ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 38 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 741 - 760 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
741 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน 2556 | นร | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. การดำเนินการตามนโยบายสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์ในการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) เป็นงานที่มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม หารือร่วมกันเพื่อพิจารณาแนวทางการบูรณาการการดำเนินงานในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เห็นถึงภาพรวมและผลสำเร็จของการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมต่อไป ๓. การดำเนินการตามนโยบายด้านการปฏิรูปการจัดการที่ดิน เป็นเรื่องสำคัญที่เป็นประเด็นปัญหาที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศในการลดความเหลื่อมล้ำ แต่ผลการดำเนินการยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมที่ดิน กระทรวงมหาดไทย สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม และสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) ร่วมกันพิจารณาแนวทางการดำเนินการในเรื่องดังกล่าวต่อไป ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์พิจารณาเร่งรัดการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกร กรณีขอขยายเวลาโครงการรับจำนำข้าว ประจำปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ เนื่องจากเก็บเกี่ยวผลผลิตไม่ทัน
|
||||||||||||||||||
742 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2556 - 2557 | นร11 | 19/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี ๒๕๕๖-๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๗ ชะลอตัวลงจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ในไตรมาสก่อนหน้า ในด้านการใช้จ่าย มีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของการใช้จ่ายภาครัฐบาล ในขณะที่การส่งออกสินค้าหดตัว ในด้านการผลิต การขยายตัวมีปัจจัยสนับสนุนจากสาขาการโรงแรมและภัตตาคาร การเงิน และคมนาคมขนส่งที่ยังคงขยายตัว เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองของปี ๒๕๕๖ และปรับผลของฤดูกาลออก ขยายตัวร้อยละ ๑.๓ รวม ๙ เดือนแรกของปี เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๓.๗ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๐ ต่ำกว่าช่วงการประมาณการร้อยละ ๓.๘-๔.๓ ในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๖ เนื่องจากการส่งออกขยายตัวต่ำกว่าการคาดการณ์ และปริมาณการผลิตรถยนต์ทั้งปีมีแนวโน้มต่ำกว่าเป้าหมายการผลิตของภาคเอกชนที่ ๒.๕ ล้านคัน รวมทั้งการดำเนินการตามแผนการลงทุนที่สำคัญของภาครัฐไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ตลอดจนผลกระทบจากปัญหาอุทกภัย คาดว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐไม่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน การบริโภคของครัวเรือนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๐.๘ การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๐.๙ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๐-๕.๐ โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๗.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๗ และร้อยละ ๗.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของ GDP ๓. ประเด็นการบริหารเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ และในปี ๒๕๕๗ การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ๒๕๕๖ ยังมีข้อจำกัดจากการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจโลก และการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศ ในขณะที่เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะสามารถขยายตัวในระดับที่น่าพอใจตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ดังนั้น การบริหารเศรษฐกิจจึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นต่าง ๆ ได้แก่ การเร่งรัดการส่งออกให้สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ การเร่งรัดการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชน การเร่งรัดการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งการดูแลสภาพคล่องของระบบเศรษฐกิจและการเข้าถึงเงินทุนของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม
|
||||||||||||||||||
743 | รายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ประจำปี 2555 | รง | 12/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์การใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ประจำปี ๒๕๕๕ ตามมติคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ สถานการณ์การใช้แรงงานเด็กของประเทศไทยในปี ๒๕๕๕ มีแนวโน้มลดลง โดยข้อมูลลูกจ้างเด็กจากการตรวจแรงงานทั่วประเทศ เมื่อปี ๒๕๕๔ จำนวน ๑๙,๐๗๔ คน ลดลงเหลือ ๑๔,๙๗๒ คน ในปี ๒๕๕๕ เช่นเดียวกับข้อมูลลูกจ้างเด็กที่เป็นผู้ประกันตน จากสำนักงานประกันสังคม จำนวน ๕๐,๒๓๙ คน ในปี ๒๕๕๔ ลดลงเหลือ ๒๐,๔๖๕ คน ในปี ๒๕๕๕ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลจากการสำรวจภาวะการมีงานทำของประชากร ของสำนักงานสถิติแห่งชาติที่พบว่าจำนวนลูกจ้างภาคเอกชน ในปี ๒๕๕๔ มีจำนวน ๒๒๗,๐๑๓ คน และลดลงเหลือ ๑๘๙,๖๓๓ คน ในปี ๒๕๕๕ ๑.๒ ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน ได้แก่ ประเทศไทยไม่มีการสำรวจแรงงานเด็กและแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในภาพรวมของทั้งประเทศ ทำให้ไม่มีข้อมูลที่แท้จริง ไม่มีระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนภารกิจการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเป็นการเฉพาะ และไม่มีการจัดสรรงบประมาณเป็นการเฉพาะสำหรับหน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวข้องกับการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้าย ๑.๓ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ ควรให้มีการสำรวจจำนวนแรงงานเด็กและแรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายในระดับประเทศเพื่อใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนการแก้ไขปัญหาการใช้แรงงานเด็กอย่างเป็นระบบ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรวางระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อสนับสนุนภารกิจการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายเป็นการเฉพาะ ควรผลักดันให้มีเรื่องการขจัดการใช้แรงงานเด็กเป็นวาระแห่งชาติ และการให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทำ MOU ระหว่างกัน โดยกระตุ้นให้ทุกฝ่ายตระหนักรู้ถึงสภาพปัญหาและอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศไทยปราศจากการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายจริงตามเป้าหมายโลกที่กำหนดไว้ให้มีการดำเนินการขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลวร้ายให้หมดสิ้นไปภายในปี ๒๕๕๙ และขจัดการใช้แรงงานเด็กในทุกรูปแบบให้หมดสิ้นไปในปี พ.ศ. ๒๕๖๓ ๒. ให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงยุติธรรมรับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการระดับชาติเพื่อขจัดการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบที่เลยร้ายไปพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||
744 | การจัดทำแผนเผชิญเหตุการณ์ป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง | มท | 05/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแผนเผชิญเหตุป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง ตามมติคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (กปภ.ช.) ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยวัตถุประสงค์ของร่างแผนฯ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้างได้อย่างรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์ มีการบูรณาการในการปฏิบัติงานระหว่างหน่วยงานและการประชาสัมพันธ์ต่อประชาชนและสื่อมวลชนได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนการรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่อผู้บังคับบัญชาทุกระดับ เพื่อบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๒. ให้ กปภ.ช. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบวิธีการรายงานสถานการณ์ต่าง ๆ ให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการระบุระดับของความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้นและผู้ที่จะต้องได้รับรายงานในแต่ละระดับ และพิจารณาการเพิ่มช่องทางพิเศษในการรายงานให้เกิดความรวดเร็วทันต่อสถานการณ์ เช่น SMS E-mail การรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรหรือ Application ต่าง ๆ ที่สามารถสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงกรณีที่ไม่สามารถติดต่อสื่อสารในช่องทางปกติด้วย ทั้งนี้ กรณีไฟฟ้าดับบริเวณกว้างนอกจากจะคำนึงถึงมิติด้านขนาดพื้นที่แล้วควรพิจารณาในมิติด้านผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจ ไปพิจารณาปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ด้วย รวมทั้งให้รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดให้มีผู้แทนจากกระทรวงพลังงานในส่วนบังคับบัญชาและอำนวยการศูนย์ปฏิบัติการป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้าง การกำหนดคำนิยามทางไฟฟ้าในแผนเผชิญเหตุป้องกันอันตรายและลดผลกระทบต่อประชาชนที่เกิดจากไฟฟ้าดับบริเวณกว้างให้ชัดเจน การกำหนดระดับดัชนีชี้วัดด้านความรุนแรงของเหตุการณ์ เช่น ปัจจัยด้านระยะเวลาจ่ายไฟฟ้าคืนระบบ ปัจจัยด้านจำนวนผู้ได้รับผลกระทบ และปัจจัยด้านความสำคัญของพื้นที่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจและบริหารจัดการในภาวะฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการบูรณาการระหว่างหน่วยงานด้านไฟฟ้าและหน่วยงานหลักในการเผชิญเหตุและหน่วยงานสนับสนุนที่รับผิดชอบในการจัดทำแผนฯ ก่อนนำไปปฏิบัติใช้จริง เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย และให้แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||
745 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 01/11/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๑ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๙๕ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๓๒ ล้านคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๐๔ ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๔.๙ แสนคน (จาก ๓๙.๘๐ ล้านคน เป็น ๓๙.๓๑ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๙๕ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๕.๙ แสนคน (จาก ๓๙.๕๔ ล้านคน เป็น ๓๘.๙๕ ล้านคน) หรือลดลงร้อยละ ๑.๕ โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม ๒.๔ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๒.๒ แสนคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๗ แสนคน สาขาการผลิต ๑.๓ แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๑.๑ แสนคน สาขาการศึกษา ๙.๐ หมื่นคน ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๔.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๑๗ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๘ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๙.๓ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๔ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๗๓ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคบริการและการค้า ๑.๐๔ แสนคน ภาคการผลิต ๕.๓ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๖ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๔๔ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๗.๓ หมื่นคน มัธยมศึกษาตอนปลาย ๔.๙ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๓.๙ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๑.๒ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๘.๕ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๗.๙ หมื่นคน ภาคใต้และภาคเหนือมีผู้ว่างงานเท่ากันคือ ๖.๓ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๒.๗ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
746 | ร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... | กค | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินช่วยเหลือการศึกษาบุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ พ.ศ. .... ไปพิจารณาทบทวนตามความเห็นของคณะรัฐมนตรี แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้
๑. การกำหนดให้ข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในประเทศหรือเมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ (hardship) หรือประเทศที่ไม่มีสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากสถาบันรับรองมาตรฐานสากลซึ่งศึกษาในประเทศที่สาม รวมถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เครือรัฐออสเตรีย และนิวซีแลนด์ ตามรายชื่อประเทศหรือเมืองที่กระทรวงการคลังกำหนด มีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตร สำหรับบุตรที่ศึกษาในต่างประเทศ ณ สถานศึกษานอกประเทศที่ผู้มีสิทธิมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ อาจทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำกับสิทธิของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในประเทศอื่น ๆ ๒. การกำหนดอัตราเงินช่วยเหลือการศึกษาของบุตรของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในต่างประเทศ ควรพิจารณาทบทวนเพื่อมิให้เกิดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมให้กับข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในประเทศหรือเมืองที่มีภาวะความเป็นอยู่ไม่ปกติ (hardship) หรือประเทศที่ไม่มีสถานศึกษาที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาจากสถาบันรับรองมาตรฐานสากลซึ่งศึกษาในประเทศที่สาม รวมถึงสหรัฐอเมริกา แคนาดา สหราชอาณาจักร บริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ เครือรัฐออสเตรีย และนิวซีแลนด์ด้วย |
||||||||||||||||||
747 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2556 | ทก | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๗๕ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๓๖ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๓๖ ล้านคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๐.๐๓ ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๓.๕ แสนคน (จาก ๔๐.๑๐ ล้านคน เป็น ๓๙.๗๕ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๙.๓๖ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๔.๙ แสนคน (จาก ๓๙.๘๕ เป็น ๓๙.๓๖) หรือลดลงร้อยละ ๑.๒ โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม ๖.๓ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๒.๘ แสนคน สาขากิจกรรมด้านสุขภาพ และงานสังคมสงเคราะห์ ๑.๑ แสนคน สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ๕.๐ หมื่นคน สาขาการศึกษา ๕.๐ หมื่นคน สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๔.๐ หมื่นคน ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาการผลิต ๔.๕ แสนคน สาขาการก่อสร้าง ๑.๔ แสนคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๕.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๓.๕๕ แสนคน เพิ่มขึ้น ๑.๒๙ แสนคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๙๖ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๕๙ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคบริการและการค้า ๗.๒ หมื่นคน ภาคการผลิต ๖.๘ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๙ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๕๑ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๘.๑ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๔ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๔.๗ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๒ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคกลาง ๙.๙ หมื่นคน ภาคใต้ ๘.๖ หมื่นคน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๗.๙ หมื่นคน ภาคเหนือ ๕.๗ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๓.๔ หมื่นคน
|
||||||||||||||||||
748 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน 2556 | พณ | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนกันยายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ (เดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๑) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดไข่และผลิตภัณฑ์นม หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง และหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ จากการสูงขึ้นของหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ หมวดเคหสถาน หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า และหมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนกันยายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
||||||||||||||||||
749 | สรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทยประจำสัปดาห์ (ครั้งที่ 8/2556 ณ วันที่ 29 ตุลาคม 2556) | นร01 | 29/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปสถานการณ์รวมของภูมิอากาศและน้ำท่วมของประเทศไทย ครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ ณ วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่จังหวัดนครราชสีมา มีฝนตกหนักถึงหนักมาก ปริมาณฝนเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๖ ฝนตกหนักครอบคลุมพื้นที่ จำนวน ๓๒ อำเภอ ส่งผลให้เกิดน้ำไหลหลากและท่วมในหลายพื้นที่ มีการประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๓๑ อำเภอ และในช่วงระหว่างวันที่ ๑๕-๑๘ และ ๒๐-๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ มีฝนตกหนักอีกครั้งในลุ่มน้ำลำตะคองทำให้ระดับน้ำที่บ้านโคกกรวด อำเภอเมือง และเทศบาลนครนครราชสีมาล้นตลิ่ง และลำน้ำมูลบริเวณมิตรภาพซอย ๔ เขตเทศบาลนครนครราชสีมามีสภาพล้นตลิ่ง มวลน้ำดังกล่าวได้เคลื่อนตัวผ่านอำเภอเฉลิมพระเกียรติและรวมกับมวลน้ำที่ไหลมาจากลุ่มน้ำจักราชและลุ่มน้ำเชียงไกรที่อำเภอพิมายซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ อำเภอพิมายจึงรับน้ำทั้ง ๖ ลุ่มน้ำ และจะมียอดน้ำสูงสุดในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๒ ภาคตะวันออก ที่จังหวัดปราจีนบุรี สถานการณ์น้ำโดยรวมในเขตชุมชนและพื้นที่สำคัญในทุกอำเภอเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว แต่ยังมีน้ำขังในที่ลุ่มต่ำอยู่บ้าง สำหรับจังหวัดฉะเชิงเทรา สถานการณ์โดยรวมได้คลี่คลายไปแล้ว โดยเฉพาะในเขตพื้นที่สำคัญและชุมชน ส่วนจังหวัดชลบุรีและนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร สถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติทั้งหมดแล้ว ๑.๓ ภาคใต้ ยังมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากทางตอนล่างของภาค มีฝนกระจายถึงเกือบทั่วไปร้อยละ ๗๐ ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบริเวณพื้นที่จังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และสงขลา ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) เร่งประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนและดำเนินการสูบน้ำหรือผลักดันน้ำออกจากพื้นที่ต่าง ๆ ให้เหมาะสมและเป็นไปตามลำดับความสำคัญเร่งด่วนของสภาพปัญหา และสำหรับพื้นที่น้ำท่วมขังและเริ่มเน่าเสียที่ไม่กว้างมาก ซึ่งจะสามารถใช้อีเอ็มบอล (EM-Ball) แก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ให้พิจารณาใช้อีเอ็มบอลเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจความเสียหายต่าง ๆ อันเกิดขึ้นจากอุทกภัย เพื่อเตรียมการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยภายหลังน้ำลดได้อย่างรวดเร็วต่อไป ๔. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจและจัดทำบัญชีควบคุม (inventory) เครื่องมือและอุปกรณ์การสูบน้ำและผลักดันน้ำ ตลอดจนยานพาหนะที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานให้ถูกต้อง ครบถ้วน และบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานได้ในโอกาสต่อไป
|
||||||||||||||||||
750 | การตั้งงบประมาณโครงการอาหารกลางวันนักเรียน ตามภาวะเศรษฐกิจ | ศธ | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นปรับเพิ่มการเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ สำหรับโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนจากอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน เป็น ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้หน่วยงานอื่นที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันในอัตรา ๑๓ บาทต่อคนต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็นอัตรา ๒๐ บาทต่อคนต่อวัน ทั้งนี้ สำหรับงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนในโรงเรียนเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นจำนวน ๖๕๙,๙๐๖,๘๐๐ บาท ให้ขอรับการสนับสนุนจากดอกผลของเงินกองทุนเพื่อโครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนประถมศึกษา ๑.๒ ให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณเป็นค่าอาหารกลางวันของนักเรียนพิจารณาเสนอปรับอัตราค่าอาหารกลางวันทุกปี ให้สอดคล้องกับราคาสินค้าและภาวะเศรษฐกิจ โดยให้คำนึงถึงปริมาณและคุณค่าทางโภชนาการเป็นสำคัญ ๒. การปรับเพิ่มอัตราค่าอาหารกลางวันของนักเรียนในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน จึงให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขพิจารณากำหนดเกณฑ์ชี้วัดมาตรฐานอาหารและโภชนาการของนักเรียนให้ได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วนและมีปริมาณที่เหมาะสมกับวัยก่อนเริ่มดำเนินการ รวมทั้งให้มีการติดตามและประเมินผลภาวะโภชนาการของนักเรียนหลังจากได้รับงบประมาณในส่วนนี้เพิ่มแล้ว โดยให้กระทรวงศึกษาธิการรายงานผลการดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะทุก ๖ เดือน ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการนำแนวทางดำเนินการตามโครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวันตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี มาปรับใช้กับโครงการนี้ด้วย |
||||||||||||||||||
751 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2556) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจจีนและภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มชะลอลง ขณะที่เศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมหลักฟื้นตัวอย่างช้า ๆ การคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของประเทศอุตสาหกรรมหลักมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลกและทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายผันผวน ซึ่งรวมถึงการไหลเข้าออกของเงินทุนในตลาดการเงินไทย เป็นผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐเคลื่อนไหวสองทิศทาง ผลจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงทำให้การฟื้นตัวของการส่งออกไทยล่าช้าออกไป เมื่อรวมกับอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอหลังจากเร่งใช้จ่ายไปมากในช่วงก่อนหน้า จึงทำให้เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวชะลอลง ๑.๒ เสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ไม่สร้างความกังวล ฐานะการเงินของภาคสถาบันการเงินเข้มแข็ง สินเชื่อของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนขยายตัวดีและชะลอลงบ้าง สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและการที่สถาบันการเงินเริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในสองทิศทาง ฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ต้องระมัดระวังภาระผูกพันของภาครัฐที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่วนเสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคงต่อเนื่อง ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๖ คาดว่าจะขยายตัวชะลอลงจากปีก่อน เป็นผลจากการพักฐานของอุปสงค์ในประเทศหลังจากเร่งขึ้นมากในช่วงก่อนจากผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ประกอบกับการส่งออกฟื้นตัวล่าช้าตามทิศทางเศรษฐกิจคู่ค้าโดยเฉพาะจีนและภูมิภาคเอเชีย อุปสงค์จากทั้งในและต่างประเทศที่ชะลอลง ส่งผลให้ภาคธุรกิจเลื่อนการลงทุนบางส่วนออกไป อย่างไรก็ดี พื้นฐานของเศรษฐกิจไทยที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี อาทิ แนวโน้มการจ้างงานและรายได้ นโยบายการเงินและการคลังที่ผ่อนคลาย ความพร้อมและความจำเป็นของภาคธุรกิจที่ต้องลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างการผลิตทดแทนการใช้แรงงาน รวมถึงเศรษฐกิจคู่ค้าที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว จะเอื้อให้เศรษฐกิจไทยสามารถกลับมาขยายตัวได้ตามปกติที่ร้อยละ ๕.๐ ในปี ๒๕๕๗ สำหรับแรงกดดันเงินเฟ้อมีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปัจจุบัน ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ ความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอน การชะลอตัวของเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและผลประกอบการของภาคธุรกิจ และปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยโดยเฉพาะด้านแรงงานที่อาจเป็นข้อจำกัดในภาคการผลิตและมีผลลดทอนศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดกรอบการดำเนินนโยบายการเงินที่ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทั้งทางด้านราคาควบคู่ไปกับการดูแลรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อมิให้ผันผวนรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง โดยใช้องค์ประกอบนโยบายที่เหมาะสม (Policy Mix) ประกอบด้วย การบริหารจัดการเงินทุนเคลื่อนย้ายควบคู่กับการดำเนินนโยบายด้านอัตราดอกเบี้ย ตลอดจนการใช้การสื่อสารต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และลดการเก็งกำไรจากการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อดูแลเสถียรภาพด้านราคาและลดผลกระทบจากความผันผวนของเงินทุนเคลื่อนย้ายและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีต่อภาคเศรษฐกิจจริง และให้ ธปท. รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาฐานะการเงินของ ธปท. ต้องทำควบคู่กันไปกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อสาธารณชนถึงความสามารถในการดำเนินการตามพันธกิจหลักของ ธปท. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
752 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนสิงหาคม 2556 | นร | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) เสนอ ดังนี้
๑. รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศสร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) และการยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน ๒. ข้อเสนอ ๒.๑ การปรับขึ้นราคาแก๊สหุงต้ม (LPG) ภาคครัวเรือน ให้กระทรวงพลังงานทำการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับมาตรการในการให้ความช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยซึ่งได้รับผลกระทบ รวมถึงชี้แจงทำความเข้าใจถึงเหตุผลความจำเป็นในการปรับขึ้นราคาแก๊ส LPG ให้ทั่วถึงยิ่งขึ้น ๒.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลเรื่องการกำหนดพื้นที่เหมาะสม (Zoning) สำหรับสินค้าเกษตรเพื่อแก้ไขปัญหาผลผลิตทางการเกษตรบางชนิดล้นตลาด ซึ่งส่งผลให้ราคาผลผลิตทางการเกษตรตกต่ำ ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดประชุมหารือและบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาในด้านการท่องเที่ยวและการสร้างความเชื่อมั่นในภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยในด้านการท่องเที่ยวด้วย ๒.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบูรณาการเพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และแผนแม่บทในการส่งเสริมการพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน (OTOP)
|
||||||||||||||||||
753 | การโอนเงินหรือสินทรัพย์ของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเพื่อชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ย FIDF 1 และ FIDF 3 | กค | 22/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้โอนเงินของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (Financial Institution Development Fund : FIDF) เข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ จำนวน ๒๖,๒๐๐ ล้านบาท โดยให้กองทุนฯ ทยอยโอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีสะสมฯ ตามปริมาณสภาพคล่องของกองทุนฯ ทั้งนี้ ในระหว่างปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญให้พิจารณาทบทวนเพื่อขออนุมัตินำส่งเงินเข้าบัญชีสะสมฯ เพิ่มเติมต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้กองทุนฯ ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีในการเพิ่มเงินนำส่งเข้าบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนต้นเงินกู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฯ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หากกองทุนฯ ได้รับเงินที่มีนัยสำคัญเพิ่มเติม และให้กระทรวงการคลัง และ ธปท. พิจารณาแนวทางในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินและบริหารจัดการสภาพคล่องของกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับบทบาทหน้าที่และภารกิจเพิ่มเติมในการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถาบันการเงินที่ประสบภาวะวิกฤติทางการเงินอันอาจกระทบต่อเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินตามร่างพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา รวมทั้งให้ ธปท. แก้ไขปัญหาฐานะการเงินเพื่อให้สามารถนำเงินกำไรส่งเข้าบัญชีสะสมเพื่อใช้ชำระต้นเงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อชดเชยความเสียหายของกองทุนฯ เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามนัยพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๕ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
754 | แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2555 - 2559) ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค) | มท | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๑ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ประกอบด้วย ๑๑ โครงการ ๓ แผนงาน วงเงินลงทุนรวม ๑๐๓,๑๓๐ ล้านบาท และการลงทุนด้านการพัฒนาพลังงานทดแทนของบริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กรอบวงเงินลงทุนและร่วมลงทุนรวม ๓๒,๗๓๒ ล้านบาท รวมวงเงินลงทุนทั้งสิ้น ๑๓๕,๘๖๒ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ๑.๒ ให้รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ การคัดเลือกพื้นที่ดำเนินโครงการต่าง ๆ โดยเฉพาะโครงการด้านพลังงานทดแทนอย่างละเอียดรอบคอบ การควบคุมการดำเนินโครงการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดและสอดคล้องกับความต้องการไฟฟ้าในช่วงเวลานั้น ๆ การพิจารณาประเมินแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบไฟฟ้าในช่วงครึ่งระยะเวลาดำเนินการตามแผนฯ (Midterm Review) เพื่อให้มีความสอดคล้องและทันกับสถานการณ์การลงทุนในช่วงเวลานั้น ๆ การให้ความสำคัญในการติดตามประเมินผลโครงการลงทุนต่าง ๆ และพิจารณาหาแนวทางการแก้ปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินโครงการในช่วงที่ผ่านมา รวมทั้งให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาทั้งในกรณีการวิจัยพัฒนาต้นแบบ การวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ และการขยายผลการวิจัยไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับการกำหนดแนวทางและมาตรการการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้ไฟฟ้า เช่น การกำหนดทางเลือกการใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ประหยัดค่าใช้จ่ายของภาคประชาชน การคิดค่าไฟฟ้าแบบเหมารวม (package) ที่เหมาะสม และการใช้พลังงานทางเลือกต่าง ๆ เพื่อรองรับภาวะวิกฤติด้านพลังงานไฟฟ้า เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานที่ผลิตจากพืชผลทางการเกษตร เช่น อ้อย เป็นต้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างภาษี และการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้าในอนาคตดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||
755 | การติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก | ศธ | 15/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคเพื่อติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) เมื่อวันที่ ๙-๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดพิษณุโลก ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้รับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดสุโขทัย ซึ่งมีพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ได้แก่ อำเภอศรีสัชนาลัย อำเภอสวรรคโลก อำเภอศรีสำโรง อำเภอเมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ โดยเฉพาะอำเภอกงไกรลาศ แม่น้ำยมล้นตลิ่งเกิดภาวะน้ำท่วมขังในระดับสูง ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ปัญหาอุทกภัยจังหวัดสุโขทัยเร่งแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือประชาชนตามภารกิจของแต่ละหน่วยงาน สำรวจความเสียหายเพื่อจะได้ฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด ให้ประชาชนแจ้งข่าวสารและเตือนภัยสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ดำเนินการสำรวจพนังกั้นน้ำให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับมือกับสถานการณ์การไหลบ่าของแม่น้ำ และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาในเบื้องต้นตามอำนาจหน้าที่ จากนั้นได้เดินทางไปเยี่ยมเยือนพบปะชี้แจงและมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยทุกตำบลของอำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง ๒. วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๖ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช) และคณะ ได้ประชุมหัวหน้าส่วนราชการและรับฟังสถานการณ์อุทกภัยของจังหวัดพิษณุโลก โดยจังหวัดพิษณุโลกมีสภาพพื้นที่ราบลุ่มในหลายอำเภอ และมีแม่น้ำสายสำคัญไหลผ่าน ได้แก่ แม่น้ำน่าน แม่น้ำยม แม่น้ำวังทอง คลองชมพู และแม่น้ำแควน้อย มีพื้นที่ประสบอุทกภัยที่ระดับน้ำลดลงแต่ยังไม่เข้าสู่สภาวะปกติ จำนวน ๖ อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมืองพิษณุโลก อำเภอพรหมพิราม อำเภอชาติตระการ อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง และอำเภอวัดโบสถ์ พื้นที่ที่มีระดับน้ำท่วมขังมากยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ จำนวน ๓ อำเภอ ได้แก่ อำเภอบางกระทุ่ม อำเภอบางระกำ และอำเภอวังทอง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เป็นที่ลุ่ม ได้แก่ ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง ยังมีสภาพน้ำท่วมขังมาก ซึ่งได้สั่งการให้ศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดพิษณุโลก ทั้งระดับจังหวัด ระดับอำเภอ และระดับท้องถิ่น เน้นการประชาสัมพันธ์ แจ้งข่าวสารสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด สำรวจความแข็งแรงของพนังกั้นน้ำในแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านพื้นที่ให้อยู่ในสภาพแข็งแรงพร้อมรับสถานการณ์การไหลบ่าของน้ำ และดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยให้ทันเวลาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง เพื่อฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุด สำหรับสถานศึกษาที่ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ได้สั่งการให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเร่งสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นและให้ดำเนินการวางแผนเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในปีต่อ ๆ ไป จากนั้นได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมมอบถุงยังชีพให้กับประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ตำบลวังพิกุล อำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก จำนวน ๑,๐๐๐ ถุง
|
||||||||||||||||||
756 | รายงานประจำปี 2555 ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ | สสส. | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๕ ของกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การบริหารงบประมาณในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ กองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ใช้จ่ายงบประมาณเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพรวม ๓,๕๓๑ ล้านบาท และมีการเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนโครงการใหม่ และโครงการต่อเนื่อง จำนวน ๓,๒๒๔ ล้านบาท ๑.๒ ผลงานเด่นประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ได้แก่ ขยายต้นแบบสถานประกอบการปลอดบุหรี่ ระดมความร่วมมือขยายพื้นที่วัฒนธรรมปลอดเหล้า ความร่วมมือทุกภาคส่วนเพื่อความปลอดภัยทางถนน ขับเคลื่อนมาตรการเพื่อคนไทยปลอดภัยจากแร่ใยหิน สร้างคุณค่าผู้พิการทางสายตาเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะด้านการนวดไทย ร่วมคิดร่วมสร้างจังหวัดอุบลราชธานีเป็นเมืองต้นแบบส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อเด็กและเยาวชน เพิ่มพื้นที่สุขภาวะและพื้นที่สร้างสรรค์เพื่อคุณภาพชีวิตคนไทย สร้างสุขภาวะในวัด เสริมสุขภาพที่ดีของพระสงฆ์ สร้างแรงจูงใจใหม่ เพิ่มจำนวนคนไทยออกกำลังกาย ฟื้นฟูชุมชนทั่วไทย และเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติ จุดกระแสสวดมนต์ข้ามปี สร้างค่านิยมเริ่มต้นปีใหม่คนไทย ๑.๓ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบงบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ งบรายได้และค่าใช้จ่าย และงบกระแสเงินสดสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสส. แล้วเห็นว่า รายงานการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ และ ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงานและกระแสเงินสด สำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวของแต่ปีของ สสส. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด ๒. ให้ สสส. รับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คณะกรรมการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และคณะอนุกรรมการกำกับดูแลการตรวจสอบภายใน ที่เห็นว่า สสส. ควรกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม และนำข้อเสนอแนะในประเด็นต่าง ๆ ของคณะกรรมการประเมินผลฯ ไปดำเนินการปรับปรุงการดำเนินงานของ สสส. รวมทั้งควรให้มีการจัดทำแผนลดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังร่วมกันระหว่าง สสส. กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และเห็นควรพิจารณาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของมาตรการ แนวทางการจัดสรรและบริหารจัดการงบประมาณที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงานสำหรับลดปัจจัยเสี่ยงและสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อความคุ้มค่าของการลงทุนในระยะต่อไป ตลอดจนควรมีการทบทวนระบบการควบคุมภายใน และการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องการเน้นการควบคุม/ป้องกันและรับช่วงต่อในการดูแลรักษาผู้ป่วยเรื้อรังอย่างต่อเนื่องไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
757 | ผลการประชุมหารือแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย | นร01 | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบแนวทางการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัยที่หน่วยงานได้ตกลงร่วมกัน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมได้ยึดหลักจากแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" ใช้ประกอบการกำหนดแนวทางในการให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย เป็น ๔ แนวทาง ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธาน กบอ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ในภาวะปกติ ในการปฏิบัติงานรายวันให้หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร แจ้งข่าวสารข้อมูลหรือข้อเท็จจริงทั่วไปที่อาจมีผลสืบเนื่อง หรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินเพื่อให้ประชาชนทราบ ห้ามนำเสนอข้อมูลในลักษณะแสดงความคิดเห็น เว้นแต่เป็นความคิดเห็นจากเจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือนักวิชาการที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้น ๆ ๑.๒ ในการเฝ้าระวัง เมื่อมีเหตุที่อาจมีผลสืบเนื่องหรือนำไปสู่ภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๑ ให้ สบอช. และศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติรับผิดชอบในการจัดประชุมและการแจ้งข่าวร่วมกันของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการติดตามสถานการณ์น้ำ ณ สบอช. โดยข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวัง ได้แก่ ประกาศหรือข้อมูลที่มุ่งหมายให้หน่วยงาน องค์กร หรือประชาชนเตรียมพร้อมและเฝ้าระวังภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ๑.๒.๒ ให้มีขั้นตอนการเฝ้าระวัง โดยให้กรมอุตุนิยมวิทยา กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรธรณี กรมอุทกศาสตร์ ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร เฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ สถานการณ์ฝน สภาพดิน เฝ้าระวังระดับและคุณภาพน้ำในเขื่อน น้ำในแม่น้ำ น้ำใต้ดิน น้ำทะเล โดยส่งข้อมูลดิบและข้อมูลที่ได้วิเคราะห์แล้วเข้าคลังข้อมูล ที่ สบอช. เพื่อเชื่อมข้อมูลกับสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ให้ทุกหน่วยงานสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ใช้ในการปฏิบัติงานร่วมกัน ๑.๒.๓ ให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการเฝ้าระวังดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป ๑.๓ การแจ้งเตือนภัย เมื่อเกิดหรือคาดว่าจะเกิดภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำ ให้กองบัญชาการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ (บก.ปภ.ช.) โดย กบอ. และ สบอช. เป็น Command Center เพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยงและประเมินสถานการณ์ภัยจากข้อมูลในคลังข้อมูลของหน่วยงานเฝ้าระวัง หากคาดว่าจะมีผลกระทบรุนแรง (ขั้นวิกฤต) จะแจ้งให้ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติแจ้งเตือนประชาชนผ่านช่องทางต่าง ๆ และผ่านกระทรวงมหาดไทย (จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) เพื่อนำข้อมูลหรือข้อเท็จจริงเพื่อการแจ้งเตือนภัยดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนและเครือข่ายหน่วยเผชิญเหตุทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยจำแนกระดับความรุนแรงของภัยเป็น ๔ ระดับ คือ อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๑ (สาธารณภัยขนาดเล็ก) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) อุทกภัยความรุนแรงระดับ ๓ (สาธารณภัยขนาดใหญ่) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) ๑.๔ การยกเลิกสถานการณ์ เมื่อภัยพิบัติหรือเหตุฉุกเฉินด้านภัยที่เกี่ยวเนื่องจากน้ำกลับเข้าสู่ภาวะปกติให้ผู้รับผิดชอบแต่ละระดับภัยประกาศยกเลิกสถานการณ์ และให้จังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา นำข้อมูลหรือข้อเท็จจริง การประกาศยกเลิกสถานการณ์ดังกล่าวไปเผยแพร่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงต่อไป โดยสรุปเป็นแนวทางในการให้ข่าวสารสาธารณะและเตือนภัย ได้แก่ การให้ข่าว (แจ้งข่าวสาร) การเฝ้าระวัง การแจ้งเตือนภัย และการยกเลิกสถานการณ์ ๒. ให้แก้ไขข้อความบางประการของการแจ้งเตือนภัย ในส่วนของอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๒ (สาธารณภัยขนาดกลาง) และอุทกภัยความรุนแรงระดับ ๔ (สาธารณภัยขนาดร้ายแรงอย่างยิ่ง) รวมทั้งการยกเลิกสถานการณ์ ในส่วนของตารางสรุปแนวทาง การให้ข่าวสาธารณะและการเตือนภัย ให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น ตามความเห็นของกระทรวงมหาดไทย |
||||||||||||||||||
758 | ยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. 2557 - 2559 | สธ | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบยุทธศาสตร์ป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยทิศทางยุทธศาสตร์ฯ ประกอบด้วย ๒ ทิศทาง ดังนี้ ๑.๑ ทิศทางยุทธศาสตร์ “นวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง” ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ คือ ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เร่งรัดขยายการดำเนินงานป้องกันที่รอบด้าน ด้วยชุดบริการที่ได้มาตรฐานบนฐานของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและมีความละเอียดอ่อนเรื่องเพศวิถี ให้ครอบคลุมประชากรที่มีพฤติกรรมเสี่ยงและคาดว่าจะมีจำนวนการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่มากที่สุด ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ เร่งรัดขยายการดำเนินงานให้การปกป้องทางสังคมและปรับเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมทางกฎหมายที่มีความสำคัญต่อการป้องกันและการดูแลรักษา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มความร่วมรับผิดชอบและเป็นเจ้าของร่วมในระดับประเทศ จังหวัด และท้องถิ่น ในการขยายการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ของประเทศ ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบข้อมูลเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์ในทุกระดับ ๑.๒ ทิศทางยุทธศาสตร์ “การผสมผสานและบูรณาการให้มาตรการและแผนงานปัจจุบันมีคุณภาพ เข้มข้น และมีความยั่งยืน” ประกอบด้วย ๑ ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ยกระดับคุณภาพมาตรการและแผนงานที่มีอยู่เดิมให้เข้มข้นและบูรณาการ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักนายกรัฐมนตรี (กรมประชาสัมพันธ์) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบประสานการทำงานสื่อสารสาธารณะเรื่องเอดส์ ที่ทำหน้าที่จัดการความรู้ ส่งต่อประเด็นการสื่อสารให้มีความต่อเนื่องอย่างมีเอกภาพ การติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์อย่างต่อเนื่องเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่กำหนดไว้ การนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลการให้บริการทางการแพทย์โดยพัฒนาระบบสารสนเทศสุขภาพแห่งชาติ (National Health Information System : NHIS) เพื่อบูรณาการข้อมูลและสารสนเทศสุขภาพด้านการรักษา ป้องกัน ควบคุมโรคและการบริหารจัดการโดยรวมของประเทศ การให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มเด็กนักเรียน วัยรุ่น และนักศึกษาอย่างมุ่งผลสัมฤทธิ์ในเรื่องการเข้าถึงข้อมูลสิทธิและบริการ การรับบริการป้องกัน และกำหนดเป็นแนวทางหลักที่ตอบสนองยุทธศาสตร์ประเทศโดยเฉพาะการสนับสนุนแนวทางการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิตในส่วนการส่งเสริมป้องกันของกลุ่มเด็กและเยาวชนอายุ ๑๕-๒๔ ปี รวมทั้งให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ปลอดภัย และการตรวจหาเชื้อเอชไอวีในกลุ่มประชากรทั่วไปที่นอกเหนือจากกลุ่มเสี่ยง เพื่อให้ประชาชนเฝ้าระวังสุขภาพของตนเอง และลดโอกาสในการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีให้กับผู้อื่น โดยให้สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพมีบทบาทหน้าที่ในการจัดงบประมาณตั้งต้นหรือสมทบเพื่อสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพในประชากรทุกวัยตามนโยบายสุขภาพแห่งชาติ และมีการรณรงค์ในเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
759 | รายงานผลการจัดงานเสวนา "กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน - หนุนการสร้างงาน" พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | อก | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานผลการจัดงานเสวนา “กระทรวงอุตสาหกรรมพบนักลงทุน-หนุนการสร้างงาน” ของพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๖ ณ โรงแรม ซี เอส จังหวัดปัตตานี โดยมีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบการในพื้นที่ ๓ จังหวัด (จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส) และนอกพื้นที่ (จังหวัดสงขลาและสตูล) ประมาณ ๕๐๐ คน รวมทั้งกงสุลมาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เข้าร่วมการเสวนาในครั้งนี้ด้วย สรุปผลการจัดงานเสวนาฯ ดังนี้
๑. ผู้บริหารระดับสูงทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันให้ข้อมูลประเภทอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพสูงสำหรับนักลงทุน นำเสนอสิทธิประโยชน์พิเศษ และโครงการเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันต่าง ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่จะลงทุนในพื้นที่ให้ได้รับทราบและเข้าใจ ๒. กระทรวงอุตสาหกรรมรับทราบปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะจากสภาอุตสาหกรรมจังหวัดปัตตานีและสตูล หอการค้าจังหวัดปัตตานี ตลอดจนผู้ประกอบการจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการลงทุนและการประกอบการอุตสาหกรรมในทุกมิติ โดยมีประเด็นที่สำคัญ ได้แก่ ๒.๑ มาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่สำหรับ ๔ จังหวัดภาคใต้ (จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล) และ ๔ อำเภอในจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี สะบ้าย้อย และเทพา) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน จึงทำให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนในจังหวัดสตูลและ ๔ อำเภอของจังหวัดสงขลาแทนที่จะลงทุนในจังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ๒.๒ ขอรับการสนับสนุนจากรัฐให้สร้างโรงงานแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นโรงงานต้นแบบ (เนื่องจากไม่มีเอกชนลงทุน) เช่น โรงหีบน้ำมันปาล์มในจังหวัดนราธิวาส ๒.๓ โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเมื่อครบกำหนดการยกเว้นภาษีเงินได้แล้ว ขอให้สามารถนำเงินภาษีที่ต้องชำระ (เช่น ปีที่ ๙ หลังจากครบกำหนด ๘ ปี) มาลงทุนเพิ่มได้ ๒.๔ การช่วยเหลือผู้ประกอบการเดิมซึ่งได้รับผลกระทบจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำในสภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวให้อยู่รอดได้ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมมีโครงการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันแล้วหลายโครงการ เช่น สนับสนุนการพัฒนาการแปรรูปอาหาร-บรรจุภัณฑ์/ออกแบบแฟชั่นมุสลิม/อุดหนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในการเปลี่ยนเครื่องจักร/ผู้ประกอบการสามารถรวมกลุ่มขอรับเงินอุดหนุนจากสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นต้น ๓. ประเด็นที่ผู้ประกอบการร้องขอ ได้แก่ การจัดตั้งศูนย์ส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่แบบครบวงจร (One stop service) การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นไปอย่างยากลำบาก โครงการในพื้นที่มักไม่ได้รับการอนุมัติ การขออนุญาตตั้งโรงงานในกรณีขัดผังเมืองรวม การสนับสนุนการตลาด การแสดงสินค้า โดยเฉพาะตลาดเพื่อส่งออกต่างประเทศและการค้าชายแดน รวมทั้งการขอปะการังเทียมเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำเป็นวัตถุดิบสำหรับโรงงานแปรรูปอาหาร ๔. กงสุลใหญ่มาเลเซียประจำจังหวัดสงขลาได้เสนอให้เพิ่มการประชาสัมพันธ์รายละเอียดเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ในพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้และความร่วมมือระหว่างไทยและมาเลเซียเผยแพร่ให้นักธุรกิจมาเลเซียได้รับทราบ
|
||||||||||||||||||
760 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 08/10/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๒๖ มิถุนายน-๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ณ เมืองเมดาน สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยประเด็นสำคัญของการประชุมฯ ได้แก่ แผนการดำเนินงานในแต่ละกลุ่มเพื่อนประธาน การจัดทำรายงานเศรษฐกิจเอเปคประจำปี การจัดทำรายงานความก้าวหน้าในช่วงกลางของแผนงาน APEC New Strategy for Structural Reform (ANSSR) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๑ : การปฏิรูประบบราชการ (Bureaucratic Reform) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๒ : มาตรฐานการบัญชีภาครัฐ และ International Public Sector Accounting Standards (IPSAS) การหารือระดับนโยบายเรื่องที่ ๓ : การอภิปรายเรื่องภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค สรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องบทเรียนจากวิกฤติทางการเงินสำหรับกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทและบรรษัทภิบาล (Corporate Law and Governance) และสรุปผลการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการลดขั้นตอนการรับรองเอกสารตามอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) รวมทั้งความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ ฝ่ายไทยได้หารือกับญี่ปุ่นในฐานะผู้ประสานงานหลักของกลุ่มเพื่อนประธานในเรื่องการปฏิรูปกฎระเบียบ โดยเสนอขอให้ญี่ปุ่นพิจารณาประเทศไทยเป็นกรณีศึกษาในโครงการที่จะจัดทำในอนาคต คือ การส่งเสริมนวัตกรรม และการพัฒนาบรรยากาศทางธุรกิจของ SMEs ๑.๒ ข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ เป็นผลให้การรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศมีความสะดวกรวดเร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย ช่วยป้องกันการสูญหาย และสามารถตรวจสอบได้ง่ายจากการบริการแบบ One-Stop Service ซึ่งเป็นประโยชน์กับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน เป็นการอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนระหว่างรัฐภาคี ทั้งด้านการค้าข้ามพรมแดนและการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งอ้างอิงได้จากการประเมินในฐานข้อมูลของธนาคารโลกเรื่อง Investing Across Borders ที่ให้ความสำคัญกับการอำนวยความสะดวกตามอนุสัญญากรุงเฮก ตลอดจนช่วยพัฒนาตัวชี้วัด EoDB ของประเทศให้อยู่ในอันดับที่ดีขึ้น ๑.๓ หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ควรมีการศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียด และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่ไทยจะเข้าร่วมเป็นรัฐภาคี (Contracting State) ของอนุสัญญากรุงเฮกว่าด้วยการยกเลิกความจำเป็นในการรับรองเอกสารทางการของต่างประเทศ ค.ศ. ๑๙๖๑ (Hague Convention of 5 October 1961 Abolishing the Requirement of Legalisation for Foreign Public Documents) โดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก (Member State) ขององค์กรกฎหมายระหว่างประเทศ Hague Conference on Private International Law (HCCH) ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อศึกษาข้อตกลงตามอนุสัญญากรุงเฮก ค.ศ. ๑๙๖๑ ในรายละเอียดและพิจารณากำหนดท่าทีของไทย และนำเสนอผลการพิจารณาแก่คณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป |
.....