ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 37 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 721 - 740 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
721 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม 2557 | พณ | 06/05/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานวิเคราะห์ดัชนีเศรษฐกิจการค้าและภาวะเศรษฐกิจไทย เดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๙๔ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ (เท่ากับ ๑๐๖.๗๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๓) เป็นอัตราการสูงขึ้นที่ชะลอลง จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๔๕ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๔) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ เนื้อสุกร ผักกาดขาว ผักคะน้า มะเขือเจ้าพระยา มะนาว ผักกาดหอม ส้มเขียวหวาน กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๐ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐) สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน ก๊าซหุงต้ม สบู่ถูตัว ยาสีฟัน แชมพูสระผม น้ำมันเบนซิน ๙๕ แก๊สโซฮอล์ ๙๑ แก๊สโซฮอล์ ๙๕ วารสารรายสัปดาห์ เบียร์ สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๔.๒๒ เทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๘ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจไทยเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง จากการใช้จ่ายในประเทศและผลผลิตภาคอุตสาหกรรมที่ปรับตัวลดลง รวมทั้งการท่องเที่ยวที่หดตัวเนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์ด้านการเมือง โดยสอดคล้องกับการนำเข้าสินค้าที่หดตัว ขณะที่การส่งออกสินค้าปรับดีขึ้นตามแนวโน้มอุปสงค์จากต่างประเทศ ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม ๒๕๕๗ สูงขึ้นร้อยละ ๒.๑๑ (เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๖) ตามการสูงขึ้นของราคาอาหารสำเร็จรูปที่ได้รับผลกระทบจากราคาอาหารสดที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น เนื้อสุกร ผักและผลไม้ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๓๑
|
|||||||||||||||||||||||||||
722 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม 2557 | พณ | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศ และรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๗ เท่ากับ ๑๐๖.๔๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ (เท่ากับ ๑๐๖.๐๑) สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๔) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๖๗ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ ไม่เปลี่ยนแปลง) สินค้าที่ปรับราคาสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวสารเจ้า เนื้อสุกร ไก่สด เนื้อโค ไข่ไก่ นมสด กับข้าวสำเร็จรูป ก๋วยเตี๋ยว อาหารเช้า อาหารกลางวัน (ข้าวราดแกง) อาหารเย็น (อาหารตามสั่ง) และดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๐ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๒) สินค้าที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่ากระแสไฟฟ้า ก๊าซหุงต้ม ผ้าอนามัย แชมพูสระผม น้ำยาปรับผ้านุ่ม ผงซักฟอก น้ำมันเชื้อเพลิง บุหรี่ เบียร์ สุรา สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมกราคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๘๖ เทียบกับเดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๑ ๒. ภาพรวมเศรษฐกิจเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ชะลอตัวลงตามภาวะการผลิตภาคอุตสาหกรรมและการใช้จ่ายภาคเอกชน เนื่องจากภาคธุรกิจและครัวเรือนยังกังวลต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมือง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกทั้งสหรัฐอเมริกา ยุโรป จีน และอาเซียน ปรับตัวดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ขณะที่เงินบาทอ่อนค่าลงในทิศทางเดียวกับภูมิภาค และมีภาวะเงินไหลออก ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมกราคม ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๑.๙๓ (เดือนธันวาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๑.๖๗) ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ ๑.๐๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
723 | รายงานประจำครึ่งปี (กรกฎาคม-ธันวาคม 2556) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 28/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปีหลังของปี ๒๕๕๖ (กรกฎาคม-ธันวาคม ๒๕๕๖) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมหลักโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ขณะที่เศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียและจีนขยายตัวชะลอลง ซึ่งการคาดการณ์เกี่ยวกับทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคมีผลต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินโลก ทำให้เงินทุนต่างประเทศไหลออกจากภูมิภาคและไทย ส่งผลให้เงินในภูมิภาคและเงินบาทโน้มอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ไทยไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกอย่างเต็มที่ เนื่องจากยังเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทาน เมื่อรวมกับอุปสงค์ในประเทศที่หดตัว และผลกระทบจากสถานการณ์ทางการเมือง โดยรวมเศรษฐกิจไทยจึงขยายตัวชะลอลง ๒. การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนหดตัวหลังจากที่เร่งไปมากตามการใช้จ่ายในสินค้าคงทน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจยานยนต์ ขณะที่การใช้จ่ายในสินค้าไม่คงทนขยายตัวชะลอลงจากหนี้ครัวเรือนที่เร่งตัวขึ้น สถาบันการเงินที่เพิ่มความเข้มงวดในการให้สินเชื่อแก่ครัวเรือน และสถานการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบเพิ่มเติมต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค มูลค่าการส่งออกสินค้าหดตัวเนื่องจากไทยเผชิญกับข้อจำกัดด้านอุปทานและด้านเทคโนโลยีที่ไม่สามารถตอบสนองต่อรสนิยมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จึงไม่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเท่าที่ควร ๓. การบริโภคและการส่งออกสินค้าที่หดตัว ทำให้การผลิตสินค้าอุตสาหกรรมลดลง ผู้ประกอบการบางส่วนชะลอการลงทุนออกไปเพื่อรอประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจและการเมือง ภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวดีจึงเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจ ๔. อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ฐานะการเงินของสถาบันการเงินยังเข้มแข็ง สินเชื่อของทั้งภาคธุรกิจและภาคครัวเรือนขยายตัวดีแต่ชะลอลงบ้างตามภาวะเศรษฐกิจ และสถาบันการเงินที่เริ่มเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เงินบาทโน้มอ่อนค่าลง ฐานะการคลังยังอยู่ในเกณฑ์ดีแต่อาจมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เสถียรภาพด้านต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์มั่นคง ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจในปี ๒๕๕๗ คาดว่าจะยังชะลอตัวต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปีจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองที่กระทบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคเอกชน โดยภาระหนี้ที่สูงขึ้นจะจำกัดกำลังซื้อของครัวเรือนไปอีกระยะหนึ่ง การส่งออกมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทกระตุ้นเศรษฐกิจอยู่แต่น้อยลง ทั้งนี้ อุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่ขยายตัวดีขึ้นจะช่วยให้ผู้ประกอบการหันมาลงทุนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิตมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
724 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์และแนวโน้มปี 2557 | นร11 | 22/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญ ๆ ในช่วง ๒ เดือนแรกของปี ๒๕๕๗ ทั้งในด้านการใช้จ่ายและการผลิตยังอยู่ในภาวะทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย โดยปรับตัวดีขึ้นในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ ก่อนที่จะเริ่มปรับตัวลดลงในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ การส่งออก การผลิตภาคเกษตร และการท่องเที่ยว ปรับตัวลดลงต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่เป็นไปอย่างช้า ๆ ผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง และปัญหาในภาคการท่องเที่ยว ตามลำดับ ๑.๒ เศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เครื่องชี้เศรษฐกิจสำคัญ ๆ ยังปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม เนื่องจากความเชื่อมั่นที่ลดลงต่อเนื่อง ประกอบกับฐานการใช้จ่ายและการลงทุนในช่วงไตรมาสแรกปี ๒๕๕๖ อยู่ในระดับสูง ในขณะที่การส่งออกยังฟื้นตัวช้า จำนวนนักท่องเที่ยวยังลดลงต่อเนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ มาตรการเพิ่มคุณภาพนักท่องเที่ยว และการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน สภาพอากาศที่หนาวผิดปกติในอเมริกาเหนือ และการอ่อนค่าของเงินเยน อย่างไรก็ตาม เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งในด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลการค้าเกินดุล จากการปรับตัวดีขึ้นของการส่งออกและการนำเข้าที่หดตัวสูง เช่นเดียวกับดุลบริการที่เกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลต่ำกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการเบิกจ่ายจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัวต่อเนื่อง ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๕ ต่อปี ขณะที่เงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวในทิศทางที่แข็งค่าขึ้น จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลง ประกอบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อประเทศในกลุ่มเศรษฐกิจใหม่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ค่าเงินบาทเฉลี่ยแข็งค่าเป็น ๓๒.๖๕ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ด้านสินเชื่อ ธนาคารพาณิชย์ขยายตัวร้อยละ ๘.๔ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ชะลอลงจากการขยายตัวร้อยละ ๑๐.๐ ในเดือนมกราคม ๒๕๕๗ เป็นการชะลอตัวลงทั้งในสินเชื่อภาคครัวเรือนและสินเชื่อภาคธุรกิจ ในขณะที่เงินฝากของธนาคารพาณิชย์ (รวม B/E) ขยายตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากตึงตัวน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า สอดคล้องกับสภาพคล่องส่วนเกินของธนาคารพาณิชย์ที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ ๑,๔๔๗ พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม เงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงไหลออกสุทธิ ๔,๑๐๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ ประมาณการว่า มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐-๔.๐ โดยคาดว่าในปี ๒๕๕๗ มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๕.๐-๗.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ และร้อยละ ๓.๑ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๙-๒.๙ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
725 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 4 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ 2557 | อก | 22/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๔ ปี ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายคาดว่าจะชะลอตัวตามความต้องการใช้ของอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศ ประกอบกับปัญหาการชุมนุมทางการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลให้ระดับความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประชาชนลดลง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยของภาคครัวเรือนระมัดระวังมากขึ้น สำหรับการส่งออก คาดว่าจะกระเตื้องขึ้นในทิศทางบวกและสามารถขยายการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่นตามกรอบความร่วมมือสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น ๒. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาพรวมอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ประมาณการแนวโน้มการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๓๐ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะลดลงร้อยละ ๐.๓๗ จากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภคในประเทศ และอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕.๑๔ เนื่องจากเศรษฐกิจในตลาดหลักเริ่มฟื้นตัว
|
|||||||||||||||||||||||||||
726 | สรุปสาระสำคัญรายงานการพัฒนาคนของประเทศไทย ปี 2557 | นร11 | 22/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสาระสำคัญรายงานการพัฒนาคนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การศึกษาสำหรับคนรุ่นใหม่ ประเทศไทยได้ขยายการเข้าถึงการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายและระดับอุดมศึกษาได้มากขึ้น แต่มีจุดอ่อนสำคัญคือ คุณภาพการศึกษาของประเทศไทยตกต่ำลง World Competitiveness Report 2555-2556 จัดให้คุณภาพการศึกษาโดยรวมของประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในอาเซียน การขาดทักษะภาษาอังกฤษ รวมถึงผลผลิตของระบบการศึกษาไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน มีผู้เรียนอาชีวศึกษาน้อยเกินไป ปัญหาความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงบริการและปัญหาคุณภาพการศึกษาที่แตกต่างกัน เยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้สูงที่สุด (ควินไทล์ที่ ๕) มีโอกาสดีกว่าเยาวชนจากครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ (ควินไทล์ที่ ๑) ถึง ๖ เท่าที่จะเข้าเรียนระดับอุดมศึกษา การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนส่งผลให้เกิดความตื่นตัวในการพัฒนาแก้ไขปัญหา และเปิดโอกาสให้คนไทยได้รับการจ้างงานที่ดีขึ้น โดยแรงงานต้องมีทักษะด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และภาษาประเทศสมาชิกอาเซียน มีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการจ้างงาน สามารถปรับตัว มีความพร้อมที่จะทำงานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ๒. การคุ้มครองทางสังคมและสุขภาพ ประเทศไทยมีความก้าวหน้าของบริการสุขภาพ และการคุ้มครองทางสังคม นโยบายหลักประกันสุขภาพช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ประชาชนกว่า ๕ แสนคนหลุดพ้นจากความยากจน และมาตรการการคุ้มครองทางสังคม อาทิ เรียนฟรี ๑๕ ปี เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ๖๐๐-๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน เบี้ยยังชีพคนพิการ ๕๐๐ บาทต่อเดือน ส่งผลต่อการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนส่วนใหญ่ การตั้งศูนย์ช่วยเหลือสังคม (One Stop Crisis Center : OSCC) ซึ่งเป็นสายด่วน (โทร ๑๓๐๐) สำหรับแจ้งเบาะแสต่าง ๆ เกี่ยวกับความรุนแรงต่อเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการ และกลุ่มด้อยโอกาส ผู้ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงทางเพศ แรงงานเด็ก การค้ามนุษย์ การตั้งครรภ์ไม่พร้อมและก่อนวัยอันควร อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหาหลายด้านจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ รัฐบาลมีแผนจัดการกับความท้าทายนี้ด้วยแนวทางการคุ้มครองทางสังคมขั้นพื้นฐาน (Social Protection Floor) และมีนโยบายจะส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวสำหรับผู้สูงอายุ รวมทั้งบริการทางการแพทย์เป็นสาขาหนึ่งที่จะเปิดเสรีภายใต้ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๓. ประชากรข้ามพรมแดน ประเทศไทยได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติมากกว่าทศวรรษ แต่ขณะนี้ยังมีแรงงานจำนวนมากที่ไม่ได้จดทะเบียน อยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการถูกละเมิดสิทธิในรูปแบบต่าง ๆ ส่วนหนึ่งของความพยายามจัดระเบียบแรงงานข้ามชาติ คือ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบนโยบายการศึกษาเพื่อปวงชน (Education for All) เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยได้เรียนหนังสือไม่ว่าจะมีสัญชาติใด พร้อมทั้งจัดสรรเงินสนับสนุนรายหัวให้ในอัตราเท่ากับเด็กสัญชาติไทย และตั้งแต่ปี ๒๕๕๓ โรงพยาบาลได้รับงบประมาณสนับสนุนการรักษาพยาบาลโดยไม่คำนึงถึงสถานะทางสัญชาติ ๔. สิ่งแวดล้อม ภาคประชาสังคมเห็นว่าการส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจอาจนำไปสู่การใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างเกินขอบเขต ขณะที่กลไกในการบริหารจัดการประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยและภูมิภาคยังขาดประสิทธิภาพ รวมถึงอาเซียนยังขาดการแสดงพันธะผูกพันอย่างจริงจังกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาอาเซียนได้ร่วมดำเนินการจัดการในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมที่ก้าวหน้ามากขึ้น อาทิ การแก้ไขปัญหาหมอกควันจากไฟป่า และการจัดทำแผนปฏิบัติการว่าด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ๕. การพัฒนาจังหวัดรอบนอก การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสของการพัฒนาพื้นที่จังหวัดรอบนอก ประเทศไทยมี ๓๘ จังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน้าต่างของประเทศไทยสู่อาเซียน และจะเป็นพื้นที่ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคนเป็นจำนวนมากในภูมิภาคต่าง ๆ หากมีการพัฒนาอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง ทั้งนี้ การพัฒนาแนวระเบียงเศรษฐกิจ แผนแม่บทการเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน การพัฒนาโครงข่ายถนนและระเบียงเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงจุดต่าง ๆ ในภูมิภาค จะทำให้เมืองที่อยู่ตามเส้นทางเหล่านี้จะได้ประโยชน์จากการค้าชายแดนและการลงทุนที่ขยายตัว ๖. ความมั่นคงและสิทธิมนุษยชน ประเด็นด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย ได้แก่ การฟอกเงินข้ามชาติ การค้าผู้หญิงและเด็ก ความมั่นคงทางพลังงานและอาหาร การกระทำอันเป็นโจรสลัดระหว่างประเทศ และความมั่นคงทางทะเล การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสของการเรียนรู้เรื่องความมั่นคงในรูปแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจากความร่วมมือประเทศสมาชิกในการติดตามการระบาดของโรคซาร์สในปี ๒๕๔๖ และไข้หวัดนกในปี ๒๕๔๗ การให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางอาหาร การพัฒนาแผนปฏิบัติการระดับภูมิภาคเพื่อต่อสู้กับการค้ามนุษย์ การจัดตั้งอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย การจัดตั้งสถาบันอาเซียนเพื่อสันติภาพและความสมานฉันท์ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนด้านสิทธิมนุษยชน การจัดตั้งคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิสตรีและเด็ก ๗. ชุมชน ประวัติศาสตร์ และประชาชน ประเทศอาเซียน ความหลากหลายทั้งภาษา ชาติพันธุ์ ระดับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ระบบการเมือง ศาสนา การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนได้แสดงให้เห็นถึงโอกาสของการพัฒนาชุมชน ภาคประชาชน และความเป็นประชาคม ภายใต้คำขวัญที่ว่า อาเซียนมีหนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งอัตลักษณ์ และหนึ่งประชาคม นอกจากนี้ เสาการเมืองและความมั่นคงให้ความสำคัญกับชุมชนที่เอื้ออาทรและแบ่งปันกัน ๘. ดัชนีความก้าวหน้าของคน [Human Achievement Index (HAI)] สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nation Development Programme : UNDP) ประเทศไทยได้จัดทำ HAI ตั้งแต่ปี ๒๕๔๖ เพื่อเปรียบเทียบสถานการณ์การพัฒนาคนในระดับจังหวัด ชี้ให้เห็นจังหวัดที่มีความก้าวหน้าและล้าหลัง โดยมี ๔๐ ตัวชี้วัดที่ครอบคลุมการพัฒนาคนใน ๘ มิติ ประกอบด้วย สุขภาพ การศึกษา การจ้างงาน รายได้ สภาพแวดล้อมของผู้ที่อยู่อาศัยและการดำรงชีพ ครอบครัวและชีวิตชุมชน การคมนาคมและสื่อสาร และการติดต่อสัมพันธ์มีส่วนร่วมในสังคม จากผลการคำนวณ HAI ปี ๒๕๕๗ พบว่ากรุงเทพมหานครมีความก้าวหน้ามากที่สุด จังหวัดภูเก็ตเป็นจังหวัดที่มีความก้าวหน้าเป็นอันดับที่ ๒ และมีจังหวัดนนทบุรี ตรัง พะเยา นครนายก นครปฐม สงขลา พระนครศรีอยุธยา สมุทรสงคราม ติดอยู่ในสิบอันดับตามลำดับ |
|||||||||||||||||||||||||||
727 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาวะค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 - 31 กรกฎาคม 2557 | กค | 22/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก ๓ เดือน (ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๗-๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๗) และให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการสนับสนุนมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับเงินชดเชยเพื่อการนี้ อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินรวม ๑,๐๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วยมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๗๘๑ ล้านบาท และมาตรการลดค่าใช้จ่ายเดินทางโดยรถไฟชั้น ๓ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประมาณการค่าใช้จ่ายในวงเงิน จำนวน ๒๖๓ ล้านบาท โดยให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ) ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้มีผลดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
728 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาวะค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทางออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2557 | กค | 01/04/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการขยายระยะเวลาดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ออกไปอีก ๑ เดือน ตั้งแต่วันที่ ๑-๓๐ เมษายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้รับการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว ในกรอบวงเงินจำนวน ๓๕๕ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายชดเชยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนด้านการเดินทาง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้มีผลการดำเนินการต่อไปได้เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ให้กระทรวงคมนาคม (องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย) ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณเพื่อเบิกค่าใช้จ่ายชดเชยตามที่จ่ายจริงต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
729 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมทั้งปี 2556 | นร11 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สี่ และภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รายได้และการจ้างงาน ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๑.๑ เป็นการลดลงทั้งภาคเกษตรและภาคนอกเกษตร อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๖๕ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๗ จากช่วงเดียวกันกับปีก่อน และจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ ทำให้ค่าจ้างแรงงานในไตรมาสที่สี่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ ทั้งนี้ โดยรวมตลอดทั้งปี ๒๕๕๖ แม้ว่าการจ้างงานจะลดลงและอัตราการว่างงานจะสูงขึ้นในไตรมาสที่สี่ อันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็ตาม ตลอดทั้งปีการจ้างงานลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ลดลงเล็กน้อยเพียงร้อยละ ๐.๐๕ ในขณะที่อัตราการว่างงานเท่ากับร้อยละ ๐.๗๒ ยังอยู่ในระดับที่ต่ำและใกล้เคียงกับระดับอัตราการว่างงานในช่วงสองปีที่ผ่านมาที่ร้อยละ ๐.๗ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ยังไม่รวมค่าล่วงเวลาและผลประโยชน์ตอบแทนอื่นในปี ๒๕๕๖ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๐.๒ ค่าจ้างแท้จริงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๘ ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๙ ๒. ภาวะสุขภาพ ๒.๑ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังมีแนวโน้มลดลงแต่ยังต้องเฝ้าระวังโรคในระบบทางเดินหายใจ ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลงร้อยละ ๒๕.๑ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๕ ภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๙ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ โดยผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้นเกือบ ๒ เท่า ซึ่งแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๕ ส่วนใหญ่พบมากในกลุ่มนักเรียนอายุ ๑๐-๒๔ ปี รวมทั้งยังต้องเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบและไข้หวัดใหญ่ที่แพร่ระบาดอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ๒๕๕๗ สำหรับการเจ็บป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สำคัญมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยในปี ๒๕๕๕ พบผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๔ รองลงมา ได้แก่ โรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็ง โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๖ ๓.๗ ๗.๔ และ ๖.๒ ตามลำดับ ๒.๒ ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีแนวโน้มลดลงจาก ๔๓,๕๒๖ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๕ เป็น ๓๙,๖๖๔ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๖ หรือลดลงร้อยละ ๘.๙ เป็นผลมาจากการปรับภาษีสรรพสามิตของสุราและเบียร์ใหม่ทำให้ราคาสุราและเบียร์เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณร้อยละ ๗-๘ ส่งผลให้ปริมาณการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่เพิ่มขึ้นจากมูลค่า ๔,๖๘๒ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๕ เป็น ๔,๗๓๔ ล้านบาทในไตรมาสที่สี่ปี ๒๕๕๖ หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๑ ๓. ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ๓.๑ จำนวนคดีอาญาโดยรวมลดลง ขณะที่คดียาเสพติดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ มีการรับแจ้ง ๑๑๘,๙๐๔ คดี ลดลงร้อยละ ๐.๖ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยคดียาเสพติดมีสัดส่วนมากที่สุดคิดเป็นร้อยละ ๘๕.๑ ของคดีอาญารวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๕ ร้อยละ ๐.๘ สำหรับภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีการรับแจ้งคดียาเสพติด ๔๓๔,๕๕๗ คดี เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๗ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ๓.๒ สถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุจราจรทางบกในไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๒๔.๔ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ สำหรับภาพรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มีผู้เสียชีวิตลดลงร้อยละ ๙.๑ เมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๕ ส่วนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๗ เกิดอุบัติเหตุ ๓,๑๗๔ ครั้ง เพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๐.๓ มีผู้บาดเจ็บ ๓,๓๔๕ คน ผู้เสียชีวิต ๓๖๖ คน สาเหตุหลักยังคงมาจากการขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และรถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดที่ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายไม่สวมหมวกนิรภัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
730 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี 2556 และแนวโน้มปี 2557 | นร11 | 25/03/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ ทั้งปี ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สี่ของปี ๒๕๕๖ วัดจากผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ขยายตัวร้อยละ ๐.๖ โดยเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสี่ขยายตัวจากไตรมาสสามของปี ๒๕๕๖ ร้อยละ ๐.๖ ในขณะที่เศรษฐกิจในภาพรวมยังมีเสถียรภาพ อัตราการว่างงานยังต่ำที่ร้อยละ ๐.๗ และอัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๑.๗ และเมื่อรวมทั้งปี ๒๕๕๖ เศรษฐกิจไทยขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ๒. ภาวะเศรษฐกิจไทยปี ๒๕๕๖ ๒.๑ เศรษฐกิจไทยโดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ ขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ชะลอตัวค่อนข้างมากจากที่ขยายตัวร้อยละ ๖.๕ ในปี ๒๕๕๕ เนื่องจากฐานการใช้จ่ายครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๕ สูงกว่าแนวโน้มปกติ เป็นผลจากการดำเนินมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกที่ส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งสูงถึง ๒๑๑,๔๗๔ คัน ในไตรมาสสี่ปี ๒๕๕๕ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศรวมชะลอตัวลงมาก ประกอบกับในช่วงปลายปีความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง การใช้จ่ายของครัวเรือนโดยรวมทั้งปีจึงขยายตัวเพียงร้อยละ ๐.๒ การลงทุนภาคเอกชนหดตัวร้อยละ ๒.๘ และการใช้จ่ายรัฐบาลและการลงทุนภาครัฐชะลอตัวลง นอกจากนี้ ปริมาณการส่งออกสินค้าและบริการยังชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในช่วงแรกของการฟื้นตัว รวมทั้งสินค้าส่งออกเกษตรประสบปัญหาโรคตายด่วนในกุ้งและสินค้าอุตสาหกรรมกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไม่สามารถปรับตัวทันกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีการผลิตหน่วยความจำของฮาร์ตดิสก์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น โดยรวมทั้งปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๒๒๕,๓๙๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ ๐.๒ ๒.๒ การใช้จ่ายและการส่งออกที่ชะลอตัวส่งผลให้การผลิตในทุกสาขาชะลอลงทั้งปี ๒๕๕๖ ภาคเกษตรกรรมขยายตัวร้อยละ ๑.๔ ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๐.๑ ภาคการก่อสร้างขยายตัวร้อยละ ๑.๒ และสาขาโรงแรมและภัตตาคารขยายตัวร้อยละ ๑๒.๑ โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมทั้งสิ้น ๒๖.๗ ล้านคน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๙.๖ ๒.๓ เศรษฐกิจยังคงมีเสถียรภาพที่มั่นคงโดยที่อัตราการว่างงานทั้งปีเท่ากับร้อยละ ๐.๗ อัตราเงินเฟ้อเท่ากับร้อยละ ๒.๒ และดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ต่อ GDP ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ ๓.๑ เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๓.๐-๔.๐ ดีขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ ๒.๙ ในปี ๒๕๕๖ โดยมีปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวจากภาคการส่งออกที่คาดว่าจะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๖ เร่งตัวขึ้นจากร้อยละ ๓.๑ ในปี ๒๕๕๖ การท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๓.๐ ต่ำกว่าประมาณการครั้งก่อน และอัตราการขยายตัวในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา และการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในส่วนที่ได้มีการผูกพันไว้แล้ว รวมทั้งการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มขยายตัวได้ โดยเฉพาะการลงทุนที่ขอรับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนไว้แล้วและสามารถเข้าสู่ขั้นตอนการอนุมัติในช่วงครึ่งหลังของปีได้ โดยคาดว่าการปรับปรุงนโยบายการส่งเสริมการลงทุนจะมีความชัดเจนขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ๓.๒ ข้อจำกัดของอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวจะทำให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่ำกว่าร้อยละ ๔.๐-๕.๐ เนื่องจากความล่าช้าของการดำเนินการตามแผนการลงทุนของภาครัฐและการบริโภคภายในประเทศที่ยังคงอ่อนตัวต่อเนื่อง ๓.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจคาดว่าจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยอัตราเงินเฟ้อยังมีแนวโน้มที่จะอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๙-๒.๙ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศยังขยายตัวไม่มาก ประกอบกับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นไม่มาก อัตราการว่างงานจะยังต่ำไม่เกินร้อยละ ๑ ดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งคาดว่าจะขาดดุลร้อยละ ๐.๒ ของ GDP ลดลงจากการขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของ GDP ในปี ๒๕๕๖
|
|||||||||||||||||||||||||||
731 | รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 25/02/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานความก้าวหน้าโครงการสำคัญ (Flagship Project) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมีโครงการสำคัญเพื่อตอบสนองต่อเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ จำนวน ๘ โครงการ ดังนี้
๑. โครงการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจสำหรับสินค้าเกษตรที่สำคัญ (Zoning) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การประกาศเป็นนโยบายการบริหารจัดการเขตเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ การรวบรวมข้อมูลองค์ความรู้ทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมของดิน (Land Suitability) ความต้องการของพืช ประมง ปศุสัตว์ (Production Requirement) และข้อมูลเกษตรจากทุกจังหวัด การประกาศเขตเศรษฐกิจสำหรับพืช ปศุสัตว์ และประมง ระหว่างวันที่ ๕ กุมภาพันธ์-๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ พร้อมจัดทำแผนที่ประกอบ จำนวน ๒๐ ชนิดสินค้า ประกอบด้วย พืช ๑๓ ชนิด ปศุสัตว์ ๕ ชนิด และประมง ๒ ชนิด การจัดตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการในระดับจังหวัดและกระทรวง การปรับเปลี่ยนพื้นที่เกษตรที่ไม่เหมาะสมไปสู่พืช ประมง และปศุสัตว์ ในพื้นที่ที่เหมาะสม การเสนอแผนการบริหารจัดการพื้นที่และสินค้าเกษตรระดับจังหวัดของผู้ว่าราชการจังหวัด และการจัดทำแผนสนับสนุนปัจจัยการผลิตหลักทั้งในเรื่องดินและน้ำ รวมทั้งกิจกรรมที่จะดำเนินการต่อไปคือ การประกาศเขตเศรษฐกิจตามพระราชบัญญัติเศรษฐกิจการเกษตร พ.ศ. ๒๕๒๒ และการออกกฎกระทรวงหรือกฎหมายอื่นรองรับการดำเนินงานภายใต้โครงการ Zoning ๒. โครงการเมืองเกษตรสีเขียว (Green Agricultural City) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การมอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่เกษตรใน ๖ จังหวัดเป้าหมาย ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ หนองคาย ศรีสะเกษ จันทบุรี ราชบุรี และพัทลุง ดำเนินการสร้างความเข้าใจกับเกษตรกรและประชาชนในพื้นที่ที่กำหนดเป็นเมืองเกษตรสีเขียว รวมทั้งให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตโดยใช้สารเคมีอย่างถูกวิธีให้เกิดตำบลหรือหมู่บ้านสีเขียวต้นแบบ ๓. โครงการพัฒนาเกษตรกรและเจ้าหน้าที่เกษตรปราดเปรื่อง (Smart Farmer and Smart Officer) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การตรวจสอบจำนวนและคุณสมบัติของเกษตรกรที่ทำการผลิตทั้งพืช ประมง ปศุสัตว์ การดำเนินการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยสนับสนุนนโยบาย Smart Farmer/Smart Office “หนึ่งบัตรประชาชนเพื่อเกษตรกรปราดเปรื่อง : One ID Card for Smart Farmer” ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาการจดทะเบียนเกษตรกรให้ทันสมัย การจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการข้อมูลเกษตร หรือ War Room การจัดตั้งสถานีโทรทัศน์เกษตร (MOAC TV) เพื่อเป็นช่องทางในการเผยแพร่ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการเกษตรระบบใหม่และเป็นสื่อกลางระหว่างทุกภาคส่วน การจัดทำโปรแกรมพัฒนาเกษตรกรเชื่อมโยงกับบัตรประจำตัวเกษตรกร การจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรในการพัฒนาเกษตรกรให้เป็นเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Farmer) การนำระบบ Training and Visiting (T&V) system มาใช้เต็มรูปแบบ การแต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดเพื่อดำเนินการสำรวจและคัดกรองเกษตรกร และการสร้างครูเกษตรกร ๔. โครงการพัฒนาสินค้าเกษตรสู่มาตรฐาน (Food Safety) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดทำมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารภายใต้พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ การส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าสู่ระบบการผลิต มาตรฐาน โดยรับรองมาตรฐานฟาร์มเกษตรกรเป็น CAP การตรวจสอบและรับรองโรงงานตามมาตรฐาน GMP และ HACCP การถ่ายโอนการตรวจรับรองให้ส่วนราชการหรือเอกชน การรับรองร้านอาหารและภัตตาคารที่ใช้วัตถุดิบจากฟาร์มเกษตรโดยใช้สัญลักษณ์ Q รวมทั้งการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบูรณาการเชื่อมโยงระบบการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยและคุณภาพอาหารของประเทศโดยใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เป็นตัวสนับสนุน ๕. โครงการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การจัดตั้งกองเกษตรอาเซียนเพื่อเป็นศูนย์กลางการประสานงาน การจัดประชุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดยุทธศาสตร์ของแต่ละชนิดสินค้า วิเคราะห์กลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ และกลุ่มที่ยังมีปัญหา การพัฒนามาตรฐานสินค้าเกษตรให้เป็นมาตรฐานอาเซียน การประสานงานกับกรมศุลกากรในการบูรณาการด่านพืช ประมง ปศุสัตว์ และห้องปฏิบัติการตรวจสอบคุณภาพมาตรฐานสินค้าในพื้นที่ชายแดน จุดผ่านเข้าออกสินค้าระหว่างประเทศ การร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำโครงการความร่วมมือทางวิชาการด้านการเกษตรและร่วมมือการผลิตในลักษณะทำการเกษตรแบบมีสัญญา (Contract Farming) และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ๖. โครงการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการผลิตเมล็ดพันธุ์พืชรองรับประชาคมอาเซียน (Seed Hub) การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การพัฒนาศูนย์วิจัยพันธุ์พืชและผลิตพันธุ์หลักเพื่อให้เกษตรกรผลิตพันธุ์ขยายจำหน่ายให้เกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของเกษตรกร การผลิตเมล็ดพันธุ์ดี การศึกษาวิจัยพันธุ์ข้าวและพันธุ์พืชที่เป็นลักษณะเฉพาะของประเทศไทย และเก็บรวบรวมพันธุ์ไว้เพื่อให้เกิดความมั่นคงอาหารและการเกษตรกรรมของประเทศ การสร้างเครือข่ายเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์และดูแลธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์พืชในประเทศเพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมทั้งการสนับสนุนให้สหกรณ์หรือภาคเอกชนด้านปศุสัตว์ผลิตพันธุ์ปศุสัตว์และพัฒนาเกษตรกรของไทยให้จำหน่ายพันธุ์สัตว์ ๗. โครงการส่งเสริมการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรทดแทนแรงงานเกษตร การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่าง ๆ พัฒนาเครื่องจักรกลเกษตรเพื่อใช้ในการผลิตสินค้าเกษตร การจัดทำยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาการใช้เครื่องจักรกลการเกษตรและอุปกรณ์การเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ เพื่อพัฒนาและสนับสนุนการปรับปรุงรูปแบบกระบวนการผลิตของประเทศ การจัดงานนิทรรศการเครื่องจักรกลเกษตรที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์กำแพงแสน เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๕๖ เพื่อแสดงศักยภาพด้านเครื่องจักรกลการเกษตรของประเทศไทย และการสนับสนุนงานวิจัยเพื่อผลิตเครื่องจักรกลการเกษตร ๘. โครงการเพิ่มพื้นที่ชลประทาน การดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่ การบริหารจัดการน้ำในเขตชลประทานและนอกเขตชลประทานให้มีความชัดเจน โดยประกาศพื้นที่น้ำน้อย จัดพื้นที่ปลูกพืชตามปริมาณน้ำในเขื่อน จัดหาอาชีพและรายได้แก่เกษตรกรในภาวะน้ำแล้ง การมีระบบเตือนภัยเวลาเกิดน้ำท่วม ฝนแล้ง แจ้งเตือนแก่เกษตรกรอย่างมีประสิทธิภาพ การเพิ่มพื้นที่ชลประทานปีละ ๒๐๐,๐๐๐ ไร่ เป็นอย่างน้อย เพิ่มบ่อน้ำขนาดเล็กนอกเขตชลประทานปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ไร่ และวางระบบเติมน้ำในแหล่งน้ำชุมชนให้สามารถใช้น้ำเพื่อการเกษตรในช่วงแล้ง การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดการน้ำเข้าพื้นที่เกษตรเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเขตพืชไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมทั้งการนำพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เรื่องฝนหลวงมาใช้เพื่อแก้ปัญหาน้ำเพื่อการเกษตร |
|||||||||||||||||||||||||||
732 | สรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี 2556 | นร11 | 28/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสสาม ปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงานและรายได้ ๑.๑ การจ้างงานลดลงร้อยละ ๑.๒ เป็นการลดทั้งภาคเกษตรและภาคนอกเกษตร อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ ๐.๗๗ มีสาเหตุจาก (๑) เศรษฐกิจชะลอตัวลง ส่งผลให้เกิดการว่างงานทั้งผู้ที่เคยทำงานมาก่อนและผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน รวมทั้งเป็นช่วงการว่างงานตามฤดูกาลช่วงเพาะปลูก และ (๒) กำลังแรงงานลดลงแม้ว่าอัตราการว่างงานสูงขึ้นในระดับร้อยละ ๐.๗๗ แต่ยังเป็นอัตราการว่างงานที่ต่ำ ๑.๒ ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนที่ไม่รวมค่าล่วงเวลา และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๑ จากช่วงเดียวกับปีก่อน ราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑.๗ ทำให้ค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนภาคเอกชนแท้จริงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ ๙.๓ ผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓.๙ ๒. ด้านการศึกษา เด็กที่มาจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยยังคงมีโอกาสทางการศึกษาน้อย โดยเฉพาะโอกาสการศึกษาในระดับสูงกว่าภาคบังคับ จากข้อมูลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนในปี ๒๕๕๓-๒๕๕๕ ชี้ว่าเด็กไทยยังไม่ได้รับการศึกษาภาคบังคับครบทุกคน และเด็กที่มาจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยยังมีโอกาสศึกษาในระดับสูงขึ้นไปต่ำ โดยได้รับการศึกษาระดับอุดมศึกษาเพียงร้อยละ ๘.๘๗ ของประชากรวัยเรียนในกลุ่มรายได้นี้ ๓. ด้านสุขภาพ ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นเกือบ ๓ เท่า จากช่วงเดียวกับปีที่แล้ว โดยพบมากในกลุ่มนักเรียนอายุ ๑๐-๑๔ ปี ผู้มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขมากขึ้น มีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพน้อยลง แต่ยังจำเป็นต้องเน้นความสำคัญของการเร่งยกระดับคุณภาพและพัฒนาระบบบริการสาธารณสุขของสถานบริการสุขภาพในชุมชนให้ได้มาตรฐานเพื่อเพิ่มการเข้าถึงบริการของผู้มีรายได้น้อยและผู้ที่อาศัยนอกเขตเมืองมากขึ้น และสามารถลดภาระค่าใช้จ่ายจากการเดินทาง ๔. ด้านพฤติกรรมและความเป็นอยู่ของคนในสังคมไทย ผู้สูบบุหรี่และผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์ที่อาศัยในเขตเทศบาลและผู้ที่จบปริญญามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในปี ๒๕๕๔ โดยผู้สูบบุหรี่ในเขตเทศบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๖ จากปี ๒๕๕๒ ขณะที่ผู้สูบบุหรี่อาศัยอยู่นอกเขตเทศบาลมีจำนวนเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๒ จำนวนผู้สูบบุหรี่กลุ่มผู้มีการศึกษาระดับปริญญาตรีและสูงกว่าเพิ่มขึ้นจาก ๓.๕๒ แสนคนในปี ๒๕๕๐ เป็น ๔.๗๑ แสนคนในปี ๒๕๕๔ ขณะที่ผู้สูบบุหรี่ที่มีการศึกษาระดับประถมศึกษาและต่ำกว่าลดลงจาก ๗.๒๑ ล้านคนในปี ๒๕๕๐ เป็น ๖.๙๐ ล้านคนในปี ๒๕๕๔ นอกจากนี้ ผู้มีรายได้น้อยในเขตเมืองมีค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่คิดเป็นสัดส่วนต่อค่าใช้จ่ายในการศึกษา ๑.๐ เท่า ๕. ด้านความมั่นคงทางสังคม การแพร่ระบาดยาเสพติดยังคงมีความรุนแรง การจับกุมผู้ค้าและผู้เสพยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดของคดีอาชญากรรม โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดได้ ๑๒๐,๕๖๗ คน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๕ และจากไตรมาสก่อนหน้าร้อยละ ๒๑.๖ และ ๔.๖ ตามลำดับ และต้องเฝ้าระวังการระบาดของยาไอซ์ในกลุ่มผู้มีรายได้น้อย เนื่องจากมีการแบ่งจำหน่ายยาไอซ์ในระดับราคาตามกำลังซื้อ ทำให้สามารถเข้าถึงผู้มีรายได้น้อยหรือปานกลางได้ง่าย รวมทั้งยังมีการขยายตัวของยาเสพติดรูปแบบใหม่ในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา และนักเที่ยวสถานบันเทิง
|
|||||||||||||||||||||||||||
733 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤศจิกายน 2556 | อก | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๖ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๖ (เดือนกรกฎาคม-เดือนกันยายน ๒๕๕๖) ๑.๑ สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ ชะลอตัวลงทั้งการส่งออกและการนำเข้าเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๓ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๑๙,๕๗๔.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๕๘,๘๓๕.๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๐,๗๓๘.๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไตรมาสที่ ๒ ของปี ๒๕๕๖ มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๔๓ และมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ ๖.๑๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ ดุลการค้ายังคงขาดดุล แต่มีมูลค่าลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยมีมูลค่า ๑,๙๐๒.๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเปรียบเทียบกับมูลค่าการส่งออกและนำเข้ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๒.๐๘ สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ ๑.๕๕ ๑.๒ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม ๙๙,๐๒๕ ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า ๖๔,๑๙๐.๘ ล้านบาท และเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ ๓๔,๘๓๔.๒ ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง ๒ เดือนแรกในไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ มูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าลงทุนสุทธิ ๓๑,๖๔๘.๓ ล้านบาท และเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๒๓,๘๑๕.๖ ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๐๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๑.๓ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในช่วงไตรมาสที่ ๓ ของปี ๒๕๕๖ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติมีจำนวนทั้งสิ้น ๔๘๓ โครงการ ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๓ การลงทุนในกิจการต่าง ๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๓๔๘,๐๐๐ ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ ๓ ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย โครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ ร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๑๘๘ โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน ๕๕,๘๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ ๑๔๓ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๒๑๐,๒๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย ร้อยละ ๑๐๐ จำนวน ๑๕๒ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๘๒,๐๐๐ ล้านบาท ๒. รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอคาดว่าจะขยายตัวตามความต้องการใช้ภายในประเทศในกลุ่มอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น กลุ่มเส้นใยสังเคราะห์ ผ้าผืน สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มคาดว่า จะขยายตัวได้เพียงเล็กน้อยแม้ว่าจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลสำคัญต่าง ๆ ประกอบกับกำลังซื้อผู้บริโภคสินค้าแฟชั่นอาจจะชะลอตัวตามหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกคาดว่า จะกระเตื้องขึ้นในทิศทางที่เป็นบวกในช่วงเทศกาลสำคัญปลายปี ๒.๒ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ภาพรวมการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงเล็กน้อยอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากไทยกำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลเก็บเกี่ยว แรงงานในภาคก่อสร้างซึ่งเป็นแรงงานกลุ่มเดียวกับแรงงานในภาคเกษตรจะทยอยกันกับสู่ภูมิลำเนาของตน ส่งผลให้ภาคก่อสร้างต้องชะลอตัวลง สำหรับแนวโน้มการส่งออกคาดว่า จะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทผู้ผลิตมีนโยบายสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
734 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มปี 2556 และ 2557 | นร11 | 21/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤศจิกายน และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน ส่วนใหญ่ยังปรับตัวลดลง โดยเฉพาะดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ปริมาณการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวตามการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านด่านสุวรรณภูมิและดอนเมืองซึ่งสอดคล้องกับการแจ้งเตือนของประเทศต่าง ๆ ที่ให้นักท่องเที่ยวหลีกเลี่ยงพื้นที่การชุมนุม อย่างไรก็ตามจำนวนนักท่องเที่ยวรวม ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๖ อยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายทั้งปีที่ ๒๖.๒ ล้านคน ในขณะที่เสถียรภาพเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ ทั้งในด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สำหรับในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๐-๕.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ อย่างไรก็ดีการประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวอยู่บนสมมติฐานการเบิกจ่ายจากแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำไม่ต่ำกว่า ๔๖,๕๐๐ ล้านบาท และการเบิกจ่ายภายใต้แผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมและขนส่งไม่ต่ำกว่า ๑๑๒,๐๐๐ ล้านบาท ซึ่งภายใต้การประมาณการดังกล่าว การลงทุนภาครัฐในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ แต่หากการเบิกจ่ายในโครงการลงทุนดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มที่จะขยายตัวร้อยละ ๑๒.๐ แต่หากการเบิกจ่ายในโครงการลงทุนดังกล่าวไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในปี ๒๕๕๗ จะส่งผลให้การลงทุนภาครัฐขยายตัวเพียงร้อยละ ๓.๐ และการขยายตัวทางเศรษฐกิจทั้งปีลดลงจากการประมาณการในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ประมาณร้อยละ ๐.๔
|
|||||||||||||||||||||||||||
735 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน 2556 | พณ | 07/01/2557 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗) จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาตามหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดข้าว ร้อยละ ๐.๓๔ หมวดปลาและสัตว์น้ำ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๔๒ หมวดเครื่องประกอบอาหาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๖ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ หมวดอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๒ สำหรับหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ (เดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๐๕) จากดัชนีหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๓๖ หมวดเคหสถาน สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ หมวดตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๔ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๒ หมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๗ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๕๔ เทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๘ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเคหสถาน หมวดอาหารสำเร็จรูป ประกอบด้วยอาหารบริโภค-ในบ้าน และอาหารบริโภค-นอกบ้าน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล หมวดการบันเทิง การอ่าน การศึกษา และการศาสนา หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||||||||
736 | สถานกาารณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม และแนวโน้มปี 2556 และ 2557 | นร11 | 17/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ปรับตัวดีขึ้น แสดงถึงการฟื้นตัวอย่างช้า ๆ ของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคภาคเอกชน การส่งออก และการผลิตภาคเกษตร ซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยวทรงตัว ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ทั้งด้านการใช้จ่ายและการผลิตยังคงปรับตัวลดลง การใช้จ่ายภาคครัวเรือนปรับตัวดีขึ้น ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวลดลง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการนำเข้าสินค้าทุนในเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้าอยู่ในระดับสูง การส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น ในขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัว เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ โดยอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อย อัตราการว่างงานยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเล็กน้อย อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุลเนื่องจากการเกินดุลทั้งดุลการค้าและดุลบริการ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีและการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจปรับตัวลดลง โดยหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๖ มีจำนวน ๕,๔๓๐,๕๖๐.๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๕.๕ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลออกสุทธิเนื่องจากการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทยเป็นสำคัญ และในเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๖ อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลง ๒. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ และ ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ ๓.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ร้อยละ ๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๐-๕.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปีอยู่ในช่วงร้อยละ ๒.๑-๓.๑ และบัญชีเดินสะพัดขาดดุลร้อยละ ๐.๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
737 | รายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 21 และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ 25 ณ บาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย | นร04 | 03/12/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ และการประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๔-๗ ตุลาคม ๒๕๕๖ ของนายกรัฐมนตรี และนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ ที่ประชุมฯ ได้รับรองปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๑ “เอเชีย-แปซิฟิกที่แข็งแกร่ง แรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจโลก” (Resilient Asia-Pacific, Engine of Global Growth) ซึ่งครอบคลุม ๓ ประเด็นหลักที่เอเปคให้ความสำคัญในปีนี้ ได้แก่ การสนับสนุนระบบการค้าพหุภาคีและการบรรลุเป้าหมายโบกอร์ การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม รวมทั้งได้รับรองถ้อยแถลงแยกเรื่อง “Supporting the Multilateral Trading System and the 9th Ministerial Conference of the World Trade Organization” ซึ่งย้ำเจตนารมณ์ร่วมกันในการผลักดันให้การประชุมรัฐมนตรีองค์การการค้าโลก ครั้งที่ ๙ มีผลลัพธ์เป็นรูปธรรม นอกจากนี้ ยังมีการประชุม Retreat ของผู้นำ ประกอบด้วย Retreat I : บทบาทของเอเปคในการสร้างเสริมระบบการค้าพหุภาคีในภาวะเศรษฐกิจโลกในปัจจุบัน และ Retreat II : วิสัยทัศน์ว่าด้วยความเชื่อมโยงของเอเปคท่ามกลางโครงสร้างสถาปัตยกรรมในภูมิภาคและระหว่างประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนการหารือระหว่างผู้นำฯ ในหัวข้อ “การเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม-ความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน” ๒. การประชุมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ สาธารณรัฐอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมฯ ระหว่างวันที่ ๔-๕ ตุลาคม ๒๕๕๖ ณ บาหลี โดยมีนายจุลพงษ์ โนนศรีชัย ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ ซึ่งมีการรับรองถ้อยแถลงร่วมรัฐมนตรีเอเปค ครั้งที่ ๒๕ โดยมีการประชุมกลุ่มย่อย (Breakout Session) ในหัวข้อ “บทบาทของเอเปคท่ามกลางสถาปัตยกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่เปลี่ยนแปลง” และการประชุมเต็มคณะ (Plenary Session) ในหัวข้อ “การส่งเสริมการเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยความเท่าเทียม” และหัวข้อ “การส่งเสริมความเชื่อมโยงในภูมิภาค” นอกจากนี้ ยังมีการหารืออย่างไม่เป็นทางการในเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและความท้าทายในภูมิภาค ๓. การดำเนินการของเอเปคในระยะต่อไป สาธารณรัฐประชาชนจีนในฐานะเจ้าภาพการประชุมเอเปคในปี ๒๕๕๗ จะให้ความสำคัญกับประเด็นการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยง และการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (Comprehensive Growth) โดยเน้นการปรับโครงสร้างเพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Growth Transformation) โดยในช่วงปี ๒๕๕๗ สาธารณรัฐประชาชนจีนจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเปคใน ๙ สาขา ได้แก่ การค้า พลังงาน การท่องเที่ยว การเกษตรและอาหาร SMEs สตรี เหมืองแร่ ป่าไม้ และมหาสมุทร และมีกำหนดจะจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๒ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ณ ทะเลสาบ Yangqi ชานกรุงปักกิ่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
738 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม 2556 | พณ | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ (เดือนกันยายน ๒๕๕๖ ลดลงร้อยละ ๐.๑๖) จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๑ จากการสูงขึ้นของราคาหมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง หมวดผักและผลไม้ หมวดเครื่องประกอบอาหาร หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และหมวดอาหารสำเร็จรูป สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๐๕ จากการลดลงของหมวดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งสินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาลดลง ได้แก่ ค่าของใช้ส่วนบุคคล ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนตุลาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๒ สินค้าและบริการที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ หมวดอาหารสำเร็จรูป หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดเคหสถาน หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล หมวดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว และหมวดยาสูบและเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||||||||
739 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. 2556 | ทก | 25/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๙.๓๒ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๙.๐๐ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๐.๒๖ ล้านคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๑.๑๖ ล้านคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๒๙.๔๔ ล้านคน เป็ฯ ๓๙.๓๒ ล้านคน) ๒. ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๙.๐๐ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๕ แสนคน (จาก ๓๙.๑๕ ล้านคน เป็น ๓๙.๐๐ ล้านคน) หรือลดลงร้อยละ ๐.๔ โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ และการประกันสังคมภาคบังคับ ๒.๐ แสนคน สาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร ๑.๖ แสนคน สาขาการขนส่ง และสถานที่เก็บสินค้า ๘.๐ หมื่นคน สาขาการก่อสร้าง ๖.๐ หมื่นคน และสาขาภาคเกษตรกรรม ๑.๐ หมื่นคน ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ สาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ ๑.๐ แสนคน สาขาการผลิต ๙.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมทางการเงิน และการประกันภัย ๖.๐ หมื่นคน สาขากิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสร้างเสริมสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีด และซักแห้ง เป็นต้น ๓.๐ หมื่นคน และสาขากิจกรรมอสังหาริมทรัพย์ ๓.๐ หมื่นคน เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวน ๒.๖๔ แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ ๐.๗ ของกำลังแรงงานรวม (เพิ่มขึ้น ๑.๗ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕) ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๓๗ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๒๗ แสนคน โดยเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคบริการและการค้า ๕.๕ หมื่นคน ภาคการผลิต ๕.๔ หมื่นคน และภาคเกษตรกรรม ๑.๘ หมื่นคน ผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๐๔ แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๕.๙ หมื่นคน มัธยมศึกษาตอนต้น ๕.๑ หมื่นคน ระดับประถมศึกษา ๓.๑ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๑.๙ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๘.๔ หมื่นคน ภาคกลาง ๗.๗ หมื่นคน ภาคใต้ ๔.๗ หมื่นคน กรุงเทพมหานคร ๓.๒ หมื่นคน และภาคเหนือ ๒.๔ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||||||||
740 | ร่างพระราชบัญญัติกำลังสำรอง พ.ศ. .... | กห | 19/11/2556 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติกำลังสำรอง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยกำลังสำรอง ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับมาตรา ๑๖ วรรค ๓ ของร่างพระราชบัญญัติฯ ที่บัญญัติให้เมื่อมีภาวะไม่ปกติเกิดขึ้น หรือมีการประกาศกฎอัยการศึก หรือประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของทางราชการในเขตท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของกำลังสำรอง หรือที่ตั้งหน่วยงานทหารที่กำลังสำรองมีรายชื่อบรรจุอยู่ ให้กำลังสำรองไปรายงานตนเองโดยเร็วที่สุด แม้จะไม่ได้รับคำสั่งเรียกพล และมาตรา ๒๒ ที่บัญญัติให้หากกำลังสำรองหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนไม่ไปรายงานตนเองต้องระวางโทษ กรณีดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากกำลังสำรองในเขตท้องที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของกำลังสำรอง หรือที่ตั้งหน่วยทหารที่กำลังสำรองมีรายชื่อบรรจุอยู่ไม่ทราบเรื่อง และไม่ได้ไปรายงานตนเอง อาจทำให้ถูกลงโทษ ประกอบกับพิจารณาว่าการกำหนดให้กำลังสำรองมีฐานะเช่นเดียวกับข้าราชการทหาร หรือทหารกองประจำการอาจจะไม่เหมาะสม รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. เกี่ยวกับการเรียกกำลังสำรอง ตามมาตรา ๑๖ วรรค ๓ ควรศึกษาถึงเจตนารมณ์ของการเรียกมารายงานตัวและภารกิจที่จะมอบหมายให้ดำเนินการให้มีความชัดเจน ส่วนการรับสมัครกำลังสำรองตามมาตรา ๑๘ กระทรวงกลาโหมยังมีความจำเป็นที่จะต้องบรรจุกำลังสำรองดังกล่าวเข้ารับราชการทหารเป็นการชั่วคราวเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังพลดังกล่าวหรือไม่ ไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งขั้นตอน วิธีการปฏิบัติ และบทกำหนดโทษ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กำลังสำรองพึงจะได้รับ เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้ เห็นสมควรให้กระทรวงกลาโหมเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
.....