ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 39 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 761 - 780 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
761 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนสิงหาคม และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนสิงหาคมแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก การผลิตภาคเกษตร การผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยวซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้ด้านอุปสงค์เริ่มปรับตัวดีขึ้นทั้งด้านการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออก ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนยังปรับตัวลดลง เนื่องจากฐานที่สูง (รถยนต์และการนำเข้าสินค้าทุน) และการเบิกจ่ายงบประมาณยังปรับตัวลดลง ในด้านการผลิต จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวเร่งขึ้น ในขณะที่ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวช้าลง การส่งออกเริ่มขยายตัว อย่างไรก็ตาม ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรยังคงปรับตัวลดลงตามการลดลงของผลผลิตข้าวนาปรัง ข้าวโพด และประมง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ภาวะฝนทิ้งช่วง และโรคตายด่วนในกุ้ง ตามลำดับ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวต่อเนื่อง อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำและดุลบัญชีเดินสะพัดเริ่มกลับมาเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การเบิกจ่ายงบประมาณ และการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลในเดือนสิงหาคมต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่หนี้สาธารณะลดลงจากเดือนก่อนหน้า ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้าตามการขยายตัวของสินเชื่อภาคธุรกิจ ส่วนสินเชื่อภาคครัวเรือนชะลอตัวลง ในขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราชะลอตัวลง ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากเพิ่มสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทอ่อนค่าลง สอดคล้องกับการไหลออกสุทธิของเงินทุนเคลื่อนย้าย ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๘-๔.๓ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังมีข้อจำกัดเพิ่มเติมจากผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย ในขณะที่การแก้ไขปัญหาเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐอเมริกายังคงเป็นสถานการณ์ที่ต้องติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
|
|||||||||||||||||||||
762 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ | นร04 | 08/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ พร้อมพัฒน์) รายงานสรุปสถานการณ์อุทกภัยในเขตจังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๕๖ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑.๑ สถานการณ์อุทกภัย ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๙ กันยายน ๒๕๕๖ สาเหตุเนื่องจากร่องมรสุมกำลังแรงพาดผ่านภาคเหนือ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกหนาแน่น และมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณจังหวัดตาก กำแพงเพชร สุโขทัย พิษณุโลก และเพชรบูรณ์ ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอหล่มเก่า อำเภอหล่มสัก และอำเภอเมืองเพชรบูรณ์ รวม ๒๔ ตำบล ๑๐๓ หมู่บ้าน ๑.๒ สถานการณ์อุทกภัยครั้งที่ ๒ ระหว่างวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน สาเหตุจากพายุดีเปรสชั่นบริเวณทะเลจีนใต้ได้เคลื่อนตัวขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลาง ผ่านประเทศลาว และเข้าสู่ประเทศไทย หลังจากนั้นได้อ่อนกำลังเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ ทำให้จังหวัดเพชรบูรณ์เกิดฝนตกหนักในหลายพื้นที่ โดยในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ วัดปริมาณน้ำฝนได้ ๕๒๐.๗ มิลลิเมตร ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากและแม่น้ำป่าสักเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอชนแดน อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอศรีเทพ และอำเภอวังโป่ง รวม ๓๗ ตำบล ๒๒๖ หมู่บ้าน ๑.๓ สถานการณ์อุทกภัย ณ วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๕๖ ยังคงมีพื้นที่ประสบอุทกภัยอยู่จำนวน ๕ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ อำเภอหนองไผ่ อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี และอำเภอศรีเทพ รวม ๒๒ ตำบล ๙๒ หมู่บ้าน ๒. สรุปผลกระทบและความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๖ จนถึงปัจจุบัน จำนวนราษฎรที่ได้รับผลกระทบ ๗๓ ตำบล ๕๐๘ หมู่บ้าน ๑๔,๐๗๗ ครัวเรือน ๕๑,๓๙๔ คน มีผู้เสียชีวิต จำนวน ๓ ราย ถนนได้รับความเสียหาย ๑๑๗ สาย สะพาน ๘ แห่ง ท่อระบายน้ำ ๘ แห่ง พื้นที่การเกษตรเสียหาย ๒๓,๖๔๘ ไร่ และบ่อปลา ๑,๐๙๗.๒๕ ไร่ ๓. แนวโน้มสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์ มีแนวโน้มว่าจะคลี่คลายเข้าสู่ภาวะปกติในไม่ช้า หากไม่มีสถานการณ์ฝนตกหนักในพื้นที่ขึ้นอีก สืบเนื่องจากพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์มีความลาดชันสูงทำให้น้ำสามารถไหลผ่านได้อย่างรวดเร็ว โดยสังเกตได้จากระดับน้ำในแม่น้ำป่าสักมีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่อง และระดับน้ำท่วมพื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนของราษฎรก็มีระดับน้ำลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
|
|||||||||||||||||||||
763 | มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ | กค | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับเรื่อง มาตรการทางการเงินเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจอุตสาหกรรมก่อสร้างในต่างประเทศ โดยหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายได้มีการพิจารณาร่วมกับสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแผนการรับงานก่อสร้างในต่างประเทศเพื่อประกอบการดำเนินโครงการในลักษณะนำร่อง ซึ่งทางสมาคมฯ แจ้งว่า ในปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการก่อสร้างไทยที่ดำเนินการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee (สัญญาค้ำประกันหรือคำรับรองที่ออกโดยธนาคารเพื่อเป็นหลักประกันทางสินเชื่อต่อธนาคาร หรือสถาบันการเงินด้วยกัน) เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องขอตั้งงบประมาณสำหรับโครงการดังกล่าวในขณะนี้ อย่างไรก็ดี เมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในต่างประเทศฟื้นตัวขึ้น และผู้ประกอบการก่อสร้างในต่างประเทศมีความต้องการใช้ Counter Guarantee สมาคมฯ จะได้แจ้งให้กระทรวงการคลัง เพื่อกระทรวงการคลังจะได้หารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||
764 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 2 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม 2556 | อก | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๖ (เมษายน-มิถุนายน ๒๕๕๖) ๑.๑ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้า เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ค่าเงินบาทผันผวนตั้งแต่ช่วงต้นปี ๒๕๕๖ โดยในไตรมาสที่ ๒ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๒๑,๐๓๕.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๕๖,๓๓๗.๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๔,๖๙๘.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๑.๑๐ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๐.๒๘ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ ดุลการค้ายังคงขาดดุลต่อเนื่องมูลค่า ๘,๓๖๐.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๒๑ ส่วนมูลค่าการนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๓๖ ๑.๒. การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนสุทธิในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๖ มีมูลค่ารวม ๗๕,๐๒๑.๖ ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ มีมูลค่า ๔๗,๖๙๘.๐ ล้านบาท สำหรับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ มีมูลค่าลงทุนสุทธิ ๒๗,๓๒๓.๖ ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง ๒ เดือนแรกในไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ พบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๖,๙๑๖.๘ ล้านบาท และในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๘,๙๒๖.๙ ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๕๖ ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ ๓๒.๐๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๑.๓ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น ๕๒๘ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ ๕๐๒ โครงการ โดยในไตรมาสที่ ๒ การลงทุนในกิจการต่าง ๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๗๙,๑๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ ๑๐๐% จำนวน ๒๐๑ โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน ๔๖,๔๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ จำนวน ๑๔๔ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๕๔,๓๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย ๑๐๐% จำนวน ๑๘๓ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๗๘,๕๐๐ ล้านบาท ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญ เดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอ คาดว่าจะขยายตัวได้ในกลุ่มเส้นใยสังเคราะห์และผ้าผืน โดยเฉพาะญี่ปุ่นมีการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนการนำเข้าจากประเทศจีน และลดความเสี่ยงเรื่องคุณภาพและการส่งมอบ ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการไทย โดยคาดว่าในไตรมาสที่ ๔ การส่งออกจะขยายตัวมากขึ้น ๒.๒ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ลดลงร้อยละ ๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะปรับลดลงร้อยละ ๒ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวลดลงร้อยละ ๑๐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดส่งออกหลักยังไม่ฟื้นตัว และมีสัญญาณการชะลอตัวของการนำเข้าส่วนประกอบและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคาดการณ์ว่าการผลิตเพื่อการส่งออกในอนาคตจะยังไม่เพิ่มขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
765 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ครั้งที่ 1/2556 | นร | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กพต.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่ประธาน กพต. เสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบ จำนวน ๖ เรื่อง ๑.๑.๑ รายงานการปฏิบัติตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ตามวัตถุประสงค์ ข้อ ๘ (เพื่อสร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมและเอื้อต่อการพูดคุยในการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้ง และการให้หลักประกันในการเข้ามามีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในกระบวนการเสริมสร้างสันติภาพ) กรณีการพูดคุยกับผู้มีความเห็นต่าง ที่มีประเทศมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวก ๑.๑.๒ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐฝ่ายพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๓ โครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการศาลปกครองยะลาและบ้านพักอาศัย ๑.๑.๔ การช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๕ การส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๑.๖ การขอรับโอนโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ๑.๒ เห็นชอบ จำนวน ๕ เรื่อง ๑.๒.๑ การทบทวนสรุปผลการประชุม กพต. ครั้งที่ ๔/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๕ เพื่อเสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ๒ เรื่อง ได้แก่ การขอขยายระยะเวลาการรับคำขอสินเชื่อโครงการส่งเสริมสินเชื่อผู้ประกอบอาชีพให้บริการรถสาธารณะ ในพื้นที่ ๕ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ของธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ออกไป ๑ ปี ถึงวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ และการขอสนับสนุนงบประมาณงานระวังป้องกันเพิ่มเติมจากการขยายระยะเวลาการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๔๑๐ สายยะลา-เบตง ตอนสะพานข้ามอ่างเก็บน้ำบางลาง เป็นเงิน ๔,๐๒๖,๐๐๐ บาท ของกรมทางหลวง ๑.๒.๒ ร่างแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ๑.๒.๓ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๔ การเพิ่มกรอบอัตรากำลังพลสมาชิกกองอาสารักษาดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ๑.๒.๕ การขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานนราธิวาส ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับโครงการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ปัตตานี ยะลา และ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอสะบ้าย้อย เทพา จะนะ นาทวี) ให้ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและครอบคลุมข้าราชการทุกประเภท โครงการปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไขการจัดสรรเงินอุดหนุนรายบุคคล โรงเรียนเอกชนประเภทสามัญศึกษา ศาสนาควบคู่สามัญ และประเภทอาชีวศึกษาในเขตพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และโครงการสร้างหอพัก อาคารเรียน อาคารเอนกประสงค์ ให้กระทรวงศึกษาธิการ และ ศอ.บต. ดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เป็นธรรม โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการสนับสนุนสวัสดิการครูและบุคลากรทางการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ ศอ.บต. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาอย่างรอบคอบและให้ครอบคลุมข้าราชการทุกคนทุกประเภทที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้ ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นผู้พัฒนาโครงการนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี และรัฐให้การสนับสนุนงบประมาณสำหรับการพัฒนาโครงการดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ในส่วนของโครงการจัดสร้างสนามฟุตซอลเพื่อเยาวชนห่างไกลยาเสพติด ไม่หลงผิดในสิ่งที่ไม่ดี มีพลังสร้างสันติสุขชายแดนใต้ ตามแนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการเรียนสังคมพหุวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของนักเรียนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น เมื่อดำเนินการเสร็จแล้ว ให้ ศอ.บต. ประสานงานกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการจัดการแข่งขันกีฬาฟุตซอลต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
766 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2556 | ทส | 01/10/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๔/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การปรับปรุงมาตรฐานระดับเสียงรถยนต์ ๑.๑ เห็นชอบให้ปรับปรุงประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดระดับเสียงรถยนต์ ลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ให้เป็นไปตามร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานระดับเสียงของรถยนต์ ตามความเห็นของคณะกรรมการควบคุมมลพิษ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำร่างประกาศฯ ที่ปรับแก้ไขตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมลงนามและประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป และให้กรมการขนส่งทางบกระบุความเร็วรอบของเครื่องยนต์ที่ให้กำลังสูงสุดไว้ในสมุดทะเบียนรถ สำหรับรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่นับจากวันที่ประกาศฯ มีผลใช้บังคับ ๒. แนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียอันตรายที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ๒.๑ เห็นชอบแนวทางการนำกลับและส่งกลับของเสียที่เคลื่อนย้ายข้ามแดนอย่างผิดกฎหมาย ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการอนุสัญญาบาเซล ในการประชุมครั้งที่ ๓๖-๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๕ และ ๔๐-๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๕๖ ๒.๒ ให้กรมควบคุมมลพิษนำแนวทางดังกล่าวเผยแพร่ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้ประกอบการขนส่งสินค้า และผู้สนใจทั่วไป และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสาธารณะต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบและนำไปใช้เป็นแนวทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้รับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ ๓.๑ เห็นชอบร่างรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงข้อมูลด้านพลังงานในร่างรายงานฯ ให้สมบูรณ์ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๓.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแจ้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเพื่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมแบบองค์ร่วม และนำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติไปใช้เป็นกรอบในการจัดทำรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ต่อไป ๔. ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... ๔.๑ เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม บริเวณทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๑๐๖ ในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลวัดเกต ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ ตำบลหนองผึ้ง ตำบลยางเนิ้ง และตำบลสารภี อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ และในพื้นที่บางส่วนในท้องที่ตำบลอุโมงค์ อำเภอเมืองลำพูน จังหวัดลำพูน พ.ศ. .... และให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศฯ เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๔.๒ ให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการ ๕. โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน ๕.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคม ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการปรับปรุงขยายท่าอากาศยานนราธิวาส ของกรมการบินพลเรือน โดยให้กรมการบินพลเรือนดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้ตรวจสอบข้อมูลในเอกสารให้ถูกต้องครบถ้วน ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี ๕.๒ นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๖. โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง ๖.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านคมนาคมของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือโครงการร่วมกับเอกชน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น ๔ ช่องจราจร (ระยะที่ ๒) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๕ ตอน ตาก-อ.แม่สอด ของกรมทางหลวง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยให้กรมทางหลวงดำเนินการตามมาตรการป้องกัน แก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๖.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๗. รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการเหมืองแร่สังกะสี ของบริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) ประทานบัตรที่ ๓๐๗๖๙/๑๕๕๒๕ ร่วมแผนผังโครงการทำเหมืองเดียวกันกับประทานบัตรที่ ๓๐๗๗๙/๑๕๗๙๗ ตั้งอยู่ที่ตำบลพระธาตุผาแดง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ๗.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านเหมืองแร่ และอุตสาหกรรมถลุง หรือแต่งแร่ ซึ่งให้ความเห็นชอบรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ โครงการเหมืองแร่สังกะสีฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในการอนุญาตให้บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่สอด เพื่อการทำเหมืองแร่ โดยให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานฯ อย่างเคร่งครัด และรายงานผลการปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดให้กรมป่าไม้และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อพิจารณาเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติทราบปีละ ๑ ครั้ง ๗.๒ ให้กรมป่าไม้นำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขแนบท้ายหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ รวมทั้งให้กรมป่าไม้และกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่โครงการฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน ๗.๓ ให้กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่นำมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมภายหลังการทำเหมืองแร่ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ และให้ถือเป็นแนวปฏิบัติสำหรับโครงการลักษณะเดียวกันทุกโครงการ ๗.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ผู้ประกอบกิจการโครงการเหมืองแร่ทุกโครงการดำเนินการตามขั้นตอนการขอต่ออายุหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติล่วงหน้าได้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า ๒ ปี ก่อนที่อายุหนังสือขออนุญาตฯ จะสิ้นสุดลง และประสานแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ ๘. โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่า มายังสถานีควบคุมก๊าซที่ BVW 01 ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่ตำบลปิล๊อก อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๘.๑ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมด้านโรงไฟฟ้าพลังความร้อน ต่อรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการวางท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากชายแดนไทย-สหภาพพม่าฯ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี โดยให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๘.๒ ให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาต่อไป ๙. โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก นครสวรรค์ (เพื่อขยายโอกาสใช้พลังงานสะอาดและลดมลภาวะในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรมเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง) ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ตั้งอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดอ่างทอง จังหวัด
|
|||||||||||||||||||||
767 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม 2556 | นร04 | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชานและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ได้ดำเนินการกำหนดราคาสินค้าและบริการควบคุม การดูแลราคาต้นทางและราคาปลายทาง การกำหนดมาตรการในการดูแลราคา การตรึงราคาจำหน่ายสินค้า การกำกับดูแลราคาจำหน่ายอาหารปรุงสำเร็จ การติดตามตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย (สายตรวจ Mobile Unit) การขยายระยะเวลาปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันดีเซล การส่งเสริมให้มีการใช้แก๊สโซฮอลเพิ่มขึ้น รวมทั้งการตรึงราคาก๊าซ LPG ภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคขนส่ง ตลอดจนการตรึงราคา NGV สำหรับประชาชน และกลุ่มรถโดยสารสาธารณะ ๒. ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค ได้ดำเนินการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงงานเป็นวันละ ๓๐๐ บาท และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ SMEs การจัดสรรเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การขยายระยะเวลาโครงการบ้าน ธ.อ.ส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก และการคืนภาษีสำหรับการซื้อรถยนต์คันแรก ๓. ปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ฉบับที่ .. พ.ศ. .... (มาตรการปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล) ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๔. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) ได้ดำเนินการโอนเงินโครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) ไปแล้วจำนวน ๗๗,๔๗๑ หมู่บ้าน/ชุมชน จำแนกเป็นหมู่บ้าน/ชุมชน ๗๖ จังหวัด จำนวน ๗๖,๕๓๔ แห่ง ชุมชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน ๙๓๗ แห่ง ๕. ยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ได้แก่ การดำเนินโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร ได้อนุมัติแล้ว ๔,๑๓๒,๕๘๕ บัตร ส่งมอบบัตรแล้ว ๔,๑๒๕,๙๖๐ ราย วงเงินอนุมัติ ๖๐,๑๘๓ ล้านบาท การขึ้นทะเบียนเกษตรกรในพืชสำคัญ ๓ ชนิด (ข้าวนาปี มันสำปะหลัง และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) การดำเนินโครงการรับจำนำขาวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ มีสหกรณ์เข้าร่วมโครงการฯ รวม ๒๒๖ สหกรณ์ ได้ให้บริการรับจำนำ/บริการรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิก ๓๕๑,๕๖๑ ราย ปริมาณข้าวเหลือรวม ๑,๗๔๔,๒๖๐.๖๐๑ ตัน องค์การตลาดเพื่อเกษตรกรรับจำนำแล้ว ๓.๕๕๔ ล้านตัน มูลค่า ๕๖,๑๙๕.๙๓๕ ล้านบาท จำนวนเกษตรกร ๔๘๒,๐๒๒ ราย จำนวนโรงสี ๒๗๐ แห่ง นอกจากนี้ ยังมีการดำเนินโครงการรักษาเสถียรภาพราคามะพร้าว ปี ๒๕๕๕ การรักษาเสถียรภาพราคายาง การเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรจากภัยพิบัติด้านเกษตรกร ในกรณีฝนทิ้งช่วง/ภัยแล้ง อุทกภัย วาตภัย และศัตรูพืชระบาด การจัดทำระบบทะเบียนครัวเรือนเกษตรกร การช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจนที่เป็นลูกหนี้กองทุนหมุนเวียนเพื่อการกู้ยืมแก่เกษตรกรและผู้ยากจนที่มีปัญหาด้านหนี้สินและที่ดิน เป็นต้น ๖. ปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ได้ดำเนินการจัดหาที่ดินให้แก่เกษตรกร การแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ การจัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการที่ดินป่าไม้ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ ได้ดำเนินการโครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว โครงการพัฒนาถนนสายท่องเที่ยว ส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวเมืองช้าง พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวตามรอยเส้นทางถ่ายทำภาพยนตร์ รวมถึงการพัฒนาฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ จำนวน ๑๙ โครงการ ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) ได้ดำเนินการจัดงานแสดงและจำหน่ายสินค้าต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ให้วางจำหน่ายสินค้า OTOP การจับคู่เจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ การส่งเสริมมาตรฐานและยกระดับสินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการสร้างตราสินค้า ถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาการผลิต ยกระดับผู้ประกอบการส่งเสริมและพัฒนาผลิตภัณฑ์ศิลปาชีพตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งเสริมสร้างผู้ประกอบการรายใหม่
|
|||||||||||||||||||||
768 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" | สสป | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงโดยชุมชน/ท้องถิ่น" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมโยธาธิการและผังเมือง สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย สมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย สมาคมองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ระดับนโยบาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กำหนดนโยบายให้มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือในชุมชน โดยมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้ดำเนินการหลัก อีกทั้งควรให้มีระเบียบและข้อกำหนดในด้านงบประมาณให้มีความคล่องตัวและเอื้อต่อการปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ ๒. ระดับพื้นที่ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ประสานงานกับผู้บริหารโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบลในพื้นที่ เพื่อจัดบริการสุขภาวะผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนที่มีนักบริบาลประจำหมู่บ้านหรือชุมชน ตลอดจนสร้างความเข้มแข็งของครอบครัวผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยจัดบริการให้ครบทุกมิติสุขภาวะทั้ง ๔ ด้าน คือ กาย ใจ สังคม และปัญญา ๒.๒ สนับสนุนการจัดบริการสังคมอื่น ๆ เพื่อสุขภาวะของผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง เช่น ยานพาหนะในการรับส่ง กายอุปกรณ์ และการปรับปรุงสิ่งแวดล้อม ที่อยู่อาศัย ๒.๓ สนับสนุนให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ขยายแนวคิดการพัฒนารูปแบบของกระบวนการทำงาน ในลักษณะการมีส่วนร่วมและเชื่อมประสานของทุกฝ่าย (ชุมชน อปท. ทีมนักวิชาการวิชาชีพสุขภาพ) ร่วมเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสุขภาพชุมชน โดยเฉพาะการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงให้เกิดสังคมไม่ทอดทิ้งกัน มีชุนชน บ้านของเขาเป็นฐาน
|
|||||||||||||||||||||
769 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม 2556 | พณ | 17/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๕.๔๑ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ (เท่ากับ ๑๐๕.๔๒) ลดลงร้อยละ ๐.๐๑ จากการลดลงของดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๑๐ จากการลดลงของหมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร ลดลงร้อยละ ๐.๓๑ ตามการลดลงของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๑.๐๑ สาเหตุจากการลดลงของราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยภายในประเทศตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก ขณะที่ดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๓๒ หมวดไข่และผลิตภัณฑ์นม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๑๔ เทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๗ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดการบันเทิงการอ่าน การศึกษา และการศาสนา
|
|||||||||||||||||||||
770 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 | ทก | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๐.๑๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๙๐ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๒.๑๙ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๗๗ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๐ แสนคน (จาก ๓๙.๘๙ ล้านคน เป็น ๔๐.๑๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๙.๙๐ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๗ แสนคน (จาก ๓๙.๕๓ ล้านคน เป็น ๓๙.๙๐ ล้านคน) โดยผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร สาขาการผลิต สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการศึกษา ส่วนผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์และรถจักรยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง สาขาอสังหาริมทรัพย์ สาขาการก่อสร้าง สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๑๙ แสนคน ลดลง ๔.๘ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๒๑ แสนคน อีกส่วนหนี่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำมางานก่อน จำนวน ๙.๘ หมื่นคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิต ๔.๕ หมื่นคน ภาคการบริการและการค้า ๔.๑ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๒ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๒๖ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๓.๙ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๒.๙ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๑.๙ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๖.๐ พันคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๖.๑ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๕.๒ หมื่นคน ภาคเหนือ ๓.๙ หมื่นคน ภาคใต้ ๓.๘ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๙ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
771 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 10/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนกรกฎาคม ยังคงแสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนตัว โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และจำนวนนักท่องเที่ยว ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตามมูลค่าการส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิตยังคงปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม การท่องเที่ยวยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๖ และอัตราการว่างงานที่อยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลก็ตาม ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๖ อัตราการว่างงานในเดือนมิถุนายน อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๐.๖ ดุลการค้าเกินดุลต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๓ แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนกรกฎาคม สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม การเบิกจ่ายจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะทรงตัว ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทรงตัวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในขณะที่การชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นของสถาบันการเงินทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกสุทธิ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๘-๔.๓ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
772 | รายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกของปี 2556 | อก | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะการส่งเสริมการลงทุนครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. มีคำขอรับการส่งเสริมในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ จำนวน ๑,๐๕๕ โครงการ มูลค่าลงทุนรวม ๖๓๒,๗๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๖ และร้อยละ ๔.๗ ตามลำดับ ๒. หมวดกิจการบริการและสาธารณูปโภค ได้รับความสนใจขอรับส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด รองลงมา คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่ง หมวดเกษตรกรรม และผลิตผลจากการเกษตร และหมวดอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า ตามลำดับ ๓. โครงการที่คนไทยถือหุ้นทั้งสิ้นและต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้นมีสัดส่วนใกล้เคียงกัน คือ ร้อยละ ๓๗ ของจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมทั้งหมด และโครงการร่วมลงทุนสัดส่วนร้อยละ ๒๖ ของทั้งหมด ๔. การลงทุนจากต่างประเทศในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ มีมูลค่า ๒๗๘,๖๐๐ ล้านบาท โดยญี่ปุ่นยังคงเป็นประเทศที่ลงทุนมากที่สุดทั้งจำนวนโครงการและมูลค่าการลงทุน โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๕๔ และร้อยละ ๖๖ ของการลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด ตามลำดับ รองลงมา คือ การลงทุนจากมาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ และเนเธอร์แลนด์ ตามลำดับ ๕. คำขอรับส่งเสริมการลงทุนกระจุกตัวอยู่ในเขต ๒ เป็นหลัก โดยมีทั้งสิ้น ๔๔๒ โครงการ มูลค่าการลงทุน ๒๕๒,๑๐๐ ล้านบาท รองลงมา คือ การลงทุนในเขต ๓ จำนวนทั้งสิ้น ๒๗๓ โครงการ ลงทุน ๑๕๔,๐๐๐ ล้านบาท สำหรับการลงทุนในเขต ๑ มี ๒๙๒ โครงการ ลงทุน ๖๒,๖๐๐ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
773 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี 2556 | นร11 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสอง ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างแรงงานและรายได้ ๑.๑ การจ้างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๗ และมีอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗๓ ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว การปรับค่าจ้างแรงงาน ๓๐๐ บาท และการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ทำให้สถานประกอบการพยายามปรับการทำงานให้อยู่ในช่วงเวลาปกติมากขึ้น ๑.๒ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐ ขณะที่ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ ทำให้ค่าจ้างและเงินเดือนภาคเอกชนที่แท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๕ สำหรับผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๙ ต่ำกว่าร้อยละ ๔.๐ ในไตรมาสที่แล้ว ๑.๓ แรงงานเยาวชนที่จะเป็นกำลังหลักในอนาคตมีแนวโน้มลดลงและส่วนใหญ่มีการศึกษาต่ำ โดยอัตราการมีส่วนร่วมกำลังแรงงานเยาวชนลดลงจากร้อยละ ๕๓.๑ ในปี ๒๕๕๔ เป็นร้อยละ ๔๖.๘ ในปี ๒๕๕๕ หรือประมาณ ๔.๘๒ ล้านคน เนื่องจากเยาวชนประมาณร้อยละ ๔๐ ยังอยู่ระหว่างการศึกษา แรงงานกลุ่มเยาวชนร้อยละ ๖๗.๙ มีการศึกษาระดับมัธยมต้นและต่ำกว่า และร้อยละ ๑๘.๘ มีการศึกษาระดับมัธยมปลาย ขณะที่การศึกษาระดับ ปวช. และ ปวส. ซึ่งตลาดมีความต้องการสูงมีสัดส่วนเพียงร้อยละ ๕.๗ และ ๓.๙ ตามลำดับ ที่เหลือร้อยละ ๓.๗ มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและมากกว่า ๒. ด้านสุขภาพ เยาวชนมีความเครียดและมีการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น โดยผลการสำรวจของสถาบันรามจิตติเรื่องสภาวการณ์เด็กและเยาวชนไทยในรอบปี ๒๕๕๕ พบว่า สาเหตุของความเครียดส่วนใหญ่มาจากปัญหาการเรียน เด็กระดับอุดมศึกษามีความเครียดมากที่สุดร้อยละ ๔๖ รองลงมาคือ เด็กระดับอาชีวศึกษามีความเครียดร้อยละ ๔๕ ขณะที่กลุ่มวัยรุ่น ๑๐-๑๙ ปี มีการฆ่าตัวตายประมาณปีละ ๒๐๐ คน ซึ่งมีสาเหตุจากปัญหาการเรียนและปัญหาความรัก และข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาพบว่า กลุ่มเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี มีอัตราป่วย ๖๒.๗๙ รายต่อประชากรแสนคนในปี ๒๕๕๑ เพิ่มขึ้นเป็น ๙๐.๐๖ รายต่อประชากรแสนคนในปี ๒๕๕๔ ซึ่งอยู่ในระดับสูงกว่าอัตราป่วยรวม ๒ เท่า สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกันร้อยละ ๘๓ ๓. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย จำนวนผู้สูบบุหรี่มีแนวโน้มลดลงจาก ๑๑.๙๖ ล้านคนในปี ๒๕๔๔ เป็น ๑๐.๙๑ ล้านคนในปี ๒๕๕๒ แต่ในปี ๒๕๕๔ กลับเพิ่มขึ้นเป็น ๑๑.๕๑ ล้านคน ขณะที่อัตราการดื่มสุราลดลงจากร้อยละ ๓๒.๖ ในปี ๒๕๔๔ เป็นร้อยละ ๓๑.๕ ในปี ๒๕๕๔ ๔. ด้านความมั่นคงทางสังคม มีประเด็นเฝ้าระวัง ๔.๑ สถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดยังคงทวีความรุนแรง พบการจับกุมผู้ค้าและผู้เสพยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดของคดีอาญารวม โดยรับแจ้ง ๑๑๐,๗๑๑ ราย เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ และจากไตรมาสก่อนหน้า ร้อยละ ๑๙.๗ และ ๐.๑ ตามลำดับ จับกุมผู้ต้องหาได้ ๑๑๕,๒๒๘ คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๕๕.๒ แต่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ ๐.๒ การแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่เป็นทั้งนักค้ารายใหม่และเป็นผู้เสพ โดยปลายปี ๒๕๕๕ พบนักค้ารายใหม่อายุน้อย ๑๒ ปี ๔.๒ การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๙ และพบแนวโน้มการเสียชีวิตของกลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นสูงขึ้น เด็กอายุ ๑-๑๕ ปี เสียชีวิตกว่าปีละ ๖๕๐ ราย เยาวชนวัย ๑๕-๒๔ ปี ปีละ ๓,๖๐๐ ราย
|
|||||||||||||||||||||
774 | รายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน 120,000 ล้านบาท) และการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ อุทกภัย (เพิ่มเติม) | นร07 | 03/09/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติและรับทราบตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ เป็นเงิน ๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท ซึ่งสำนักงบประมาณจะได้พิจารณาดำเนินการจัดสรรงบประมาณต่อไป ได้แก่ กรมชลประทาน เป็นเงิน ๒๖.๑๐๖๐ ล้านบาท กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเงิน ๑๘.๖๕๓๐ ล้านบาท และกระทรวงมหาดไทย เป็นเงิน ๙๖.๖๑๘๕ ล้านบาท และขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างของสำนักงานปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน ๓ รายการ ได้แก่ โครงการสำรวจระดับแม่น้ำและคลองสายสำคัญ โครงการจัดตั้งศูนย์บริการข้อมูลเคลื่อนที่ในภาวะฉุกเฉิน และโครงการร่วมดำเนินการและสนับสนุน JICA เพื่อจัดทำข้อมูลความสูงภูมิประเทศของพื้นที่รับน้ำนอง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๑.๑๒๐๐ ล้านบาท ๒. รับทราบรายงานสถานะความก้าวหน้าการดำเนินโครงการภายใต้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ (วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท) ในส่วนของการจัดสรร/การเบิกจ่าย/ลงนามสัญญาหรือดำเนินการเอง และผลการเบิกจ่ายของส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งวงเงินงบประมาณคงเหลือ โดย ณ วันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ สำนักงบประมาณจัดสรรสุทธิ ๑๑๙,๒๗๘.๑๗๔๖ ล้านบาท คงเหลือ ๗๒๑.๘๒๕๔ ล้านบาท ประกอบด้วย รายการที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแล้วและยังไม่ได้จัดสรรงบประมาณ จำนวน ๔๗๗.๒๓๓๑ ล้านบาท (รวมรายการที่ส่วนราชการฯ ยังมิได้ขอรับการจัดสรรงบประมาณ เนื่องจากต้องดำเนินการขอขยายระยะเวลาขอรับการจัดสรรงบประมาณ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ จำนวน ๒ รายการ วงเงิน ๑๔๔.๙๔๐๐ ล้านบาท) และวงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้ทันทีอีกเป็นจำนวน ๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท ทั้งนี้ วงเงินคงเหลือที่คณะรัฐมนตรีจะอนุมัติเพิ่มเติมได้อีกหลังจากอนุมัติตามข้อ ๑ แล้ว จะเป็นเงิน ๑๐๓.๒๑๔๘ ล้านบาท (๒๔๔.๕๙๒๓ ล้านบาท-๑๔๑.๓๗๗๕ ล้านบาท) |
|||||||||||||||||||||
775 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม 2556 | พณ | 27/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๘ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๗) ได้แก่ หมวดพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ในขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๒๑ (เดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๗) จากการลดลงของราคาหมวดผักและผลไม้ และหมวดไข่และผลิตภัณฑ์นมเป็นสำคัญ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ดัชนีโดยเฉลี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีบางรายการสินค้าและบริการที่ปรับตัวสูงขึ้นและลดลง ประกอบด้วย สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ ขณะที่สินค้าและบริการที่มีราคาลดลง ได้แก่ หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||
776 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2555 | นร12 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของรายงานฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาระบบราชการไทยตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๑-พ.ศ. ๒๕๕๕) บรรลุเป้าหมายในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินการสูงกว่าค่าเป้าหมาย เช่น ประชาชนมีความพึงพอใจในระบบราชการ ร้อยละ ๘๒.๖๕ ส่วนราชการมีการปรับปรุงรูปแบบหรือวิธีการทำงาน ร้อยละ ๘๙.๕๐ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐยังไม่สามารถบรรลุตามค่าเป้าหมายการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการบริการประชาชน ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการส่งเสริมให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้บริการประชาชน ผ่านรูปแบบของการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ให้บริการประชาชนมากขึ้น ๒. ความก้าวหน้าของการพัฒนาระบบราชการไทย ๒.๑ ผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการจากการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การปฏิบัติราชการของกระทรวง กรม จังหวัด สถาบันอุดมศึกษา และองค์การมหาชน มีผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองฯ ที่สูงกว่าค่าเป้าหมาย โดยส่วนราชการมีคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมค่อนข้างสูงซึ่งสูงกว่าค่าเป้าหมาย ในส่วนของจังหวัดในภาพรวมมีคะแนนเฉลี่ยค่อนข้างสูงเช่นเดียวกัน สถาบันอุดมศึกษาในภาพรวมมีผลคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าเป้าหมาย รวมทั้งองค์การมหาชนในภาพรวมการปฏิบัติงานเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด ๒.๒ การผลักดันการพัฒนาระบบราชการไทย ในรอบปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒.๒.๑ การสนับสนุนให้มีการพัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน การมอบรางวัลระดับชาติให้แก่หน่วยงานที่มีนวัตกรรมหรือมีพัฒนาการในการบริการประชาชน และสนับสนุนการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการให้บริการ (e-Services) พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานการพัฒนาคุณภาพการให้บริการของหน่วยงานภาครัฐให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ ๒.๒.๒ การปรับรูปแบบการทำงานให้มีลักษณะเชิงบูรณาการ และเปิดให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ปรับกลยุทธ์การบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ การพัฒนาและส่งเสริมให้มีการแข่งขันในการจัดบริการสาธารณะและการเปิดให้องค์กรในภาคส่วนอื่นเสนอตัวเข้ามาให้บริการของรัฐ การส่งเสริมการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม และความร่วมมือการทำงานในลักษณะเครือข่าย รวมทั้งปรับปรุงระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการตามคำรับรองการปฏิบัติราชการให้เกิดการบูรณาการการทำงานระหว่างกระทรวง ๒.๒.๓ การปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของส่วนราชการ เพื่อเปิดให้ภาคส่วนต่าง ๆ ที่มีความพร้อมเข้ามาจัดบริการสาธารณะแทนภาครัฐ การพัฒนาเสริมสร้างขีดสมรรถนะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในระบบราชการ ทั้งกลุ่มผู้นำการบริหารการเปลี่ยนแปลง (Chief Change Officer : CCO) กลุ่มพัฒนาระบบบริหารของกระทรวงและกรม และนักบริหารการเปลี่ยนแปลงรุ่นใหม่ การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลไกการบริหารองค์การมหาชน เพื่อให้องค์การมหาชนมีแนวทางในการปฏิบัติงานตามคำรับรองการปฏิบัติงานตามกรอบการประเมินผลที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ รวมทั้งเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับองค์การมหาชนสู่สาธารณะ นอกจากนี้ ยังได้ส่งเสริมผลักดันให้ภาครัฐมีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ทั้งการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน และการรับมือกับสภาวะวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้การปฏิบัติงานของภาครัฐสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่สะดุดหยุดลง ๒.๒.๔ การสร้างระบบการกำกับดูแลตนเองที่ดี เกิดความโปร่งใส มั่นใจ และสามารถตรวจสอบได้ รวมทั้งทำให้บุคลากรปฏิบัติงานอย่างมีจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อประชาชน และต่อสังคมโดยรวม ทั้งการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน การสร้างการกำกับดูแลองค์การที่ดีของส่วนราชการ การจัดทำแผนการส่งเสริมและพัฒนาธรรมาภิบาลในภาคราชการเพื่อการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยั่งยืน และการส่งเสริมระบบการตรวจสอบที่ให้ความสำคัญกับผลสัมฤทธิ์ที่ประชาชนจะได้รับจากหน่วยงานผ่านทางคณะกรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ |
|||||||||||||||||||||
777 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน 2556 | นร | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้วมีความเห็น และเห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบในแต่ละด้านรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้
๑. โครงการกำกับดูแลการชั่งตวงวัดและสินค้าหีบห่อเพื่อสร้างความเป็นธรรมในการซื้อขายพลังงานเชื้อเพลิง ผลผลิตทางการเกษตร และสินค้าทั่วไปต่าง ๆ มีการตรวจพบการกระทำความผิดเพิ่มขึ้น กระทรวงพาณิชย์ควรพิจารณาหามาตรการในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้การกระทำความผิดมีจำนวนลดลง ๒. การตรวจสอบโครงการรับจำนำสินค้าเกษตร ยังพบการกระทำความผิดอยู่มาก ให้กระทรวงพาณิชย์เพิ่มมาตรการป้องกัน ตรวจสอบ และลงโทษผู้กระทำความผิดโดยเด็ดขาด ๓. โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต ๒๕๕๕/๒๕๕๖ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรประชาสัมพันธ์อย่างเร่งด่วน เพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงประโยชน์ที่ชาวนาได้รับโดยตรงจากราคาตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการได้รับผลประโยชน์ โดยราคาข้าวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น ๒,๕๐๐ บาท/ตัน และ ๔,๐๐๐ บาท/ตัน รวมทั้งผลประโยชน์ทางอ้อมต่อรัฐบาล โดยเกษตรกรจะมีการใช้จ่ายมากขึ้นทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ธุรกิจมีกำไรและรัฐเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น เกิดการขยายตัวของธุรกิจเพื่อรองรับกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการจ้างแรงงานเพิ่มขึ้น มูลค่ารวม ๘๓,๒๓๘ ล้านบาท ๔. โครงการพัฒนาศักยภาพกองทุนหมู่บ้านและชุมชน (SML) และการดำเนินการตามโครงการเพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง ระยะที่ ๓ ยังดำเนินการได้ค่อนข้างล่าช้า ให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติจัดทำกรอบระยะเวลาในการดำเนินการให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายและชัดเจน
|
|||||||||||||||||||||
778 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 20/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สอง และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ เทียบกับร้อยละ ๕.๔ ในไตรมาสแรก การขยายตัวในด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน แม้ว่าจะชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้าตามฐานที่สูงขึ้น ในขณะที่การส่งออกหดตัวเนื่องจากได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและการแข็งค่าของเงินบาท ด้านการผลิตมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของสาขาโรงแรมและภัตตาคาร อสังหาริมทรัพย์ การค้าปลีกค้าส่ง และการเงิน การขยายตัวของเศรษฐกิจเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๖ และปรับผลของฤดูกาลออก หดตัวร้อยละ ๐.๓ รวมครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๔.๑ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๘-๔.๓ ปรับลดจากร้อยละ ๔.๒-๕.๒ ในการประมาณการครั้งก่อนหน้า โดยคาดว่าการบริโภคและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๖ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๒.๘ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๓ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ๑.๓ ประเด็นการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ ควรให้ความสำคัญกับการดำเนินมาตรการเพื่อรักษาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายเพื่อสร้างขีดความสามารถการแข่งขันในระยะยาว ประกอบด้วย การเร่งรัดดำเนินมาตรการสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ การเร่งรัดให้เม็ดเงินที่ได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนให้สามารถดำเนินโครงการลงทุนได้โดยเร็ว การเตรียมความพร้อมของโครงการลงทุนภายใต้แผนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยวและขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้สามารถขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ๒. เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖ ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นของรัฐเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ วงเงินทั้งสิ้น ๑๗๐,๔๗๕.๐๒๗ ล้านบาท ภายในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๖ (เรื่อง มาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖)
|
|||||||||||||||||||||
779 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๔๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๘๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๐๓ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๓.๔๕ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๔.๘ แสนคน (จาก ๓๙.๐๑ ล้านคน เป็น ๓๙.๔๙ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๘๕ ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๘ แสนคน (จาก ๓๘.๒๗ ล้านคน เป็น ๓๘.๘๕ ล้านคน) โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น สาขาการศึกษา สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการก่อสร้าง สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร และสาขาการผลิต เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๐๓ แสนคน ลดลง ๕.๖ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ โดยเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๗๑ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๓๒ แสนคน ได้แก่ ผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๒๓ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๗ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๓ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๒ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๙.๓ หมื่นคน ภาคกลาง ๘.๕ หมื่นคน ภาคใต้ ๕.๑ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๘ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๖ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
780 | รายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง | กษ | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในสถานการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลในทะเลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมประมง ได้ดำเนินการออกสำรวจคุณภาพน้ำทะเล คุณภาพสัตว์น้ำ ผลกระทบที่แนวปะการังเทียมได้รับ และสภาวะความเดือดร้อนและการช่วยเหลือชาวประมงในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำมันรั่วไหลบริเวณชายฝั่งจังหวัดระยอง ตั้งแต่วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖-๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ การตรวจสอบคุณภาพสัตว์น้ำทั่วไป พบว่าในบริเวณที่คราบน้ำมันเคลื่อนผ่าน น้ำทะเลมีคุณภาพอยู่ในเกณฑ์ปกติ การตรวจสอบปริมาณโลหะหนักในน้ำทะเล ๕ ชนิด คือ ปรอท แคดเมียม ตะกั่ว ทองแดง และสังกะสี ในน้ำทะเลที่คราบน้ำมันเคลื่อนผ่าน พบว่ามีค่าไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล การตรวจสอบปริมาณโลหะหนักในเนื้อสัตว์น้ำ พบว่าปริมาณโลหะหนักในเนื้อสัตว์น้ำมีค่าไม่เกินค่ามาตรฐาน การตรวจสอบปริมาณสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ ยังไม่พบความผิดปกติของการปนเปื้อนสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนในสัตว์น้ำ และการตรวจสอบระบบนิเวศในแนวปะการังเทียม พบว่าคุณภาพน้ำทั่วไปและลักษณะความขุ่นใสของน้ำมีคุณภาพปกติ สภาวะทรัพยากรประมงในแนวปะการังเทียมอยู่ในสภาพปกติ สำหรับการช่วยเหลือชาวประมง ทางจังหวัดระยองได้ประกาศหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบและเสียหายจากเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหล โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาชาวประมงพื้นบ้านในจังหวัดระยองที่ได้รับผลกระทบในเบื้องต้น อัตราวันละ ๑,๐๐๐ บาท จำนวน ๓๐ วัน นับแต่วันเกิดเหตุ ส่วนเครื่องมือประมงที่เสียหายให้กำหนดราคากลางตามจริงหรือราคาตลาดของอุปกรณ์ หรือเครื่องมือนั้น ๆ ๒. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้กำหนดแผนการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยภายหลังเมื่อเหตุการณ์เข้าสู่สภาวะปกติเรียบร้อยแล้ว จะมีแผนปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในบริเวณที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ กุ้งแชบ๊วย จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ ตัว กุ้งกุลาดำ จำนวน ๕,๐๐๐,๐๐๐ ตัว ปูม้า จำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ ตัว ปลากะพงขาว จำนวน ๒๐๐,๐๐๐ ตัว หอยหวาน จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ ตัว และหมึก จำนวน ๕๐,๐๐๐ ตัว โดยจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป นอกจากนี้ ยังได้จัดทำแผนเฝ้าระวังหลังจากเหตุการณ์คลี่คลาย โดยจะสุ่มเก็บตัวอย่างเพื่อวิเคราะห์คุณภาพน้ำและสัตว์น้ำ สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง เป็นเวลา ๑ เดือน และเก็บตัวอย่างเดือนละ ๑ ครั้ง เป็นเวลา ๑ ปี หลังจากนั้น จะดูแนวโน้มตามผลการศึกษา แล้วจะดำเนินการวางแผนการติดตามระยะยาวอีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะการตรวจติดตามปริมาณสารปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอนที่อาจจะมีการถ่ายทอดมาตามห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ รวมทั้งมีทีมงานศึกษาและดูแลชาวประมงทางด้านสังคมและเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
|
.....