ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 282 จากทั้งหมด 568 หน้า แสดงรายการที่ 5621 - 5640 จากข้อมูลทั้งหมด 11341 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5621 | คณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี | กต | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นชอบการปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการต่าง ๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี
ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ รวม ๓ คณะ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑. คณะกรรมการจัดทำหลักเขตแดนร่วมระหว่างไทย - มาเลเซีย ขอแก้ไขชื่อตำแหน่งขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๖ จาก อธิบดีกรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน เป็น เจ้ากรมอุทกศาสตร์ หรือผู้แทน ๒. คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย - กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ขอแก้ไขตัวสะกดขององค์ประกอบคณะกรรมการ ลำดับที่ ๑๘ จาก นายณัฎฐวุฒิ โพธิสาโร เป็น นายณัฏฐวุฒิ โพธิสาโร ๓. คณะกรรมาธิการฝ่ายไทยสำหรับคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับภูมิภาคลาตินอเมริกา ขอความเห็นชอบรายละเอียดอำนาจหน้าที่และองค์ประกอบคณะกรรมาธิการฯ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแล้ว กระทรวงการต่างประเทศจะแจ้งให้สำนักงานผู้แทนการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยแต่งตั้งผู้แทน และจะตรวจสอบคุณสมบัติให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
5622 | การจัดตั้งทุนหมุนเวียนของหน่วยงานของรัฐ | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติต่อไป ดังนี้
๑. รับทราบการสรุปผลการดำเนินงานของคณะกรรมการกลั่นกรองการจัดตั้งทุนหมุนเวียนเกี่ยวกับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๖ ทุน ความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการเจ้าสังกัดของทุนหมุนเวียนดังกล่าว และเรื่อง “กรอบคู่มือการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ”เพื่อกำกับและควบคุมให้การจัดตั้งทุนหมุนเวียนเป็นไปด้วยความถูกต้องครบถ้วน และเพื่อให้หน่วยงานของรัฐที่มีความประสงค์ หรืออยู่ระหว่างการศึกษาการจัดตั้งทุนหมุนเวียนมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการเสนอจัดตั้งทุนหมุนเวียนได้อย่างเหมาะสมและเกิดผลสัมฤทธิ์สูงสุด สำหรับผลการพิจารณาการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนและความคืบหน้าการดำเนินการของส่วนราชการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการฯ เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ของกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้ดำเนินการถึงขั้นตอนรอรัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายแล้ว ๑.๒ คณะกรรมการฯ ไม่เห็นควรให้มีการจัดตั้งทุนหมุนเวียน จำนวน ๓ ทุน คือ ทุนหมุนเวียนสถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำระยอง และกองทุนเพื่อพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกองทุนการศึกษาเพื่อบุคคลออทิสติกส์ ของกระทรวงศึกษาธิการ และไม่เห็นควรให้ขยายวัตถุประสงค์ จำนวน ๑ ทุน คือ เงินทุนหมุนเวียนโรงงานฟอกหนัง ของกองทัพบก ทั้งนี้ ส่วนราชการเจ้าสังกัดทุนหมุนเวียนที่ขอจัดตั้งทั้ง ๔ แห่ง มิได้ดำเนินการจัดตั้งทุนต่อไป ๑.๓ คณะกรรมการฯ ไม่มีประเด็นการพิจารณาความเหมาะสมของการจัดตั้ง จำนวน ๑ ทุน คือ กองทุนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เนื่องจากมีการจัดตั้งกองทุนดังกล่าวโดยบรรจุในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานของรัฐที่นำเสนอหลักการหรือร่างกฎหมายที่มีการขอจัดตั้งทุนหมุนเวียนต่อคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานของรัฐนั้นดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๑ (เรื่อง แนวทางการจัดตั้งทุนหมุนเวียน) โดยจัดส่งข้อมูลรายละเอียดเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ตาม “กรอบคู่มือการจัดตั้งทุนหมุนเวียนของทางราชการ” ให้กรมบัญชีกลางในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการฯ เพื่อให้คณะกรรมการฯ พิจารณานำเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรักษาวินัยการเงินการคลัง และดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||
5623 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2554) | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ คือ ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ โดยสถานการณ์อุทกภัยบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้บางจังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นครปฐม ปทุมธานี และนนทบุรี รวม ๓๓ อำเภอ ๓๔๘ ตำบล ๒,๔๖๐ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๘๙๔,๖๔๕ ครัวเรือน ๒,๒๗๐,๐๑๗ คน ส่วนสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒ สรุปการจ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) โดยพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต กรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งธนาคารออมสินแล้ว ๑๔๓,๑๙๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๑๕,๙๖๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๐๕ และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๔๗,๙๐๓ ครัวเรือน (ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔) คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๔๕ สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อจำนวนครัวเรือนที่ขอรับการช่วยเหลือส่งธนาคารออมสินแล้ว ๖๗๓,๒๐๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๓๖๖,๐๑๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๓๐ และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๔๘๐,๕๗๔ ครัวเรือน (ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔) คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๓๙ จังหวัดแจ้งระงับการจ่าย ๖๕๔ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ นครพนม บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร เลย สกลนคร หนองคาย อุบลราชธานี ราชบุรี และสุพรรณบุรี รวม ๒๒๑ อำเภอ ๑,๗๕๗ ตำบล ๒๐,๓๑๑ หมู่บ้าน สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดที่ประสบภัยหนาวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมการช่วยเหลือ โดยการจัดหาผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวแล้ว ๓. สรุปสถานการณ์คลื่นลมแรง (ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีรายงานฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร ในพื้นที่อำเภอหลังสวน อำเภอปะทิว อำเภอเมืองชุมพร อำเภอสวี อำเภอทุ่งตะโก และอำเภอละแม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในพื้นที่อำเภอทับสะแก อำเภอหัวหิน อำเภอกุยบุรี และอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในพื้นที่อำเภอปากพนัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่อำเภอดอนสัก อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอกาญจนดิษฐ์ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสงขลา ในพื้นที่อำเภอระโนด จังหวัดปัตตานี ในพื้นที่อำเภอยะหริ่ง และจังหวัดจันทบุรี ในพื้นที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม
|
||||||||||||||||||||||||
5624 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อย้ายข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อย้ายนางวิสุนี บุนนาค ผู้อำนวยการสำนักโฆษก (อำนวยการระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม (อำนวยการระดับสูง) กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
5625 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑.๑ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณหรือได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา รวมทั้งกรณีโครงการที่ไม่ต้องมีการลงนามในสัญญา (ใช้เงินอุดหนุน/งบประจำ) ที่หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งยืนยันมาที่คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้สามารถดำเนินการลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ อนุมัติการยกเลิกโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี รายการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๑๐ รายการ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕,๐๑๙,๔๘๐ บาท และโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายการการจัดซื้อรายการปืนไรเฟิล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๑.๑.๔ รับทราบโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ลงนามในสัญญา วงเงิน ๑๑๙.๕๓ ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้แจ้งผลการทบทวนความจำเป็นคุ้มค่าของการดำเนินโครงการมายังคณะกรรมการฯ ๑.๑.๕ รับทราบโครงการที่หน่วยงานจะขอยกเลิกโครงการเดิมและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ วงเงิน ๑,๒๙๙.๕๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้วิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๑๒.๕๙ ล้านบาท และโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้วยวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๗๘๗.๐๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ อนุมัติให้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๙,๒๓๕.๖๘ ล้านบาท สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบในหลักการให้โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๔,๒๕๘.๖๔ ล้านบาท (รวมโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๕,๐๒๒.๙๖ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ด้วย) สามารถลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานเร่งจัดส่งข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ รับทราบการแจ้งยืนยันความจำเป็นเหมาะสมและคุ้มค่าในการดำเนินโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๓ การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๓.๑ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายโครงการถนนไร้ฝุ่น ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๓,๙๔๗,๐๗๑ บาท โครงการฝายหัวงานและอาคารประกอบ โครงการฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง (หัวงานที่ ๑) จังหวัดนครสวรรค์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑,๘๒๐,๕๒๖ บาท และโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปอ ตำบลนาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙๙๕,๒๖๓.๔๘ บาท ๑.๓.๒ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓.๓ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนป่าแดด ระยะที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๑.๓.๔ รับทราบการขอรับการจัดสรรเงินเพิ่มเติมภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการปรับปรุงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐาน รายการพัฒนาห้องสมุด (E - library) โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕,๗๒๔,๕๐๐ บาท ๑.๔ รับทราบความเห็นเบื้องต้นของกระทรวงการคลังในประเด็นการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
5626 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||
5627 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2554 | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตรเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พื้นที่ประสบอุทกภัย ๗๖ จังหวัด ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สงขลา และนราธิวาส ๒. ผลกระทบด้านการเกษตร ๒.๑ ด้านพืช เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๑,๒๙๓,๙๒๐ ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย ๑๒.๖๕ ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าว ๑๐.๐๐ ล้านไร่ พืชไร ๑.๘๘ ล้านไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๐.๗๗ ล้านไร่ ๒.๒ ด้านประมง เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๑๓๒,๓๘๑ ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาดว่าจะเสียหาย แบ่งเป็น บ่อปลา ๒๑๘,๐๖๕ ไร่ บ่อกุ้ง/ปู/หอย ๕๓,๖๘๒ ไร่ กระชัง/บ่อซีเมนต์ ๒๙๙,๕๓๙ ตารางเมตร ๒.๓ ด้านปศุสัตว์ เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๒๕๔,๖๗๐ ราย สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น ๓๐.๓๒ ล้านตัว แปลงหญ้า ๑๗,๗๗๖ ไร่ ๓. สรุปความก้าวหน้าการช่วยเหลือ ๓.๑ กรมส่งเสริมการเกษตร กรมประมง และกรมปศุสัตว์ ได้ส่งเอกสารเพื่อขออนุมัติงบประมาณจากสำนักงบประมาณ วงเงิน ๘,๐๘๖.๐๖๔ ล้านบาท เกษตรกร ๓๖๗,๘๗๑ ราย ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอขอกรอบวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท เนื่องจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรี ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ ไม่เพียงพอ ซึ่งหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติม กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมประมง จะดำเนินการขออนุมัติเงินงวดจากสำนักงบประมาณทันที วงเงิน ๑๓,๓๖๗.๖๗๘ ล้านบาท ๓.๒ สำนักงบประมาณอนุมัติงบประมาณให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) เกษตรกร ๓๖๗,๔๘๗ ราย วงเงิน ๘,๐๘๔.๖๒๗ ล้านบาท ๓.๓ ธ.ก.ส. โอนเงินให้เกษตรกรแล้ว เกษตรกร ๓๓๕,๖๓๗ ราย วงเงิน ๗,๘๐๒.๖๓๓ ล้านบาท ๔. การดำเนินการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ได้แก่ การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ การผลิตและใช้น้ำหมัก พด.๖ การสนับสนุนพืชอาหารสัตว์ ดูแลสุขภาพสัตว์ แร่ธาตุและเวชภัณฑ์ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
5628 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 18 ธันวาคม 2554) | มท | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ ได้แก่ ประเทศไทยตอนบน ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวม ๗๔ อำเภอ ๔๗๖ ตำบล ๓,๑๑๘ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๕๙๗,๑๐๗ ครัวเรือน ๔,๒๒๒,๖๑๐ คน และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต กรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งธนาคารออมสินแล้ว ๘๒,๓๔๔ ครัวเรือน เป็นเงิน ๔๑๑,๗๒๐,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๑๙,๗๓๗ ครัวเรือน สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๕๘๙,๐๙๙ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๙๔๕,๔๙๕,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๒๖๕,๔๒๗ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๑๘ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ ๑๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ตาก พะเยา อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ บุรีรัมย์ มุกดาหาร เลย สกลนคร และจังหวัดนครพนม รวม ๑๓๑ อำเภอ ๙๘๕ ตำบล ๙,๙๒๘ หมู่บ้าน สำหรับการให้ความช่วยเหลือ จังหวัด พร้อมด้วยอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เหล่ากาชาด องค์กร มูลนิธิ สมาคม ได้ระดมการช่วยเหลือโดยการจัดหาผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวแล้ว
|
||||||||||||||||||||||||
5629 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ 16 ธันวาคม 2554 | กษ | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยศูนย์ติดตามและแก้ไขปัญหาภัยพิบัติด้านการเกษตรเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. พื้นที่ประสบอุทกภัย ๗๖ จังหวัด ปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา นครปฐม ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานคร ๒. ผลกระทบด้านการเกษตร ๒.๑ ด้านพืช เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๑,๒๘๗,๑๕๑ ราย พื้นที่การเกษตรคาดว่าจะเสียหาย ๑๒.๖๓ ล้านไร่ แบ่งเป็น ข้าว ๑๐.๐๐ ล้านไร่ พืชไร่ ๑.๘๗ ล้านไร่ พืชสวนและอื่น ๆ ๐.๗๖ ล้านไร่ ๒.๒ ด้านประมง เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๑๓๑,๙๙๒ ราย พื้นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำคาดว่าจะเสียหาย แบ่งเป็น บ่อปลา ๒๑๖,๗๒๐ ไร่ บ่อกุ้ง/ปู/หอย ๕๓,๖๕๒ ไร่ กระชัง/บ่อซีเมนต์ ๒๙๘,๙๘๗ ตารางเมตร ๒.๓ ด้านปศุสัตว์ เกษตรกรได้รับผลกระทบ ๒๕๔,๖๗๐ ราย สัตว์ได้รับผลกระทบรวมทั้งสิ้น ๓๐.๓๒ ล้านตัว แปลงหญ้า ๑๗,๗๗๖ ไร่ ๓. สรุปความก้าวหน้าการช่วยเหลือ ณ วันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๓.๑ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอขอกรอบวงเงินเพิ่มเติม จำนวน ๑๘,๘๙๕.๙๑ ล้านบาท เนื่องจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔ (๘,๑๗๔.๕๔๕ ล้านบาท) ไม่เพียงพอ ซึ่งหากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับอนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติม กรมส่งเสริมการเกษตร และกรมประมง จะดำเนินการขออนุมัติเงินงวดจากสำนักงบประมาณทันที วงเงิน ๑๒,๕๑๘,๘๐๒ ล้านบาท ๓.๒ สำนักงบประมาณอนุมัติงบประมาณให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เกษตรกร ๓๖๗,๔๗๔ ราย วงเงิน ๘,๐๘๔.๕๑๗ ล้านบาท ๓.๓ ธ.ก.ส. โอนเงินให้เกษตรกรแล้ว เกษตรกร ๓๑๙,๘๘๙ ราย วงเงิน ๗,๖๑๑.๙๙๔ ล้านบาท ๔. การดำเนินการช่วยเหลือด้านอื่น ๆ ได้แก่ การสนับสนุนเครื่องสูบน้ำเคลื่อนที่ การผลิตและใช้น้ำหมัก พด.๖ การสนับสนุนพืชอาหารสัตว์ การดูแลสุขภาพสัตว์ รวมทั้งการสนับสนุนแร่ธาตุและเวชภัณฑ์
|
||||||||||||||||||||||||
5630 | เร่งรัดการอนุมัติค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย การเตรียมรองรับสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ การบริหารจัดการขยะและถุงทราย การดูแลรักษาความปลอดภัย และการฝึกอบรมเพื่อสร้างงานแก่ผู้ว่างงาน | นร | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเรื่องเร่งด่วนที่ขอให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการ ดังต่อไปนี้
๑. ค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณประสานกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเร่งรัดดำเนินการตามขั้นตอนให้งบประมาณจำนวนรวม ๒๐,๑๑๐.๕๕๗๒ ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง สรุปผลการพิจารณาค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย) เห็นชอบกรอบวงเงินดังกล่าวไว้แล้ว ได้รับการอนุมัติลงสู่จังหวัดที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในสัปดาห์นี้ เพื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยให้บรรลุผลโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของงบประมาณเพื่อการนี้อีกจำนวนหนึ่งวงเงินประมาณ ๒๐,๐๐๐ ล้านบาท ให้สำนักงบประมาณเร่งรัดการพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัยพิจารณาตามขั้นตอน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีในสัปดาห์หน้า ๑.๒ ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ดังกล่าวที่ได้มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นหน่วยงานหลักให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบ (ครั้งที่ ๑) ภายในสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ ๒. การเตรียมการรองรับสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นในพื้นที่ภาคใต้ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเพื่อเตรียมการรองรับสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ที่ได้รับอิทธิพลจากพายุ และอาจเกิดสถานการณ์อุทกภัยขึ้นได้ โดยให้พิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการและแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยให้ชัดเจนเพื่อให้พร้อมดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้นำข้อมูลและแนวทางการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพมหานครมาใช้ประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การบริหารจัดการขยะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักรับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย และกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อกำจัดขยะมูลฝอยที่ยังตกค้างอยู่ในพื้นที่ต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งกระสอบทรายและถุงทราย (Bib Bag) ที่ใช้กั้นน้ำให้หมดไปโดยเร็วเพื่อให้กรุงเทพมหานครและปริมณฑลมีความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย พร้อมต้อนรับเทศกาลปีใหม่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง โปร่งใส เป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๔. การดูแลรักษาความปลอดภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๔.๑ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับไปกำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในความรับผิดชอบทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจ และพลเรือนในการดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ที่เป็นจุดเสี่ยงในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้เคร่งครัด เพื่อให้ประชาชนมีขวัญกำลังใจและความมั่นใจในความปลอดภัยของชีวิตและทรัพย์สิน ๔.๒ มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) รับไปกำกับ ติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานในประชาคมข่าวกรองอย่างเคร่งครัด และประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ในการดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาความไม่สงบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นด้วย ๕. การฝึกอบรมเพื่อสร้างงานให้แก่ประชาชนและผู้ว่างงานอันเนื่องมาจากสถานการณ์อุทกภัย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการจัดฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการระยะสั้น (ประมาณ ๑ - ๒ วัน) ให้แก่ประชาชนผู้สนใจหรือผู้ที่ว่างงานอันเนื่องมาจากสถานการณ์อุทกภัยให้สามารถปฏิบัติงานเกี่ยวกับการซ่อมและฟื้นฟูที่อยู่อาศัยได้ เช่น การซ่อมบ้าน การทาสี เป็นต้น เพื่อให้บุคคลเหล่านี้มีอาชีพและมีรายได้จากการรับจ้างทำงานดังกล่าวได้ในช่วงเวลานี้ ซึ่งมีที่อยู่อาศัยที่ประสบอุทกภัยรอการซ่อมแซมและฟื้นฟูอยู่เป็นจำนวนมาก
|
||||||||||||||||||||||||
5631 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... ร่างระเบียบว่าด้วยเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐโดยตำแหน่ง พ.ศ. .... และ ร่างระเบียบว่าด้วยเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... | ยธ | 19/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ซึ่งคณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับประธานกรรมการ ป.ป.ท. ให้ได้รับเงินเดือนในอัตรา ๖๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน และเงินประจำตำหน่งในอัตรา ๔๒,๕๕๐ บาทต่อเดือน ส่วนกรรมการ ป.ป.ท. ให้ได้รับเงินเดือนในอัตรา ๖๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน และเงินประจำตำแหน่งในอัตรา ๔๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี ความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติ เกี่ยวกับการพิจารณากำหนดอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของคณะกรรมการ ป.ป.ท. ตามแนวทางมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๕ การกำหนดสิทธิและอัตราการได้รับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายแทนการจัดหารถประจำตำแหน่งสำหรับประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ท. และการกำหนดสิทธิการได้รับเงินค่ารับรองของประธานกรรมการและกรรมการ ป.ป.ท. ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบว่าด้วยเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐโดยตำแหน่ง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของกรรมการ ป.ป.ท. โดยตำแหน่ง และร่างระเบียบว่าด้วยเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดอัตราเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของอนุกรรมการ ป.ป.ท. รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ สำหรับกรรมการโดยตำแหน่งตามร่างระเบียบว่าด้วยเงินประจำตำแหน่งฯ ให้ได้รับเงินประจำตำแหน่งในอัตรา ๔๑,๕๐๐ บาทต่อเดือน และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับความหมายของนิยามคำว่า “ค่ารับรอง” ตามร่างระเบียบว่าด้วยเงินประจำตำแหน่งฯ นั้น เนื่องจากกำหนดรายการค่าที่พักและค่ายานพาหนะดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายที่ซ้ำซ้อนกับค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการที่กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายไว้ตามพระราชกฤษฎีกาค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการและระเบียบกระทรวงการคลังที่ออกตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไว้แล้ว จึงสมควรตัดข้อความดังกล่าวออก ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเสนอความเห็นเกี่ยวกับอัตราเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของอนุกรรมการ ป.ป.ท. ตามร่างระเบียบว่าด้วยเบี้ยประชุมฯ ที่เหมาะสมเพื่อประกอบการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา หากมีประเด็นที่ไม่สามารถตกลงได้ ให้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||
5632 | มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี 2554 โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย | กค | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการหารือของกระทรวงการคลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี ๒๕๕๔ โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย) ที่ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยจากผู้กู้ในอัตราร้อยละ ๕ ต่อปี และรัฐบาลชดเชยดอกเบี้ยอีกร้อยละ ๒ ต่อปี เนื่องจากอัตราดอกเบี้ย MLR ของธนาคารพาณิชย์เฉลี่ยประมาณร้อยละ ๗.๗ ต่อปี และควรยกเว้นค่าธรรมเนียมเพื่อเป็นการลดภาระของผู้ประกอบการ รวมทั้งควรจัดให้มีมาตรการและแนวทางในการตรวจสอบผู้ประกอบการให้ตรงตามคุณสมบัติที่ได้มีการกำหนดอย่างเข้มงวด และเร่งดำเนินการติดตามและประเมินผลการปล่อยสินเชื่อในโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (SME POWER) ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ที่ระยะเวลาการปลอดชำระคืนเงินต้นกำลังจะหมดลงในช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้เสียและกระทบต่อผลประกอบการของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ในอนาคต ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการ ซึ่งกระทรวงการคลังได้จัดให้มีการประชุมกับกระทรวงอุตสาหกรรม โดยสำนักส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ ธพว. เมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อนำความเห็นของหน่วยงานมาพิจารณาประกอบการดำเนินการตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดย ธพว. ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานรับทราบและเข้าใจรายละเอียดของมาตรการและไม่ขัดข้องที่ ธพว. จะดำเนินการตามหลักการกระทรวงการคลังที่ได้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ และเห็นควรให้ ธพว. เร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ประสบภัยพิบัติปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยเร็วที่สุด
|
||||||||||||||||||||||||
5633 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงรายการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถีพร้อมรื้อถอนและปรับปรุงอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกชั่วคราว | สธ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้
๑. ให้กรมการแพทย์ดำเนินการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถีพร้อมรื้อถอนและปรับปรุงอาคารสำหรับผู้ป่วยนอกชั่วคราว จำนวน ๑ หลัง ตามแบบเลขที่ ๑๐๕๓๙ และเอกสารเลขที่ ก.๔/ก.พ./๕๓ แบบเลขที่ ๑๐๖๙๓ และเอกสารเลขที่ ข.๖/ม.ค./๕๔ พร้อมแบบสถาปัตยกรรมของเอกชน และเอกสารเลขที่ ต.๖๑/พ.ค./๕๒ ในวงเงิน ๑,๙๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่ได้จัดสรรให้แล้ว จำนวน ๒๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ จำนวน ๑,๕๐๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และใช้เงินนอกงบประมาณสมทบอีก จำนวน ๒๓๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ กรมการแพทย์ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม รวมทั้งกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทุกขั้นตอน ๒. ให้กรมการแพทย์เพิ่มเติมรายการค่าปรับปรุงอาคารโภชนบำบัด ชั้นที่ ๙ - ๑๐ ในส่วนที่จอดรถเป็นอาคารผู้ป่วยนอกชั่วคราว (OPD ชั่วคราว) และรื้อถอนอาคารสิรินธรเฉพาะกลุ่มงานรังสีและโถงพักคอย ซึ่งเป็นรายการเพิ่มเติมนอกเหนือจากที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม พร้อมการก่อสร้างอาคารศูนย์การแพทย์ราชวิถี ในวงเงินทั้งสิ้น ๑,๙๓๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท ก่อนลงนามในสัญญา ทั้งนี้ ตามนัยข้อ ๗ (๓) ของระเบียบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔ และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙
|
||||||||||||||||||||||||
5634 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2554) | มท | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๖ - ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ คือ ประเทศไทยตอนบน ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร รวม ๘๒ อำเภอ ๕๖๒ ตำบล ๓,๖๕๖ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๖๕๕,๒๑๑ ครัวเรือน ๔,๔๐๗,๑๙๒ คน และสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒. การดำเนินการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔) ในส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งออมสิน ๓๖,๔๖๔ ครัวเรือน ธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๔,๗๑๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒๓,๕๖๕,๐๐๐ บาท คงเหลือ ๓๑,๗๕๑ ครัวเรือน สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อส่งธนาคารออมสินแล้ว ๕๑๕,๕๑๔ ครัวเรือน เป็นเงิน ๒,๕๗๗,๕๗๐,๐๐๐ บาท และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๑๘๓,๓๐๓ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ (อำเภออมก๋อย สะเมิง จอมทอง ฝาง กัลยาณิวัฒนา และแม่อาย) และจังหวัดแม่ฮ่องสอน (อำเภอปางมะผ้า) รวม ๗ อำเภอ ๓๗ ตำบล ๔๓๑ หมู่บ้าน
|
||||||||||||||||||||||||
5635 | การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง | มท | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลายก่อนสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. การประชุมหารือเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในแต่ละพื้นที่ เมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุม ๒ กระทรวงมหาดไทย สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่จังหวัดนนทบุรีจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ของพื้นที่ ภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ และหมู่บ้านพฤกษา ๓ ภายในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๒ พื้นที่จังหวัดปทุมธานีจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังและเส้นทางคมนาคมสำคัญสามารถสัญจรได้ ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๓ พื้นที่จังหวัดนครปฐมจะสามารถระบายน้ำของพื้นที่ท่วมขังในพื้นที่ส่วนใหญ่ได้ ภายในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ๑.๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ประธานคณะกรรมการเพื่อให้การช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เสนอให้ ๒๕ จังหวัด ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจัดเข้าสนับสนุนเขต ๒๒ เขตของกรุงเทพมหานคร (๑ จังหวัด ๑ เขต) และต่อมาเขตนั้น มีสถานการณ์คลี่คลายแล้ว ให้จังหวัดที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมาย ๒๕ จังหวัด นั้น สามารถให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ประสบอุทกภัยได้เพิ่มเติมในพื้นที่ ๒๒ เขต และจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และจังหวัดนครปฐม ตามที่กระทรวงมหาดไทยมอบหมายเพิ่มเติม ๑.๕ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะจัดหาเครื่องสูบน้ำสนับสนุนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังให้กับจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และนครปฐม เพื่อให้การระบายน้ำในพื้นที่ท่วมขังบรรลุผลตามที่วางแผนไว้ ๒. การประชุมหารือเกี่ยวกับการบริหารจัดการพื้นที่น้ำท่วมขังในกรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑลและจังหวัดใกล้เคียง เมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุม ๓๕๒ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์และผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังในพื้นที่ ของกรมชลประทาน กรุงเทพมหานคร จังหวัดปริมณฑล และจังหวัดใกล้เคียง สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักที่จะใช้ในการระบายน้ำท่วมขังออกจากพื้นที่ โดยแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะนี้อยู่ในระดับต่ำ เอื้อต่อการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังได้โดยเร็ว โดยจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ส่วนแม่น้ำท่าจีน ระดับน้ำค่อนข้างสูง การระบายน้ำออกจากพื้นที่ท่วมขังให้ได้ทั้งหมดอาจใช้เวลาถึงต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๒ พื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร และฉะเชิงเทรา เขาสู่ภาวะปกติเกือบทั้งหมด พื้นที่น้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี และนนทบุรี ส่วนใหญ่เข้าสู่ภาวะปกติ บางส่วนอยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยจะระบายออกได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๔ พื้นที่น้ำท่วมในจังหวัดนครปฐม ส่วนใหญ่เข้าสู่ภาวะปกติ บางส่วนอยู่ระหว่างเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ โดยจะระบายออกได้ทั้งหมดภายในต้นเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๒.๓ ประธานคณะทำงานขอให้ส่วนราชการอื่น ๆ ให้การสนับสนุนกรุงเทพมหานครและจังหวัดในการระบายน้ำออกจากพื้นที่น้ำท่วมขัง รวมถึงการทำความสะอาดพื้นที่ภายหลังการระบายน้ำ และให้กรุงเทพมหานครเร่งรัดในการจ่ายเงินทดแทนให้กับครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||
5636 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน 4 ภาค (ครั้งที่ 4) | กษ | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลความคืบหน้าเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๔) ของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค (ครั้งที่ ๔) ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มี ดังนี้ ๑.๑ รับคำเสนอขายที่ดิน จำนวน ๒๒ จังหวัด เนื้อที่ ๓๐,๗๙๓ - ๐ - ๗๔ ไร่ ๑.๒ เกษตรกรมาตรวจสอบสิทธิ จำนวน ๑,๗๑๘ ราย มีคุณสมบัติครบ ๑,๔๘๘ ราย ๑.๓ เกษตรกรแสดงความประสงค์และพึงพอใจในที่ดิน จำนวน ๑,๐๐๒ ราย เนื้อที่ ๑๔,๒๒๘ - ๓ - ๙๕ ไร่ ๑.๔ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด (คปจ.) เห็นชอบแผนการจัดซื้อที่ดิน จำนวน ๒๑ จังหวัด เกษตรกร ๙๒๘ ราย เนื้อที่ ๑๓,๑๒๙ - ๐ - ๘๘ ไร่ ๒. ส.ป.ก. ได้ดำเนินการตามแนวทางตามมติคณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ในการตรวจสอบข้อมูลทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศ ณ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ให้เกษตรกรแสดงตน ณ ส.ป.ก.จังหวัด ที่ประสงค์จะให้จัดซื้อที่ดิน ภายในที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ มีหนังสือแจ้งเกษตรกรที่ยังไม่มาแสดงตนให้มาแสดงตน และให้เจ้าหน้าที่ติดตามเกษตรกรยังภูมิลำเนา โดยในส่วนของเกษตรกรที่แสดงตนแล้วได้เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้เกษตรกรคัดเลือกแปลงที่ดินโดยเร็ว ๓. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ได้กำหนดให้เกษตรกรที่แสดงความประสงค์และพึงพอใจในแปลงที่ดินที่ผ่านความเห็นชอบจากอนุกรรมการและ คปจ. แล้ว ห้ามมิให้ย้ายไปขอรับการจัดที่ดินแปลงอื่น ซึ่งหากเกษตรกรยืนยันไม่ประสงค์ขอรับการจัดที่ดินแปลงเดิมที่ได้ผ่านความเห็นชอบแล้ว ถือว่าเกษตรกรรายนั้น สละสิทธิที่จะได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกิน ๔. คณะกรรมการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินเกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ได้เห็นชอบแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคข้อขัดข้องในการดำเนินงานโดยการสร้างความสามัคคี ปรองดอง และการประสานประโยชน์ร่วมกันของทุกฝ่าย/กลุ่ม ในสภาประชาชน ๔ ภาค เพื่อลดความขัดแย้งและเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายในการจัดที่ดินให้แก่สมาชิก ๕. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๓ มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ส่งร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินที่ ส.ป.ก.จังหวัด จะจัดซื้อตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจัดหาที่ดินและจัดที่ดินให้แก่กลุ่มเกษตรกรที่ได้รับความช่วยเหลือเรื่องที่ดินทำกินตามมติคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาไปได้ก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งจะทำให้ขั้นตอนการตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินลดลง ๖. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ประสานงานกระทรวงมหาดไทยเพื่อขอให้แจ้งหน่วยงานในสังกัดพิจารณาให้ความร่วมมือในการดำเนินการแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรสภาประชาชน ๔ ภาค ตามมติคณะรัฐมนตรีในการตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารสิทธิตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตลอดจนการรังวัดสอบเขตแปลงที่ดินให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว |
||||||||||||||||||||||||
5637 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2554 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | กค | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี ๒๕๕๔) กรณีลูกค้าด้านสถาบัน ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นอกภาคเกษตร กลุ่มบุคคล (วิสาหกิจชุมชน) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้ (หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย) เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี รวมทั้งการให้เงินกู้ใหม่เพื่อการฟื้นฟูการผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ คือ MLR - 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๔ ต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล จำนวน ๔,๔๔๓.๒๒ ล้านบาท ๒. ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
5638 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ 2 | คค | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการระยะแรก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมของศูนย์บูรณาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบแห่งชาติ (NMTIC) ในด้านการปฏิบัติการด้านวิศวกรรม และการออกแบบอาคารปฏิบัติการ ทำการศึกษาองค์ประกอบของศูนย์ย่อย ประกอบด้วยศูนย์การบริหารจัดการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS หน้าที่บทบาทภายในศูนย์ NMTIC รูปแบบการดำเนินการ รวมทั้งการดำเนินการด้านการตลาดและโมเดลทางธุรกิจ เพื่อให้ศูนย์ NMTIC สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน โดยบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบจากคณะทำงานกลั่นกรองการขอรับจัดสรรเงินสำหรับการศึกษาวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ๒. กรมการขนส่งทางบกได้จัดทำข้อเสนอโครงการขยายผลการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางโดยใช้เทคโนโลยี ซึ่งครอบคลุมการกำหนดแนวทางและมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบ GPS มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะทั้งระบบ และเสนอต่อ กปถ. โดยผ่านการพิจารณาของคณะทำงานกลั่นกรองการขอรับจัดสรรเงินสำหรับการศึกษาวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และคณะอนุกรรมการด้านการวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแล้ว และจัดทำรายละเอียดขอบเขตของงาน (Term of Reference : TOR) แล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง |
||||||||||||||||||||||||
5639 | การพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริหารราชการตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ๒. ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง การทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในงานติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ประเภทเรื่องที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีจะต้องรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือพิจารณา ประกอบด้วย ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานตามกำหนดนั้นอย่างเคร่งครัด ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยทุกสามเดือน ทั้งนี้ ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ กรณีเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วน และ/หรือที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ให้หน่วยงานของรัฐสามารถรายงานได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ๒.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบรายงานผลการดำเนินการโดยใช้แบบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบหรือพิจารณา (แบบรายงาน ๐๑) และส่งแบบรายงานดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทาง e-mail : [email protected] ๒.๓ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประเมินผลการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ กรณีที่เห็นว่าควรมีการปรับปรุงประเภทเรื่อง แบบรายงาน และระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามความเหมาะสม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อพิจารณาปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ เรื่อง เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
||||||||||||||||||||||||
5640 | โครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค | วท | 13/12/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายสังคม) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ที่อนุมัติในหลักการให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค โดยการจัดตั้งศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค ใน ๘ ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือตอนบน ภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และภาคใต้ เพื่อทำหน้าที่ประสานดำเนินงานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง และประสานในเชิงพื้นที่เพื่อการกระจายตัวในการให้บริการงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสู่ประชาชนได้มากขึ้น ระยะเวลาดำเนินงาน ๔ ปี (ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึง กันยายน ๒๕๕๘) โดยให้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๐ (เรื่อง แนวทางการจัดส่วนราชการในภูมิภาค) และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินโครงการศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาคในลักษณะโครงการนำร่องก่อน โดยเลือกจังหวัดตัวอย่างที่มีความเหมาะสมและมีศักยภาพ รวม ๔ จังหวัด ใน ๒ ภาค โดยให้หารือในรายละเอียดการพิจารณาเลือกจังหวัดตัวอย่างกับสำนักงาน ก.พ.ร. ก่อนดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการกลั่นกรองฯ เกี่ยวกับการพิจารณาเลือกจังหวัดที่มีศักยภาพและมีความพร้อม และพิจารณาคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริงมาเป็นผู้ดูแลศูนย์ประสานงานกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำภูมิภาค การประสานความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาในแต่ละภูมิภาคในการดำเนินกิจกรรมการวิจัยและพัฒนา การเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งการประสานงานและเชื่อมโยงการทำงานรวมกับศูนย์อื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุขในภูมิภาค เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๒. ในส่วนของการจัดสรรอัตรากำลังเพื่อดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใช้วิธีการเกลี่ยอัตรากำลังภายในหน่วยงานไปก่อน โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงาน ก.พ. ก่อนดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการนำร่อง ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาใช้เพื่อการนี้ โดยให้ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณและดำเนินการตามระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. เมื่อกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการโครงการนำร่องไปแล้ว ให้ประเมินผลโครงการเพื่อพิจารณาความเหมาะสมคุ้มค่าของการดำเนินการเพื่อประกอบการพิจารณาขออนุมัติดำเนินโครงการในระยะต่อ ๆ ไป |
.....