ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 284 จากทั้งหมด 568 หน้า แสดงรายการที่ 5661 - 5680 จากข้อมูลทั้งหมด 11341 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
5661 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ 4 | วท | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการจัดงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ ๔ โดยร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงการต่างประเทศ จัดงานดังกล่าวขึ้นภายใต้หัวข้อ From Nature to Technology ณ บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๒๐ - ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๔ สรุปผลการจัดงานได้ ดังนี้
๑. จำนวนผู้เข้าร่วมงานเทศกาลวิทยาศาสตร์เยาวชนเอเปค ครั้งที่ ๔ มีจำนวน ๖๓๔ คน ประกอบด้วย นักเรียนไทยและต่างประเทศ ครูและเจ้าหน้าที่ไทยและชาวต่างประเทศ ส่วนกิจกรรมภายในงานได้มีการบรรยายพิเศษ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และนักวิทยาศาสตร์ระดับโลก กิจกรรมสำหรับนักเรียน ได้แก่ ค่ายมหัศจรรย์พลังงานนิวเคลียร์ ค่ายความหลากหลายทางชีวภาพ ค่ายท่องโลกดาราศาสตร์ ค่ายจรวดขวดน้ำ ค่ายหุ่นยนต์ปลา ค่ายนักสืบสิ่งมีชีวิตเปล่งแสง ค่ายโอริงามิ ค่ายภูมิปัญญาท้องถิ่น (บัว) และค่ายภูมิปัญญาท้องถิ่น (กล้วย) กิจกรรมสำหรับครู ได้แก่ การอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการบิน และการสาธิตการทำอาหารและขนมไทย รวมทั้งกิจกรรมสันทนาการ อาทิ การแสดงดนตรี และวัฒนธรรม การสาธิตโชว์วิทยาศาสตร์ เป็นต้น ๒. ผลที่ได้รับจากการจัดงานในครั้งนี้ ทำให้เกิดเครือข่ายนักเรียนที่มีความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ และเครือข่ายครูวิทยาศาสตร์ในกลุ่มเอเปค มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพิ่มพูนประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ การคิดเชิงวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม และการทำงานเป็นทีม รวมทั้งประเทศไทยได้รับการยอมรับศักยภาพการจัดงานเทศกาลเยาวชนระดับนานาชาติ สร้างโอกาสในการดึงพันธมิตรต่างประเทศเข้ามาทำกิจกรรมที่ประเทศไทย นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ “บ้านวิทยาศาสตร์สิรินธร” ได้รับการยอมรับมากขึ้นและก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางการพัฒนาเด็กและเยาวชนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับนานาชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5662 | การพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับข้าราชการตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ให้คงมติคณะรัฐมนตรึเกี่ยวกับข้าราชการตามมาตรา ๑๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ จำนวน ๑๓ มติ ดังนี้ ๑.๑ มติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑๒ มติ ให้คงไว้เนื่องจากเป็นหลักการที่ต้องถือปฏิบัติ และไม่มีผลกระทบต่อนโยบายรัฐบาล ได้แก่ ๑.๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ๑.๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๔ เรื่อง การพิจารณาให้ความช่วยเหลือข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง ๑.๑.๓ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การปราบปรามข้าราชการเล่นการพนันสลากกินรวบ และการปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางลงโทษข้าราชการเล่นการพนันและเสพสุรา ๑.๑.๔ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติ ๑.๑.๕ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง การยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ห้ามข้าราชการและพนักงานขององค์การรัฐบาลเล่นการลงแชร์ ๑.๑.๖ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๖ เรื่อง ขอหารือข้อกฎหมายเกี่ยวกับพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ๑.๑.๗ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๗ เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการประกันตัวผู้ต้องหาคดีละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๑.๘ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การพิจารณาการกระทำผิดวินัยของข้าราชการ ๑.๑.๙ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง ขออนุมัติให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้างประจำ ในหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ หน่วยงานในกำกับของรัฐ หน่วยงานองค์กการมหาชน และหน่วยงานรัฐวิสาหกิจมาปฏิบัติงานในมูลนิธิอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (มอนส) ๑.๑.๑๐ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การเลื่อนขั้นเงินเดือนข้าราชการและลูกจ้างผู้ได้รับการพิจารณาบำเหน็จความชอบเป็นกรณีพิเศษนอกเหนือโควตาปกติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๑๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ๑.๑.๑๒ มติคณะรฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ เรื่อง การให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างของหน่วยงานภาครัฐที่เป็นสตรีไปถือศีลและปฏิบัติธรรม ๑.๒ มติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๑ มติ ให้คงไว้เนื่องจากสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) ยังจำเป็นต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานที่มีความรอบรู้และมีความชำนาญเฉพาะด้าน คือ มติคณะรฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๔ เรื่อง ขออนุมัติให้ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ และเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยปฏิบัติงานในสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) ๒. ให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๒ มติ ได้แก่ ๒.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๕ เรื่อง การแก้ไขปัญหาการให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐช่วยปฏิบัติงานของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ๒.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ เรื่อง มาตรการต่อข้าราชการที่ทำงานไม่มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5663 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2554 เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง | มท | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง คณะกรรมการต่าง ๆ ที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง โดยเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของคณะกรรมการร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ ๑ และคณะที่ ๒ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ ๑ ๑.๑ นายอารยะ วิวัฒน์วานิช เป็น นายสวัสดิ์ ส่งสัมพันธ์ ๑.๒ นายพงษ์ศักดิ์ นาคประดา เป็น นายยุวัฒน์ วุฒิเมธี ๒. คณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทย คณะที่ ๒ ๒.๑ นายบุญสนอง บุญมี เป็น นายเชนทร์ วิพัฒน์บวรวงศ์ ๒.๒ นายธวัชชัย ฟักอังกูร เป็น นายพินัย อนันตพงศ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5664 | ขออนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ | กก | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการรายการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ วงเงินทั้งสิ้น ๑๔๒,๗๔๗,๐๐๐ บาท (รายการที่ ๖) งานครุภัณฑ์ประกอบอาคารศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ วงเงิน ๑๓๒,๒๙๓,๐๐๐ บาท และ (รายการที่ ๗) งานครุภัณฑ์ประกอบอาคารศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาและกระจายสินค้าวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม วงเงิน ๑๐,๔๕๔,๐๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน และขอทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง สำหรับรายการที่ ๓ งานภูมิสถาปัตยกรรม วงเงิน ๙๒๘,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาปรับแผนการดำเนินงานโดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีผลบังคับใช้ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. อนุมัติตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมเกี่ยวกับวงเงินงบประมาณที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอขออนุมัติในครั้งนี้ จำนวน ๔๕๐,๗๗๙,๑๗๙ บาท ประกอบด้วยรายการก่อสร้าง ๖ รายการ (รายการที่ ๑, ๒, ๔, ๕, ๘ และ ๙) ได้แก่ งานก่อสร้างรั้วรอบโครงการฯ งานสถาปัตยกรรมอาคารศูนย์ประชุมฯ งานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์ประชุมฯ งานระบบวิศวกรรมไฟฟ้าและสื่อสารอาคารศูนย์ส่งเสริมฯ งานขยายเขตระบบไฟฟ้า และงานขยายเขตระบบประปา วงเงิน ๓๐๗,๑๐๔,๑๗๔ บาท ซี่งแยกเป็นรายการที่อยู่ภายใต้กรอบของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเพิ่มรายการดำเนินงานและกรอบวงเงินงบประมาณโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่) จำนวน ๓ รายการ (รายการที่ ๒, ๔ และ ๕) จำนวน ๒๒๓,๓๔๐,๐๐๐ บาท และเป็นรายการที่จำเป็นเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้โครงการฯ แล้วเสร็จและเปิดใช้ได้ตามกำหนด จำนวน ๓ รายการ (รายการที่ ๑, ๘ และ ๙) ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณรองรับค่าใช้จ่ายไว้แล้ว โดยสามารถใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ส่วนรายการที่ ๖ และ ๗ เป็นรายการที่จะต้องขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาต้องดำเนินการตามขั้นตอนและเงื่อนไขของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งประสานกับสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เพื่อขอความร่วมมือในการเตรียมงานเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ เพื่อสร้างกระแสการรับรู้อย่างกว้างขวาง ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งควรเร่งศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับการเปิดตัวโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5665 | ขอปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี 2555 - 2557 | พณ | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (เรื่อง นโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗) จาก “เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้ากากถั่วเหลือง ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานกรรมการนโยบายอาหารเสนอ” เป็น “เห็นชอบการกำหนดนโยบายและมาตรการนำเข้าวัตถุดิบอาหารสัตว์ (กากถั่วเหลือง ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และปลาป่น) ปี ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายอาหาร ครั้งที่ ๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการนโยบายอาหารเสนอ” ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5666 | การยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ (ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา) | นร | 15/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอว่า กระทรวงคมนาคมมีหนังสือ ที่ คค (ปคร.) ๐๒๐๕/๒๙๒ ลงวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ [เรื่อง การยกเว้นการเก็บค่าผ่านทางพิเศษ (ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษศรีรัช และทางพิเศษอุดรรัถยา)] ให้ถูกต้องตามมติคณะรัฐมนตรีในวันดังกล่าว ดังนี้ ๓.๑ “ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทยสำรองจ่ายเงินค่าผ่านทางพิเศษให้บริษัท ทางด่วน กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด ตามจำนวนเงินค่าผ่านทางพิเศษที่บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทางด่วนกรุงเทพเหนือ จำกัด มีสิทธิจะได้รับตามเงื่อนไขของสัญญาภายในวงเงิน ๑๘๔,๐๐๙,๗๔๖ บาท โดยเฉลี่ยจ่ายเป็นรายวัน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ”
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5667 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (มติ 30 ส.ค. 54) | พณ | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๔ ซึ่งมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ประสานขอความร่วมมือผู้ประกอบการ รวมทั้งพิจารณาดำเนินการโดยใช้กลไกที่มีอยู่ เพื่อให้มีการพิจารณาปรับลดราคาสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้ปรับลดลง เพื่อช่วยบรรเทาภาระของประชาชนผู้บริโภค ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. กรอบการดูแลราคาสินค้า ประกอบด้วย ๑.๑ การกำหนดรายการสินค้าและบริการควบคุม ในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๔๑ รายการ แยกเป็นสินค้าควบคุม จำนวน ๓๙ รายการ และบริการควบคุม จำนวน ๒ รายการ พร้อมทั้งกำหนดมาตรการที่ใช้บังคับกับสินค้าและบริการควบคุม จำนวน ๔๑ รายการ และรายการสินค้าที่ติดตามดูแล จำนวน ๒๐๕ รายการ โดยมีการติดตาม ตรวจสอบราคาและสถานการณ์ของสินค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนผู้บริโภค และมิให้มีการฉวยโอกาสขึ้นราคาเอาเปรียบผู้บริโภค ๑.๒ การกำหนดมาตรการที่จะใช้บังคับกับสินค้าและบริการควบคุม ซึ่งจะมีการพิจารณาทบทวนทุกปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้แก่ การกำหนดราคาจำหน่ายสูงสุด การห้ามมิให้มีการฉวยโอกาสจำหน่ายสินค้าในราคาที่สูงเกินสมควร การให้แจ้งปริมาณ สถานที่เก็บ ต้นทุน ค่าใช้จ่าย และการห้ามมิให้มีการกักตุนสินค้าควบคุม โดยไม่นำสินค้าออกจำหน่ายตามปกติ หรือปฏิเสธการจำหน่ายโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร นอกจากนี้ ได้มีการกำกับดูแลเครื่องมือชั่งตวงวัดที่ใช้ในทางพาณิชยกิจ เช่น เครื่องชั่งรถยนต์ ใช้สำหรับการชั่งสินค้าเกษตร มาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องวัดความชื้นข้าว รวมทั้งการดูแลปริมาณการบรรจุและวิธีการแสดงปริมาณการบรรจุสินค้าที่หีบห่อ รวมทั้งขอความร่วมมือผู้ประกอบการเป็นหลักในการดูแลราคาสินค้า สำหรับสินค้าที่อยู่ในข่ายติดตามดูแล ๒๐๕ รายการ โดยให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะผู้ผลิต/ผู้นำเข้า แจ้งการเปลี่ยนแปลงราคาจำหน่าย โดยเฉพาะการขึ้นราคาสินค้าให้ทราบล่วงหน้าก่อนดำเนินการ และการปรับเปลี่ยนราคาจะพิจารณาตามภาระต้นทุนในส่วนของวัตถุดิบที่สูงขึ้นเท่านั้น และกรณีราคาวัตถุดิบลดลงก็ให้ปรับลดราคาลงด้วย ๒. การปรับลดราคาสินค้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ได้มีการจัดประชุมหารือกับผู้ประกอบการ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๔ มีผู้ประกอบการยินดีให้ความร่วมมือปรับลดราคาสินค้าลง (แม้ว่าต้นทุนจะลดลงเล็กน้อย) จำนวน ๕ รายการ ร้อยละ ๐.๕๕ - ๑๓.๘๘ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา ปุ๋ยเคมี เครื่องปั้มน้ำ และแป้งสาลี สำหรับสินค้าในหมวดอื่น ๆ ตลาดมีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดของใช้ประจำวัน ซึ่งเป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ได้แก่ นมผง นมสด นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม นมถั่วเหลืองพร้อมดื่ม นมข้นหวาน กาแฟผงสำเร็จูป ครีมเทียม น้ำผลไม้สำเร็จรูปพร้อมดื่มบรรจุภาชนะผนึก โฟมล้างหน้า แชมพู ครีมนวดผม ยาสีฟัน เป็นต้น ผู้ประกอบการจะตรึงราคาไว้จนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ สำหรับสินค้าเกษตร ได้มีการกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาราคาเนื้อไก่ที่มีการปรับตัวสูงขึ้น โดยออกประกาศเพื่อกำหนดราคาขายปลีกแนะนำเนื้อไก่ลดลง ตั้งแต่วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งกำหนดมาตรการควบคุมการส่งออกสุกรมีชีวิต การขนย้าย การแจ้งปริมาณสถานที่เก็บสุกร และกำหนดราคาจำหน่าย โดยออกประกาศเพื่อกำหนดราคาจำหน่ายปลีกแนะนำเนื้อหมูลดลง ตั้งแต่วันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๔ ๓. มาตรการเสริม ดำเนินการภายใต้ โครงการธงฟ้า...ราคาประหยัด ได้ดำเนินการโดยขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการรายใหญ่จัดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ ภายใต้ชื่อ “งานธงฟ้า...ราคาประหยัด” จำหน่ายสินค้าในราคาต่ำกว่าราคาตลาดทั่วไปร้อยละ ๒๐ - ๔๐ ขอความร่วมมือศูนย์อาหารในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงานเอกชน ศูนย์ราชการ ร้านอาหารทั่วไป จัดเมนูอาหารปรุงสำเร็จอย่างน้อย ๑ รายการ จำหน่ายราคาจาน/ชามละ ๒๕ - ๓๐ บาท และร่วมกับร้านสะดวกซื้อ เซเว่น อีเลฟเว่น ทุกสาขาทั่วประเทศ จัดโครงการ “ธงฟ้าอิ่มสะดวก ๒๙ บาท” จัดกิจกรรมตรึงราคาอาหารปรุงสำเร็จอย่างน้อย ๑๒ รายการ ที่จำหน่ายในร้าน ในราคา ๒๙ บาท ไปจนถึงสิ้นปี พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5668 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 | กษ | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก ได้แก่ การขยายช่องทางการตลาด โดยศึกษาวิเคราะห์ตลาดและแนวทางการขยายตลาดใหม่ ๕ ตลาด คือ ประเทศไต้หวัน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน อินเดีย และแคนาดา และศึกษาวิเคราะห์เพื่อแก้ไขปัญหาที่มีต่อการส่งออกในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน อิตาลี และเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งศูนย์กลางกล้วยไม้แบบครบวงจรของสหกรณ์ผู้ประกอบการกล้วยไม้ไทย และการรณรงค์ประชาสัมพันธ์กล้วยไม้ อาทิ เข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ จัดแสดงศักยภาพกล้วยไม้ไทยในการแสดงกล้วยไม้ระดับนานาชาติ ณ ประเทศไต้หวัน จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ภาษาอังกฤษ และจัดทำหมู่บ้านกล้วยไม้ไทยเพื่อการอนุรักษ์และการท่องเที่ยว ๒. แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้ให้มีความหลากหลาย โดยดำเนินการดูแลรักษา ขยาย และให้บริการเกสรจากต้นพ่อแม่พันธุ์เพื่อใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ใหม่ และจัดอบรมการพัฒนาพันธุ์ และโครงการส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้ที่มีคุณภาพตามมาตรฐานการส่งออก โดยจัดอบรมที่ปรึกษาการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (GAP) แก่เจ้าหน้าที่ และอบรมการส่งเสริมการจัดทำสวน GAP ของเกษตรกร ให้การรับรองสวน GAP แก่เกษตรกร และจัดทำโครงการทดสอบมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับกล้วยไม้ตัดดอก และการปฏิบัติที่ดีสำหรับโรงคัดบรรจุดอกกล้วยไม้ ๓. แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยจัดทำโครงการส่งเสริมงานวิจัยเชิงบูรณาการระหว่างเกษตรกร ผู้ประกอบการ และนักวิจัย ๔. แผนงานพัฒนาองค์กร ได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการสร้างคลัสเตอร์กล้วยไม้ที่เข้มแข็ง โดยจัดประชุมส่งเสริมการสร้างคลัสเตอร์กล้วยไม้ที่เข้มแข็งสำหรับเจ้าหน้าที่ จัดประชุมเครือข่ายคลัสเตอร์กล้วยไม้ และจัดประชุมเชื่อมโยงเครือข่ายสำหรับเกษตรกร และโครงการสร้างศูนย์กลางการให้บริการกล้วยไม้แบบเบ็ดเสร็จ โดยการปรับปรุงระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ จัดตั้งศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีและฝึกอาชีพกล้วยไม้ และจัดตั้งศูนย์บริการด้านการตลาดกล้วยไม้ ๕. แผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ได้ดำเนินการจัดทำสวนกล้วยไม้ประดับตกแต่ง ณ สนามบินสุวรรณภูมิ และจัดงานกล้วยไม้บานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ตลอดเดือนกันยายนของทุกปี) และจัดทำสวนกล้วยไม้ในสวนสาธารณะของกรุงเทพมหานครเป็น Orchid Park ณ สวนลุมพินี และใช้กล้วยไม้ประดับตกแต่งทั่วไป ณ สวนสันติภาพ ๖. การบริหารจัดการโครงการเพื่อการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๙ ได้จัดประชุมคณะกรรมการกล้วยไม้แห่งชาติ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และที่ปรึกษาคณะทำงานการเตรียมความพร้อมและการประสานงาน เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5669 | แผนงาน/โครงการและงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านสังคม) | นร | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ส่วนราชการต่าง ๆ ดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ จำนวน ๗ กระทรวง ๒ ส่วนราชการไม่สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงหรือทบวง ในวงเงิน ๔,๔๑๑,๘๔๔,๓๐๐ บาท ดังนี้ ๑.๑.๑ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี รวม ๒ กระทรวง ๓ กรม จำนวน ๘๘,๕๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒ งบประมาณตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ๑.๑.๒.๑ งบประมาณปกติของส่วนราชการ รวม ๒ กระทรวง ๒ กรม จำนวน ๑๗๖,๘๘๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๒.๒ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๔,๑๔๖,๓๘๔,๓๐๐ บาท ๑.๒ สำหรับแผนงาน/โครงการเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูฯ ในระยะฟื้นฟูภายหลังน้ำลด (ระยะที่ ๓) กรอบวงเงิน ๖,๐๒๗ ล้านบาท ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมความพร้อมโดยการสำรวจความเสียหาย จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ รวมทั้งรายละเอียดแบบรูปรายการประมาณการค่าใช้จ่ายและความจำเป็นให้ชัดเจนก่อน แล้วนำเสนอให้คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านสังคม) พิจารณาอีกครั้งหนึ่งก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๓ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องพิจารณาตรวจสอบงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี กรณีที่ไม่มีหนี้ผูกพัน ให้นำงบประมาณมาดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากอุทกภัย พิบัติภัยต่าง ๆ ตามมติคณะรัฐมนตรี ตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๕๐๖/ว ๑๕๕ ลงวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ เรื่อง มาตรการการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ หนังสือสำนักงบประมาณ ที่ นร ๐๗๐๔/ว ๘๒ ลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๔ เรื่อง การติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายที่กันเงินไว้เบิกจ่ายเหลื่อมปีและงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค ๐๔๐๖.๖/ว ๙๐ ลงวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ เรื่อง หลักเกณฑ์การกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกรณีไม่มีหนี้ผูกพัน โดยเคร่งครัด ทั้งนี้ ไม่ควรโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายหรือนำไปใช้เพื่อการอื่น ยกเว้นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนอื่น ๆ เพื่อมิให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่ทางราชการก่อน หากไม่เพียงพอให้ขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามข้อ ๑.๑ และข้อ ๑.๒ ต่อไป ๒. โดยที่ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการและกลไกการปฏิบัติงานฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๓๐/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ โดยมีการยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๒๐๒/๒๕๕๔ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ จึงให้สำนักงบประมาณส่งเรื่องแผนงาน/โครงการ และงบประมาณในการช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยาฯ ให้คณะกรรมการที่แต่งตั้งใหม่ดังกล่าวพิจารณาให้ความเห็นชอบ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ หากมีการเปลี่ยนแปลงในสาระสำคัญให้ตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณโดยตรงต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5670 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2554) | มท | 08/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์อุทกภัยปัจจุบัน ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๒๔ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพิจิตร นครสวรรค์ อุทัยธานี กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ อุบลราชธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม ปทุมธานี นนทบุรี ฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี สมุทรสาคร สมุทรปราการ และกรุงเทพมหานคร รวม ๑๔๑ อำเภอ ๑,๐๖๗ ตำบล ๗,๕๔๓ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๑,๐๗๘,๕๐๒ ครัวเรือน ๒,๙๒๑,๘๙๘ คน โดยพื้นที่ประสบอุทกภัยและมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งสิ้น ๖๔ จังหวัด มีผู้เสียชีวิต ๕๒๗ ราย สูญหาย ๒ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู จำนวน ๓๙ จังหวัด ๒. สรุปการช่วยเหลือโดยเงินทดรองราชการและนโยบายพิเศษของรัฐบาล ๒.๑ การใช้เงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด ๕๐ ล้านบาท มีจังหวัดที่ประสบอุทกภัยขอขยายวงเงินฯ เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย เพิ่มเติม ซึ่งกระทรวงการคลังได้ขยายวงเงินให้จังหวัด จำนวน ๓๘ จังหวัด เป็นเงิน ๕,๐๔๑ ล้านบาท ๒.๒ การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ตามนโยบายพิเศษของรัฐบาล ๒.๒.๑ การช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ๒.๒.๑.๑ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ และวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น ๑๗๕,๐๘๘ ครัวเรือน วงเงิน ๘๗๕,๔๔๐,๐๐๐ บาท ธนาคารออมสินได้ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือแล้วจำนวน ๑๕๙,๙๓๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๙๙,๖๖๕,๐๐๐ บาท เป็นการดำเนินการครบ ๑๐๐% ภายใน ๑๕ วัน ส่วนที่เหลืออยู่ ๑๕,๑๕๕ ครัวเรือน ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่กำหนด ๒.๒.๑.๒ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๔ จำนวนครัวเรือนทั้งสิ้น ๓๓๔,๐๓๙ ครัวเรือน วงเงิน ๑,๖๗๐,๑๙๕,๐๐๐ บาท ธนาคารออมสินได้ดำเนินการจ่ายเงินช่วยเหลือแล้ว ๓๑๓,๒๙๔ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑,๕๖๖,๔๗๐,๐๐๐ บาท เป็นการดำเนินการครบ ๑๐๐% ส่วนที่เหลือ ๒๐,๗๔๕ ครัวเรือน ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามที่กำหนด (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔) ๒.๒.๑.๓ กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อขอรับความช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (เพิ่มเติม) ในกรอบครัวเรือนจำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท ๒.๒.๒ การช่วยเหลือด้านการเกษตรที่ได้รับความเสียหาย โดยเพิ่มอัตราการช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ เช่น ข้าว จากเดิมไร่ละ ๖๐๖ บาท เพิ่มเป็น ๒,๒๒๒ บาท พืชไร่ จากเดิมไร่ละ ๘๓๗ บาท เพิ่มเป็น ๓,๑๕๐ บาท และพืชสวนและอื่น ๆ จากเดิมไร่ละ ๙๑๒ บาท เพิ่มเป็น ๕,๐๙๘ บาท โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการช่วยเหลือ ๒.๒.๓ มาตรการช่วยเหลือทางอ้อมผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ในเรื่องการพักชำระหนี้ ขยายเวลาชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย และการให้เงินกู้ ฯลฯ ๒.๒ การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งกรุงเทพมหานครได้ส่งกรอบจำนวนครัวเรือนที่ประสบอุทกภัยตามหลักเกณฑ์ จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน ๑,๗๖๖,๙๓๑ คน เพื่อขอรับความช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท ขณะนี้อยู่ระหว่างกระทรวงมหาดไทยดำเนินการเสนอเรื่องให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5671 | รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2553 เกี่ยวกับโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินโครงการที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน (กบพร.) เสนอ ดังนี้
๑. ผลการตัดสินผู้ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศโครงการประกวดแบบลานเฉลิมพระเกียรติฯ คือ นายพัชระ วงศ์บุญสิน และ บริษัท ภูมิสถาปนิกกรุงเทพ จำกัด โดยแบบที่ชนะการประกวดมีแนวความคิดสื่อถึงการเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยแสดงถึงความงาม ความมีเอกลักษณ์และความสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมผ่านแนวคิด “ลานธรรมชาติ.....ที่มีความธรรมดา” ๒. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการ กบพร. ได้นำเสนอแบบที่ชนะเลิศต่อคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของคณะกรรมการฯ ๓. นำเสนอแบบที่ชนะเลิศโครงการลานเฉลิมพระเกียรติฯ ต่อราชเลขาธิการเพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูล ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างรอพระราชวินิจฉัย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5672 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย | นร | 01/11/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมหารือแนวทางการให้ความช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานการประชุม สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการ ภาคเอกชนเสนอให้เร่งจัดทำแผนฟื้นฟูอุตสาหกรรมที่แสดงกิจกรรมและระยะเวลาการดำเนินงานภายหลังน้ำลดอย่างชัดเจน โดยแผนฟื้นฟูควรมีแนวทางการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการในการกู้เครื่องจักรเครื่องมือ และระบบสาธารณูปโภค ทั้งระบบไฟฟ้าและประปาอย่างเท่าเทียมไม่เลือกปฏิบัติ รวมทั้งในระยะยาวควรมีแผนแม่บทบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการ ๑.๒ มาตรการการเงิน ภาคเอกชนเสนอให้มีการสนับสนุนเงินกู้ปลอดดอกเบี้ย หรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่ผู้ประกอบการที่ประสบอุทกภัยซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง และผู้ประกอบการในห่วงโซ่การผลิตที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม รวมทั้งสนับสนุนค่าจ้างแรงงานเพื่อรักษาสภาพการจ้างงานในสถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบ และให้มีการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ๑.๓ มาตรการทางภาษี ภาคเอกชนเสนอให้มีการลดหย่อนอัตราการจัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับงานรับเหมาช่วงต่อ จากอัตราร้อยละ ๓ เป็นร้อยละ ๐.๕ รวมทั้งยกเว้นการจัดเก็บภาษีนำเข้าเป็นการชั่วคราวแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ สำหรับการนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่นำเข้ามาเพื่อใช้ในการผลิต และยานยนต์สำเร็จรูป โดยกรณีของภาษีนำเข้ายานยนต์สำเร็จรูปควรมีการจำกัดจำนวนและรุ่นที่จะนำเข้าเพื่อไม่ให้กระทบผู้ผลิตภายในประเทศ ๑.๔ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบและอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ ภาคเอกชนเสนอให้มีการอำนวยความสะดวกในการออกวีซ่าและใบอนุญาตการทำงานให้แก่ผู้เชี่ยวชาญและช่างเทคนิคจากต่างประเทศที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟูกิจการ การขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน การอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๑.๕ มาตรการผ่อนปรนกฎระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ โดยกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้โดยมีการกำหนดแนวปฏิบัติจากกระทรวงการคลังที่ชัดเจน ๑.๖ มาตรการอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอ ได้แก่ การเตรียมแผนให้ความช่วยเหลือเกษตรกรภายหลังน้ำลด การยกเว้นเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมของผู้ประกอบการเป็นการชั่วคราว การเร่งปรับปรุง ซ่อมแซมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และการประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องทันต่อเหตุการณ์ รวมทั้งการสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการถึงมาตรการที่รัฐได้ให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของภาคเอกชนที่มติคณะรัฐมนตรีอาจยังไม่ครอบคลุมอย่างชัดเจน ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แล้วนำเสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านเศรษฐกิจ) เพื่อพิจารณต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดแผนฟื้นฟูให้มีความชัดเจนทั้งรายละเอียดของกิจกรรมและระยะเวลาดำเนินการเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ประกอบการและนักลงทุนชาวต่างชาติ การประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับมาตรการต่าง ๆ ที่รัฐบาลอยู่ระหว่างดำเนินการ การขยายระยะเวลานโยบายส่งเสริมการลงทุนแก่วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และการจัดตั้งศูนย์ประสานความช่วยเหลือในแต่ละนิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการเรื่องการผ่อนผันการดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยให้บริษัทแม่ที่เป็นนิติบุคคลต่างด้าวสามารถให้กู้แก่บริษัทลูกที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยได้ ๒.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาดำเนินการเรื่องการอำนวยความสะดวกในการขอหนังสือรับรองคุณภาพความปลอดภัยของอาหารส่งออก ๒.๔ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการเรื่องการกำหนดมาตรการผ่อนปรนระยะเวลาการส่งมอบสินค้าและบริการตามสัญญาจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ พร้อมอนุญาตให้คู่สัญญาภาครัฐสามารถจัดซื้อสินค้าและบริการจากเอกชนรายอื่นทดแทนได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5673 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ตามแผนบูรณาการการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลฯ) | ทส | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลโดยการสร้างปะการังเทียม ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการติดตามการดำเนินการโครงการฟื้นฟูทรัพยากรชายฝั่งทะเลโดยการสร้างปะการังเทียม ในช่วงระยะเวลา ๕ เดือน ตั้งแต่เดือนเมษายน - สิงหาคม ๒๕๕๔ พบว่ามีทั้งสิ้น ๓๑ แผนงาน/โครงการ ดำเนินการใน ๑๖ จังหวัด โดย ๑๙ หน่วยงาน ซึ่งแบ่งการดำเนินงานการติดตามข้อมูลตามเขตพื้นที่รับผิดชอบของศูนย์อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ ๑ - ๖ ประกอบด้วย ศูนย์ฯ ๑ (จังหวัดระยอง) ๓ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๒ (จังหวัดสมุทรสาคร) ๔ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๓ (จังหวัดชุมพร) ๘ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๔ (จังหวัดสงขลา) ๙ แผนงาน/โครงการ ศูนย์ฯ ๕ (จังหวัดภูเก็ต) ๔ แผนงาน/โครงการ และศูนย์ฯ ๖ (จังหวัดสตูล) ๓ แผนงาน/โครงการ สรุปรวม ๓๑ แผนงาน/โครงการ วงเงินงบประมาณทั้งสิ้น ๔๒๐.๕๙ ล้านบาท ทำสัญญาแล้ว ๑๖ โครงการ โดยดำเนินการแล้วเสร็จและเบิกจ่ายแล้ว ๔ โครงการ รวมเป็นเงิน ๕๓.๙๗ ล้านบาท ๒. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการโครงการฯ อาทิ การจัดทำปะการังเทียมมีความซ้ำซ้อน ไม่บูรณาการกันระหว่างหน่วยงานจัดสร้าง การจัดทำปะการังเทียมโดยไม่ขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ สิ้นเปลืองงบประมาณ มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอันตรายต่อการเดินเรือและการสัญจรทางน้ำ รวมทั้งขาดฐานข้อมูลที่ทันสมัยและพิกัดการจัดวางจริง ขาดการติดตามประเมินผลหลังการจัดวาง และการขออนุญาตการจัดวางใช้เวลานาน มีความซ้ำซ้อนและไม่มีความชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5674 | ขออนุมัติยกเว้นการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2552 ในสัญญาจ้างก่อสร้างงานโยธา และงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมทั้งสัญญาจ้างงานบริการที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการและควบคุมงานก่อสร้างโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต | คค | 25/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติให้กระทรวงคมนาคมยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทำสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชน) โดยอนุญาตให้กำหนดไว้ในสัญญาจ้างให้ใช้วิธีการอนุญาโตตุลาการในการระงับกรณีพิพาทตามเงื่อนไขขององค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency : JICA) ซึ่งประกอบด้วย สัญญางานโยธาสำหรับสถานีรถไฟบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง (สัญญาที่ ๑) งานโยธาสำหรับทางรถไฟช่วงบางซื่อ - รังสิต (สัญญาที่ ๒) สัญญางานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล รวมการจัดหาตู้รถไฟฟ้า (สัญญาที่ ๓) รวมทั้งสัญญาจ้างที่ปรึกษาเพื่อบริหารโครงการ (Project Management Consultant : PMC) และสัญญาจ้างที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้าง (Construction Supervision Consultant : CSC) โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ [เรื่อง โครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงบางซื่อ - รังสิต) ที่ให้เร่งหาข้อยุติของกรอบวงเงินลงทุนที่เหมาะสมของโครงการก่อสร้างรถไฟชานเมือง (สายสีแดง] เพื่อใช้เป็นกรอบในการเจรจาเงินกู้ของกระทรวงการคลัง และเร่งพิจารณาแนวทางการให้บริการเดินรถของโครงการฯ ที่เหมาะสม พร้อมทั้งจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ทางรถไฟร่วมกันระหว่างการเดินรถไฟประเภทต่าง ๆ เช่น รถไฟทางไกล รถไฟชานเมือง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5675 | ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าเหมาซ่อมขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) กู้เงิน วงเงิน ๕,๔๐๒.๘๐๘ ล้านบาท เพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง จำนวน ๓,๖๐๕.๗๐๐ ล้านบาท และค่าเหมาซ่อม จำนวน ๑,๗๙๗.๑๐๘ ล้านบาท โดยให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ และปรับเงินกู้ตามยอดหนี้ที่ ขสมก. ต้องชำระจริง ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงคมนาคมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณที่เห็นควรพิจารณารายการและวงเงินที่ ขสมก. ขอรับเงินอุดหนุนบริการสาธารณะโดยเฉพาะในส่วนค่าเหมาซ่อม เพื่อลดปัญหาความซ้ำซ้อนในการดำเนินการ และเห็นควรเร่งรัดหาแนวทางการบริหารเงินทุนหมุนเวียนสำหรับชำระค่าน้ำมันและค่าเหมาซ่อมให้ทันตามสัญญา ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๔๓ [เรื่อง ขออนุมัติกู้เงินเพื่อนำไปชำระหนี้ค่าน้ำมัน ค่าเหมาซ่อม พร้อมดอกเบี้ย ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๒ (ตุลาคม ๒๕๕๑ - กันยายน ๒๕๕๒)] ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ที่ให้กระทรวงคมนาคมหาแนวทางการบริหารเงินทุนหมุนเวียนสำหรับชำระค่าน้ำมันและค่าเหมาซ่อมให้ทันตามสัญญา ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5676 | โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าหลักเพื่อรองรับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตเอกชนรายเล็กระบบ Cogeneration ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าปี พ.ศ. 2553 | พน | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบโครงการขยายระบบส่งไฟฟ้าหลักเพื่อรองรับโรงไฟฟ้าผู้ผลิตเอกชนรายเล็กระบบผลิตไฟฟ้าและความร้อนร่วม (Cogeneration) ตามระเบียบการรับซื้อไฟฟ้าปี พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าผู้ผลิตเอกชนรายเล็ก (Small Power Producer, SPP) ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก รวมทั้งเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานไฟฟ้าให้กับกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดจนการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยในอนาคต โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการรับไฟฟ้าจาก ๒,๐๐๐ เมกะวัตต์ เป็น ๓,๕๐๐ เมกะวัตต์ วงเงินลงทุนโครงการฯ รวม ๑๐,๖๑๐.๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายอุปกรณ์นำเข้าจากต่างประเทศ จำนวน ๒,๕๔๓ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอุปกรณ์ในประเทศและการก่อสร้าง จำนวน ๘,๐๖๗ ล้านบาท ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๔ [เรื่อง การทบทวนการกำหนดประเภทและขนาดของโครงการของหน่วยงานของรัฐที่ต้องเสนอรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม (วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๗)] ต่อไป ๓. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการบริหารจัดการในส่วนของการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศให้เหมาะสมและสอดคล้องกับแนวโน้มของอัตราแลกเปลี่ยน การวางแผนทางการเงินขององค์กรในระยะยาว การจัดทำแผนการใช้จ่ายและแผนบริหารความเสี่ยงทางการเงิน การจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น และการจัดให้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ที่แนวสายส่งพาดผ่านเพื่อสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในการดำเนินงานโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5677 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวร ตามมติคณะรัฐมนตรีในท้องที่จังหวัดยโสธร และจังหวัดพังงา รวม 4 ฉบับ | กษ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในที่จำแนกออกจากป่าไม้ถาวรตามมติคณะรัฐมนตรี ในท้องที่จังหวัดยโสธร และจังหวัดพังงา รวม ๔ ฉบับ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ และตำบลโนนเปือย อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไทยเจริญ อำเภอไทยเจริญ และตำบลโนนเปือย อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ๒. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเดิด ตำบลดู่ทุ่ง และตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลเดิด ตำบลดู่ทุ่ง และตำบลค้อเหนือ อำเภอเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ๓. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำคำ อำเภอไทยเจริญ และตำบลโคกนาโก อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลน้ำคำ อำเภอไทยเจริญ และตำบลโคกนาโก อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ๔. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลรมณีย์ อำเภอกะปง จังหวัดพังงา ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5678 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2554 เกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขปัญหาการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด | กษ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานการประชุมหารือร่วมระหว่างกระทรวงมหาดไทย กรมประมง กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อพิจารณาหลักเกณฑ์ใหม่ที่กรมพัฒนาที่ดินและกรมประมงจัดทำขึ้นเพื่อกำหนดเขตพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืดให้เหมาะสมกับสภาพที่ดินและสภาพพื้นที่ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งที่ประชุมร่วมกันได้มีความเห็นแบ่งออกเป็น ๓ กลุ่ม สรุปได้ ดังนี้
๑. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมพัฒนาที่ดิน และกรมประมง ให้เหตุผลในการสนับสนุนการใช้ร่างหลักเกณฑ์ใหม่ เนื่องจากหลักเกณฑ์ที่ใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งมีอยู่จำนวน ๔ ข้อ ได้แก่ อยู่ในเขตพื้นที่ชลประทาน อยู่ในเขตพื้นที่ที่มีคันป้องกันน้ำเค็ม เป็นพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับเกษตรกร และมีนโบยายของจังหวัดหรือประเทศในการใช้ที่ดินด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ นั้น เป็นข้อกำหนดเชิงนโยบาย ไม่มีฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ จึงไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้เป็นเกณฑ์เพื่อจำแนกพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่น้ำจืด ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีความเห็นว่าควรให้ใช้หลักเกณฑ์เดิมที่ใช้ในการกำหนดเขตพื้นที่ระงับการเพาะเลี้ยงกุ้งกุลาดำระบบความเค็มต่ำในพื้นที่น้ำจืดเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ ที่กรมพัฒนาที่ดินได้จัดทำไว้ให้มีผลบังคับใช้กับสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ และเห็นว่าหลักเกณฑ์ใหม่ที่ร่างโดยกรมพัฒนาที่ดินและกรมประมง ที่ประกอบด้วย ความเค็มของน้ำ ความเค็มของดิน และลักษณะทางกายภาพของดินเฉพาะพื้นที่ดินร่วมมีการระบายน้ำดียังไม่มีความเหมาะสม ส่งผลให้การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยใช้ความเค็มมีโอกาสขยายพื้นที่ไปในเขตพื้นที่ปลูกข้าวของภาคกลาง ๓. กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าหลักเกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่ระงับการใช้ความเค็มในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต้องมีข้อมูลทางวิชาการมาสนับสนุนเพื่อสามารถอธิบายให้ผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนยอมรับได้ และเห็นด้วยที่กำหนดให้มีคณะทำงานวิชาการระดับจังหวัดเพื่อกำหนดพื้นที่น้ำจืดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5679 | ขอมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดอัตราเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ | มท | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การกำหนดอัตราเบี้ยยังชีพรายเดือนแบบขั้นบันไดสำหรับผู้สูงอายุ โดยผู้สูงอายุ ๖๐ - ๖๙ ปี จะได้รับ ๖๐๐ บาท อายุ ๗๐ - ๗๙ ปี จะได้รับ ๗๐๐ บาท อายุ ๘๐ - ๘๙ ปี จะได้รับ ๘๐๐ บาท และอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป จะได้รับ ๑,๐๐๐ บาท ทั้งนี้ ตั้งแต่งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๑.๒ กำหนดให้ใช้วงเงินงบประมาณการงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ งบเงินอุดหนุน แผนงานสวัสดิการสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน ๕๒,๒๒๘,๑๔๓,๖๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับปรุงแก้ไขระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับให้การปฏิบัติในการเบิกจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ตามข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๔ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรทำฐานข้อมูลจำนวนประชากรสูงอายุของประเทศอย่างเป็นระบบ ให้สามารถเชื่อมโยงกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อการตรวจสอบและคัดกรองกลุ่มเป้าหมายมิให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งปรับปรุงระบบการบริหารจัดการในการจ่ายเงินให้มีประสิทธิภาพ มีความยืดหยุ่น สามารถรองรับกับการรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุในทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ตรงตามระยะเวลาที่กำหนด และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ เห็นควรสร้างความเชื่อมั่นและแรงจูงใจให้ประชากรที่อยู่ในวัยทำงานเห็นความสำคัญของการออมในระยะยาว เพื่อสร้างหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิตและลดภาระทางการคลังของรัฐบาลในการดูแลผู้สูงอายุที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
5680 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ 8 และครั้งที่ 9) | วธ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย (ครั้งที่ ๘ และครั้งที่ ๙) ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๐ ได้แก่ การขนย้ายหนังสือและสิ่งของ การจัดทำแผนพัฒนางานสารสนเทศ สำนักหอสมุดแห่งชาติ เพื่อขอรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และการออกแบบรูปรายการในการปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติหลังเดิม เพื่อขอรับงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑ (ดำเนินการตามระเบียบพัสดุฯ) เมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๑ ได้ดำเนินการประมูลการจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยบริษัท เอนแอลดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ให้ราคาต่ำสุด ซึ่งได้รับการอนุมัติจากกระทรวงวัฒธรรม เมื่อวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๒ และได้ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ในวงเงิน ๔๓๘,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยเป็นงบประมาณที่ใช้จ่ายเฉพาะภารกิจสร้างอาคาร ๓. การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔ (ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังใหม่) ผู้รับจ้างได้ปฏิบัติงานทั้งหมดแล้วเสร็จเรียบร้อยตามสัญญา (ความก้าวหน้าของงานตามแผนคิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ทำได้จริงร้อยละ ๑๐๐) ๔. โดยสรุปการดำเนินการตามแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย ได้ดำเนินการก่อสร้างอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ยังคงเหลือการพัฒนางานสารสนเทศเพื่อการจัดเก็บและให้บริการองค์ความรู้ของหอสมุดแห่งชาติและการปรับปรุงอาคารหอสมุดแห่งชาติ ท่าวาสุกรี หลังเดิม ซึ่งยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ
|