ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 33 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 641 - 660 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
641 | ผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค ครั้งที่ 21 | พณ | 02/06/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปค (Meeting of Ministers Responsible for Trade : MRT) ครั้งที่ ๒๑ ระหว่างวันที่ ๒๓-๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ณ เกาะโบราไคย์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ รวมทั้งผลการหารือทวิภาคี และการดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคปี ๒๐๑๕ และมอบหมายหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามสรุปประเด็นสำคัญในส่วนที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคี ได้แก่ การเฝ้าระวังมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ ของสมาชิกเอเปค/การไม่นำมาตรการกีดกันทางการค้าใหม่ ๆ มาใช้ การดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้สัตยาบันความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้า การจัดทำมาตรการถาวรเรื่องการคงคลังสินค้าของรัฐบาลเพื่อความมั่นคงทางอาหาร การจัดทำแผนงานเจรจาหลังบาหลี การดำเนินการภายในประเทศเพื่อให้การยอมรับพิธีสารแก้ไขความตกลงทริปส์ตามหลักการของย่อหน้าที่ ๖ แห่งปฏิญญาโดฮาว่าด้วยความตกลงทริปส์และการสาธารณสุข การแจ้งผลการเจรจาความตกลงการค้าระดับภูมิภาคต่อกลไกความโปร่งใสภายใต้องค์การการค้าโลก การเจรจาขยายขอบเขตความตกลงว่าด้วยการค้าสินค้าเทคโนโลยีสารสนเทศ และการหารือเรื่องความตกลงสินค้าสิ่งแวดล้อมภายใต้องค์การการค้าโลก ๑.๒ การก้าวสู่การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ได้แก่ การทบทวนครั้งที่ ๒ ในปี ๒๐๑๖ เกี่ยวกับความคืบหน้าของเศรษฐกิจในการมุ่งสู่การเปิดเสรีการค้าและการลงทุนภายใต้เป้าหมายโบกอร์ในปี ๒๐๒๐ การศึกษารายการสินค้าที่สนับสนุนการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืน ทั่วถึง พัฒนาชนบท และบรรเทาความยากจน การศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก การลดภาษีสินค้าสิ่งแวดล้อมเอเปค จำนวน ๕๔ รายการ ให้เหลือร้อยละ ๐-๕ ภายในปี ๒๐๑๕ การลดอุปสรรคของความเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทานให้ได้ร้อยละ ๑๐ ภายในปี ๒๐๑๕ การสร้างคลังข้อมูลการค้าเอเปค การพัฒนาและการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำแผนปฏิบัติด้านบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตในห่วงโซ่อุปทาน/ห่วงโซ่คุณค่าโลก การจัดทำกรอบความร่วมมือด้านบริการของเอเปค และการปฏิบัติตามแผนปฏิบัติด้านการอำนวยความสะดวกด้านการลงทุน เป็นต้น ๑.๓ การบ่มเพาะการมีส่วนร่วมของวิสาหกิจขนาดย่อมและขนาดกลางในเศรษฐกิจภูมิภาคและเศรษฐกิจโลก ได้แก่ การปฏิบัติตามแผนปฏิบัติโบราไคย์เพื่อนำวิสาหกิจรายย่อย ขนาดย่อมและขนาดกลางเข้ามามีส่วนร่วมในตลาดโลก การดำเนินงานตามพิมพ์เขียวเชิงกลยุทธ์เพื่อส่งเสริมการพัฒนาและความร่วมมือด้านห่วงโซ่คุณค่าโลก รวมทั้งความร่วมมือในด้านการศึกษาชั้นสูงเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดทำข้อมูลตลาดแรงงาน การให้ทุนการศึกษาและการฝึกหัดงาน การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในระบบเศรษฐกิจ ๑.๔ การสร้างชุมชนที่ยั่งยืนและเข้มแข็ง ได้แก่ ยุทธศาสตร์การเจริญเติบโตรูปแบบใหม่ของเอเปค ซึ่งเน้นการเจริญเติบโตที่มีคุณภาพใน ๕ ลักษณะ ได้แก่ สมดุล ครอบคลุม ยั่งยืน/เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีนวัตกรรม และมั่นคง การฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็วในภาวะเกิดภัยพิบัติ การปฏิรูปการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาเมือง และการต่อต้านการก่อการร้ายเพื่อการค้าที่มั่นคง ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การดำเนินการต่อเนื่องจากการประชุมรัฐมนตรีการค้าเอเปคมีประเด็นที่หลากหลายและมีความเกี่ยวข้องกับหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบจำนวนมาก กระทรวงพาณิชย์จึงควรจัดประชุมชี้แจงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะหน่วยงานหลักในแต่ละประเด็น ทั้งในเรื่องขอบข่ายภารกิจ การกำหนดท่าทีและเป้าหมายของประเทศไทย ตลอดจนกรอบเวลาที่ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จของแต่ละประเด็น เพื่อให้ประเทศไทยมีท่าทีที่ชัดเจนและสามารถดำเนินการตามกรอบความร่วมมือเอเปคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
642 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม 2558 | อก | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา แต่หากพิจารณาเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หดตัวลงร้อยละ ๑.๘ จากกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกเป็นหลัก อาทิ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวช้า และปัจจัยด้านผู้ผลิตที่มีจากการหยุดซ่อมเครื่องจักรของผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ และการย้ายฐานการผลิตโทรทัศน์ ๒. อุตสาหกรรมโทรทัศน์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ การผลิตลดลง เนื่องจากมีผู้ผลิตบางรายย้ายฐานการผลิตไปประเทศในกลุ่มอาเซียน ๓. อุตสาหกรรมเลนส์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๑๘.๐๗ เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมียอดสั่งซื้อเพิ่มขึ้นในส่วนของเลนส์กล้องถ่ายรูปและกล้องวงจรปิด และจากการพัฒนาคุณภาพของเลนส์ให้มีความหลากหลาย ๔. อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ขยายตัวดีต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการใช้อุปกรณ์สื่อสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ๕. การเปิดปิดโรงงาน เดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๕๗ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ร้อยละ ๑๘.๒ จำนวนเงินทุน ๕๐๐.๖๓ ล้านบาท และจำนวนคนงาน ๖๑๙ คน และเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๓.๗ สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน ๑๓๕ ราย มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ร้อยละ ๕๐.๐ และมากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๑๕๐ ๖. การขอรับการส่งเสริมการลงทุน เดือนมกราคม-มีนาคม ๒๕๕๘ มีโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ทั้งสิ้น ๑๗๖ โครงการ เงินลงทุน ๒๘,๘๓๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๓๓.๕๘ และ ๘๖.๘๑ ตามลำดับ ประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนคิดเป็นร้อยละ ๗๑.๖๓ ๗. การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีการนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล คิดเป็นมูลค่า ๙๖๗.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๖.๐ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ส่วนการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า ๖,๑๐๗.๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑.๐ จากการนำเข้าเคมีภัณฑ์ กระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ รวมถึงผ้าผืน ที่ลดลง ๘. การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ มีปริมาณทั้งหมดจำนวน ๑๐,๓๙๑ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๓ จากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ และร้อยละ ๒.๘ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ หากแยกการใช้ไฟฟ้าตามขนาดของกิจการ พบว่า ทุกกิจการ (ขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่) มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
643 | การให้ความช่วยเหลือเนปาลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว | กต | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินการเรื่องการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่เนปาล โดยปัจจุบันภารกิจด้านการกู้ภัยได้สิ้นสุดลงแล้ว และรัฐบาลกำลังมุ่งที่จะดำเนินการบรรเทาทุกข์ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และได้ขอให้คณะช่วยเหลือและกู้ภัยจากต่างชาติ (รวมทั้งไทย) เดินทางกลับประเทศ โดยรัฐบาลเนปาลจะประเมินความต้องการความช่วยเหลือด้านแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุขให้ต่างประเทศทราบก่อนที่จะขอความช่วยเหลือต่อไป สำหรับสิ่งของที่เนปาลยังคงประสงค์จะขอรับความช่วยเหลือเป็นลำดับต้น ๆ ได้แก่ ที่พักพิงที่มีหลังคา อาหาร สุขอนามัย เสื้อผ้า ยา วัคซีนป้องกันโรคติดต่อ วัสดุก่อสร้าง ยาฆ่าเชื้อ และผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ในส่วนของเงินบริจาค รัฐบาลเนปาลจะนำเงินบริจาคทั้งหมดเข้าบัญชีกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติของนายกรัฐมนตรีเนปาล (Prime Minister’s Disaster Relief Fund : PMDRF) ๑.๒ อนุมัติให้มีการดำเนินการรับบริจาคเงินจนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และรับบริจาคสิ่งของจนถึงวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ อนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย โดยจังหวัดและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาตามความเหมาะสมในการดำเนินการจัดจำหน่ายสิ่งของบริจาคในรายการที่เห็นสมควร เพื่อจัดส่งรายได้ไปช่วยเหลือแทน สำหรับสิ่งของบริจาครายการที่ไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ หรือมีข้อจำกัดในการจำหน่าย ให้จัดเก็บไว้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในประเทศต่อไป โดยให้ทำการประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริจาคทราบก่อน ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับกรณีที่จะให้มีการจัดจำหน่ายสิ่งของบริจาคในรายการที่เห็นสมควร เพื่อจัดส่งเงินรายได้ไปช่วยเหลือแทน รวมทั้งสิ่งของบริจาครายการที่ไม่สามารถจัดจำหน่ายได้ หรือมีข้อจำกัดในการจำหน่าย ให้จัดเก็บไว้ช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติในประเทศนั้น ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ในส่วนของการให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์ ให้กระทรวงสาธารณสุขส่งทีมปฏิบัติการทางการแพทย์และสาธารณสุขในภาวะภัยพิบัติ ชุดที่ ๔ และทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะสาขาและด้านสาธารณสุขปฏิบัติภารกิจที่ประเทศเนปาลเป็นเวลา ๒ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ถึงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และให้รายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย สำหรับงบประมาณในการดำเนินการ ให้กระทรวงสาธารณสุขใช้จ่ายจากวงเงินที่เหลือจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่กระทรวงการต่างประเทศได้รับจัดสรรไว้แล้ว ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาลในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว) ทั้งนี้ หากไม่เพียงพอให้กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมอีกครั้งหนึ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
644 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 26/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนภาคธุรกิจ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้การสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ในการผลิตสินค้าไทยที่มีคุณภาพสำหรับนำไปจำหน่ายยังประเทศเพื่อนบ้าน และผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและราคาประหยัดสำหรับคนไทย รวมทั้งสนับสนุน SMEs ให้มีความเข้มแข็งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป ๑.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกันกำหนดแนวทางและกลไกเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจขนาดใหญ่มีการช่วยเหลือเกื้อกูลธุรกิจขนาดเล็ก เช่น กลุ่มธุรกิจช่วยเหลือเรื่องปัจจัยการผลิตและลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกรรายย่อย และการรับซื้อผลผลิตเกษตรกรรายย่อยผ่านการดำเนินธุรกิจการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) โดยเฉพาะในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและพื้นที่ชายแดน ๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคมเสนอแผนการดำเนินงานการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ตามแผนแม่บทการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำข้อมูลสถิติการส่งออกสมุนไพรไทย และการนำเข้าสมุนไพรแปรรูปจากต่างประเทศ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาและแปรรูปสมุนไพรไทยให้เป็นสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าสูงขึ้น รวมทั้งใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนการเพาะปลูกพืชสมุนไพรตามความต้องการของตลาดในอนาคต ๑.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์สร้างการรับรู้เกี่ยวกับบัญชีครัวเรือนและสนับสนุนให้ประชาชนจัดทำบัญชีครัวเรือนเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการใช้จ่ายของแต่ละครอบครัวตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่เน้นการพึ่งตนเอง รู้จักความพอประมาณ และไม่ประมาท ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้คณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๘ และวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๕๘ เกี่ยวกับการกำหนดหลักสูตรการสอนทุกระดับให้มีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาประเทศ และนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๒.๒ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรับบริการสาธารณสุข โดยให้ประชาชนที่สมัครใจมีทางเลือกในการจ่ายเงินเพิ่มเติมเพื่อรับการบริการที่ดีขึ้น เพื่อนำเงินดังกล่าวมาสนับสนุนการให้บริการประชาชนผู้มีรายได้น้อย โดยให้เร่งพิจารณาแนวทางดังกล่าวและนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป ๓. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาจัดทำกฎหมายเพื่อกำหนดมาตรการในการดูแลช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนศิลปินแห่งชาติ ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาออกกฎหมายหรือกฎระเบียบในการกำหนดพื้นที่ก่อสร้างอาคารเพื่อการวางผังเมืองที่เหมาะสม ไม่ให้มีสิ่งก่อสร้างที่ขวางทางน้ำไหลหรือพื้นที่ระบายน้ำตามธรรมชาติ โดยควรออกแบบอาคารที่มีคุณลักษณะเหมาะสมและอิงรูปลักษณ์สถาปัตยกรรมไทย มีรูปทรงที่แสดงประวัติหรือเอกลักษณ์ไทย ๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกันพิจารณาออกกฎหมายหรือระเบียบในการกำหนดสัดส่วนและวัสดุประเภทไม้จริงที่ใช้ในการก่อสร้างอาคารต่าง ๆ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอีกทางหนึ่ง ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งรัดกำหนดแนวทางรองรับน้ำฝนที่ตกลงมานอกพื้นที่เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ และวางแผนการส่งน้ำให้แก่ประชาชนรอบ ๆ แหล่งน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง โดยประสานการดำเนินการกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เพื่อรณรงค์ให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมกับภาครัฐในการขุดแหล่งน้ำของตนเอง และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรรับทราบปริมาณน้ำฝนที่กรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่าในปีนี้จะมีปริมาณน้อย อาจทำให้การทำเกษตรกรรมนอกเขตชลประทานประสบภาวะขาดแคลนน้ำได้ ๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดเตรียมข้อมูลเพื่อเผยแพร่พระอัจฉริยภาพและพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร เกี่ยวกับงานการพัฒนาดิน ในการประชุมนานาชาติเพื่อกิจกรรมปีดินสากล (International Soil Conference) ซึ่งประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ รวมทั้งจัดให้มีการหารือในหัวข้ออื่น ๆ เช่น การอนุรักษ์และพัฒนาแหล่งน้ำ ผืนป่า ดิน และปุ๋ย เพื่อให้ครอบคลุมทุกปัจจัยในการเพาะปลูก ๔.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำระหว่างประเทศ เช่น แม่น้ำสาละวิน โดยเตรียมกำหนดเส้นทางการส่งน้ำจากแหล่งน้ำระหว่างประเทศดังกล่าวไปยังแหล่งกักเก็บน้ำภายในประเทศ รวมทั้งจัดทำแผนการใช้ประโยชน์ เช่น พื้นที่ที่สามารถใช้น้ำ ระยะเวลาในการใช้น้ำ เป็นต้น และให้นำเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ทราบด้วย ๔.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงมหาดไทยหาแนวทางในการพลิกฟื้นผืนป่าบริเวณภูเขาที่ถูกบุกรุกทำลาย (เขาหัวโล้น) โดยให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้เอกชนร่วมดูแลพื้นที่ดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ๔.๕ ให้ทุกหน่วยงานให้ความสำคัญกับการปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) มากขึ้น โดยเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ (press release) โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นที่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานซึ่งประชาชนให้ความสนใจ หรือประเด็นที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และส่งข่าวประชาสัมพันธ์ดังกล่าวให้สื่อมวลชนเผยแพร่เป็นประจำทุกวัน ๔.๖ ให้รัฐมนตรีกำกับให้หน่วยงานในความรับผิดชอบมีการถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาล และ Road Map ของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติให้แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับในสังกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับประชาชน และให้นำเรื่องความเข้าใจในนโยบายข้างต้นไปใช้เป็นตัวชี้วัดร่วมกับตัวชี้วัดการประเมินประสิทธิภาพการปฏิบัติงาน โดยนำไปประกอบการพิจารณาแต่งตั้ง โยกย้ายได้ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ๔.๗ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) รับไปพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือกรณีข้าราชการพลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่อันตราย ว่าสมควรจะให้ได้รับสิทธิเช่นเดียวกับข้าราชการตำรวจ/ทหาร อย่างไร เช่น สิทธิการได้นับเวลาราชการเป็นทวีคูณ สิทธิเกี่ยวกับการได้รับเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบ (พ.ส.ร.) เป็นต้น ๔.๘ ให้ทุกหน่วยงานพิจารณาให้การสนับสนุนภาคเอกชนที่เข้าร่วมจัดงานหรือกิจกรรมที่สนับสนุนภารกิจของภาครัฐหรือเป็นการประชาสัมพันธ์ประเทศไทย โดยอาจจะสนับสนุนงบประมาณในการจัดงาน หรือการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชนให้ความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
645 | รายงานตามมาตรา 36 แห่งพระราชบัญญัติกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ พ.ศ. 2544 ประจำปี 2557 | สสส. | 19/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๗ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) ประธานกรรมการ สสส. เสนอ โดยสาระสำคัญรายงานดังกล่าว ประกอบด้วย ๑.๑ ผลงานเด่นในปี ๒๕๕๗ ประกอบด้วย (๑) ควบคุมการบริโภคยาสูบ (ขยายภาพคำเตือนบนซองบุหรี่ ร้อยละ ๘๕) (๒) ขับเคลื่อนกฎหมายห้ามขาย-ห้ามดื่มบนรถไฟ (๓) ร่วมสร้างมาตรการองค์กรเพื่อความปลอดภัยทางถนน (๔) ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ปัญหาการตั้งครรภ์ของวัยรุ่น (๕) ต้นแบบรายการโทรทัศน์ภาษามือเพื่อการเข้าถึงอย่างเท่าเทียม (๖) ต้นแบบตำบลสุขภาวะ : มหาวิชชาลัยดอนแก้วสร้างสุข (๗) พัฒนาแผนนโยบายระดับชาติเพื่อป้องกันความพิการแต่กำเนิด (๘) นวัตกรรมเครื่องมือวัดความสุข : HAPPINOMETER (๙) สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา (๑๐) พลเมืองตื่นรู้เท่าทันสื่อ (๑๑) พัฒนาพยาบาลวิชาชีพสู่การเป็นนักสร้างเสริมสุขภาพ (๑๒) นวัตกรรมการสื่อสารสุขภาวะ (๑๓) ตามรอยเจ้าฟ้านักโภชนาการ : เด็กไทยแก้มใส และ (๑๔) ต้นแบบการขับเคลื่อนงานสร้างเสริมสุขภาพในเวทีโลก ๑.๒ การบริหารงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ สสส. มีการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ รวม ๔,๘๗๔.๘ ล้านบาท จำแนกการใช้จ่ายงบประมาณเป็น ๒ ส่วน คือ เบิกจ่ายทุนสนับสนุนโครงการสร้างเสริมสุขภาพ รวมค่าใช้จ่ายบริหารโครงการ จำนวน ๔,๐๑๑ โครงการ งบประมาณ ๔,๕๙๘.๖ ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารสำนักงาน จำนวน ๒๗๖.๒ ล้านบาท ๒. ให้ สสส. รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงาน สสส. คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่เห็นควรทบทวนทิศทางและเป้าหมายทั้ง ๑๐ เป้าหมาย โดยวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อค้นหาช่องว่างในส่วนต่าง ๆ ที่ต้องพัฒนาเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายปลายทางของชาติ รวมทั้งควรวิเคราะห์และเน้นการขยายการดำเนินงานร่วมกับภาคีที่เกี่ยวข้องให้ครอบคลุมและเสริมพลังกันอย่างชัดเจนมากขึ้น และควรเพิ่มการบูรณาการทั้งภายในแผนระหว่างแผนในด้านต่าง ๆ อาทิ ด้านข้อมูล ด้านเป้าหมาย ด้านบทบาทหน้าที่ ด้านการดำเนินงาน ด้านการติดตามประเมินผล เพื่อให้เกิดการหนุนเสริมซึ่งกันและกันและลดความทับซ้อนของทรัพยากรที่ใช้ดำเนินงาน ตลอดจนควรเน้นการพัฒนาระบบสารสนเทศของโครงการที่เก็บรวบรวมข้อมูลผลงานทั้งในระดับผลผลิต ผลลัพธ์ และผลกระทบ อย่างเป็นมาตรฐาน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
646 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี 2558 และแนวโน้มปี 2558 | นร11 | 19/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรก ปี ๒๕๕๘ และแนวโน้มปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ปรับตัวดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๑ ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี ๒๕๕๘ ขยายตัวร้อยละ ๐.๓ จากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๘ (QoQ_SA) ๑.๑ ด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภาคเอกชน การลงทุนภาครัฐ และการส่งออกบริการ โดยการใช้จ่ายภาคครัวเรือน ขยายตัวร้อยละ ๒.๔ เร่งตัวขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๑ ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๗ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๕ เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายจ่ายค่าซื้อสินค้าและบริการสุทธิที่ขยายตัวร้อยละ ๑๔.๗ การเบิกจ่ายงบประมาณโดยรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๕.๕ อัตราการเบิกจ่ายอยู่ที่ร้อยละ ๒๑.๗ (ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายร้อยละ ๒๓.๐) การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑๐.๗ ปรับตัวดีขึ้น ทั้งการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจอยู่ในระดับสูงกว่า ๕๐ (ระดับที่นักธุรกิจเริ่มขยายการลงทุน) เป็นครั้งแรกในรอบ ๗ ไตรมาส โดยอยู่ที่ระดับ ๕๐.๕ สูงกว่าระดับ ๔๘.๘ ในไตรมาสก่อนหน้า ๑.๒ ด้านการต่างประเทศ การส่งออกสินค้ามีมูลค่า ๕๒,๙๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๔.๓ โดยปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๖ และราคาสินค้าส่งออกลดลงร้อยละ ๑.๘ มีสาเหตุมาจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักยังชะลอตัว การแข็งค่าของเงินบาท ราคาสินค้าส่งออกลดลงตามราคาน้ำมันดิบและราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลก รวมทั้งการตัดสิทธิพิเศษทางการค้า (GSP) ในสินค้าส่งออกของไทยไปยังยุโรป ๑.๓ ด้านการผลิต ปรับตัวดีขึ้นในเกือบทุกภาคการผลิต โดยเฉพาะสาขาการก่อสร้าง สาขาโรงแรมและภัตตาคาร ที่ขยายตัวสูงขึ้น รวมทั้งสาขาคมนาคมขนส่ง และสาขาอุตสาหกรรมที่ขยายตัวเร่งขึ้น โดยสาขาก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๒๕.๔ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๓ ในไตรมาสก่อนหน้า สาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวสูงร้อยละ ๑๓.๕ ตามสถานการณ์ด้านการท่องเที่ยวซึ่งทั้งจำนวนนักท่องเที่ยว รายได้ และอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น สาขาอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๒.๓ เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ในไตรมาสก่อนหน้า อุตสาหกรรมที่ขยายตัว ได้แก่ อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม หลอดอิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์เคมี ๑.๔ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำร้อยละ ๐.๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเท่ากับร้อยละ -๐.๕ บัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๓๒๕,๗๕๒ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙.๖ ของ GDP ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๘ คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๐.๒ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๓ และร้อยละ ๖.๒ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ (-๐.๓)-๐.๗ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๓.๙ ของ GDP
|
|||||||||||||||||||||||||||
647 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามการดำเนินโครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง (การช่วยเหลือเกษตรกรในพื้นที่แล้งซ้ำซากตำบลละ ๑ ล้านบาท) และตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้องตามวัตถุประสงค์ของโครงการด้วย ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ๒.๑ โดยที่ปัจจุบันมีการนำคดีขององค์กรหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ไปฟ้องหน่วยงานของรัฐต่อศาลเป็นจำนวนมาก จึงให้ทุกกระทรวงดำเนินการตรวจสอบและดำเนินคดีในคดีที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน โดยเฉพาะคดีที่เกิดขึ้นหลังวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ๒.๒ ให้กระทรวงพาณิชย์สร้างความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจการค้าปลีกหรือค้าส่ง และสร้างการรับรู้เกี่ยวกับนโยบายหรือมาตรการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกค้าส่งรายย่อยแบบดั้งเดิม (โชห่วย) ให้มีศักยภาพให้เข้มแข็งและดำรงอยู่ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของอุทยานแห่งชาติ เช่น ค่าผ่านเข้าอุทยาน ค่าที่พักค้างแรม เป็นต้น ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ๓.๒ ให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ออกใบอนุญาต ตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานต่าง ๆ เช่น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กรมสรรพสามิต กรมควบคุมมลพิษ กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม รายงานผลการออกใบอนุญาตและผลการปฏิบัติงานให้นายกรัฐมนตรีทราบทุก ๓ เดือน โดยระบุข้อมูลระยะเวลาที่ใช้ในการออกใบอนุญาต ตรวจสอบ หรือรับรองมาตรฐานแต่ละรายให้ชัดเจน ๓.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการวางแผนและมาตรการรองรับปัญหากลุ่มผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและการค้ามนุษย์ทั้งระบบ โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชน รวมทั้งจัดหาพื้นที่ควบคุมให้เพียงพอและเหมาะสมต่อการพำนักในระหว่างรอการส่งกลับประเทศต้นทางด้วย ๓.๔ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดขับเคลื่อนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๘ (เรื่อง แผนยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒) รวมทั้งพิจารณาแนวทางหรือมาตรการในการแก้ไขปัญหายาเสพติดให้มีประสิทธิภาพและเกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นต่อไป ๓.๕ ให้สำนักงบประมาณสร้างการรับรู้แก่ส่วนราชการและประชาชนเพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการกำหนดราคากลางของทางราชการที่ปัจจุบันมีการกำหนดราคากลางตามพื้นที่ ไม่ได้กำหนดราคากลางเดียวกันสำหรับใช้ทั้งประเทศ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติและมีประสิทธิภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ๓.๖ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (กรมอุตุนิยมวิทยา) และกระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะพายุฤดูร้อนที่ในช่วงนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัด พร้อมทั้งให้มีการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบ้านเรือนของประชาชนด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
648 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ 3) คดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 309 คน ผู้ฟ้องคดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 5 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร | นร05 | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๓) คดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ ๑ กับพวกรวม ๓๐๙ คน ผู้ฟ้องคดี กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ที่ ๑ กับพวกรวม ๕ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ หรือปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
649 | รายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2555 - 2559 ระยะครึ่งแผน | สธ | 12/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ระยะครึ่งแผน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริหารจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม มีความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านพัฒนากฎหมาย กฎระเบียบ มาตรฐาน มาตรการและแนวทางปฏิบัติในการบริหารจัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม รวม ๕ ด้าน ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ การสุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพ และด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการพัฒนามาตรการทางกฎหมายด้านขยะมูลฝอยและแนวทางปฏิบัติในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉินและสาธารณภัย รวมทั้งพัฒนาระบบการเฝ้าระวัง ติดตามตรวจสอบ การรายงานผล และแจ้งเตือนสถานการณ์ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ๔ ด้าน คือ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุขาภิบาล และสุขอนามัย ด้านการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมในภาวะฉุกเฉิน และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การป้องกันและลดความเสี่ยงจากปัจจัยด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านคุณภาพอากาศ ผลการตรวจวัดมลพิษทางอากาศในบรรยากาศของพื้นที่เสี่ยงในบางพื้นที่ ส่วนใหญ่มีฝุ่นละออง สารเบนซีน และสาร ๑,๓-บิวตาไดอีนในบรรยากาศเกินค่ามาตรฐาน การเข้าถึงน้ำบริโภคอุปโภคอย่างเพียงพอของครัวเรือนไทยและคุณภาพน้ำบริโภค ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ครัวเรือนมีน้ำบริโภคอุปโภคเพียงพอตลอดปีร้อยละ ๙๙.๕๕ การพัฒนาสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานสุขาภิบาลอาหาร มีการดำเนินโครงการพัฒนาตลาดและโครงการสนับสนุนและติดตามการดำเนินงานด้านสุขาภิบาลอาหารและน้ำอย่างต่อเนื่อง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีสถานประกอบการอาหารได้มาตรฐานมากกว่าร้อยละ ๘๐ ด้านการจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ขยะมูลฝอยได้รับการกำจัดถูกต้องตามหลักวิชาการร้อยละ ๒๓.๕๗ นำไปใช้ประโยชน์ร้อยละ ๒๑.๓๕ มูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดในเตาเผาร้อยละ ๗๘.๗๕ และ ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ขยะมูลฝอยได้รับการจัดการอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๒๘ แต่การนำไปใช้ประโยชน์ลดลงเหลือร้อยละ ๑๙ และมูลฝอยติดเชื้อถูกกำจัดด้วยวิธีที่เหมาะสมลดลงเหลือร้อยละ ๗๕ ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาคีเครือข่าย และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนและประชาชนในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ มีแผนงานโครงการที่ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมทั้ง ๖ ด้านเพิ่มขึ้น ด้านส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อม พบว่า มีการดำเนินการโครงการส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง เช่น กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ เพื่อลดการสัมผัสเชื้อโรคต่าง ๆ รณรงค์การคัดแยกขยะ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การส่งเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ด้านการบริหารจัดการเพื่อรองรับการดำเนินงานด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พบว่า มีการดำเนินงานทั้งด้านการบริหารจัดการ การพัฒนาศักยภาพบุคลากร การพัฒนาระบบงานอนามัยสิ่งแวดล้อม เกิดความร่วมมือและเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกันระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีงานวิจัยและองค์ความรู้ใหม่หรือการประยุกต์ใช้องค์ความรู้เดิมและเทคโนโลยีด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้นทุกด้าน ทั้งนี้ การพัฒนาศูนย์การเรียนรู้ด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างน้อยภาคละ ๑ แห่ง พบว่า ภาคเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ภาคกลาง มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ด้านการสุขาภิบาล และด้านขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย และภาคใต้ มีศูนย์การเรียนรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการสุขาภิบาล |
|||||||||||||||||||||||||||
650 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ 10 | ทก | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ ครั้งที่ ๑๐ (10th APEC Telecommunications and Information Ministerial Meeting : APEC TELMIN 10) ระหว่างวันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของคณะทำงานเอเปคด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศ รวมทั้งการนำเสนอวิสัยทัศน์ของรัฐมนตรีเอเปคที่เข้าร่วมการประชุม โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้นำเสนอแนวนโยบายที่สำคัญของประเทศไทย คือ นโยบายเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งมีเป้าหมายในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ปรับปรุงระบบธรรมาภิบาล และลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวยังสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์เรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งประเทศไทยสนับสนุนความร่วมมือกับเขตเศรษฐกิจเอเปคในการแลกเปลี่ยนข้อมูลนโยบาย การกำกับดูแล และการพัฒนาด้านต่าง ๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ และนำไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ๒. ที่ประชุมได้รับรอง “แผนยุทธศาสตร์ด้านโทรคมนาคมและสารสนเทศของเอเปค ปี ๒๕๕๙ ถึง ๒๕๖๓” (APEC Telecommunications and Information Working group Strategic Action Plan 2016-2020) โดยวัตถุประสงค์ของแผนยุทธศาสตร์ฯ คือ การปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีอย่างครอบคลุมและการใช้ไอซีทีอย่างสร้างสรรค์ เพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ ความเชื่อมโยง และกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบองค์รวม มีความเข้มแข็ง มั่นคง ปลอดภัยและยั่งยืน และมีการกำหนดวิสัยทัศน์ของแผนไว้ว่า ภายในปี ๒๕๖๓ เอเปคจะสร้างระบบนิเวศทางไอซีทีที่มีโครงสร้างพื้นฐานและโปรแกรมประยุกต์ด้านนวัตกรรมไอซีทีที่มีความปลอดภัย เชื่อถือได้ การให้บริการนวัตกรรมไอซีทีไร้พรมแดน การใช้ไอซีทีอย่างแพร่หลายในทุกสาขา การพัฒนาทักษะไอซีทีและความรู้ทางดิจิทัล ซึ่งจะสนับสนุนการสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Yasuo Sakamoto รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่น เกี่ยวกับการจัดทำบันทึกความเข้าใจความร่วมมือด้านไอซีทีระหว่างสองหน่วยงาน และความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศ เนื้อหาสาระทางดิจิทัล (Digital Content) การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้านไอซีที การใช้ไอซีทีกับภาคการศึกษาและด้านสาธารณสุข เป็นต้น รวมทั้งได้หารือทวิภาคีกับ Mr. Choi Jae-You รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ไอซีที และการวางแผนในอนาคตของสาธารณรัฐเกาหลี เกี่ยวกับการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อหารือและสนับสนุนการจัดทำนโยบาย/แผนเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมทั้งได้เชิญชวนสาธารณรัฐเกาหลีเข้าร่วมงาน Bangkok ICT International EXPO 2015
|
|||||||||||||||||||||||||||
651 | รายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2556 | ทส | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึ่งคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้ว ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๗ เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์คุณภาพสิ่งแวดล้อมรายสาขา ประกอบด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพ ทรัพยากรน้ำ ทรัพยากรพลังงาน ทรัพยากรดิน การใช้ประโยชน์ที่ดิน และแร่ธาตุ สิ่งแวดล้อมชุมชน สิ่งแวดล้อมธรรมชาติและศิลปกรรม มลพิษ ๒. ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ ประกอบด้วย ภัยแล้งและภาวการณ์ขาดแคลนน้ำ การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศแม่น้ำโขง การสูญพันธุ์และสูญเสียระบบนิเวศกับการฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ ๓. ข้อเสนอแนะเชิงบูรณาการ ประกอบด้วย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย และข้อเสนอแนะด้านมาตรการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
652 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2558 | นร11 | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ๑.๑ เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม ๒๕๕๘ ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๑ แต่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรปรับตัวลดลง ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ร้อยละ ๐.๑ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนอยู่ในภาวะทรงตัว และดัชนีปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๓ ๑.๒ เศรษฐกิจไทยเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ เมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ขยายตัวดีขึ้น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๓.๖ จำนวนนักท่องเที่ยวขยายตัวสูงร้อยละ ๒๙.๖ แต่ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรปรับตัวลดลงร้อยละ ๓.๘ ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ ๐.๕ และการลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้น การบริโภคภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวต่อเนื่อง ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราเงินเฟ้อลดลงตามราคาพลังงาน อัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณประจำปีและงบประมาณกันไว้เบิกเหลื่อมปีในเดือนกุมภาพันธ์ลดลง สัดส่วนหนี้สาธารณะ GDP ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ยังคงอยู่ในระดับที่มั่นคง ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ ๒.๘ เงินฝากธนาคารพาณิชย์ (รวมตั๋วแลกเงิน) ขยายตัวร้อยละ ๕.๐ ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ ๓๒.๕๗ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแข็งค่าขึ้นร้อยละ ๐.๕ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปิดที่ ๑,๕๘๗.๐ จุด ส่วนอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี (ล่าสุดคณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงเป็นร้อยละ ๑.๗๕ ต่อปีเมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๕๘) ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ยังอยู่ในภาวะชะลอตัวตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และเอเชีย ในขณะที่เศรษฐกิจยูโรโซนเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น การชะลอตัวของเศรษฐกิจของประเทศสำคัญ ๆ ท่ามกลางการลดลงของแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
653 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการเพื่อให้มีการเปิดเที่ยวบินตรง (Direct Flight) จากเมืองสำคัญในประเทศต่าง ๆ มายังประเทศไทยเพื่ออำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติสามารถเดินทางไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไทยได้โดยตรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูการท่องเที่ยว ๑.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความพร้อมและขึ้นทะเบียนสหกรณ์การเกษตรต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการผลิตและการสนับสนุนปัจจัยการผลิตผ่านการดำเนินงานของสหกรณ์การเกษตรที่มีความพร้อมและมีความเข้มแข็ง รวมทั้งกำหนดแนวทางการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สหกรณ์การเกษตรที่ยังไม่มีความพร้อม ๒. ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำหนดรูปแบบและวิธีการในการสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานด้านกฎหมาย ลำดับชั้นกฎหมาย ความสำคัญของรัฐธรรมนูญ ประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับประเทศไทย และเหตุผลความจำเป็นในการปฏิรูปประเทศ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบกรณีที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตในอุทยาน เช่น การทุจริตการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยาน การเรียกรับผลประโยชน์ของเจ้าหน้าที่อุทยาน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายกับเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ดำเนินการพิจารณาจัดทำแผนเตรียมการรองรับภัยพิบัติในเมืองใหญ่ เพื่อเตรียมความพร้อมในการเผชิญเหตุและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน โดยให้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อจะได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการตามแผนดังกล่าว ทั้งนี้ แผนดังกล่าวควรบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไปด้วย ๓.๓ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางการรองรับน้ำฝนเพื่อให้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เช่น การขุดสระรองรับน้ำในบริเวณที่ฝนตกแล้วจัดทำทางส่งน้ำไปยังแหล่งกักเก็บน้ำใกล้เคียง รวมทั้งวางแผนการส่งน้ำให้แก่ประชาชนรอบ ๆ แหล่งน้ำให้ได้ใช้ประโยชน์อย่างทั่วถึง ๓.๔ โครงการเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานส่วนใหญ่จะต้องผ่านการทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งหากการจัดทำรายงานดังกล่าวล่าช้าก็จะทำให้การดำเนินการโครงการต่าง ๆ ล่าช้าออกไป และอาจส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศ จึงให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติรับไปพิจารณาแนวทางดำเนินการเร่งรัดขั้นตอนการพิจารณารายงานดังกล่าวให้เร็วขึ้น ๓.๕ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดโครงการศึกษาดูงานในต่างประเทศสำหรับเกษตรกรระดับรากหญ้าเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการพัฒนาด้านการตลาด การผลิต และการใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตให้แก่เกษตรกร เป็นต้น ๓.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกรุงเทพมหานคร และส่วนราชการที่มีพื้นที่สาธารณะปรับปรุงพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เพื่อเพิ่มพื้นที่จอดรถสาธารณะในกรุงเทพมหานครให้มีมากขึ้น รวมทั้งให้ปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ของสวนสาธารณะต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานคร เช่น สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ) เป็นต้น ให้เหมาะสมต่อการใช้เป็นสถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมสันทนาการของประชาชนด้วย ๓.๗ ให้กระทรวงกลาโหม (กองทัพบก) เร่งรัดการก่อสร้างหอประชุมกองทัพบกบริเวณสี่เสาเทเวศร์ เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมขนาดใหญ่และศูนย์แสดงสินค้า โดยให้ศึกษารูปแบบและแนวทางการใช้ประโยชน์จากศูนย์การประชุมขนาดใหญ่ของต่างประเทศที่มีความสวยงามและทันสมัย ทั้งนี้ ต้องแสดงถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของไทยด้วย ๓.๘ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนตามมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๘ ให้เป็นไปตามเวลาที่กำหนด และในส่วนของการให้บริการของศูนย์บริการด้านธุรกิจ (One Stop Service) และศูนย์ดำรงธรรมจะต้องคำนึงถึงการเชื่อมต่อการทำงานระหว่างกัน รวมทั้งกับหน่วยงานอื่น ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้มาติดต่อราชการด้วย ๓.๙ ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ขับขี่รถจักรยานประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น จึงให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอุบัติเหตุในลักษณะดังกล่าว และให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงคมนาคม กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันจัดช่องทางเดินรถจักรยาน โดยเร่งดำเนินการในพื้นที่ที่เกิดอุบัติเหตุเป็นลำดับแรก และขยายไปยังพื้นที่ต่าง ๆ ต่อไป พร้อมทั้งกำหนดแนวทางการป้องกันมิให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้อีก
|
|||||||||||||||||||||||||||
654 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... | สว | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... ที่เห็นควรให้กรมปศุสัตว์ในฐานะที่เป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการควบคุมอาหารสัตว์และออกใบรับรองระบบการประกันคุณภาพอาหารสัตว์ควรกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตอาหารสัตว์รักษามาตรฐานคุณภาพอาหารสัตว์และกระบวนการผลิต รวมทั้งให้ความสำคัญกับผลกระทบด้านสภาวะแวดล้อมและชุมชนก่อนที่จะมีการออกใบอนุญาตหรือใบรับรอง ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยกรมปศุสัตว์ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณายกร่างกฎหมายที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. .... และคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานพิจารณายกร่างกฎหมายที่ออกตามความในร่างพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ... เพื่อพิจารณายกร่างกฎหมายอนุบัญญัติ โดยจะนำข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นแนวทางในการยกร่างกฎหมายอนุบัญญัติในเรื่องดังกล่าวต่อไป และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
655 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พ.ศ. 2556 และครั้งที่ 7 พ.ศ. 2557 | สช | 07/05/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๕๖ และครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบแล้วในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๖ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๘ ประเด็น ได้แก่ (๑) นโยบายการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสมสำหรับประชาชน (๒) เป้าหมายในการป้องกันและควบคุมโรคไม่ติดต่อของประเทศไทย (๓) แผนยุทธศาสตร์ร่วมแห่งชาติ ว่าด้วยระบบสุขภาวะชุมชน (๔) แผนยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาโฆษณาที่ผิดกฎหมายของยา อาหาร และผลิตภัณฑ์สุขภาพ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ (๕) ระบบการจัดการอาหารในโรงเรียน (๖) การกำกับดูแลสื่อและการสื่อสารการตลาดของผลิตภัณฑ์ยาสูบและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (๗) การสร้างความร่วมมือของทุกภาคส่วนเพื่อ “สุขภาพหนึ่งเดียว” ของคน-สัตว์-สิ่งแวดล้อม และ (๘) ข้อเสนอต่อการปฏิรูประบบสุขภาพภายใต้การปฏิรูปประเทศไทย ๑.๒ มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๕ ประเด็น ได้แก่ (๑) การพัฒนานโยบายสาธารณะเพื่อบูรณาการกลไกคุ้มครองเด็ก เยาวชน และครอบครัวจากปัจจัยเสี่ยง (๒) การพัฒนากระบวนการประเมินและตัดสินใจการใช้เทคโนโลยีด้านสุขภาพ (๓) การกำจัดปัญหาพยาธิใบไม้ตับและมะเร็งท่อน้ำดีในประชาชน (๔) การจัดการสเตอรอยด์ที่คุกคามสุขภาพคนไทย และ (๕) การจัดทำแผนยุทธศาสตร์สุขภาพโลกของประเทศไทย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติดังกล่าวตามอำนาจหน้าที่ ตามลำดับความสำคัญเร่งด่วน โดยให้ยึดหลัก (๑) นโยบายของรัฐบาล (๒) กฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และ (๓) งบประมาณและทรัพยากรที่มีอยู่ของหน่วยงาน |
|||||||||||||||||||||||||||
656 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม - ธันวาคม 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปภาวะเศรษฐกิจ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๑.๔ เพิ่มขึ้นจากครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ที่ขยายตัวร้อยละ ๐ ภาวะการเงินอยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่อง โดยในการประชุม กนง. ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐาน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ และร้อยละ ๑.๗๒ ตามลำดับ เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์มั่นคง เสถียรภาพภาคเศรษฐกิจที่ไม่ใช่สถาบันการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ฐานะการคลังมั่นคง โดยสัดส่วนหนึ้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นปี ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๔๕.๘ เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง และแนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๘ เศรษฐกิจจะขยายตัวดีขึ้น โดยมีการใช้จ่ายภาคเอกชนและภาคการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องตามทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งแรงกดดันจากอุปสงค์ในประเทศที่มีไม่มากนัก ๒. สรุปการดำเนินงานของ ธปท. ประกอบด้วย (๑) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายการเงิน ที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ให้ความสำคัญกับแรงกระตุ้นภาครัฐต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และประเมินว่าความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่สำคัญในระยะต่อไป ได้แก่ แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่มึความไม่แน่นอน รวมถึงผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับลดลงมาก และปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ (๒) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายสถาบันการเงิน ได้แก่ การดำเนินงานด้านนโยบายสถาบันการเงิน และการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ ๒ และ (๓) แนวทางการดำเนินงานและประเมินผลนโยบายระบบการชำระเงิน ได้แก่ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบการชำระเงิน การลดความเสี่ยงในระบบการชำระเงิน การคุ้มครองผู้ใช้บริการการชำระเงิน และการยกร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลระบบการชำระเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
657 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2557 | กค | 28/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งหลังของปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๖ มกราคม ๒๕๕๘) อนุมัติให้ กนง. ใช้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปีที่ร้อยละ ๒.๕?๑.๕ เป็นเป้าหมายหลักในการดำเนินนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๘ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ในไตรมาสที่ ๓ และ ๔ ของปี ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๙ และร้อยละ ๑.๖๕ ซึ่งอยู่ในช่วงเป้าหมายนโยบายการเงินประจำปี ๒๕๕๗ ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวภายหลังสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลายและภาครัฐกลับมาดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้ตามปกติ ซึ่งมีส่วนทำให้ความเชื่อมั่นของภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สำหรับภาระเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอลงมากจากร้อยละ ๒.๒๓ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕๖ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มาอยู่ที่ร้อยละ ๑.๗๒ ตามราคาอาหารสำเร็จรูปที่เพิ่มขึ้นสูง ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ กนง. มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๔. การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน ในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่วนดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ปรับแข็งค่าขึ้น ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๗ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี ๒๕๕๗ โดยคาดว่าจะขยายตัวประมาณร้อยละ ๔.๐ จากแรงขับเคลื่อนของอุปสงค์ภาคเอกชนและการส่งออกบริการเป็นสำคัญ ส่วนอัตราเงินเฟ้อในปี ๒๕๕๘ มีแนวโน้มลดลงจากปีก่อน โดย กนง. คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี ๒๕๕๘ จะอยู่ที่ร้อยละ ๑.๒ โดยที่ยังคงมีความเสี่ยงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและราคาน้ำมันที่อาจจะมีผลกระทบต่อการประมาณการเงินเฟ้อดังกล่าว |
|||||||||||||||||||||||||||
658 | ขออนุมัติงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2559 | สช | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในคราวประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๘ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติในหลักการงบประมาณสำหรับงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ วงเงิน ๑๖๓,๑๕๒,๑๘๓,๕๐๐ บาท สำหรับงบบริหารจัดการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ วงเงิน ๑,๙๔๓,๒๙๔,๐๐๐ บาท ให้สำนักงบประมาณพิจารณาสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๑.๒ ในการใช้จ่ายงบกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ห้ามมิให้นำไปใช้จ่ายนอกเหนือจากวัตถุประสงค์ที่ให้ใช้จ่าย เช่น การก่อสร้าง ซ่อมแซมอาคาร ค่าตอบแทนบุคลากรเพิ่มเติม และการนำไปสนับสนุนมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น โดยให้ใช้จากงบบริหารจัดการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือจากงบประมาณปกติของส่วนราชการ ตามความเห็นของคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ๑.๓ ให้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจที่เห็นควรร่วมกันพิจารณาปรับปรุงให้ระบบการให้บริการสุขภาพทั้ง ๓ ระบบ ได้แก่กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กองทุนประกันสังคม และการเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ลดความเหลื่อมล้ำของการใช้สิทธิผ่านทาง ๓ ระบบดังกล่าว โดยคำนึงถึงขีดความสามารถของภาระงบประมาณประเทศในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณาหาแนวทางในการจัดตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนยากจน รวมทั้งการดูแลผู้สูงอายุ โดยหาแนวทางสนับสนุนการดำเนินการโดยใช้เงินจากแหล่งอื่นนอกเหนือจากงบประมาณจากภาครัฐ โดยอาจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การบริจาคเงินเพื่อรองรับภาวะที่จะมีผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต รวมทั้งหามาตรการให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยสามารถดูแลสุขภาพของตนเองเพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณแก่ภาครัฐ |
|||||||||||||||||||||||||||
659 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ในคดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 92 คน ผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย | นร05 | 20/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) ในคดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ ๑ กับพวกรวม ๙๒ คน ผู้ฟ้องคดี คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
660 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน | ปช | 07/04/2558 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตที่เกิดจากการอนุญาตให้ราษฎรครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ทบทวนกระบวนการจัดที่ดินผืนใหญ่ที่ผ่านมาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวัตถุประสงค์ ๑.๒ ทบทวนนโยบายเรื่องการดำเนินงานโฉนดชุมชนหรือนโยบายเรื่องอื่นที่มีลักษณะเดียวกัน ๑.๓ เร่งรัดการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางที่รวบรวมข้อมูลที่ดินของทุกหน่วยงานให้เป็นระบบและมาตรฐานเดียวกัน ๑.๔ ปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐ (Reshape) ให้มีแนวเขตเดียว ๑.๕ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนของผู้ที่ได้รับการจัดที่ดิน ให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมดำเนินการให้ครบถ้วนตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๖ ให้เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขและประกาศใหม่เฉพาะเขตที่จะดำเนินการปฏิรูปจริงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ภายใน ๓ ปี ๑.๗ กำหนดให้มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการที่ดินทั้งหมดให้มีเอกภาพ เหมาะสมกับสภาวะปัจจุบัน และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ๑.๘ ควรจัดตั้งองค์การบริหารที่ดินแห่งชาติ ๒. มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงยุติธรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กองอำนวยการรักษาความมั่นภายในราชอาณาจักร คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประชุมหารือกำหนดวิธีการและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ ๑/๒๕๕๘ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการตามองค์ประกอบคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ และให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวมเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งมติคณะรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาและมีมติแล้ว สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีจะได้แจ้งผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต่อไป
|
.....