา และน่าน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอบน ๑ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) และตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ตามที่รัฐมนตรีลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นและมีข้อสั่งการเพิ่มเติม และให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) รับไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการบูรณาการในการบริหารจัดการน้ำ ๑.๓ เห็นชอบโครงการวันเดย์ทัวร์ซึ่งต่อเนื่องกับโครงการปรับปรุงเส้นทางท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำแม่สัน - ทุ่งเกวียน โดยให้จังหวัดลำปางและศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเสนอบรรจุโครงการดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัด ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ๑.๕ เห็นชอบโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและโครงการอุทยานเทคโนโลยีและความสร้างสรรค์ภาคเหนือ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปบูรณาการทั้งสองโครงการเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ให้ชัดเจน ๑.๖ เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาเพิ่มจุดรับจำนำข้าวที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างทั่วถึง ๑.๗ เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปจัดทำรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ แนวใหม่ และโครงการก่อสร้างเส้นทางตัดใหม่ (Missing Link) และดำเนินการเพื่อขออนุมัติจัดทำโครงการต่อไป ๑.๘ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาเรื่องการจ่ายค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๙ ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ซึ่งกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ และ ๒ ทุกระยะเวลา ๓ เดือน ๒. เห็นชอบให้แก้ไขหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จากเดิม "สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่" เป็น “กระทรวงวัฒนธรรม” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๓. ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการที่เกี่ยวข้องรับไปเตรียมความพร้อมของโครงการ และดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5609 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ 2/2554 | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการ กยอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รับทราบกรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ นำประเด็นความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการกำหนดให้ชัดเจนว่าประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางในภูมิภาคด้านการค้าการลงทุน ด้านการคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ และมีพื้นที่รองรับการขยายตัวของการลงทุนภาคอุตสาหกรรม การปรับปรุงกฎระเบียบ กฎหมายต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจของภาคการผลิตและบริการ โดยพิจารณาครอบคลุมประเด็นกฎหมายที่กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำในระยะยาว เพื่อให้กลไกรัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถดำเนินการภายใต้กรอบกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ การให้ภาคเอกชนมาร่วมลงทุนในลักษณะ Public 3 Private - Partnership โดยกำหนดขอบเขตภารกิจและรูปแบบที่จะให้เอกชนร่วมดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งการกำหนดความจำเป็นที่จะต้องมีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ความไม่เพียงพอทั้งในเรื่องปริมาณและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ความสำคัญของความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากขึ้น การพัฒนาความเป็นเมืองและการพัฒนาพื้นที่ และการบริหารจัดการน้ำ ไปปรับปรุงกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยให้พิจารณาความสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และทำการศึกษาเรื่องการจัดรูปแบบองค์กรและระบบการบริหารจัดการ และการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อนำเสนอต่อ กยอ. พิจารณาต่อไป รวมทั้งศึกษาประเด็นที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง ๆ ของประเทศ โดยคำนึงถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำด้วย เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณากลั่นกรองโครงการลงทุนต่าง ๆ ๒. รับทราบความคืบหน้าและสนับสนุนการดำเนินงานเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อธุรกิจประกันภัย ตามข้อเสนอซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัยนำเสนอผลการศึกษารูปแบบกองกลางประกันภัยน้ำท่วม ต่อ กยอ. และให้สมาคมธนาคารไทยร่วมดำเนินงานในการเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมแก่ผู้เอาประกันภัย โดย กยอ. จะช่วยประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเผยแพร่ข่าวสารและมาตรการแก้ไขปัญหาอุทกภัยทั้งภาษาไทยและอังกฤษให้สาธารณชนและต่างประเทศได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณาการผ่อนปรนสัดส่วนการถือครองหุ้นของต่างชาติ เพื่อเปิดโอกาสในการเพิ่มทุนให้แก่บริษัทประกันภัย โดยอาจกำหนดระยะเวลาของการผ่อนผันหรือเงื่อนไขที่ชัดเจน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติและฟื้นฟูประเทศ ๒ ราย ได้แก่ บริษัท Mckinsey & Company และบริษัท Boston Consulting Group ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางดำเนินการในช่วงระยะการฟื้นฟู และระยะการซ่อมสร้างของประเทศไทยจากวิกฤตน้ำท่วม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และข้อเสนอแนวทางการดำเนินโครงการปฏิรูปประเทศไทย โดยให้ฝ่ายเลขานุการฯ รับความเห็นของ กยอ. เกี่ยวกับการรับข้อเสนอของบริษัทที่ปรึกษาหลายราย อาจทำให้ขั้นตอนการดำเนินงานมีความซ้ำซ้อนและต้องใช้ระยะเวลามากขึ้น จึงเห็นควรเลือกบริษัทที่ปรึกษาจำนวนน้อยราย ภายใต้เงื่อนไขบริษัทที่ปรึกษาจะดำเนินการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่มีข้อผูกมัดเรื่องการสนับสนุนข้อมูลหรือการนำข้อมูลและผลการศึกษาไปใช้ประโยชน์ และทำการศึกษาเฉพาะประเด็น/หัวข้อตามที่ กยอ. กำหนด นอกจากนี้ ควรให้บริษัทที่ปรึกษาทั้ง ๒ ราย รวมถึงรายอื่น ๆ ที่อาจมีการเสนอเพิ่มเติมในภายหลังจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาที่สำคัญเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ โดยสรุปประมาณ ๑ - ๒ หน้า และให้นำเสนอ กยอ. พิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป ไปประสานกับบริษัทที่ปรึกษาเพื่อจัดทำข้อเสนอประเด็นการศึกษาประเทศไทยในอนาคต ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และสมมติฐานการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจโลกเสนอ กยอ. พิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบรายละเอียดหมวดการใช้จ่ายเพื่อการดำเนินงานของสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (สกยอ.) และรายละเอียดสำหรับวงเงินที่จะขออนุมัติเบื้องต้น ซึ่งเป็นไปตามมติ กยอ. ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ และให้ดำเนินการทำความตกลงในรายละเอียดของงบประมาณสำหรับ สกยอ. กับสำนักงบประมาณตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔] ต่อไป ๕. รับทราบรายงานสรุปผลการหารือระหว่างประธาน กยอ. และคณะ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นายปรเมธี วิมลศิริ) กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อที่ประเทศสหราชอาณาจักรและญี่ปุ่น ตามที่ฝ่ายเลขานุการฯ เสนอ เพื่อชี้แจงถึงสาเหตุของการเกิดอุทกภัยรวมทั้งการแก้ไขปัญหา ซึ่งการเดินทางไปชี้แจงให้กับบริษัทประกันภัยและบริษัทรับประกันภัยต่อขนาดใหญ่ในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดการรับประกันภัยของโลกทั้งในเรื่องการป้องกันอุทกภัยในอนาคต รวมถึงความสามารถในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เพื่อฟื้นฟูพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม และให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาสนับสนุนสินเชื่อเพื่อพัฒนาระบบป้องกันอุทกภัยให้แก่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยทั้ง ๗ แห่ง ได้แก่ นิคมสหรัตนนคร นิคมไฮเทค นิคมบางปะอิน นิคมโรจนะ นิคมแฟคตอรี่แลนด์ นิคมนวนคร และนิคมบางกะดี รวมทั้งโรงงานและนิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรมที่อยู่นอกนิคมอุตสาหกรรมทั้ง ๗ แห่งด้วย แล้วรายงานผลพร้อมทั้งข้อเสนอแนะให้ กยอ. พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5610 | รายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน | กค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๓ เรื่อง มาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ซึ่งมีประเด็นความเห็นและผลการดำเนินการ ดังนี้
๑. การเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าแร่ใยหิน ในทางปฏิบัติมาตรการภาษีจะไม่สามารถสกัดกั้นการนำเข้าแร่ใยหินได้ แต่ควรใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษีจะเกิดผลในทางปฏิบัติมากกว่า เพราะว่าแร่ใยหินตามพิกัดอัตราศุลกากรประเภท ๒๕.๒๔ (asbestos) ได้รับการยกเว้นอากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และยกเว้นอากรตามความตกลงเขตการค้าเสรีในกรอบต่าง ๆ แล้ว ทั้งนี้ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการห้ามนำเข้าผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเป็นมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีอยู่ด้วยแล้ว ในส่วนของอัตราภาษีการนำเข้าของสารที่นำมาทดแทนที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วนใหญ่มีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว ๒. การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา ได้ดำเนินมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา โดยให้หักเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นจำนวนร้อยละ ๑๐๐ หรือหักค่าใช้จ่าย ๒ เท่าสำหรับรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าจ้างการทำวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีให้แก่หน่วยงานของรัฐและเอกชน ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ๒๙๗) พ.ศ. ๒๕๓๙ ๓. การตรวจสอบหาสาเหตุที่สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้นเนื่องมาจากต้นทุนหรือการเพิ่มอัตราภาษี จากการตรวจสอบสินค้าที่เป็นวัตถุดิบที่ใช้ทดแทนแร่ใยหิน เช่น เส้นใยแก้วทอ เส้นใยเซรามิค เส้นใยยิปซั่ม เส้นใยคาร์บอน เส้นใยที่มีสภาพเป็นพลาสติก พบว่า ส่วนใหญ่วัตถุดิบดังกล่าวมีอัตราอากรร้อยละ ๐ - ๕ ซึ่งเป็นอัตราค่อนข้างต่ำ และยังมีเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติซึ่งสามารถผลิตในประเทศได้ ดังนั้น อัตราภาษีขาเข้าจึงไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้สินค้าที่ใช้วัตถุดิบอื่นเป็นส่วนประกอบแทนแร่ใยหินมีราคาสูงขึ้น แต่สาเหตุที่ทำให้ต้นทุนสินค้าดังกล่าวมีราคาสูงขึ้นมีปัจจัยมาจากการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการปรับเปลี่ยนเทคโนโลยีทางการผลิตใหม่เป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5611 | การดำเนินการตามข้อมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเกี่ยวกับลิเบีย | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบรับรองการดำเนินการตามข้อมติคณะรัฐมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ ๑๙๗๓ (ค.ศ. ๒๐๑๑) ที่ ๒๐๐๙ (ค.ศ. ๒๐๑๑) และที่ ๒๐๑๖ (ค.ศ. ๒๐๑๑) เพื่อยกเลิกมาตรการต่าง ๆ ประกอบด้วย มาตรการคว่ำบาตรทางอาวุธต่อรัฐบาลลิเบียหรือ NTC การอายัดทรัพย์ขององค์กรที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลลิเบีย มาตรการห้ามบิน เขตห้ามบิน และมาตรการปกป้องพลเรือน เพื่อเป็นการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ไทยมีต่อสหประชาชาติโดยสอดคล้องกับกฎหมายภายในของไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย ถือปฏิบัติ และแจ้งผลการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้กระทรวงการต่างประเทศทราบเพื่อประโยชน์ในการรายงานต่อสหประชาชาติต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5612 | การพิจารณากำหนดวันหยุดราชการประจำปี เพิ่มเติม | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันตรุษจีนซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นวันหยุดราชการประจำปีเพิ่มอีก ๑ วัน ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตามที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เสนอ โดยวันหยุดราชการประจำปีดังกล่าวให้ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดสตูลด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๑๗ (เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ) และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดเวลาทำงานและวันหยุดราชการ พ.ศ. ๒๕๑๗ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๑๗ ที่กำหนดให้หยุดราชการประจำปีในวันตรุษอีดิ้ลฟิตรี (วันรายอป
อซอ) วันตรุษอีดิ้ลอัฎฮา (วันรายอฮัจยี) อันเป็นวันสำคัญทางศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5613 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง | กค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ให้ขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางต่อไป ตั้งแต่วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ ตามบัญชาของนายกรัฐมนตรี ตลอดจนการขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายตามมาตรการฯ ระยะที่ ๙ ตามหลักการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง) ดังนี้ ๑.๑ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทาง ดำเนินการผ่านองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายการจัดรถโดยสารประจำทางธรรมดา จำนวน ๘๐๐ คันต่อวัน ใน ๗๓ เส้นทาง ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โดยมีวงเงิน ๘๓๗.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ มาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ดำเนินการผ่านการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยรัฐรับภาระค่าใช้จ่ายในการจัดรถไฟชั้น ๓ เชิงสังคม จำนวน ๑๖๔ ขบวนต่อวัน และรถไฟชั้น ๓ ระยะทางไกล ในขบวนรถเชิงพาณิชย์ จำนวน ๘ ขบวนต่อวัน ให้บริการแก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในวงเงิน ๓๔๐.๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ ขสมก. และ รฟท. กู้เงินเพื่อชดเชยการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เพื่อชดเชยให้แก่ ขสมก. และ รฟท. สำหรับการดำเนินมาตรการดังกล่าวเป็นลำดับแรก โดยในกรณีของ ขสมก. ที่ได้กำหนดให้ได้รับชดเชยค่าใช้จ่ายการดำเนินมาตรการตามต้นทุนที่แท้จริงนั้น ขสมก. จะต้องจัดให้มีการตรวจสอบจากผู้ประเมินอิสระ เพื่อให้การชดเชยมีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาแนวทางการสนับสนุนมาตรการการลดค่าครองชีพด้านการเดินทางที่มีความเหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาก่อนสิ้นสุดระยะเวลาตามมาตรการฯ ระยะที่ ๙ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5614 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2554 (เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย) | นร | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ เห็นชอบให้แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย รวม ๗ คน นั้น โดยความเห็นชอบของรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) เพื่อความเหมาะสม จึงขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยขอทบทวนเฉพาะรายนายชเยนทร์ คำนวณ ส่วนรายชื่อกรรมการอื่น ๆ ให้คงตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5615 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเพื่อจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด 5.56 มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) | ตช | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการของการจัดหาอุปกรณ์พิเศษสำหรับติดตั้งประจำอาวุธปืนขนาด ๕.๕๖ มิลลิเมตร ยี่ห้อ Colt (M 4 A2) จำนวน ๑,๕๐๐ ชุด ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในลักษณะก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๑๘๙,๑๐๐,๐๐๐ บาท ตามนัยมาตรา ๒๓ วรรคสี่ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอทำความตกลงรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณก่อนลงนามในสัญาต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) กรณีวงเงินปีแรกของรายการต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5616 | รายงานผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี 2552 และ 2553 | กค | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจ ประจำปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑.๑ ผลการประเมินผลฯ คะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมทุกหัวข้อของรัฐวิสาหกิจทุกแห่งในระบบประเมินผลฯ [ไม่รวมบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)] มีการปรับปรุงดีขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๒ - พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยค่าเฉลี่ยของคะแนนประเมินผลฯ ภาพรวมในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ อยู่ที่ ๓.๕๙๑๗ คะแนน และ ๓.๗๑๐๑ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลฯ สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๗๗๘๓ และ ๔.๘๑๐๑ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๘๕๖๘ และ ๔.๗๖๕๕ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๗๐๗๕ และ ๔.๗๕๒๙ คะแนน และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค มีคะแนน ๔.๗๑๔๒ และ ๔.๗๓๓๗ คะแนน ๑.๑.๒ ผลการประเมินผลฯ รายสาขา ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ สาขาที่มีคะแนนประเมินผลฯ ในภาพรวมเฉลี่ยสูงสุด คือ สาขาพลังงาน มีคะแนนเฉลี่ย ๔.๗๗๙๒ และ ๔.๗๔๗๘ คะแนน โดยรัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนสูงสุด คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๘๖๒๙ และ ๔.๘๗๑๘ คะแนน ๑.๑.๓ ผลการประเมินผลฯ ด้านบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ รัฐวิสาหกิจที่มีคะแนนประเมินผลด้านการบริหารจัดการองค์กร สูงสุด ๕ อันดับแรก ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๖๒๑๕ และ ๔.๖๗๕๘ คะแนน การไฟฟ้านครหลวง มีคะแนน ๔.๕๙๑๐ และ ๔.๕๙๒๖ คะแนน การประปานครหลวง มีคะแนน ๔.๓๖๖๘ และ ๔.๔๙๘๓ คะแนน ธนาคารออมสิน มีคะแนน ๔.๓๖๖๗ และ ๔.๔๕๗๔ คะแนน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีคะแนน ๔.๓๑๕๕ และ ๔.๔๔๙๖ คะแนน ๑.๑.๔ ผลการดำเนินงานที่สำคัญที่เป็นตัวชี้วัดร่วม (Common KPIs) ของรัฐวิสาหกิจ ประจำปีบัญชี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ มีดังนี้ ๑.๑.๔.๑ การเบิกจ่ายงบลงทุนเฉลี่ยของรัฐวิสาหกิจในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยในปี ๒๕๕๒ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๓ (วงเงินอนุมัติ ๔๘,๗๔๐ ล้านบาท) รัฐวิสาหกิจที่มีอัตราการเบิกจ่ายมากที่สุด คือ การประปาส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งมีการเบิกจ่ายร้อยละ ๑๐๐ ส่วนในปี ๒๕๕๓ สาขาที่มีอัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สาขาพลังงาน - ไฟฟ้า - น้ำมัน มีการเบิกจ่ายร้อยละ ๙๙ และรัฐวิสาหกิจที่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มวงเงินอนุมัติ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และการไฟฟ้านครหลวง ๑.๑.๔.๒ การบริหารจัดการเพื่อสร้างมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ของรัฐวิสาหกิจ ผลการประเมินความคืบหน้าฯ ณ สิ้นปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ได้คะแนนเฉลี่ยที่ ๔.๒๗๑๓ และ ๔.๓๘๖๘ คะแนน โดยมีปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญ คือ การให้การสนับสนุนของคณะกรรมการและผู้บริหารระดับสูง ๑.๑.๔.๓ การบริหารจัดการองค์กรของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งผลการดำเนินงานในปี ๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ โดยเฉลี่ยมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิม ๓.๒๗๕๐ เป็น ๓.๔๑๒๓ คะแนน โดยหัวข้อที่รัฐวิสาหกิจมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสูงสุด คือ หัวข้อการบริหารจัดการสารสนเทศ และหัวข้อการบริหารความเสี่ยง เพิ่มขึ้น ๐.๒๗ และ ๐.๒๔ คะแนน ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงเจ้าสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตจากการประเมินผลฯ และข้อสังเกตของคณะกรรมการประเมินผลงานรัฐวิสาหกิจ ไปดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการนำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายโดยเฉพาะข้อเสนอแนะที่เกี่ยวข้องกับการประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง กรอบและงบประมาณของรัฐวิสาหกิจประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕) มาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อให้ระบบการประเมินผลฯ มีประสิทธิภาพ สามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานและการจัดการของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะช่วยลดภาระงบประมาณได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางการกำกับติดตามผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการของรัฐวิสาหกิจให้ได้ข้อมูลที่รวดเร็วเหมาะสม เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการกำหนดนโยบายและทิศทางการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5617 | ผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 1 ภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย | พณ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑ ภายใต้คณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย - รัสเซีย ซึ่งจัดการประชุมขึ้นระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ กรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยประเด็นสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันที่จะร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า ส่งเสริมการลงทุน และเพิ่มการอำนวยความสะดวกทางการค้าและการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น รวมทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมการลงทุนจากต่างชาติ ส่งเสริมให้นักลงทุนของตนไปลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนการลงทุนระหว่างกันในสาขาที่ตนเองมีความถนัดและมีศักยภาพ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับประเด็นแร่ใยหิน ซึ่งที่ประชุมได้มีข้อสรุปให้ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้คณะอนุกรรมาธิการด้านการค้าและความร่วมมือทางเศรษฐกิจไทย - รัสเซีย เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจากการใช้แร่ใยหินไคลโซไทล์ และจัดทำข้อเสนอแนะในการใช้แร่ใยหินและผลิตภัณฑ์อย่างปลอดภัย อาจขัดหรือแย้งกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ เกี่ยวกับมาตรการทำให้สังคมไทยไร้แร่ใยหิน ซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในการห้ามนำเข้าแร่ใยหินไคลโซไทล์ และผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไครโซไทล์เฉพาะกรณี และห้ามผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของแร่ใยหินไคลโซไทล์ที่ใช้วัตถุดิบอื่นหรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นทดแทนได้ โดยมอบให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับไปจัดทำแผนในการยกเลิกการนำเข้า ผลิตและจำหน่ายแร่ใยหินและผลิตภัณฑ์ที่มีแร่ใยหินเป็นส่วนประกอบทุกชนิด รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือด้านการค้าและเศรษฐกิจกับรัสเซียเพื่อนำไปสู่การเจรจาทำความตกลงการค้าเสรีกับรัสเซียในอนาคต เนื่องจากรัสเซียเป็นประตูการค้าที่สำคัญของไทยไปยังกลุ่มประเทศเครือรัฐเอกราช (Commonwealth of Independent States : CIS) ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5618 | การขอรับจัดสรรงบประมาณเพิ่มเพื่อการเบิกจ่ายค่าครองชีพชั่วคราวของพนักงานมหาวิทยาลัยตามนโยบายรัฐบาล | ศธ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการให้พนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดินของสถาบันอุดมศึกษาซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปที่มีอัตราเงินเดือนหรืออัตราค่าจ้างไม่ถึงเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวจำนวนหนึ่ง แต่เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้ว ต้องไม่เกินเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ให้สอดคล้องกับแนวทางการปรับปรุงค่าตอบแทนเพื่อช่วยเหลือการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ [เรื่อง ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ๒. ให้สถาบันอุดมศึกษาดำเนินการภายในกรอบวงเงิน ๓๘๘,๑๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้ตรวจสอบจำนวนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างด้วยเงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งไม่เกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้ในรายละเอียดประกอบการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอยู่ในเกณฑ์ได้รับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวให้มีความชัดเจนถูกต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงก่อนขอทำความตกลงวงเงินงบประมาณที่จะต้องใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กับสำนักงบประมาณต่อไป ส่วนพนักงานมหาวิทยาลัยที่จ้างเกินกว่ากรอบอัตรากำลังที่สำนักงบประมาณกำหนดไว้สมควรให้สถาบันอุดมศึกษาใช้จ่ายจากเงินรายได้ของหน่วยงาน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5619 | ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... | ยธ | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมนำมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ [เรื่อง ร่างกฎสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำหนดเครื่องแบบพิเศษสำหรับข้าราชการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....] ในประเด็นข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการกำหนดเครื่องแบบพิเศษของส่วนราชการ โดยบางส่วนราชการได้มีการกำหนดรูปดาวเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องหมายแสดงระดับ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับเครื่องหมายแสดงชั้นยศของข้าราชการฝ่ายทหารหรือข้าราชการตำรวจ ซึ่งการใช้เครื่องหมายรูปดาวของข้าราชการพลเรือนดังกล่าวอาจทำให้เกิดความสับสนระหว่างข้าราชการแต่ละประเภทได้ ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ส่วนราชการที่กำหนดรูปดาวเป็นเครื่องหมายแสดงระดับไว้แล้วเห็นควรให้คงเดิม ส่วนกรณีที่ส่วนราชการจะกำหนดเครื่องหมายดาวขึ้นใหม่ เห็นควรให้ใช้เครื่องหมายอื่นแทน โดยไม่สมควรที่จะกำหนดรูปดาวเป็นเครื่องหมายแสดงระดับของข้าราชการฝ่ายพลเรือน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5620 | รายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) และข้อเสนอแนวทางการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจ | นร | 04/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานผลการจัดอันดับความยาก - ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2012) ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับที่ ๑๗ จาก ๑๘๓ ประเทศ ๑.๒ เห็นชอบ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น ตามความเห็นของคณะกรรมการ ก.พ.ร. ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ดังนี้ ๑.๒.๑.๑ ด้านการจดทะเบียนทรัพย์สิน ให้กรมที่ดินและกรมสรรพากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษาความเหมาะสมในการปรับลดอัตราภาษีหรือค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนทรัพย์สินเพื่อกำหนดเป็นมาตรการถาวร หรือปรับแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และควรเชื่อมโยงฐานข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากับกรมที่ดินให้สามารถตรวจสอบความเป็นนิติบุคคลของผู้ขอจดทะเบียนได้แบบ real time ๑.๒.๑.๒ ด้านการชำระภาษี ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมให้รัฐเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักศึกษารายละเอียดกระบวนการจัดเก็บภาษีของประเทศและปฏิรูประบบการจัดเก็บภาษีใหม่ให้เกิดการบูรณาการ และศึกษาแนวทางการมอบอำนาจให้หน่วยงานอื่นจัดเก็บภาษีแทนได้ เพื่อให้เกิดระบบการชำระภาษีเพียงจุดเดียว ๑.๒.๑.๓ ด้านการปิดกิจการ ให้กรมบังคับคดีและศาลยุติธรรมเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบดำเนินการเร่งปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และกำหนดมาตรการเพื่อลดระยะเวลาในกระบวนการปิดกิจการ ๑.๒.๑.๔ ด้านการค้าระหว่างประเทศ ให้กรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการนำเข้า - ส่งออกสินค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการผลักดันให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำระบบ National Single Window ไปใช้ในการนำเข้า - ส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม และศึกษาเพื่อกำหนดแนวทางในการลดค่าใช้จ่ายและลดจำนวนเอกสารในการนำเข้า - ส่งออกให้แก่ผู้ประกอบการ ๑.๒.๑.๕ ด้านการเริ่มต้นธุรกิจ ให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการพัฒนาระบบการให้บริการจัดตั้งธุรกิจให้เป็นการให้บริการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ๑.๒.๑.๖ ด้านการได้รับสินเชื่อ ให้กระทรวงการคลังและกรมบังคับคดีเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักดำเนินการเร่งรัดการประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ ปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายล้มละลายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในสิทธิทางกฎหมายของเจ้าหน้าที่และลูกหนี้ในการขอสินเชื่อ กฎหมายเกี่ยวกับข้อมูลเครดิตเพื่อขยายขอบเขตการจัดเก็บข้อมูลเครดิต เป็นต้น ๑.๒.๒ ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงบริการตามรายงานผลการวิจัยเรื่อง Doing Business แก่หน่วยงานที่รับผิดชอบ และสนับสนุนงบประมาณแก่สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อดำเนินการศึกษาวิจัยแนวทางการดำเนินงานของประเทศที่ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับต้น ๆ (Benchmarking) เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทย (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๔ มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการศึกษาวิจัย) ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการปรับปรุงบริการของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ๑.๒.๕ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบในการปรับปรุงบริการให้คณะรัฐมนตรีทราบทุก ๖ เดือน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ดำเนินการติดตามและประเมินผลการปรับปรุงบริการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการประกอบธุรกิจของประเทศเป็นผลสำเร็จและอันดับของประเทศไทยดีขึ้น เพื่อให้ผลการดำเนินการเรื่องนี้มีประสิทธิผลและประสิทธิภาพด้วย และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับการกำหนดให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสนับสนุนและพัฒนาระบบการให้บริการในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์แก่หน่วยงานต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบและดำเนินการระบบอย่างต่อเนื่องด้วย ไปประกอบการดำเนินการต่อไป ๓. ส่วนการมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาศึกษาและปรับปรุงกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินการดังกล่าวแล้ว นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเร่งรัดพิจารณาปรับปรุงกฎหมาย กฎ และระเบียบ เพื่อเป็นการลดขั้นตอนและลดการขออนุญาตที่ไม่จำเป็นเพื่อให้เหมาะสมกับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดระยะเวลา การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้ในกฎหมาย การกำหนดให้มีการพิจารณาร่วมกันระหว่างพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้แล้วเสร็จในคราวเดียวกัน โดยมีมาตรฐานการพิจารณาเป็นอย่างเดียวกัน และการลดการอนุญาตตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงอุตสาหกรรมต่อไป |
.....