ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 36 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 701 - 720 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
701 | รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย และรายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี 2555 | สม | 04/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิชุมชนและการมีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม การคุ้มครองและช่วยเหลือกลุ่มที่เสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน สิทธิด้านสถานะบุคคลของผู้ไร้สัญชาติ ไทยพลัดถิ่น ผู้อพยพ และชนพื้นเมือง และสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒ รายงานผลการปฏิบัติประจำปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย การตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน การเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และการฟ้องร้องคดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย การเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายและกฎ การส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิมนุษยชนศึกษา การศึกษาวิจัยด้านสิทธิมนุษยชน การส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานเครือข่าย การดำเนินงานสิทธิมนุษยชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินงานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และรายงานของผู้สอบบัญชีและงบการเงิน สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ๒. มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปประสานงานและชี้แจงทำความเข้าใจกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับข้อห่วงใยของรัฐบาลในการดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยยังมิได้เข้าสู่สภาวะปกติและอยู่ในช่วงการปฏิรูปประเทศ และปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ รวมทั้งอาจถูกต่างประเทศหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องหยิบยกเป็นเหตุผลในการดำเนินมาตรการอันก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบต่อประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ดังนั้น การดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง รอบคอบ ทั้งนี้ กรณีเรื่องใดที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรับดำเนินการแล้วมีข้อยุติหรือปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าข้อร้องเรียนดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนก็ขอความร่วมมือให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติดำเนินการชี้แจงให้สาธารณชนและผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทราบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องโดยทั่วกันด้วย
|
||||||||||||||||||
702 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ 3 | กษ | 28/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๓ เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางจิราวรรณ แย้มประยูร) เข้าร่วมการประชุมฯ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมฯ ได้ร่วมรับรองปฏิญญาปักกิ่งว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปคฉบับสมบูรณ์ ประกอบด้วยสาระสำคัญ ๓ ประเด็นหลัก คือ (๑) ส่งเสริมผลิตภาพทางการเกษตร และการผลิตและความเพียงพอของอาหาร บนพื้นฐานของการพัฒนาที่ยั่งยืน นวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (๒) ปรับปรุงการจัดการภายหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อลดการสูญเสียอาหาร และ (๓) สร้างความเข้มแข็งความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหาร ๒. รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นางจิราวรรณ แย้มประยูร) ได้กล่าวถ้อยแถลงว่า ประเทศไทยให้ความสำคัญกับความมั่นคงอาหาร สืบเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ความต้องการอาหารและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตสินค้าเกษตร ประเทศไทยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งส่งเสริมการใช้ปัจจัยการผลิตทางการเกษตรอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาว่าด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อลดการสูญเสียอาหาร และการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ๓. ถ้อยแถลงของสมาชิกเอเปคอื่นที่สำคัญ ได้แก่ จีนให้ความสำคัญกับการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ การส่งเสริมการลงทุน การเพิ่มความปลอดภัยอาหาร และการลดการสูญเสียอาหาร ญี่ปุ่นเน้นในเรื่องการสร้างมูลค่าเพิ่มตลอดห่วงโซ่อุปทานของโลก สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร ความปลอดภัยอาหาร เกษตรกรรมที่เท่าทันต่อภูมิอากาศ (Climate Smart Agriculture) และการอำนวยความสะดวกทางการค้า ฟิลิปปินส์เน้นเรื่องการปรับตัวต่อภัยพิบัติ การใช้ทรัพยากรน้ำและที่ดินทางการเกษตร มาเลเซียเน้นเรื่องการดำเนินการด้านภัยพิบัติ การส่งเสริมบทบาทเกษตรกรโดยเฉพาะสตรีและเยาวชน และบทบาทของภาคเอกชน โดยประเด็นที่สมาชิกเอเปคส่วนใหญ่ให้ความสำคัญคือ การลดการสูญเสียตลอดห่วงโซ่อาหาร
|
||||||||||||||||||
703 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2557 | นร11 | 28/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ ระหว่างวันที่ ๑๗-๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ องค์ประกอบผู้เข้าร่วมประชุม ประกอบด้วยผู้แทนสมาชิกเอเปค จาก ๒๑ เขตเศรษฐกิจ โดยคณะผู้แทนไทย ประกอบด้วยผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศ ๑.๒ การประชุมกลุ่มเพื่อนประธาน ประกอบด้วย ๖ กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนโยบายการแข่งขันและกฎหมาย กลุ่มนโยบายการแข่งขัน กลุ่มกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล กลุ่มความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ กลุ่มธรรมาภิบาลภาครัฐ และกลุ่มการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยแต่ละกลุ่มเพื่อนประธานได้มีการหารือถึงโครงการที่จัดในช่วงที่ผ่านมาตลอดจนแผนงานที่จะดำเนินการต่อไป ๑.๓ การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ที่ประชุมฯ ได้กำหนดหัวข้อเรื่องแนวปฏิบัติที่ดีในการกำหนดกฎระเบียบ (Good Regulatory Practice : GRP) เป็นหัวข้อการจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๗ และหัวข้อเรื่องสำหรับรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ คือ หัวข้อเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) ๑.๔ ยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ (APEC New Strategy for Structural Reform : ANSSR) ที่ประชุมฯ เห็นพ้องที่จะให้เสนอยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้ระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปคพิจารณา และเสนอต่อผู้นำเอเปคให้มีการจัดการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่สองในปี ๒๕๕๘ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในกรอบ ANSSR และกำหนดยุทธศาสตร์การปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจหลังปี ๒๕๕๘ ๑.๕ การหารือระดับนโยบายเรื่องกับดักรายได้ปานกลาง (Middle Income Trap) ที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๒ ได้มอบหมายให้คณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปครายงานแผนการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องกับดักรายได้ปานกลางต่อที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสเอเปค ครั้งที่ ๓ และให้มีการหารือเรื่องกับดักรายได้ปานกลางในการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านปฏิรูปโครงสร้างครั้งที่ ๒ หากมีการจัดขึ้น และการจัดรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี ๒๕๕๘ ในประเด็นเกี่ยวกับการปฏิรูปโครงสร้างและนวัตกรรม (Structural Reform and Innovation) จะเป็นกุญแจหลักที่จะทำให้ประเทศกำลังพัฒนาก้าวพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๑ เมื่อวันที่ ๒๑-๒๒ ตุลาคม ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังรายงานว่า ได้มีการหารือใน ๔ ประเด็นหลัก สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ ภาวะเศรษฐกิจโลกและทิศทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้มีการหารือเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมของหลายประเทศ โดยเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกมีแนวโน้มที่ชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ และมีความเสี่ยงขาลง (Downside risk) สูง ทำให้สมาชิกเอเปคต้องร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นเพื่อรับมือกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น สำหรับภาคการเงินพบว่าธุรกิจ Non-bank เช่น ธุรกิจบัตรเครดิตมีปริมาณธุรกรรมมากขึ้น ดังนั้น แต่ละประเทศจึงควรกำกับดูแลเรื่องดังกล่าวให้ใกล้ชิดยิ่งขึ้น ซึ่งในส่วนของประเทศไทยมีกฎหมายเพื่อการกำกับดูแลในเรื่องนี้ยังไม่เพียงพอ ๒.๒ ความร่วมมือด้านการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน แนวโน้มความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership : PPP) ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมีมากขึ้น จึงมีประเด็นเกี่ยวกับการจัดสรรผลประโยชน์จากการลงทุนระหว่างกันให้มีความเหมาะสม และการปรับปรุงกฎหมายในด้านนี้เพิ่มเติมด้วย ๒.๓ การปฏิรูปนโยบายการคลังและภาษี ได้นำเสนอการดำเนินการของไทยเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ภาษีมรดก ซึ่งสหรัฐอเมริกาได้ขอความร่วมมือให้ไทยออกกฎหมายเกี่ยวกับความตกลงเพื่อความร่วมมือด้านภาษีอากรระหว่างประเทศและการปฏิบัติตาม Foreign Account Tax Compliance Act (ความตกลง FATCA) เพื่อป้องกันการหลีกเลี่ยงภาษีในการโอนเงินระหว่างประเทศของบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลสัญชาติอเมริกัน ๒.๔ ธุรกิจ SMEs เป็นประเด็นที่ที่ประชุมฯ ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากในบางประเทศมีขนาดของภาคธุรกิจ SMEs ถึงร้อยละ ๕๐ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ดังนั้น จึงต้องมีการสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ประกอบการ SMEs โดยพัฒนาการให้บริการด้านการเงินเพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น
|
||||||||||||||||||
704 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกันยายน 2557 | อก | 28/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ มีค่า ๑๖๙.๒ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ (๑๖๕.๐) ร้อยละ ๒.๖ แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ (๑๗๓.๙) ร้อยละ ๒.๗ โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เสื้อผ้าสำเร็จรูป เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องประดับเพชรพลอย น้ำตาล ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ๑.๒ อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๐.๓ เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ (ร้อยละ ๖๐.๑) แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ (ร้อยละ ๖๓.๕) โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ เยื่อกระดาษ กระดาษ และกระดาษแข็ง เม็ดพลาสติก เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ ผลิตภัณฑ์ยาง เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น ๑.๓ เศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและส่งออกคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้าง และค่าเงินบาทที่ทรงตัวในระดับเดียวกันกับเดือนก่อน การจำหน่ายสินค้าในประเทศคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและประชาชนกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๖๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๓๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่ม IC ที่มีความต้องการเพิ่มขึ้น และ HDD เริ่มกลับมาผลิตในประเทศมากขึ้น อุตสาหกรรมไฟฟ้าคาดว่าจะลดลงร้อยละ ๓.๘๑ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอตัวของการส่งออกเครื่องปรับอากาศไปตลาดหลักส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะตลาดสหภาพยุโรป อาเซียน และตะวันออกกลาง ๒. ในการรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมครั้งต่อไป ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้เห็นความแตกต่างและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗) ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจัดทำรายงานภาวะเศรษฐกิจรายเดือนของประเทศในภาพรวมในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย โดยให้ครอบคลุมถึงความเคลื่อนไหวของดัชนีเศรษฐกิจที่สำคัญด้านต่าง ๆ เช่น ภาคการเกษตร การค้า การลงทุน เป็นต้น และนำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
705 | การแก้ไขปัญหายางพารา ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2557 | กษ | 21/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการบริหารจัดการยางขององค์การสวนยาง และเห็นชอบการดำเนินงานตามโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง โครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง โครงการสนับสนุนสินเชื่อเกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริม และโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่ผู้ประกอบการยาง ตามมติคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยกรอบวงเงินและการบริหารงบประมาณในการดำเนิน ๔ โครงการดังกล่าว ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ เกี่ยวกับการหาตลาดผลิตภัณฑ์ยางให้กับผู้ประกอบการ การส่งเสริมให้มีการใช้ยางพาราเพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ยางในประเทศเพิ่มขึ้น การระบายสต็อกยางและรับซื้อยางเพื่อทดแทนปริมาณสต็อกที่ระบายออกสู่ตลาดในแต่ละครั้งควรพิจารณาตามความเหมาะสมของเงื่อนไขของราคาและภาวะตลาดในขณะนั้น การกำหนดมาตรการเพื่อบรรเทาปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำเป็นการเฉพาะหน้าอย่างเป็นระบบ โดยพิจารณาอัตราการให้ความช่วยเหลือที่ชัดเจนและเป็นธรรมแก่เกษตรกรทุกกลุ่ม การสนับสนุนองค์ความรู้และแนวทางพัฒนาอาชีพทางเลือกให้เหมาะสมกับเกษตรกรในแต่ละพื้นที่โดยการให้สินเชื่อแก่เกษตรกรชาวสวนยางรายย่อยเพื่อประกอบอาชีพเสริมต้องมีความรัดกุม เหมาะสมตามศักยภาพของเกษตรกรอย่างแท้จริง และการจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกร การจ่ายเงิน จะต้องมีการจัดทำทะเบียนอย่างถูกต้อง ไม่รั่วไหล รวมทั้งมีการควบคุม ให้โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ในการระบายยางในสต็อกของโครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนรักษาเสถียรภาพราคายาง ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์พิจารณากำหนดราคาให้เหมาะสม โดยใช้ระดับคุณภาพยางเป็นเกณฑ์ ๓. ในส่วนของโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ให้จ่ายเงินชดเชยรายได้ให้แก่เกษตรกรตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์โดยช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดไม่เกิน ๑๕ ไร่ อัตราไร่ละ ๑,๐๐๐ บาท และกรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีดเกินกว่า ๑๕ ไร่ขึ้นไป ให้จ่ายไม่เกิน ๑๕ ไร่ ในอัตรา ๑,๐๐๐ บาทต่อไร่ หรือไม่เกินครัวเรือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท (เช่น กรณีครัวเรือนที่มีพื้นที่สวนยางเปิดกรีด ๒๕ ไร่ จะได้รับการจ่ายเงินชดเชยรายได้ ๑๕,๐๐๐ บาท) โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) กำหนดแนวทางการดำเนินการจ่ายเงินที่ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบผู้มีสิทธิรับเงินชดเชยรายได้ โดยให้ประสานงานกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการตรวจสอบความถูกต้องว่าเป็นพื้นที่ที่มีเอกสารสิทธิ์หรือสิทธิทำกินในพื้นที่นั้น ซึ่งรวมถึงประเภทเอกสารสิทธิ์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับของกรมป่าไม้ รวม ๔๖ รายการ ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอแนวทางการจ่ายเงินดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนก่อนดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
706 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่าง สมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 1,075 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น-ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการเพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด | นร05 | 14/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๑๗, ๑๓๑๘, ๑๓๑๙, ๑๓๒๐, ๑๓๒๑, ๑๓๒๒, ๑๓๒๓, ๑๓๒๔, ๑๓๒๕, ๑๓๒๖, ๑๓๒๗, ๑๓๒๘, ๑๓๒๙, ๑๓๓๐, ๑๓๓๑, ๑๓๓๒, ๑๓๓๓, ๑๓๓๔, ๑๓๓๕, ๑๓๓๖, ๑๓๓๗, ๑๓๓๘, ๑๓๓๙, ๑๓๔๐, ๑๓๔๑/๒๕๕๗ รวม ๒๕ คดี ระหว่าง ผู้ฟ้องคดีทั้ง ๒๕ คน บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษายกฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ และให้ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑ จ่ายค่าชดเชยตามมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖ (คณะรัฐมนตรี) เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ให้แก่ผู้ฟ้องคดีที่ ๑๔ (คดีหมายเลขแดงที่ ๑๓๓๐/๒๕๓๗) เป็นเงิน ๑๙๒,๙๑๗.๕๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องคดีเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
707 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม 2557 | อก | 14/10/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ มีค่า ๑๖๕.๒ ลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ (๑๖๘.๙) ร้อยละ ๒.๒ และลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (๑๗๔.๒) ร้อยละ ๕.๒ โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive น้ำตาล เบียร์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม น้ำตาล รถจักรยานยนต์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น ๑.๒ อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๐.๑ ลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ (ร้อยละ ๖๐.๖) และลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (ร้อยละ ๖๔.๕) โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม แปรรูปผักและผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ โทรทัศน์สี เป็นต้น และอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เม็ดพลาสติก อุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ๑.๓ เศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและส่งออกคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างและค่าเงินบาทที่ทรงตัวในระดับเดียวกันกับเดือนก่อน ส่วนการจำหน่ายสินค้าในประเทศคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากความเชื่อมั่นเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและประชาชนกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๘๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อุตสาหกรรมไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ ๑.๐๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๒. คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่าในการจัดทำรายงานภาวะเศรษฐกิจของปีปัจจุบันไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจของปีที่ผ่านมาเนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ แต่อาจเปรียบเทียบกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้เห็นความแตกต่างและใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||
708 | การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและการแก้ไขปัญหาอุทกภัย | พณ | 16/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ในฐานะประธานกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำรายงาน ดังนี้ ๑.๑ คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำ (Roadmap) ของประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำในทุกมิติครอบคลุมถึงปัญหาน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค การดูแลคุณภาพน้ำ รวมทั้งปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นรวม ๕ คณะ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ต่าง ๆ จัดเตรียมข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจ จัดตั้งองค์กรและออกกฎระเบียบ และการประชาสัมพันธ์ ๑.๒ Roadmap แบ่งออกเป็น ๓ ระยะ ได้แก่ ระยะที่ ๑ การจัดทำร่างโครงการต่าง ๆ ระยะที่ ๒ การจัดทำรายละเอียดของโครงการ และระยะที่ ๓ การจัดทำแผนบริหารจัดการน้ำฉบับสมบูรณ์และงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินการตามแผน ทั้งนี้ ปัจจุบันอยู่ในขั้นการดำเนินการระยะที่ ๒ ซึ่งกำหนดจะแล้วเสร็จในปลายเดือนกันยายนนี้ ส่วนการดำเนินการระยะที่ ๓ มีกำหนดแล้วเสร็จในปลายเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ๑.๓ ในการจัดทำ Roadmap ทั้ง ๓ ระยะดังกล่าวได้มีการบูรณาการงบประมาณและการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๗ หน่วยงาน ได้แก่ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมโยธาธิการและผังเมือง กรมเจ้าท่า กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และกองทัพบก โดยในระยะที่ ๑ เป็นการดำเนินการเร่งด่วนโดยใช้งบประมาณเหลือจ่ายในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๑๗,๐๐๐ ล้านบาท และในปีงบประมาณ ๒๕๕๘ จะใช้งบประมาณจำนวนประมาณ ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ๑.๔ สำหรับปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เกิดจากการที่มีฝนตกอย่างกระจุกตัวในบางพื้นที่ แต่โดยที่สภาวะฝนตกดังกล่าวมักเกิดในพื้นที่หลังเขื่อนต่าง ๆ ทำให้สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางมีปริมาตรน้ำในอ่างเป็นจำนวนน้อยเทียบกับปีที่ผ่านมา และคาดหมายได้ว่าในระยะต่อไปอาจจะเกิดภาวะขาดแคลนน้ำและปัญหาภัยแล้งขึ้นได้ในบางพื้นที่อันเนื่องจากการมีน้ำในแหล่งกักเก็บน้ำในปริมาณน้อยดังกล่าว ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการดังต่อไปนี้ ๒.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติให้ทั่วถึงและเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ของทางราชการ โดยให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๓ เดือน ๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการจัดทำแผนการดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับปัญหาภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้น โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้พิจารณาเตรียมการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน เช่น การจัดทำฝนเทียม การขุดลอกคูคลอง หนองบึง แหล่งน้ำธรรมชาติ คลองระบายน้ำ การจัดทำพื้นที่แก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ การบริหารจัดการน้ำสำหรับการอุปโภคบริโภค การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) และการส่งเสริมการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เป็นต้น ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดดำเนินการเกี่ยวกับการขุดลอกแม่น้ำสายหลักต่าง ๆ และให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) เร่งดำเนินการเกี่ยวกับปัญหาถนนขวางทางระบายน้ำ ตามนัยมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๒.๓ ในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง หนองบึง แหล่งน้ำธรรมชาติ รวมถึงการขุดบ่อบาดาล ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการพิจารณาใช้แรงงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างรายได้แก่ประชาชนในพื้นที่นั้น ๆ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ๒.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นในการกักเก็บ การใช้น้ำ การส่งเสริมการเพาะปลูก และการปรับเปลี่ยนพันธุ์พืชให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย
|
||||||||||||||||||
709 | ปฏิญญาปักกิ่งว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Beijing Declaration on APEC Food Security) | กษ | 16/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อปฏิญญาปักกิ่งว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค (Beijing Declaration on APEC food Security) โดยสาระสำคัญของปฏิญญาปักกิ่งฯ ประกอบด้วย ๓ ประเด็นหลัก คือ (๑) ส่งเสริมผลิตภาพทางการเกษตรและการผลิตอาหารด้วยพื้นฐานทางนวัตกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งสภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ (๒) ปรับปรุงการจัดการภายหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อลดการสูญเสียอาหาร และ (๓) สร้างความเข้มแข็งความร่วมมือในภูมิภาคเพื่อส่งเสริมความมั่นคงอาหาร ๑.๒ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเข้าร่วมรับรองร่างปฏิญญาดังกล่าวในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีว่าด้วยความมั่นคงอาหารเอเปค ครั้งที่ ๓ (The 3rd APEC Ministerial Meeting on Food Security) ในวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการส่งเสริมการพัฒนาและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการลดการสูญเสียอาหารควรจะต้องควบคู่กับการพัฒนาและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีด้านการแปรรูปเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้ง/ของเสียจากกระบวนการผลิตและการแปรรูป การคุ้มครองสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสายพันธุ์พืชใหม่จะต้องให้ความสำคัญของการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติที่มีการแบ่งปันที่ยุติธรรมและเท่าเทียม รวมทั้งการส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรในการเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรและทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหาร เช่น การเพิ่มผลผลิตพืชอาหารด้วยเทคโนโลยีการตัดต่อพันธุกรรม (Genetic engineering) ควรประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการเกษตรที่มีความปลอดภัยต่อมนุษย์และสัตว์ และไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงและผลกระทบต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ถือปฏิบัติตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ด้วย ๓. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น เพื่อนำองค์ความรู้และผลงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องมาใช้ในการพัฒนาปรับปรุงผลผลิตและผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรชนิดต่าง ๆ และการบรรจุภัณฑ์ รวมทั้งให้บูรณาการการดำเนินการด้านความปลอดภัยอาหาร (Food Safety) ให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับของสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืชผักผลไม้เพื่อการส่งออกไปต่างประเทศ (เช่น ลำไย เป็นต้น) ๔. ให้กระทรวงการคลังพิจารณาแนวทางและมาตรการในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับภาษีและการขนส่งผ่านแดนเพื่อสนับสนุนให้การส่งพืชผักผลไม้ไปยังต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็วและคล่องตัวด้วย |
||||||||||||||||||
710 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 02/09/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนมาตรการสร้างแรงจูงใจทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศทำการลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคหรือสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย (Regional Operation Headquarters : ROH) เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน และการลงทุนของประชาคมอาเซียน นั้น ให้กระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมตามมติดังกล่าวโดยเร็ว ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการผลักดันโครงการต่าง ๆ โดยคำนึงถึงผลตอบแทนที่ประเทศจะได้รับเป็นสำคัญ เช่น การจ้างงานในประเทศ การใช้วัตถุดิบภายในประเทศ สนับสนุนให้เกิดวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของคนไทย ส่งเสริมการประหยัดพลังงานและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ และมีการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยเน้นการส่งเสริมนักลงทุนต่างชาติที่มีแผนการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีให้กับคนไทยเป็นลำดับแรก ๑.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗ วันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยส่งเสริมการปลูกพืชทดแทนตามแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร และเร่งดำเนินโครงการต้นแบบเพื่อสร้างความรู้ให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทน พืชหมุนเวียน และเกษตรผสมผสาน โดยนำองค์ความรู้จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ศูนย์การเรียนรู้เกษตรทฤษฎีใหม่ และปราชญ์ชาวบ้านมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรม นั้น ในการดำเนินโครงการต้นแบบศูนย์การเรียนรู้เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชของเกษตรกรจะต้องขยายให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ จึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์คำนึงถึงความสอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการน้ำ ระบบการขนส่ง และการเชื่อมโยงกับตลาด รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ในพื้นที่ด้วย ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวแล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนด จึงมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งประสานงานกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำระเบียบรองรับการดำเนินการของกองทุนฯ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ๑.๕ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ [เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗] ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการนำเทคนิคการฝังท่อลงไปในท้องน้ำเพื่อให้น้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศซึมไหลไปสู่แหล่งน้ำในประเทศที่มีระดับต่ำกว่าเพื่อนำน้ำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น กรณีแม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวิน นั้น ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ศึกษาวิธีการใช้เทคนิคดังกล่าวจากประเทศที่ประสบความสำเร็จในการใช้เทคนิคนี้ โดยให้ส่งบุคลากรไปศึกษาข้อมูลเพื่อนำมาแก้ไขปัญหาน้ำแล้งในแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาหาแนวทางการพัฒนาบรรจุภัณฑ์สำหรับสินค้าเพื่อการส่งออก เช่น ผลไม้ กล้วยไม้ ให้สามารถรักษาคุณภาพ ความสดใหม่ให้คงอยู่ได้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าส่งออกของไทยด้วย ๒.๒ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศ ร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ ให้ประสานสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) เกี่ยวกับกำหนดการประชุม/สัมมนานานาชาติเพื่อนำไปประกอบการดำเนินการในเรื่องนี้ด้วย ๒.๓ จากการที่มีผู้ประกอบการก่อสร้างที่รับจ้างดำเนินโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐ และไม่สามารถดำเนินการได้ตามกำหนดในสัญญาจนละทิ้งงาน ส่งผลให้หน่วยงานภาครัฐได้รับผลกระทบนั้น ให้คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐประสานงานกับทุกหน่วยงานและทุกจังหวัดเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ประกอบการเหล่านี้และนำมาจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ทิ้งงานแจ้งให้ทุกหน่วยงานนำไปใช้ประกอบการพิจารณาในการว่าจ้างต่อไป ๒.๔ ตามที่ได้มีการปรับลดราคาน้ำมันและก๊าซตามมาตรการเร่งด่วนในการปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซ นั้น ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์กำกับดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ราคาน้ำมันและก๊าซในปัจจุบันด้วย ๓. ด้านกฎหมาย ในการเสนอร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาเสนอร่างกฎหมายที่ยังไม่เคยบัญญัติไว้และมีลักษณะเป็นสากล เช่น กฎหมายที่มีวัตถุประสงค์มุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม และปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นต้น ๔. ด้านสังคม ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดตั้งสถาบันการศึกษาที่มีการสอนหลักสูตรเฉพาะทางที่สอดคล้องกับแนวทางการผลิตของภาคเศรษฐกิจและการพัฒนาของประเทศในอนาคต รวมทั้งสอดคล้องกับความต้องการในตลาดแรงงานทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาสามารถมีงานทำได้ทันที ๕. ด้านอื่น ๆ ๕.๑ ให้ฝ่ายกิจการพิเศษ โดยสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งสรุปผลการดำเนินการของศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติใช้เป็นศูนย์ขจัดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ซึ่งประชาชนได้ส่งข้อร้องเรียนต่าง ๆ กว่า ๕๘,๐๐๐ ราย นั้น ให้จัดกลุ่มประเภทของข้อร้องเรียนและจำนวนข้อร้องเรียนที่อยู่ระหว่างการดำเนินการหรือดำเนินการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เพื่อเสนอหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติทราบต่อไป และให้ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์เชื่อมโยงการทำงานกับศูนย์ดำรงธรรมทั่วประเทศเพื่อให้การดำเนินการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นไปอย่างครบวงจร และสามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๕.๒ ให้ทุกฝ่ายจัดให้มีการประชุมชี้แจงกลุ่มย่อยเพื่อเป็นเวทีให้ประชาชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และทุกภาคส่วนได้รับทราบข้อเท็จจริงในการดำเนินการในเรื่องสำคัญต่าง ๆ ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น การบริหารจัดการพลังงาน การแก้ไขปัญหาขยะ โดยดำเนินการทุกเดือนเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่ประชาชน รวมทั้งเป็นการรับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการ ภาคเอกชน ภาคประชาชนไปพร้อมกันด้วย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการนำข้อคิดเห็นเหล่านี้มาพิจารณาประกอบการดำเนินการในระยะต่อไป อันจะทำให้การขับเคลื่อนประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๕.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนโดยเร็วนั้น โดยที่ปัจจุบันแต่ละพื้นที่ในภูมิภาคของไทยยังประสบปัญหาอุทกภัยอันเนื่องมาจากลมมรสุม โดยเฉพาะภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่งผลให้เกิดน้ำท่วมอย่างฉับพลัน หรือน้ำล้นตลิ่ง จึงมีข้อสั่งการ ดังนี้ ๕.๓.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว และให้ประสานข้อมูลสภาพอากาศกับกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด รวมทั้งแจ้งเตือนภัยผ่านทุกช่องทางการสื่อสารให้ประชาชนผู้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงทราบเพื่อจะได้เตรียมความพร้อมได้โดยเร็ว ๕.๓.๒ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาหามาตรการแก้ไขปัญหาน้ำล้นตลิ่งโดยเฉพาะในบริเวณลุ่มแม่น้ำยม
|
||||||||||||||||||
711 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี 2557 | นร11 | 02/09/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ๑.๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๒.๘ อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๑.๐ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับร้อยละ ๐.๗๔ ในช่วงเดียวกันปีที่แล้ว แรงงานมีชั่วโมงการทำงานเฉลี่ย ๔๔.๓ ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่หักด้วยเงินเฟ้อแล้วเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ ๙.๘ ๑.๑.๒ การก่อหนี้ของครัวเรือนชะลอลง จากข้อมูลยอดคงค้างสินเชื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคลของธนาคารพาณิชย์ เท่ากับ ๓,๓๓๔,๐๒๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๘ ชะลอตัวลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ ๖ ส่วนหนึ่งจากการสิ้นสุดของมาตรการรถยนต์คันแรก ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับรายได้และการมีงานทำในอนาคต ทำให้ครัวเรือนชะลอการใช้จ่าย แม้การก่อหนี้ยังไม่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อภาพรวม แต่ยังต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้นเร็ว ซึ่งสะท้อนความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนที่ลดลง ๑.๑.๓ การสร้างความเป็นพลเมืองที่ดีตามระบอบประชาธิปไตย ด้วยการทบทวนการปลูกฝังเรื่องหน้าที่พลเมืองควบคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยและโลก ความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ มีจิตสำนึกความรับผิดชอบ เห็นประโยชน์ของประเทศชาติ พร้อมทั้งบรรจุค่านิยมของคนไทย ๑๒ ประการตามนโยบายหัวหน้าคณะรักษาความสบแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติให้อยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ๑.๑.๔ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๒๕.๘ แต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคที่แพร่ระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ และโรคมือ เท้า ปาก ๑.๑.๕ มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตร้อยละ ๒๘.๙ ของประชากร ๖ ปีขึ้นไป โดยใช้ผ่านสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์พกพาเพิ่มขึ้น กิจกรรมที่ใช้ร้อยละ ๗๐ เพื่อการบันเทิงและการติดต่อสื่อสาร ขณะที่การทำธุรกรรมทางการเงิน การซื้อขายสินค้าเพิ่มขึ้น แต่ยังมีปัญหาการหลอกลวง สื่อลามก และการดูแลไม่ให้เด็กเข้าถึงสื่อที่ไม่เหมาะสม จำเป็นต้องให้ความรู้ กำกับดูแลและใช้อย่างระมัดระวังเพื่อป้องกันและลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น ๑.๑.๖ คดีอาญาโดยรวมลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๑๒.๖ ขณะที่ปัจจุบันคดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญโดยเฉพาะคดีชีวิตร่างกายและเพศมีแนวโน้มของความรุนแรงมากขึ้น การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจรเพื่อสร้างความมั่นคงทางสังคมด้านการปราบปราม การบำบัดรักษา การป้องกันและสร้างภูมิคุ้มกัน ยังต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ๑.๑.๗ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๑ แต่จำนวนผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๑๗.๙ สาเหตุจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ขณะที่การเกิดอุบัติเหตุจากรถตู้สาธารณะมีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ารถโดยสารประเภทอื่น จึงต้องมีการจัดระเบียบรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง รวมทั้งริเริ่มขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุจากการใช้ความเร็วในทุกภาคส่วน ๑.๑.๘ การค้ามนุษย์ ประเทศไทยได้รับการประเมินต่ำสุดอยู่ในระดับกลุ่มที่ ๓ โดยถูกระบุว่ามีสถานการณ์การค้ามนุษย์ในระดับรุนแรง และไม่มีความก้าวหน้าในการรับมือกับสถานการณ์การค้ามนุษย์ ๑.๑.๙ การแสวงหาผลประโยชน์จากการตั้งครรภ์แทน (อุ้มบุญ) เชิงพาณิชย์โดยใช้ช่องทางบริการทางการแพทย์ในทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมีมากขึ้น จำเป็นต้องมีการผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ และเข้มงวดในการควบคุมสื่อออนไลน์ เพื่อมิให้เป็นช่องทางนำไปสู่ธุรกิจรับจ้างตั้งครรภ์หรืออุ้มบุญเชิงพาณิชย์ ๑.๑.๑๐ ปัญหาขยะมูลฝอยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปี ๒๕๕๖ พบขยะมูลฝอย ๒๖.๘ ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๘.๕ อัตราการผลิตขยะเพิ่มขึ้นจาก ๑.๐๓ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๑ เป็น ๑.๑๕ กิโลกรัมต่อคนต่อวันในปี ๒๕๕๖ โดยสามารถกำจัดขยะอย่างถูกต้องเพียงร้อยละ ๒๖.๙ ซึ่งยังต้องการระบบการจัดการขยะมูลฝอยอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “เด็กปฐมวัย...จุดเริ่มต้นการพัฒนาตามช่วงวัย” เด็กปฐมวัยยังประสบปัญหาทั้งด้านภาวะทุพโภชนาการและด้านสติปัญญา ส่วนหนึ่งเนื่องจากพ่อแม่ยังขาดความรู้เรื่องอนามัยเจริญพันธุ์และไม่ให้ความสำคัญกับการวางแผนครอบครัว รวมทั้งสภาพการเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม ทำให้เด็กไม่ได้รับการดูแลที่ดีพอ ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งดำเนินการส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ทั้งในด้านการพัฒนาระบบการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมทั่วถึงและมีคุณภาพ เน้นความสำคัญของสถาบันครอบครัวทั้งในเรื่องอนามัยการเจริญพันธุ์ การเลี้ยงดูเด็ก ขณะเดียวกันครูและโรงเรียนต้องเข้าใจถึงบทบาทของตนในการส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก ภาครัฐควรอุดหนุนและให้ความช่วยเหลือเด็กในครัวเรือนยากจนอย่างต่อเนื่อง และส่งเสริม/สนับสนุนการมีส่วนร่วมของชุมชนมากขึ้น ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ประกอบด้วย การเร่งเพิ่มผลิตภาพแรงงานเกษตร การป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างครบวงจร การระดมความร่วมมือดำเนินแนวทางมาตรการการลดอุบัติเหตุการจราจรทางบกจากรถตู้สาธารณะอย่างจริงจังต่อเนื่อง การผลักดันการออกกฎหมายที่เกี่ยวกับกระบวนการรับตั้งครรภ์แทนทั้งระบบ การเร่งรัดการจัดการขยะมูลฝอยให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น และการเร่งส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้งด้านสติปัญญาและอารมณ์อย่างครบวงจร ๒. ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) ในด้านสังคมที่เกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนไทยให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัยทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ และสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความสูงโดยเฉลี่ยเพิ่มมากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
712 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 26/08/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ๑.๑ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ทุกฝ่ายสรุปผลการดำเนินการในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาและจัดทำแผนการดำเนินการระยะ ๑ ปีเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการของรัฐบาลต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับสำนักงบประมาณนำข้อมูลจากแผนข้างต้นไปใช้ประกอบในการจัดทำคำแถลงนโยบายรัฐบาลและคำชี้แจงงบประมาณประจำปี ๒๕๕๘ ด้วยนั้น ให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าว และส่งข้อมูลไปยังสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งจัดทำสรุปผลการดำเนินงานในห้วง ๓ เดือนที่ผ่านมา และแนวนโยบายของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยให้ความสำคัญกับโครงการเร่งด่วนเพื่อแก้ไขปัญหาของประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจในระยะเฉพาะหน้า และการวางยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาประเทศ เช่น การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ การกำจัดขยะอย่างเป็นระบบ โดยให้พร้อมส่งมอบรัฐบาลเพื่อความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ ๑.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการกำหนดมาตรการจัดระเบียบและแก้ไขปัญหาชุมชนแออัด นั้น ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยาและฝ่ายความมั่นคงเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวโดยเร็ว โดยในระยะแรกให้พิจารณาดำเนินการในพื้นที่ว่างเปล่าชานเมือง เช่น ที่ราชพัสดุ เพื่อจัดเป็นที่พักอาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยอย่างเป็นระเบียบ ทั้งนี้ ในการดำเนินการให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับการจัดผังเมืองด้วย ๑.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม จึงให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเร่งทำความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดสรรโควตาและการทำสัญญาสำหรับตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและครอบคลุมทุกพื้นที่และทุกกลุ่ม รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงสถานที่จำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคา ๘๐ บาท ด้วย ๑.๔ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการผลิตภาพยนตร์เพื่อส่งเสริมและเผยแพร่ภาพลักษณ์ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวของประเทศ โดยอาจเปิดให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการเสนอแนวคิดสำหรับภาพยนตร์ นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องนี้เกิดผลเป็นรูปธรรมและส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกระทรวงวัฒนธรรม ประชาสัมพันธ์เชิญชวนให้ประชาชนร่วมประกวดบทภาพยนตร์สั้น โดยให้เน้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวมรดกโลกและโบราณสถาน รวมทั้งให้มีการถ่ายทำภาพยนตร์ในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่สวยงามของประเทศไทย ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีภาพยนตร์ที่จะได้นำไปเผยแพร่สู่สายตาชาวต่างชาติภายในเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ ๑.๕ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ ให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางการดำเนินการเพื่อลดอุบัติเหตุทางถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ขับขี่รถยนต์สาธารณะจะต้องมีระบบติดตามมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนด และมีระบบตรวจสอบว่าผู้ขับขี่มีความพร้อม ไม่เมาสุรา ไม่เสพยาเสพติด และมีการพักผ่อนที่เพียงพอ และมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมการขนส่งทางบก) เร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการนำระบบ GPS และระบบการติดตามผู้ขับขี่มาใช้ในรถยนต์โดยสารสาธารณะมิให้ขับขี่เกินระยะเวลาที่กำหนดเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้รถโดยสารสาธารณะให้แล้วเสร็จและมีผลเป็นรูปธรรม นั้น ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวให้แล้วเสร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และให้พิจารณาหามาตรการลดมลภาวะจากท่อไอเสียของรถโดยสารสาธารณะด้วย ๑.๖ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๗ และวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ชะลอการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นออกไปก่อน และให้กระทรวงมหาดไทยชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๘๕/๒๕๕๗ เรื่อง การได้มาซึ่งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นเป็นการชั่วคราว นั้น ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยตรวจสอบและกำกับดูแลการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่นตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าวให้มีความถูกต้องและโปร่งใส หากตรวจสอบพบความผิดปกติให้มีการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป ๑.๗ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดรูปแบบการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติผ่านกองทุนช่วยเหลือเยียวยานักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี นั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวและส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยเฉพาะในฤดูกาลท่องเที่ยว (High season) ที่ใกล้จะถึง ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยกระทรวงยุติธรรม (กรมคุมประพฤติ) ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การแข่งมอเตอร์ไซค์ตามถนน (เด็กแว้น) โดยพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนนอกเหนือจากการจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย เช่น การให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทำกิจกรรมบริการสาธารณะในงานที่ถนัด การควบคุมความประพฤติและฝึกอาชีพเพื่อให้สามารถมีอาชีพเมื่อได้รับการปล่อยตัว ๒.๒ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันพิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมพัฒนาการของเยาวชนไทยให้มีความเหมาะสมในแต่ละช่วงวัย ทั้งด้านร่างกาย ด้านสติปัญญา ด้านอารมณ์ และด้านสังคม โดยเฉพาะการส่งเสริมด้านโภชนาการให้เยาวชนบริโภคอาหารที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตและลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคอ้วน ๒.๓ ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงศึกษาธิการพิจารณาปรับโครงสร้างทางการศึกษา วิธีการจัดการศึกษาให้มีมาตรฐานและให้เด็กไทยสามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ เน้นการศึกษาในห้องเรียน ปรับหลักสูตรให้ครอบคลุมวิชาพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ชาติไทย หน้าที่พลเมือง สิทธิและหน้าที่ เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนไทยมีความภาคภูมิใจในความเป็นชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไทย ทั้งนี้ ให้ปรับปรุงเนื้อหาของหนังสือชุด “พระมหากษัตริย์ไทย ๙ รัชกาล” จาก ๙ เล่มให้เหลือเพียงเล่มเดียวเพื่อให้มีเนื้อหาที่กระชับและน่าสนใจสำหรับใช้เป็นหนังสือพื้นฐานในการศึกษาของเยาวชนด้วย ๓. ด้านเศรษฐกิจ ให้คณะกรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ (คนร.) พิจารณาทบทวนผลการดำเนินงานและการบริหารจัดการรายได้ของรัฐวิสาหกิจ และจัดทำแนวทางการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจในภาพรวม โดยพิจารณาถึงการบริหารรายรับและรายจ่ายเพื่อลดภาระการอุดหนุนงบประมาณจากภาครัฐด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ด้านอื่น ๆ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารพิจารณาความเหมาะสมและความเพียงพอของหมายเลขโทรศัพท์พิเศษ ๔ หลักที่มีในปัจจุบัน โดยคำนึงถึงการบูรณาการงานร่วมกันของหน่วยงานที่มีภารกิจใกล้เคียงกัน เพื่อให้ประชาชนมีช่องทางในการขอรับบริการได้อย่างสะดวกและเหมาะสมเพียงพอยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
713 | รายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ 12 เดือน ปี พ.ศ. 2556 | กค | 26/08/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของระบบประกันภัยและพัฒนาการที่สำคัญ รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ภาพรวมธุรกิจประกันภัยของไทย รอบ ๑๒ เดือน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๔ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีเบี้ยประกันภัยรวมทั้งสิ้น ๖๔๔,๓๖๒ ล้านบาท ประกอบด้วย เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันชีวิต ๔๔๑,๓๔๙ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๒ และเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากธุรกิจประกันวินาศภัย ๒๐๓,๐๑๓ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๐๘ สำหรับอัตราการเติบโตของธุรกิจประกันภัยของปี ๒๕๕๗ จะมีอัตราการเติบโตแต่ในอัตราที่ชะลอตัว ประมาณร้อยละ ๗.๔๐ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม ๖๙๒,๐๖๘ ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ GDP ร้อยละ ๕.๖๐ ๒. ผลการดำเนินการตามกรอบแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗) ตามมาตรการหลักทั้ง ๔ ประการของแผนพัฒนาการประกันภัย ฉบับที่ ๒ ๒.๑ มาตรการที่ ๑ เสริมสร้างความเชื่อมั่นและเข้าถึงระบบประกันภัย ได้แก่ การบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการสร้างความรู้ความเข้าใจและสิทธิประโยชน์ด้านการประกันภัยแก่ประชาชน การจัดกิจกรรมส่งเสริมการประกันภัยทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค การจัดตั้งโครงการอาสาสมัครประกันภัย และโครงการยุวชนประกันภัยในสถานศึกษา การส่งเสริมภาพลักษณ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อประชาสัมพันธ์ต่าง ๆ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันภัย การปรับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยในที่ไม่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล การปรับปรุงหลักเกณฑ์ เงื่อนไขและอัตราเบี้ยประกันภัยของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น การพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายให้เข้าถึงประชาชนทุกระดับ รวมทั้งการส่งเสริมการประกันภัยรายย่อย (Micro Insurance) โดยจัดให้มีรูปแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรายย่อยแบบพื้นฐาน ๒.๒ มาตรการที่ ๒ เสริมสร้างเสถียรภาพและขีดความสามารถในการแข่งขัน ได้แก่ การพัฒนาแนวทางการกำกับโดยการทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test) ซึ่งเป็นเครื่องมือการจัดการความเสี่ยงที่มีความจำเป็นต่อหน่วยงานกำกับดูแลและบริษัทประกันภัย การปรับปรุงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการลงทุนประกอบธุรกิจอื่นให้เหมาะสม สอดคล้องต่อธุรกิจหลักของบริษัทประกันภัย การปรับปรุงระบบสัญญาณเตือนภัย (Early Warning System : EWS) รวมทั้งการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ ๒.๓ มาตรการที่ ๓ การพัฒนาการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้แก่ การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทด้านประกันภัย การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์อุทกภัย การเพิ่มประสิทธิภาพการจ่ายค่าสินไหมทดแทนผ่านระบบสินไหมอัตโนมัติ (E-Claim) การจัดให้มีการประกันภัยรถผ่านระบบออนไลน์ (Online-Real Time) ๒.๔ มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานด้านการประกันภัย ได้แก่ การพัฒนากฎหมายแม่บทด้านการประกันภัยเพื่อเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมายแม่บทด้านการประกันชีวิตและวินาศภัยให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติประกันชีวิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การจัดทำโครงสร้างฐานข้อมูลการประกันภัย (Insurance Bureau System) เพื่อเป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านการประกันภัย การนำหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดีมาใช้โดยเป็นไปตามกรอบแนวทางธรรมาภิบาลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย และการพัฒนายุทธศาสตร์ด้านการประกันภัย โดยจัดทำโครงการศึกษาสภาพแวดล้อม ศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจประกันภัยไทย การพัฒนาระบบทรัพยากรบุคคล การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมและความรู้ให้กับบุคลากรประกันภัยทั้งภายนอกและภายในด้านการประกันภัย การเงินและการลงทุน การบริหารความเสี่ยง และสาขาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
|
||||||||||||||||||
714 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมคณะรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค ครั้งที่ 11 | พน | 26/08/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๑ (2014 APEC Energy Ministerial Meeting : Beijing Declaration) ซึ่งเป็นแถลงการณ์สรุปผลการประชุมฯ ประกอบด้วยการแสดงจุดยืนร่วมกันของสมาชิกเขตเศรษฐกิจเอเปคในการส่งเสริมความมั่นคงด้านพลังงานและการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาค โดยเน้นการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ ได้แก่ การเสริมสร้างความมั่นคงของน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ความยั่งยืนและความปลอดภัยในการค้าก๊าซธรรมชาติเหลว ความร่วมมือและการส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การพัฒนาความเชื่อมโยงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก การอนุรักษ์พลังงานและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สังคมคาร์บอนต่ำและชุมชนพลังงานอัจฉริยะ ความร่วมมือในการพัฒนาและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสะอาด การจัดหาพลังงานสะอาด โดยมีความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในการใช้พลังงานทั้งหมดเป็นสองเท่าจากปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ถึง ค.ศ. ๒๐๓๐ การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ในด้านความปลอดภัยและความมั่นคง และการจัดตั้งศูนย์พลังงานอย่างยั่งยืนของเอเปค ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ในปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ นี้ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานของกลุ่มประเทศสมาชิกเอเปคได้ ๑.๓ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงานสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในที่ประชุมได้ ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถบังเกิดผลเป็นรูปธรรมสำหรับความร่วมมือด้านพลังงานในกรอบเอเปค ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีด้านพลังงานเอเปค ครั้งที่ ๑๑ ในวันที่ ๒-๓ กันยายน ๒๕๕๗ ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ๒. ให้กระทรวงพลังงานปฏิบัติตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ) เกี่ยวกับการรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการ รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการให้คำมั่นเรื่องการสร้างระบบใหม่เพื่อจัดการกับความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค ควรพิจารณาถึงแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนและควรเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับบริบทในการพัฒนาประเทศและแนวทางการปฏิรูปพลังงานของประเทศไทย การให้คำมั่นในการยกระดับความสามารถในการรองรับภาวะฉุกเฉินในการจัดหาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ และการกำหนดราคาพลังงานที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงด้านพลังงานในภูมิภาค ควรคำนึงถึงขีดความสามารถ ต้นทุนทรัพยากร และผลประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อประชาชนชาวไทยเป็นหลัก การขจัดข้อปกป้องทางการค้าและมาตรการข้อจำกัดซึ่งเป็นอุปสรรคต่อเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน ต้องมีการศึกษาและหารือถึงรูปแบบและแนวทางการดำเนินงานที่เหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทของแต่ละเขตเศรษฐกิจ การให้คำมั่นในการกำหนดเป้าหมายในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในการใช้พลังงานทั้งหมดเป็นสองเท่าจากปี พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๗๓ (ค.ศ. ๒๐๑๐-๒๐๓๐) ควรพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและทรัพยากรน้ำ การพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ ต้องมีการศึกษาผลดีและผลเสียอย่างรอบคอบ และมีการให้ข้อมูลและความรู้ต่อสาธารณชนให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ก่อนการพิจารณาดำเนินการ การพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด ต้องคำนึงถึงนโยบายและระดับการพัฒนาของแต่ละเขตเศรษฐกิจ และการตั้งศูนย์พลังงานอย่างยั่งยืนของเอเปค ควรคำนึงถึงภาระผูกพันในอนาคตและความยั่งยืนของศูนย์พลังงานฯ ทั้งในแง่นโยบาย เทคนิค และภาระผูกพันทางการเงิน (หากมี) รวมทั้งควรกำหนดบทบาทของประเทศไทยในการมีส่วนร่วมกับศูนย์พลังงานฯ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
715 | เงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตุลาการศาลปกครอง | ศป | 19/08/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. เห็นชอบการกำหนดอัตราเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้แก่ตุลาการศาลปกครอง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามร่างระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง ว่าด้วยการจ่ายเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวตุลาการศาลปกครอง พ.ศ. .... ที่กำหนดให้ตุลาการศาลปกครองชั้น ๑ ถึงชั้น ๔ ได้รับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวเป็นรายเดือน ตามที่สำนักงานศาลปกครองเสนอ ๒. ค่าใช้จ่ายสำหรับเป็นเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้แก่ตุลาการศาลปกครอง ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ ๒.๑ เห็นควรให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น โดยขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป สำหรับค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เห็นควรให้สำนักงานศาลปกครองปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ หรือใช้เงินเหลือจ่ายของหน่วยงานเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายดังกล่าวก่อน หากไม่เพียงพอ จึงขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นอีกครั้งหนึ่ง ๒.๒ การกำหนดให้มีหรือปรับปรุงเงินเพิ่มค่าครองชีพลักษณะดังกล่าวในอนาคตควรมีการพิจารณา โดยยึดโยงกับหน่วยงานอื่นทั้งในกระบวนการยุติธรรม องค์กรอิสระ ฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหาร จึงเห็นสมควรที่สำนักงาน ก.พ. และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกำหนดกลไกในการพิจารณาค่าใช้จ่ายบุคลากรภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งประเภทหน่วยงานของศาล องค์กรอิสระ ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม เท่าเทียม และบุคลากรมีรายได้ที่เหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ สอดคล้องกับความรับผิดชอบ สถานะขององค์กร และเป็นมาตรฐานต่อไป |
||||||||||||||||||
716 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี 2557 และแนวโน้มปี 2557 | นร11 | 19/08/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ๑.๑ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๔ เมื่อเทียบกับการหดตัวร้อยละ ๐.๕ ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๗ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวจากไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๐.๙ (QoQ_SA %) เมื่อรวมกับไตรมาสแรก เศรษฐกิจไทยในครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ หดตัวร้อยละ ๐.๑ ขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยที่อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๑.๐ อัตราเงินเฟ้อในไตรมาสที่สองเท่ากับร้อยละ ๒.๕ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑๓,๔๔๐ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๐.๔ ของ GDP ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองเริ่มปรับตัวดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างช้า ๆ ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้การบริหารราชการแผ่นดินกลับเข้าสู่ภาวะปกติ และทำให้ความเชื่อมั่นของภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น รวมทั้งทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ ๒.๑ เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อในช่วง ๕ เดือนแรก การส่งออกฟื้นตัวช้า และปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์หดตัวต่อเนื่อง ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในครึ่งปีแรกยังหดตัว ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้น เนื่องจากความเชื่อมั่นปรับตัวดีขึ้น และการบริหารงานและการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติ แต่การขยายตัวของเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มต่ำกว่าศักยภาพ เนื่องจากข้อจำกัดสำคัญ ๔ ประการ คือ (๑) การขยายตัวของการส่งออกยังมีข้อจำกัดจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังล่าช้า และราคาสินค้าส่งออกลดลง (๒) การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวยังต้องใช้เวลาและตลาดท่องเที่ยวมีการแข่งขันมากขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งเปลี่ยนจุดหมายการเดินทางท่องเที่ยว (๓) การขยายตัวของการลงทุนยังมีข้อจำกัดจากการใช้กำลังการผลิตที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และความล่าช้าในการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในช่วงครึ่งปีแรก และ (๔) การจำหน่ายและการผลิตรถยนต์ยังคงปรับตัวลงจากฐานการจำหน่ายที่สูงในปีก่อน อย่างไรก็ดี เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ๒.๒ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยทั้งปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๑.๕-๒.๐ ปรับลดค่าการประมาณกรณีสูงลงจากร้อยละ ๒.๕ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๗ เป็นร้อยละ ๒.๐ อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับต่ำในช่วงร้อยละ ๑.๙-๒.๔ ในขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลร้อยละ ๒.๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
||||||||||||||||||
717 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ | สลธ.คสช. | 05/08/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านกฎหมาย ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมพิจารณาความจำเป็นเร่งด่วนและจัดลำดับความสำคัญของร่างกฎหมายที่จะเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยนำร่างกฎหมายที่ค้างการดำเนินการมาเสนอในลำดับต้น ขณะที่ร่างกฎหมายใดเอื้อต่อการแก้ไขปัญหาประเทศและสังคมในระยะยาวก็ควรนำไปพิจารณาในสภาปฏิรูปแห่งชาติก่อน ทั้งนี้ ร่างกฎหมายที่เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติควรสอดคล้องกับหลักการ ๓ ประการ คือ ๑.๑ ต้องเป็นการแก้ไขปัญหาอุปสรรคที่แท้จริงของการบังคับใช้กฎหมาย โดยเป็นการแก้ไขข้อขัดข้องของทั้งผู้ปฏิบัติตามกฎหมายและผู้บังคับใช้กฎหมาย มีเนื้อหาครอบคลุมอย่างครบถ้วน ประชาชนสามารถปฏิบัติได้และเกิดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย ๑.๒ พึงระวังการแก้ไขกฎหมายที่เป็นการเพิ่มอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือเพื่ออำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอาจจะเกิดความสุ่มเสี่ยงให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบและอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนได้ ๑.๓ ให้มีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนเข้าใจถึงหลักการและเหตุผลในการตรากฎหมายด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศ (กรมเศรษฐกิจระหว่างประเทศ และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย) และสำนักงานอัยการสูงสุด ติดตามกรณีที่นักลงทุนสัญชาติมาเลเซียที่ลงทุนในบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเสนอข้อพิพาทต่อรัฐบาลไทยโดยอาศัยความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งเขตบริหารพิเศษฮ่องกงแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุน เพื่อเร่งกำหนดท่าทีในการเจรจาระงับข้อพิพาทให้ทันภายในกำหนดเวลาวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ซึ่งหากไม่สามารถระงับข้อพิพาทได้ จะต้องเตรียมการเพื่อเข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาทบทวนความเหมาะสมของข้อตกลงดังกล่าวว่า มีประโยชน์หรือทำให้ไทยเสียประโยชน์ในระยะยาวหรือไม่ อย่างไร ๒.๒ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงการต่างประเทศเร่งดำเนินการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับนักท่องเที่ยวจีนเป็นเวลา ๓ เดือนในช่วงสิงหาคม-ตุลาคม ๒๕๕๗ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๗ อนุมัติตามมติที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๗ ๒.๓ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาทบทวนมาตรการสร้างแรงจูงใจทั้งมาตรการทางภาษีและมาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Non-tax) เพื่อจูงใจให้ภาคเอกชนทั้งจากในและต่างประเทศทำการลงทุนและส่งเสริมให้เกิดการจัดตั้งสำนักงานปฏิบัติการภูมิภาคหรือสำนักงานใหญ่ในประเทศไทย (Regional Operation Headquarters : ROH) เพื่อให้กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางด้านการค้า การเงิน และการลงทุนของประชาคมอาเซียนตามแนวทางที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ๒.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนเร่งส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคใต้ในเขตที่ภาครัฐจัดเป็นพื้นที่ปลอดภัย โดยให้จัดเตรียมสาธารณูปโภคให้พร้อมและเริ่มดำเนินการให้เกิดการสร้างโรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่แล้ว และพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรมขนาดเล็กในระยะต่อไป ๒.๕ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกันศึกษาหาแนวทางและมาตรการในการลดภาระหนี้สินครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน เช่น ขยายโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของกองทุนต่าง ๆ การส่งเสริมระบบสหกรณ์เพื่อลดการกู้ยืมเงินนอกระบบ รวมถึงการสร้างวินัยทางการเงินของประชาชน นอกจากนี้ ให้ชี้แจงเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับดัชนีหนี้สินครัวเรือนว่าจะต้องพิจารณาระดับของหนี้ควบคู่ไปกับความสามารถในการสร้างรายได้ที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย ๒.๖ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๕๗ มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติศึกษาและจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning) ของพืชเกษตร เพื่อแก้ไขปัญหาการปลูกข้าวในพื้นที่ไม่เหมาะสม และเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น นั้น เพื่อให้การดำเนินการในเรื่องดังกล่าวมีความชัดเจน เป็นรูปธรรม และเป็นระบบทั้งในระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว จึงมอบหมายเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๖.๑ ในระยะสั้น ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยดำเนินการส่งเสริมการปลูกพืชทดแทน ทั้งการปลูกพืชหมุนเวียนในนาข้าวเพื่อลดรอบการทำนา และการปลูกพืชอื่นทดแทนข้าว เช่น อ้อยโรงงาน โดยให้ความรู้และเตรียมความพร้อมให้เกษตรกรเข้าใจและสามารถปฏิบัติได้ ทั้งนี้ ในการส่งเสริมการปลูกอ้อยโรงงาน ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงอุตสาหกรรมตรวจสอบให้โรงงานอ้อยปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับระยะห่างของโรงงานที่กำหนดไว้ว่าไม่ต่ำกว่า ๘๐ กิโลเมตรอย่างเคร่งครัด ๒.๖.๒ ในระยะปานกลางและระยะยาว ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำหนดแผนการปลูกพืชอื่น ๆ ทดแทนในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมในการปลูกข้าว เช่น หญ้าเนเปียร์ และส่งเสริมในเรื่องเกษตรผสมผสานอย่างจริงจัง และให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงพาณิชย์จัดเตรียมหาตลาดรองรับผลผลิตต่าง ๆ ที่จะมีการปลูกทดแทนในอนาคตด้วย ๒.๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์จัดทำข้อมูลสถานการณ์ยางพาราเกี่ยวกับปริมาณผลผลิตยางพาราทั้งประเทศ สต็อกยางพารา ความต้องการใช้ยางพาราในประเทศ และปริมาณการส่งออกยางพารา รวมทั้งหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหายางพาราอย่างยั่งยืนที่มีอยู่ให้เกิดเป็นรูปธรรม เช่น การส่งเสริมการแปรรูปยางพารา การใช้ยางพาราผสมยางมะตอยในการทำพื้นถนน และรวมถึงการเตรียมการภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะการเจรจากับประเทศมาเลเซียในโครงการ Rubber Corridor ด้วย ๒.๘ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ร่วมกันพิจารณาหาแนวทางในการจัดหาที่ดินทำกินให้แก่เกษตรกรในลักษณะที่ไม่ได้ให้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน แต่อนุญาตให้เกษตรกรใช้ประโยชน์จากที่ดินประเภทต่าง ๆ ได้ เช่น พื้นที่ป่าไม้ที่หมดสภาพ พื้นที่ราชพัสดุ พื้นที่ของราชการ เป็นต้น ๒.๙ ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรร่วมกับฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยร่วมดำเนินการกระจายผลผลิตลองกองในภาคใต้ซึ่งจะมีปริมาณมากในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ไปยังตลาดทั่วประเทศ โดยให้กำหนดพื้นที่จุดรวบรวมผลผลิตเพื่อการส่งต่อ พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรผู้ผลิตทราบถึงจุดดังกล่าว และหาวิธีการขนย้ายผลผลิตไปยังตลาดต่าง ๆ โดยเร็วด้วย ๓. ด้านสังคม ให้ฝ่ายสังคมจิตวิทยา โดยกระทรวงสาธารณสุข และฝ่ายความมั่นคง โดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา (Ebola) อย่างใกล้ชิด และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันมิให้ผู้ติดเชื้อหรือเข้าข่ายสงสัยว่าจะติดเชื้อเดินทางเข้าประเทศ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงวิธีการปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันการติดเชื้ออย่างทั่วถึง ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ติดตามสถานการณ์และเร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้โดยเร็ว ๔.๒ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจและฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงมหาดไทยดำเนินการยกระดับศูนย์ดำรงธรรมให้เป็นศูนย์บริการประชาชนแบบเบ็ดเสร็จ (One-Stop Service Centre) เพื่อทำหน้าที่ให้บริการข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบริการภาครัฐแก่ประชาชน นั้น ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาจัดทำข้อมูลการให้บริการประชาชนที่อยู่ในความรับผิดชอบแล้วส่งให้กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้ศูนย์ดังกล่าวสามารถให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้น ในการให้บริการข้อมูลข่าวสารแก่ประชาชนของหน่วยงานรัฐ ให้หน่วยงานกำชับให้เจ้าหน้าที่ให้ความสำคัญต่อการบริการประชาชนด้วยทัศนคติและการแสดงออกอย่างเป็นมิตรด้วย ๔.๓ ให้ฝ่ายความมั่นคง โดยกระทรวงกลาโหมประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสภาปฏิรูปและกระบวนการสรรหาสมาชิกสภาปฏิรูป เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนและผู้ที่สนใจ รวมทั้งให้ทุกส่วนราชการเชิญชวนทุกภาคส่วนจากทุกสาขาอาชีพให้ส่งผู้แทนเข้ารับการสรรหาด้วย ๔.๔ ให้ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) ประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับข่าวการปรับค่าตอบแทนให้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาหาแนวทางการปรับปรุงในภาพรวมเพื่อให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการบิดเบือนข้อมูลซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค ดังนั้น ให้กระทรวงพาณิชย์ติดตามและดูแลระดับราคาสินค้าอุปโภคและบริโภคอย่างใกล้ชิดด้วย
|
||||||||||||||||||
718 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมิถุนายน 2557 | อก | 05/08/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๐.๐ แต่ลดลงร้อยละ ๔.๑ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ ยานยนต์ เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง รถจักรยานยนต์ ๒. อัตราการใช้กำลังการผลิต ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ระดับร้อยละ ๖๑.๔ เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๗ (ร้อยละ ๕๖.๔) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ (ร้อยละ ๖๖.๙) อุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลสำคัญให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เส้นใยสิ่งทอ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน อุปกรณ์ที่ใช้ทางทัศนศาสตร์ เป็นต้น ๓. ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๓.๑ อุตสาหกรรมอาหาร การผลิตและส่งออก คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้าง และค่าเงินบาทที่ทรงตัวในระดับเดียวกันกับเดือนก่อน สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศ คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากปัญหาการชุมนุมทางการเมืองสิ้นสุดลง ส่งผลให้ความเชื่อมั่นเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นและประชาชนกลับมาจับจ่ายเพิ่มขึ้น ๓.๒ อุตสาหกรรมรถยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม ส่วนการผลิตรถยนต์ในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ ๓๙ และส่งออกร้อยละ ๖๑
|
||||||||||||||||||
719 | ร่างยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมแห่งชาติ | นร08 | 22/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติรับทราบร่างยุทธศาสตร์การเตรียมความพร้อมแห่งชาติ (พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑) ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อมของประเทศให้พร้อมเผชิญกับภาวะไม่ปกติ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและศักยภาพให้คน ชุมชน และสังคม การเสริมสร้างความร่วมมือกับต่างประเทศ การผนึกกำลังและบูรณาการแผนในทุกระดับ และการบริหารจัดการที่มีเอกภาพและประสิทธิภาพ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานบรรจุในแผนปฏิบัติราชการ ประจำปี ๒๕๕๘ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดมาตรการในการดำเนินการและจัดลำดับความสำคัญของมาตรการและกิจกรรมต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อให้สามารถดำเนินการให้เกิดผลในทางปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามการประเมินผลในแต่ละกิจกรรมอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพด้วย
|
||||||||||||||||||
720 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม 2557 | อก | 02/07/2557 | |||||||||||||||
คณะรักษาความสงบแห่งชาติลงมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๗ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๗ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ ๐.๗ แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๗.๐ อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ น้ำตาล เครื่องปรับอากาศ เม็ดพลาสติก เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ปูนซีเมนต์ ปูนขาวและปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๖ ได้แก่ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น ๑.๒ สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๗ ๑.๒.๑ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๗ ลดลงจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑๒.๓ และลดลงร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ คือ ยานยนต์ เบียร์ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือน Hard Disk Drive ๑.๒.๒ การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอคาดว่าอาจจะชะลอตัวตามความต้องการใช้ในประเทศที่อ่อนตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในส่วนของการส่งออกเครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าแฟชั่นที่สวมใส่สบาย และชุดกีฬา คาดว่าจะกระเตื้องในทิศทางบวกจากตลาดสหรัฐฯ และสหภาพยุโรปที่เริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ๑.๒.๓ อุตสาหกรรมไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๒๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากการขยายตัวของเครื่องปรับอากาศที่สามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๗๗ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากกลุ่ม Semiconductor และ IC ที่เริ่มมีความต้องการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในอาเซียนและญี่ปุ่น ๒. คณะรักษาความสงบแห่งชาติมีข้อสังเกตว่า รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมดังกล่าวควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจให้ถูกต้องตรงกันด้วยว่าเป็นสภาวการณ์เศรษฐกิจที่เกิดขึ้นก่อนที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติจะเข้ามาบริหารประเทศ สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในช่วงปลายไตรมาสที่สองเป็นต้นมามีแนวโน้มว่าเริ่มจะปรับตัวดีขึ้น อันเป็นผลจากการดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งออกในเรื่องต่าง ๆ เช่น การส่งออกยานยนต์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวและผู้เพาะเลี้ยงกุ้ง เป็นต้น และหากการดำเนินการระบายข้าวในสต็อกรัฐบาลเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศดียิ่งขึ้น โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อาจปรับตัวสูงขึ้นอีกประมาณร้อยละ ๑-๑.๕
|
.....