ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 35 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 681 - 700 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
681 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/01/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง โดยที่ขณะนี้ใกล้ครบกำหนดเวลาที่ใบอนุญาตทำงานชั่วคราวที่ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จออกให้แก่แรงงานต่างด้าวจะหมดอายุแล้ว แต่กระบวนการตรวจสัญชาติอาจไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ทันภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ จึงให้กระทรวงแรงงานพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวแล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ รับทราบและเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๒/๒๕๕๗ โดยมีเรื่องแผนการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษปี ๒๕๕๘-๒๕๕๙ ซึ่งได้กำหนดขอบเขตพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษระยะแรก ได้แก่ จังหวัดตาก มุกดาหาร สงขลา สระแก้ว และตราด นั้น ในการดำเนินการให้คณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษพิจารณาใช้พื้นที่ของทางราชการเป็นลำดับแรก ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการปรับปรุงกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรองรับกับเศรษฐกิจดิจิทัล และจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อไปสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นั้น เนื่องจากขณะนี้ยังมีความเข้าใจที่แตกต่างกันในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัลค่อนข้างมาก จึงให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางในการสร้างการรับรู้ในเรื่องนี้ต่อสาธารณชนในวงกว้าง เช่น จัดกิจกรรมหรือเวทีให้ทุกภาคส่วนแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ร่วมกัน เป็นต้น ๒.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับเรื่องรายงานผลการศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลกระทบต่อสุขภาพจากแร่ใยหินไปกำกับดูแล โดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาและตรวจสอบข้อมูลข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องในภาพรวมทั้งหมด นั้น ให้คณะทำงานดังกล่าวพิจารณาหาแนวทางการยกเลิกการใช้แร่ใยหิน โดยเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และให้พิจารณาดำเนินการในช่วงเวลาที่เหมาะสม ๒.๔ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการของประเทศร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางผลักดันจัดตั้งศูนย์กลางโลจิสติกส์ของประเทศไทย โดยศึกษาผลดี ผลเสีย และเตรียมความพร้อมและมาตรการรองรับผลกระทบที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายเสรี (free flow) ในสาขาต่าง ๆ เช่น สินค้า บริการ การลงทุน แรงงาน ด้วย ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดทำแผนการขยายเส้นทางรถไฟสายหลักให้เกิดความเชื่อมโยงและครอบคลุมพื้นที่ซึ่งมีความสำคัญในด้านต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น สถานที่ท่องเที่ยว เขตพื้นที่การศึกษา เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ๒.๖ ให้กระทรวงพลังงานสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับการรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ตามโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) ว่าได้มีระบบการกำหนดโควตาในการรับซื้อ มิใช่การรับซื้ออย่างไม่จำกัดจำนวน ๓. ด้านสังคม ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานงานและร่วมติดตามการดำเนินการกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการตรวจสอบการดำเนินโครงการก่อสร้างห้องสมุดเฉลิมพระเกียรติ ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดน่าน ที่มีกรณีว่าโครงการดังกล่าวเข้าข่ายการทุจริต ๔. ด้านการต่างประเทศ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านคาดหวังให้ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้แทนการเจรจาไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน เช่น กรณีความขัดแย้งเรื่องการสร้างเขื่อนผลิตพลังงานไฟฟ้ากั้นแม่น้ำโขงของสาธารณรัฐประชาชนจีนที่ส่งผลกระทบต่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ราชอาณาจักรกัมพูชา และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และกรณีข้อพิพาทหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม จึงให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไปด้วย ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ที่เกี่ยวข้องในกรณีที่มีกลุ่มอาจารย์ของสถาบันการศึกษาที่ออกนอกระบบเรียกร้องเพื่อขอรับเงินเพิ่มค่าครองชีพชั่วคราวให้เท่าเทียมกับข้าราชการในสถาบันการศึกษาที่อยู่ในระบบ ๕.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวอย่างเร่งด่วน รวมทั้งกำหนดบทลงโทษแก่ผู้กระทำความผิดอย่างเหมาะสมเพื่อให้ผู้ประกอบการเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเพิ่มความระมัดระวังในการให้บริการยิ่งขึ้น นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว พร้อมทั้งติดตามกรณีปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น การข่มขู่ การเอารัดเอาเปรียบ และการหลอกลวงนักท่องเที่ยวด้วย ๕.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๕๘ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป นั้น ให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์การขาดแคลนน้ำโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้งให้มีแหล่งกักเก็บน้ำให้เพียงพอด้วย ๕.๔ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประสานงานกับทุกหน่วยงานในการบูรณาการการใช้ประโยชน์ร่วมกันจากฐานข้อมูลที่มีอยู่ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณากำหนดแนวทางให้ศูนย์ต่าง ๆ ได้แก่ ศูนย์บริการประชาชน ทำเนียบรัฐบาล ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของกระทรวงต่าง ๆ และศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด มีการทำงานที่เชื่อมโยงกันอย่างครบวงจร นั้น ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและกระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว โดยเฉพาะการบูรณาการข้อมูลและการปรับปรุงฐานข้อมูลให้ทันสมัยและพร้อมใช้งานทุกเวลา ๕.๕ ในการสร้างความปรองดองสมานฉันท์และการผลักดันการปฏิรูปให้บรรลุผลสำเร็จ ปัจจัยสำคัญที่สุด คือ การสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญ และอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างต่อเนื่อง เช่น การพิจารณาถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การนิรโทษกรรม การดำเนินคดีผู้กระทำผิดกฎหมาย อำนาจหน้าที่ของสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอำนาจหน้าที่ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อให้ประชาชนทราบเหตุผลของการดำเนินการในแต่ละเรื่องให้ถูกต้องและชัดเจน จึงให้ทุกหน่วยงานเร่งสร้างการรับรู้แก่ประชาชนในเรื่องสำคัญและอยู่ในความสนใจของประชาชนที่อยู่ภายใต้ภารกิจความรับผิดชอบอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องด้วย
|
||||||||||||||||||
682 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 13/01/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิดและเฝ้าระวังการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย นั้น เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวนจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ซึ่งส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมและพัฒนาสินค้าของไทยที่มีศักยภาพโดดเด่นในการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งเสริมการตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ เช่น การจัดกิจกรรมการประกวดกล้วยไม้โลก การจัดหาเที่ยวบินพิเศษเพื่อส่งออกกล้วยไม้ หรือผลไม้ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาหาแนวทางสร้างท่าเทียบเรือยอร์ชและท่าเทียบเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ โดยให้สามารถรองรับเรือยอร์ชได้กว่า ๑,๕๐๐ ลำ และให้มีท่าเรือน้ำลึกเพื่อรองรับเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ได้ โดยให้เป็นจุดศูนย์กลางเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี ๒๕๕๘ และสร้างการรับรู้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนและชาวต่างประเทศทราบด้วย ๑.๔ ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศและผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศได้เพื่อเป็นข้อมูลให้ธนาคารของรัฐใช้ประกอบการสนับสนุนด้านสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการสนับสนุนส่งเสริมบุคลากรทางการศึกษา เช่น สนับสนุนครูที่มีความสามารถให้ได้ศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น พัฒนาระบบการเรียนการสอนที่สามารถตอบสนองความต้องการของครู นักเรียน และผู้ปกครองไปพร้อมกัน ตลอดจนเร่งรัดโครงการศึกษาทางไกลผ่านดาวเทียม เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้แก่เด็กในถิ่นทุรกันดารด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาตรวจสอบบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายว่าด้วยสุรา ว่ามีบทบัญญัติที่ครอบคลุมผู้ฝ่าฝืนกฎหมายหรือไม่ประการใด และให้กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดเป็นรูปธรรมเพื่อสร้างความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค ๓. ด้านการต่างประเทศ ๓.๑ ในการประชุมความร่วมมือระหว่างประเทศในเวทีต่าง ๆ ขอให้ทุกส่วนราชการนำเรื่องที่ประเทศไทยสามารถมีบทบาทเป็นผู้นำในภูมิภาค เช่น เศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เสนอต่อที่ประชุมระดับนานาชาติด้วย เพื่อเป็นการสร้างบทบาทในเชิงรุกของประเทศไทยในการขับเคลื่อนประชาคมอาเซียน ๓.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการเดินทางเยือนประเทศญี่ปุ่นในวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘ ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศประสานส่วนราชการต่าง ๆ ในการส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง ทั้งในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การค้าการลงทุน การท่องเที่ยว ความร่วมมือด้านต่าง ๆ เพื่อให้นายกรัฐมนตรีทราบเป็นข้อมูลประกอบการเยือนด้วย ๓.๓ ตามที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ ให้ฝ่ายความมั่นคงโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) พิจารณากำหนดช่องทางพิเศษในการตรวจลงตราสำหรับผู้ที่เดินทางเข้ามาร่วมประชุม/สัมมนานานาชาติในประเทศไทย เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและส่งเสริมการจัดประชุม/สัมมนานานาชาติที่จัดขึ้นในประเทศไทย นั้น ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว รวมทั้งประชุมหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับแนวทางการขอยกเว้นหรือการลดค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราสำหรับผู้เดินทางมายังประเทศไทยในกรณีต่าง ๆ เช่น กรณีการทำการวิจัยหรือสำรวจซึ่งมีประโยชน์ในเชิงถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีแก่คนไทย กรณีการมาร่วมประชุมหรืองานนิทรรศการ และกรณีการท่องเที่ยว โดยให้คำนึงถึงผลประโยชน์ที่ได้รับ ๓.๔ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการแก้ปัญหาด้านการอำนวยความสะดวกในการขนส่งผ่านแดนบริเวณชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้พิจารณากำหนดวิธีการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งเวลาทำการเปิด-ปิดด่านที่เหมาะสม แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในสัปดาห์หน้า ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ให้ทุกส่วนราชการดำเนินการสร้างการรับรู้ข้อมูล ข่าวสาร รวมทั้งชี้แจงประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาลให้ประชาชนทราบอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องโดยไม่ตอบโต้ให้เกิดความขัดแย้ง นั้น เนื่องจากขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่มีความคืบหน้าและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน จึงให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้แก่ประชาชนตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ๔.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดแนวทางให้มีคณะกรรมการชำนาญการระดับจังหวัดเป็นผู้พิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยเฉพาะในพื้นที่ที่รัฐบาลส่งเสริมให้มีการลงทุน หรือพื้นที่ที่ต้องเร่งพัฒนาหรือดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล เพื่อให้โครงการและกิจกรรมตามนโยบายของรัฐบาลสามารถเริ่มดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางสนับสนุนให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างแหล่งกักเก็บน้ำเพื่อประโยชน์ในการบริโภค อุปโภค และการเกษตรกรรม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภาวะภัยแล้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป ๔.๔ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณากำหนดมาตรการดูแลรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและสัตว์โดยเฉพาะช้างที่อาศัยในเขตอุทยานแห่งชาติ เช่น การจัดทำป้ายสัญลักษณ์ติดตั้งในเส้นทางที่ช้างใช้ในการสัญจร การให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวเกี่ยวกับช่วงเวลาที่ช้างสัญจรและข้อพึงปฏิบัติที่สำคัญ การกำชับให้เจ้าหน้าที่สอดส่องดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด และการสร้างการรับรู้ความเข้าใจ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึงด้วย
|
||||||||||||||||||
683 | รายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา รวมทั้งผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา | สธ | 06/01/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม และการประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส เรื่อง การเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ในวันที่ ๑๔-๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ โรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน กรุงเทพมหานคร และผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ ยุทธวงศ์) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม เรื่องการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ประกอบด้วย การประชุมวิชาการเจ้าหน้าที่อาวุโส ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๗ และการประชุมระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียนบวกสาม ในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ มีประเด็นผลการประชุมเจรจาและประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ คือ ๑.๑ คำแถลงการณ์ร่วมของสมาชิกอาเซียนบวกสาม เน้นนโยบาย ๓ ด้าน ได้แก่ (๑) การเตรียมความพร้อมรับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาในประเทศ (๒) การเสริมสร้างความเข้มแข็งในภูมิภาค และ (๓) ร่วมกับประชาคมโลกในการหยุดยั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ๑.๒ ความร่วมมือในระดับภูมิภาคอาเซียนบวกสาม ประกอบด้วย ๔ มาตรการ ได้แก่ (๑) เพิ่มความร่วมมือด้านการป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อข้ามพรมแดนต่าง ๆ โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูล การฝึกอบรมบุคลากร และการแลกเปลี่ยนผู้เชี่ยวชาญ เป็นต้น (๒) สร้างกลไกการเตรียมความพร้อมตอบโต้โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลาและโรคติดต่ออุบัติใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยการสนับสนุนด้านวิชาการจากองค์การอนามัยโลก (๓) จัดช่องทางสื่อสารการเตือนภัยล่วงหน้า มีสายด่วนรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านสาธารณสุข และ (๔) ความร่วมมือด้านการศึกษาวิจัย เพื่อพัฒนาและเพิ่มความพร้อมเครื่องมือในการป้องกันโรค ตรวจจับสัญญาณการระบาด การรักษาพยาบาล และการควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ต่าง ๆ เป็นต้น ๑.๓ ข้อเสนอแนะจากการเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประเทศไทยควรมีการดำเนินงานตามข้อแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีสาธารณสุขอาเซียน เรื่อง การเตรียมความพร้อมและแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ได้แก่ (๑) พัฒนาศักยภาพของการเฝ้าระวังและตอบโต้ภาวะฉุกเฉินของโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทั้งในระดับภูมิภาค ประเทศ และท้องถิ่น เช่น การอบรมนักระบาดวิทยาภาคสนามและผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาโปรแกรมในการเฝ้าระวังสอบสวนโรค การซ้อมแผนเมื่อมีการระบาดของโรคติดต่ออุบัติใหม่ เป็นต้น (๒) สนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาค เพื่อป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ เช่น การแลกเปลี่ยนข้อมูลทางระบาดวิทยาผ่านกลไกของกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations : IHR) ความร่วมมือของบุคลากรในหลายภาคส่วน การแบ่งปันการใช้ทรัพยากร ทั้งอุปกรณ์ป้องกันตนเองส่วนบุคคล เวชภัณฑ์และโลจิสติกส์ต่าง ๆ เป็นต้น และ (๓) สร้างระบบเครือข่ายและพัฒนาแนวทางในการป้องกันและควบคุมโรคติดต่ออุบัติใหม่ระหว่างประเทศในภูมิภาคอย่างยั่งยืน ๒. ผลการดำเนินงานโครงการรวมพลังปันน้ำใจ ต้านภัยโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสภากาชาดไทยจัดทำโครงการดังกล่าวขึ้นเพื่อระดมเงินทุนภายในประเทศ โดยมีการประชาสัมพันธ์และจัดให้มีการเปิดรับเงินบริจาคผ่านรายการปันน้ำใจต้านภัยอีโบลาทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง ๕ ในวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๗ หรือโอนเงินทางบัญชีกระแสรายวัน ๓ ธนาคาร สาขาโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ชื่อบัญชี “พลังน้ำใจเพื่อหยุดยั้งอีโบลา” ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารกรุงไทย โดยรับบริจาคถึงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๗
|
||||||||||||||||||
684 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม 2557 และแนวโน้มปี 2557 - 2558 | นร11 | 30/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ และแนวโน้มปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์เศรษฐกิจไทยเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ปรับตัวดีขึ้น โดยเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจส่วนใหญ่ (หลังปรับฤดูกาล) ขยายตัวทั้งด้านการใช้จ่ายและด้านการผลิต ในด้านการใช้จ่าย ดัชนีการลงทุนภาคเอกชน และดัชนีปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ ๐.๕ และร้อยละ ๕.๗ ตามลำดับ แต่ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ ๐.๓ หลังจากการขยายตัวร้อยละ ๑.๑ ในเดือนก่อนหน้า ในด้านการผลิต ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน โดยขยายตัวร้อยละ ๒.๐ ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ ในขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๑.๙ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อเนื่อง ดุลการค้าและดุลบริการเกินดุล ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจโลกเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ยังปรับตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ นำโดยการฟื้นตัวที่ชัดเจนของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่เศรษฐกิจจีนและประเทศสำคัญ ๆ ในภูมิภาคเอเชียยังอยู่ในภาวะชะลอตัว และเศรษฐกิจกลุ่มประเทศยูโรโซนยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ ๓. แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ โดยเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๑.๐ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยคาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ ๒.๑ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๙ ของ GDP สำหรับเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ มูลค่าการส่งออกสินค้าจะขยายตัวร้อยละ ๔.๐ การบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ ๒.๖ และร้อยละ ๕.๘ ตามลำดับ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ในช่วงร้อยละ ๑.๔-๒.๔ และบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๒.๒ ของ GDP
|
||||||||||||||||||
685 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ปี 2557 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน 2557 | อก | 30/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๗ และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๓ (กรกฎาคม-กันยายน ๒๕๕๗) ดัชนีผลผลิตลดลงหรือหดตัวร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่การผลิตลดลงในไตรมาสนี้ อาทิ ยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในไตรมาส ๓ ปี ๒๕๕๗ แม้ว่าดัชนีฯ ยังคงหดตัวอยู่ แต่มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นจากการที่ดัชนีฯ หดตัวในอัตราที่น้อยลงจากไตรมาสก่อน (ไตรมาส ๒ ปี ๒๕๕๗ ดัชนีฯ หดตัวร้อยละ ๔.๘) ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗ ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ ลดลงหรือหดตัวร้อยละ ๒.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญ อาทิ ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม การผลิตเบียร์ เป็นต้น ทั้งนี้ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ แม้ว่ายังคงหดตัวอยู่ แต่มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้นจากการที่ดัชนีฯ หดตัวในอัตราที่น้อยลงจากเดือนก่อน (เดือนกันยายน ๒๕๕๗ หดตัวร้อยละ ๓.๙) ด้วยปัจจัยต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจในประเทศเริ่มมีสัญญาณดีขึ้นจากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และการเมืองมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา การเร่งรัดเบิกจ่ายงบประมาณปี ๒๕๕๘ รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรทั้งที่เป็นเงินช่วยเหลือปัจจัยการผลิตและที่เป็นสินเชื่อเพื่อใช้วัตถุดิบการเกษตร ด้วยปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้ประกอบการเริ่มเพิ่มระดับการผลิตมากขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของการบริโภคในประเทศในช่วง ต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||
686 | รายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย | กค | 23/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียของรัฐบาลไทย โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียระหว่างประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอกชนเพื่อร่วมเป็นสมาชิก เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๐ และบรรษัทได้มีการก่อตั้งเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๒๒ แต่เนื่องจากเหตุการณ์มหาอุทกภัยของประเทศไทยปี ๒๕๕๔ ทำให้บรรษัทประสบภาวะขาดทุนอย่างมากในการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทประกันวินาศภัยไทย จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนเพื่อรองรับการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์ดังกล่าว ๒. คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ อนุมัติในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทประกันต่อแห่งเอเชียโดยรัฐบาลไทย จำนวน ๓.๑๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (ประมาณ ๑๐๒ ล้านบาท) และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๕๖ เห็นชอบในหลักการซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพิ่มเติมของบรรษัท จำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้ครบ ๑๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามเจตนารมณ์ในการเพิ่มทุนของรัฐบาลไทย ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้โอนให้แก่บรรษัทแล้ว และเนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในการเพิ่มทุนครั้งที่ ๑ การเพิ่มทุนจำนวน ๖.๘๒๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต้องใช้เงินทั้งสิ้น ๒๒๔,๙๘๙,๕๖๐ บาท จึงยังคงค้างเงินที่ต้องชำระให้แก่บรรษัท จำนวน ๕,๙๘๙,๕๖๐ บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้รับการอนุมัติเงินจากงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อชำระเงินให้แก่บรรษัทแล้ว ๓. ต่อมาบรรษัทได้มีหนังสือมายังกระทรวงการคลังเพื่อให้ยืนยันการรับเงินปันผลของรัฐบาลไทย อัตราร้อยละ ๓ ของจำนวนหุ้น Class B ซึ่งกระทรวงการคลังได้รับเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบรรษัทสำหรับการถือหุ้นในปี ๒๕๕๖ แล้วในรูปแบบเงินสด จำนวน ๙๕,๓๔๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๐๘๘,๐๖๒ บาท และจะนำส่งเงินดังกล่าวเป็นรายได้แผ่นดิน ทั้งนี้ จำนวนการถือหุ้นไม่มีผลต่อสิทธิในการออกเสียงของประเทศสมาชิก ซึ่งทุกประเทศจะมีเพียง ๑ สิทธิเท่านั้น ไม่ว่าจะมีจำนวนหุ้นเท่าใด
|
||||||||||||||||||
687 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... | สว | 23/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทางพิเศษสายเชื่อมระหว่างถนนวงแหวนอุตสาหกรรมกับทางพิเศษสายบางพลี-สุขสวัสดิ์ ในท้องที่อำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ พ.ศ. .... ว่า รัฐต้องดูแลและเยียวยาความเสียหายให้บุคคลผู้ถูกเวนคืนอย่างเป็นธรรม โดยคำนึงถึงความสมเหตุสมผลของการใช้อำนาจและผลกระทบทางกายภาพและสภาวะทางจิตใจ จึงเห็นสมควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการศึกษาสภาพปัญหาอันเกิดจากการใช้อำนาจรัฐในการเวนคืนทรัพย์สินของบุคคลว่ามีผลกระทบอันจะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่บุคคลผู้ถูกเวนคืนอย่างไรบ้าง เพื่อนำผลการศึกษามาเป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ต่อไป ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เสนอ ๒. รับทราบผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ของกระทรวงคมนาคม ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานคณะทำงาน มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ มีอำนาจเรียกเอกสารหรือบุคคลใด ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมาให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นต่อคณะทำงานฯ ได้ และรายงานผลการดำเนินการต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนสำนักอุทธรณ์เงินค่าทดแทนดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
688 | ข้อสั่งการของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี | นร | 16/12/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติและนายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์โดยดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๗ (เรื่อง สถานการณ์การค้ามนุษย์และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทย) และดำเนินการให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) เร่งรัดและกำกับให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจ่ายเงินช่วยเหลือชาวนาและชาวสวนยางตามมาตรการเพิ่มรายได้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และโครงการชดเชยรายได้แก่เกษตรกรชาวสวนยางให้มีความโปร่งใสและแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา ๒.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) และหน่วยงานด้านเศรษฐกิจติดตามสถานการณ์ความผันผวนของการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศให้ดำเนินมาตรการเพื่อดูแลสถานการณ์ดังกล่าวให้กลับมาอยู่ในภาวะปกติต่อไป ๒.๓ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาจัดการประกวดภาพถ่ายเพื่อใช้ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้มีส่วนร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ ๒.๔ ให้กระทรวงพลังงานพิจารณาความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราการเรียกเก็บค่าไฟฟ้าของครัวเรือนให้สอดคล้องกับต้นทุนค่าน้ำมันที่ขณะนี้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ๒.๕ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) ร่วมกันพิจารณาปรับปรุงคุณภาพและประสิทธิภาพในการจัดบริการระบบขนส่งสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล โดยพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้กรุงเทพมหานครบริหารจัดการระบบขนส่งสาธารณะในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นต้น ๒.๖ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาหาแนวทางการขยายตลาดสินค้าเกษตรชุมชนให้ครอบคลุมพื้นที่เกษตรกรรมทั่วประเทศ โดยให้ศึกษาแนวทางการดำเนินงานจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น ประเทศญี่ปุ่น ๒.๗ ให้กระทวงพาณิชย์พิจารณาหาแนวทางการส่งเสริมการค้ากับประเทศที่สนใจซื้อข้าวและยางพาราจากประเทศไทย เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐฝรั่งเศส โดยพิจารณาใช้วิธีซื้อขายต่างตอบแทน หรือวิธีอื่นตามความเหมาะสม ๓. ด้านสังคม ๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) พิจารณากำหนดแนวทางการจัดระเบียบพื้นที่ค้าขายบริเวณบนทางเท้า เช่น คลองถม ตลาดมหานาค โดยอาจจะกำหนดเวลาการค้าขาย จัดหาพื้นที่ใหม่ให้แก่ผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้ ให้คำนึงถึงความเป็นระเบียบเรียบร้อยและความสวยงาม โดยอาจศึกษาวิธีการจัดการจากต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อพัฒนาพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฝั่งในลักษณะเป็นสะพานยกสูงเหนือระดับน้ำท่วมสูงสุดเพื่อใช้เป็นเส้นทางสัญจรรองรับการเดินทางด้วยจักรยาน (Bike Lane) การชมทัศนียภาพริมแม่น้ำเจ้าพระยา การพักผ่อนหย่อนใจ การออกกำลังกาย และการจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพและนันทนาการ โดยสะพานแต่ละฝั่งจะยกสูงกว่าระดับน้ำประมาณ ๒.๘ เมตร ตามที่รัฐมนตรีว่ากระทรวงมหาดไทยเสนอ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๗ โดยนำข้อมูลเกี่ยวกับระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในอดีตและระดับการทรุดตัวของพื้นดินในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งการคาดการณ์ระดับน้ำในอนาคตมาพิจารณาประกอบการกำหนดความสูงของพื้นที่โครงการด้วย ๔. ด้านกฎหมาย ให้ฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม พิจารณาดำเนินการเรียกตัวผู้กระทำผิดกฎหมายที่หลบไปพำนักในต่างประเทศกลับมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ๕. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๕.๑ ให้ทุกส่วนราชการขับเคลื่อนการบริหารราชการแผ่นดินตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ ๘ ด้านอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การบริหารราชการแผ่นดินร่วมกันของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี การปฏิรูปและการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การดำเนินการตามวาระแห่งชาติ การรักษาความสงบเรียบร้อย การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคม การส่งเสริมด้านการศึกษา และกระบวนการยุติธรรม ๕.๒ ให้คณะกรรมการติดตามการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะกรรมการขับเคลื่อนกระบวนการสร้างความโปร่งใสและความยุติธรรม (ซึ่งอยู่ระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง) จัดทำรายงานผลการดำเนินการเสนอต่อที่ประชุมร่วมคณะรักษาความสงบแห่งชาติและคณะรัฐมนตรีทุกเดือน ๕.๓ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ให้ศูนย์บริการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จขยายการดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้ครอบคลุมถึงแรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม นั้น ให้กระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการออกใบอนุญาตทำงานชั่วคราวให้แก่แรงงานต่างด้าวสัญชาติเวียดนามโดยเร็วต่อไป ๕.๔ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เพื่อนำมาวิเคราะห์และประเมินผลการปฏิบัติงานของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการที่เป็นไปตามหลักวิชาการ และสำรวจความความเห็นตามหัวข้อนโยบายของรัฐบาล ผลงานที่ดำเนินการไปแล้ว ผลงานที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ หรืองานที่จะทำในระยะต่อไป เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||
689 | รายงานสรุปการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยโภชนาการ ครั้งที่ 2 | สธ | 16/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานสรุปการประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยโภชนาการ ครั้งที่ ๒ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ระหว่างวันที่ ๑๙-๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ ณ กรุงโรม สาธารณรัฐอิตาลี จัดโดยองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) และองค์การอนามัยโลก (WHO) ในหัวข้อเรื่อง “โภชนาการที่ดีขึ้น เพื่อชีวิตที่ดีกว่า : Better nutrition for better lives” สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารที่เกี่ยวข้อง ๒ ฉบับ ประกอบด้วย (๑) ประกาศปฏิญญากรุงโรมว่าด้วยโภชนาการ (Rome Declaration on Nutrition) เพื่อให้ทุกประเทศสมาชิกให้คำมั่นสัญญา ๑๐ ขั้นว่าจะดำเนินการขจัดความหิวโหยและป้องกันภาวะทุพโภชนาการในทุกรูปแบบตลอดช่วงชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาดอาหารในเด็ก โลหิตจางในสตรีและเด็ก การขาดวิตามินเกลือแร่อื่น ๆ รวมทั้งลดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน และ (๒) กรอบเพื่อการปฏิบัติการ (Framework for Action) ซึ่งเป็นชุดแนวทางนโยบายและยุทธศาสตร์ ๘ เรื่อง รวมคำแนะนำ ๖๐ ข้อ ประกอบด้วย การสร้างสิ่งแวดล้อมที่เอื้อในการสร้างความเข้มแข็งของการจัดระบบอาหารอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการลงทุนทางการเกษตร การพัฒนาด้านอาหาร ยกระดับโภชนาการ การให้โภชนศึกษา การปกป้องด้านสังคม ด้านสุขภาพ น้ำสะอาด สุขาภิบาลและสุขลักษณะ อาหารปลอดภัย รวมทั้งข้อแนะนำในการรายงาน เพื่อให้รัฐบาลนำไปใช้ดำเนินการตามความสมัครใจ โดยนำไปผนวกเข้ากับแผนโภชนาการ สาธารณสุข เกษตร การพัฒนาและการลงทุนของประเทศนั้น ๆ ให้บรรลุเป้าหมายโภชนาการที่ดีขึ้นถ้วนหน้า ๑.๒ การประชุมครั้งนี้เพื่อให้รัฐบาลและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องร่วมกันให้คำมั่นสัญญาในการดำเนินการขจัดปัญหาทุพโภชนาการทั้งด้านขาดและเกินให้บรรลุเป้าหมาย ภายในปี ๒๕๖๘ โดยมีสาระสำคัญเน้นย้ำให้เห็นว่า ปัญหาทุพโภชนาการด้านขาดสารอาหาร แม้ว่าในสถานการณ์โลกโดยรวมจะดีขึ้นแต่ก็ยังมีการขาดสารอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมยอมรับในประกาศปฏิญญากรุงโรมและแนวทางในการดำเนินการเพื่อที่จะนำไปบรรจุในแผนพัฒนาแต่ละด้านของแต่ละประเทศ โดยทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ทั้งในด้านการเกษตร สาธารณสุข ศึกษาธิการ และการค้าการลงทุน โดยความร่วมมือทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับโลกเพื่อเป้าหมายในการขจัดภาวะทุพโภชนาการภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๘ ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่า ในการเข้าร่วมการประชุม/สัมมนาในเวทีระหว่างประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับอาหารและโภชนาการ ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรนำเสนอประเด็นการกำหนดคุณภาพมาตรฐานทางโภชนาการของอาหาร รวมถึงการรณรงค์เผยแพร่คุณภาพ มาตรฐาน และคุณประโยชน์ของข้าวไทยและสินค้าเกษตรอื่น ๆ ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายเพื่อเพิ่มความต้องการสินค้าไทยให้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยยกระดับราคาสินค้าของไทยในตลาดโลกได้
|
||||||||||||||||||
690 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทานไทย - สาธารณรัฐประชาชนจีน | กษ | 16/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการด้านทรัพยากรน้ำและการชลประทาน ระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงทรัพยากรน้ำแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (Agreed Record of the Third Meeting of the Joint Committee on Trade, Investment and Economic Cooperation between the Government of the Kingdom of Thailand and the Government of the People’s Republic of China) เพื่อเป็นการส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการในสาขาทรัพยากรน้ำและการชลประทานระหว่างสองประเทศ โดยมีขอบเขตความร่วมมือครอบคลุมในประเด็นการป้องกันและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน การบริหารจัดการและก่อสร้างเขื่อน ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อทรัพยากรน้ำและมาตรการรับมือ การควบคุมภาวะอุทกภัยและการบรรเทาภัยพิบัติ การอนุรักษ์ดินและน้ำ การชลประทานและการระบายน้ำ การประสานงานและร่วมมือในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำในระดับนานาชาติ และความร่วมมือในด้านอื่น ๆ ที่มีความสนใจร่วมกัน ๑.๒ อนุมัติในหลักการว่าก่อนที่จะมีการลงนามหากมีการแก้ไขร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในประเด็นที่ไม่ใช่หลักการสำคัญ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๑.๓ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์หรือผู้แทนเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๗ (เรื่อง ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี) ในส่วนที่เกี่ยวกับด้านต่างประเทศด้วย |
||||||||||||||||||
691 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 09/12/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ขณะนี้สภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากสหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายปรับอัตราดอกเบี้ยจะมีผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนโลก และอาจมีการเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการส่งออกของไทย จึงให้รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กำกับให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องประสานธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อติดตามสถานการณ์ค่าเงินอย่างใกล้ชิด รวมทั้งกำหนดมาตรการรองรับด้วย ๑.๒ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับสถาบันการศึกษาหารือหน่วยงานทางวิชาการดำเนินการศึกษาเกี่ยวกับสถานการณ์พลังงานของไทยและเผยแพร่ให้สาธารณชนรับทราบต่อไป ๑.๓ ให้กระทรวงพลังงานร่วมกับทุกส่วนราชการพิจารณากำหนดมาตรการประหยัดพลังงานและแนวทางการใช้พลังงานทดแทนต่าง ๆ เช่น ระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar cell) และนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคมเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรในสาขาซ่อมแซมและบำรุงรักษารถไฟฟ้า โดยให้ได้รับการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้เกิดความเชี่ยวชาญ พร้อมทั้งเตรียมศูนย์ซ่อมบำรุงเพื่อรองรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๕ ประเทศไทยได้ลงนามในความร่วมมือกับนานาประเทศ โดยจะให้มีการเปิดเสรีทางการค้าและการเชื่อมโยง (Connectivity) ด้านการคมนาคมและการขนส่งมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการขนส่งทางบกที่อาจจะส่งผลให้มีการขนส่งสินค้าเข้ามาในประเทศไทยจากประเทศที่มีต้นทุนทางการผลิตต่ำกว่าประเทศไทย จึงให้กระทรวงพาณิชย์และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมเพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นด้วย ๑.๖ ให้กระทรวงพาณิชย์ตรวจสอบข้อมูลการขายข้าวในรูปแบบรัฐต่อรัฐ (G to G) และรูปแบบอื่น ๆ ในช่วงที่ผ่านมา และนำเสนอข้อมูลดังกล่าวพร้อมทั้งแนวทางการระบายข้าวในระยะต่อไปต่อสาธารณชน และตรวจสอบการขายข้าวของบริษัทเอกชนในกรณีที่มีข่าวว่าบริษัทเอกชนบางรายนำข้าวของเวียดนามหรือกัมพูชามาสวมสิทธิขายในโควตาของข้าวไทยด้วย ๑.๗ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อประชาสัมพันธ์ให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ทราบเกี่ยวกับการประกันภัยให้แก่นักท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้รับความคุ้มครองในทุกกรณี ๑.๘ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเร่งดำเนินการตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙) โดยในการดำเนินการคัดเลือกเอกชนผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องกำกับให้มีการแข่งขันที่เป็นธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ๒. ด้านการต่างประเทศ ให้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติเร่งดำเนินการขับเคลื่อนกรอบความร่วมมืออาเซียนและเตรียมความพร้อมให้หน่วยงานต่าง ๆ ในการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อขับเคลื่อนในแต่ละแผนงานย่อย ให้เร่งดำเนินการต่อไป ๓. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับส่วนราชการด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้ประโยชน์เครื่อง X-Ray ร่วมกันในงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และด่านตรวจตามแนวชายแดน หากพบว่า ยังไม่เพียงพอให้หน่วยงานเสนอรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) เพื่อพิจารณาต่อไป ๔. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๔.๑ ให้กระทรวงคมนาคมจัดให้มีการให้บริการรถโดยสารสาธารณะในช่วงเทศกาลปีใหม่ให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดูแลความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชน โดยเฉพาะถนนในช่วงเขาซึ่งมีทางแคบและลาดชันซึ่งอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย และให้ส่วนราชการด้านความมั่นคง เช่น กระทรวงมหาดไทยดูแลควบคุมสถานประกอบการให้ดำเนินกิจการต่าง ๆ ให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๔.๒ ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เกี่ยวกับการดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อกิจการอันเป็นสาธารณูปโภค เพื่อก่อสร้างหรือขยายถนน หรือเพื่อประโยชน์แก่การชลประทานในการเก็บกักน้ำ โดยให้ทราบถึงประโยชน์ที่จะได้รับ รวมทั้งพิจารณาให้ความเป็นธรรมในการชดเชยหรือเยียวยาแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบด้วย ๔.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้ทุกภาคส่วนให้ความสำคัญในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ให้มีความอุดมสมบูรณ์ รวมทั้งส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน ๔.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายควบคุมในการผลิตสุรากลั่นชุมชนให้ถูกต้องและปลอดภัยยิ่งขึ้น ๔.๕ ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงอาคารและภูมิทัศน์บริเวณบ้านพิษณุโลกและบ้านมนังคศิลา เพื่อใช้เป็นสถานที่ประชุมและเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญในระดับผู้นำของประเทศต่าง ๆ ที่มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล โดยให้กระทรวงการคลังจัดหาสถานที่เพื่อให้สภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานแทนบ้านมนังคศิลา และให้ฝ่ายความมั่นคงทบทวนแนวทางในการชี้แจงทำความเข้าใจแก่ผู้ประกอบการบริเวณตลาดมหานาคให้ย้ายสถานที่ขายสินค้าไปยังบริเวณฝั่งตรงข้าม ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้จัดเตรียมพื้นที่ค้าขายเพื่อรองรับไว้เรียบร้อยแล้ว
|
||||||||||||||||||
692 | รายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนตุลาคม 2557 | อก | 02/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม ประจำเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ สรุปได้ดังนี้
๑. ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ลดลงจากเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ ร้อยละ ๒.๐ และลดลงร้อยละ ๓.๙ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน การผลิตลดลงในหลายอุตสาหกรรมที่สำคัญเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ ยานยนต์ Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เครื่องประดับเพชรพลอย ผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น ๒. เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมกับประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญในเอเชีย การผลิตในภาคอุตสาหกรรม เกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ ๒.๐ ไต้หวันขยายตัวร้อยละ ๑๑.๐ ส่วนข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประจำเดือนกันยายน ๒๕๕๗ ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๗ การผลิตในภาคอุตสาหกรรมของมาเลเซียและอินโดนีเซียขยายตัวร้อยละ ๗.๔ และ ๔.๗ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
693 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการก่อสร้างอาคารนวัตกรรมสุขภาวะอาหารและนิติกรรม 1 หลัง (ส่วนที่เหลือ) ของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ | ศธ | 02/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าก่อสร้างอาคารนวัตกรรมสุขภาวะอาหารและนิติกรรม จากวงเงินตามสัญญา จำนวน ๓๘๗,๗๐๐,๐๐๐ บาท เป็นวงเงิน ๔๒๖,๓๐๘,๕๐๐ บาท รวมทั้งอนุมัติขยายระยะเวลาการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างอาคารฯ ดังกล่าว จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒-พ.ศ. ๒๕๖๐ สำหรับค่าก่อสร้างอาคารฯ ดังกล่าวให้ใช้จ่ายจากเงินงบประมาณ จำนวน ๓๔๑,๐๔๖,๘๐๐ บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ จำนวน ๕๙,๒๐๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๓๒,๒๙๗,๒๐๐ บาท ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้กันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีแล้ว สำหรับส่วนที่ขาดอยู่ จำนวน ๒๔๙,๕๔๙,๖๐๐ บาท ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณต่อ ๆ ไป สมทบกับเงินนอกงบประมาณของมหาวิทยาลัยฯ อีกจำนวน ๘๕,๒๖๑,๗๐๐ บาท ตามสัดส่วนระหว่างเงินงบประมาณและเงินนอกงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้เดิม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ในส่วนของวงเงินที่เพิ่มขึ้นให้กระทรวงศึกษาธิการ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ) ดำเนินการใช้สิทธิ์ของผู้ว่าจ้างภายหลังบอกเลิกสัญญาเพื่อบังคับเอาจากผู้รับจ้างรายเดิมด้วย
|
||||||||||||||||||
694 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี 2557 | นร11 | 02/12/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ซึ่งครอบคลุมความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ บทความพิเศษเรื่อง “โอกาสการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน” และประเด็นทางสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น แต่รายได้ยังเพิ่มขึ้น (๒) การก่อหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มชะลอลง แต่ต้องเฝ้าระวังการผิดนัดชำระหนี้ที่เพิ่มขึ้น (๓) ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังโรคปอดอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ โรคมือ เท้า ปาก และโรคตาแดง ซึ่งพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (๔) ค่าใช้จ่ายในการบริโภคบุหรี่เพิ่มขึ้นและต้องเฝ้าระวังบุหรี่ไฟฟ้าที่กำลังแพร่ระบาดในกลุ่มวัยรุ่นเมือง (๕) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์โดยรวมดีขึ้น แต่ยังคงมีการใช้ความรุนแรงในการทวงหนี้นอกระบบ (๖) การเร่งรณรงค์ “เมา-ง่วง ไม่ขับ-ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด” อย่างต่อเนื่องเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรทางบก (๗) ร้านค้าออนไลน์ : สู่การเติบโตอย่างปลอดภัย พฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์เพิ่มขึ้น และ (๘) การกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์จากความก้าวหน้าเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยยังขาดสถานที่กำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้มาตรฐานและมีการดำเนินงานอย่างถูกต้อง ๒. บทความพิเศษเรื่อง “โอกาสการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน” การพัฒนาตามช่วงวัยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนเนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนสูง แต่มีเด็กวัยเรียนที่ควรอยู่ในระบบการศึกษา ๖-๘ แสนคนที่ไม่มีโอกาสเข้าเรียนและได้เรียนแต่ออกจากระบบการศึกษาก่อนจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งสาเหตุที่ไม่ได้เรียนได้แก่ ปัญหาการเจ็บป่วยและพิการ ไม่มีทุนทรัพย์ ไม่สนใจที่จะเรียน เป็นต้น ในขณะที่เด็กในระบบโรงเรียนยังมีปัญหาด้านคุณภาพ ขาดทักษะทำงานและการดำเนินชีวิต ๓. ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ได้แก่ การผลิตกำลังคนให้ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงาน การแก้ไขปัญหาหนี้สิน การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในเทศกาลปีใหม่ ๒๕๕๘ การก้าวสู่ร้านออนไลน์ การผลักดันการป้องกันขยะอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชนและต่อสุขภาพ และแนวทางการพัฒนาศักยภาพเด็กวัยเรียน โดยสนับสนุนให้เด็กคงอยู่ในระบบโรงเรียนทั้งการช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมให้แก่เด็กยากจน สร้างแรงจูงใจให้กับสถานศึกษาเพื่อเอื้อต่อการเข้าเรียนของเด็กด้อยโอกาสกลุ่มต่างๆ พัฒนาคุณภาพการศึกษาโดยยกระดับคุณภาพครู พัฒนาหลักสูตรให้มีความหลากหลายและเป็นทางเลือกใหม่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||
695 | ร่างแผนยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | พม | 25/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแผนยุทธศาสตร์สวัสดิการสังคมไทย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙) มีสาระสำคัญเพื่อยกระดับคุณภาพของระบบการคุ้มครองทางสังคมให้ครอบคลุมทุกคนอย่างทั่วถึง มีกลไกที่มีความสามารถในการบริหารจัดการ มีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและเชื่อมโยงกันเป็นสังคมสวัสดิการ รวมทั้งนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติในการมุ่งก่อให้เกิดสังคมสวัสดิการและให้ประชาชนได้รับสวัสดิการถ้วนหน้า ประกอบด้วย ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ (๑) ยุทธศาสตร์การสร้างและพัฒนาระบบสวัสดิการเพื่อสวัสดิการถ้วนหน้า (๒) ยุทธศาสตร์เสริมพลังทุกภาคส่วนสู่สังคมสวัสดิการ (๓) ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพ และมาตรฐานบริการ และการบริหารจัดการ (๔) ยุทธศาสตร์การสร้างและพัฒนามาตรการทางการเงิน การคลัง และการระดมทุนเพื่อสังคม (๕) ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนระบบสวัสดิการสังคมไทยสู่ประชาคมอาเซียนและประชาคมโลก และ (๖) ยุทธศาสตร์การสร้างความเข้มแข็งของระบบเตรียมความพร้อมและฟื้นฟูในภาวะฉุกเฉิน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงการคลังรับไปพิจารณาร่วมกับสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางและแหล่งเงินสนับสนุนการดำเนินงานของกองทุนส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม รวมทั้งกองทุนการออมแห่งชาติให้เพียงพอและเหมาะสมแก่การดำเนินงานของกองทุนดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||
696 | ขออนุมัติงบลงทุนโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ | นร01 | 25/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. งบลงทุนโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล และให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) (บมจ. อสมท) จำนวน ๑,๔๘๐.๐๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วย งบลงทุนโครงการให้บริการโครงข่ายกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล วงเงินลงทุน จำนวน ๗๕๒.๐๐๐ ล้านบาท และงบลงทุนโครงการให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกด้านกระจายเสียงหรือโทรทัศน์ วงเงินลงทุน จำนวน ๗๒๘.๐๐๐ ล้านบาท ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ บมจ. อสมท ดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังเร่งพิจารณาโครงสร้าง รูปแบบ กลไก การกำกับดูแลการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจที่มีฐานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อให้รัฐวิสาหกิจที่มีสถานะเป็นบริษัทมหาชนจำกัด โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจในสาขาสื่อสารโทรคมนาคมที่มีการแข่งขันเสรีสามารถดำเนินธุรกิจภายใต้สภาวะการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นควรให้ บมจ. อสมท ให้ความสำคัญกับการกำหนดขอบเขตการดำเนินงาน (TOR) เพื่อให้การจัดซื้อและจัดจ้างของโครงการมีการแข่งขันจากผู้ประกอบการหลายราย และให้เกิดความโปร่งใส เป็นธรรม สามารถตรวจสอบได้ทุกขั้นตอน และให้จัดทำแผนบริหารความเสี่ยงของโครงการ แผนกลยุทธ์ด้านการตลาดในเชิงรุก ศึกษาและวิจัยตลาดในเชิงลึก พัฒนาเป้าหมาย ตลอดจนสร้างความมั่นใจและความพึงพอใจแก่ผู้ประกอบการทั้งด้านคุณภาพการให้บริการและความมั่นคงของระบบในระยะยาว และควรปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นหน่วยธุรกิจโดยแยกบัญชีของแต่ละธุรกิจให้ชัดเจน รวมทั้งให้จัดทำแผนการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และแผนการบริหารทรัพยากรโครงข่ายเพื่อควบคุมป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและรองรับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี และให้จัดทำแผนปรับปรุงพื้นที่สถานีโทรทัศน์โครงข่ายวิทยุโทรทัศน์ภูมิภาคให้สามารถรองรับการให้บริการโทรทัศน์ชุมชน วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุดิจิตอลได้ในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
697 | ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี 2557 - 2558 | นร11 | 18/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สาม และแนวโน้มปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๖ เทียบกับการขยายตัวร้อยละ ๐.๔ ในไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ และเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้ว เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวจากไตรมาสที่สองของปี ๒๕๕๗ ร้อยละ ๑.๑ (QoQ_SA %) เมื่อรวมกับครึ่งแรกของปีซึ่งเศรษฐกิจหดตัวร้อยละ ๐.๑ ทำให้เศรษฐกิจไทยในช่วง ๙ เดือนแรกของปี ๒๕๕๗ ขยายตัวร้อยละ ๐.๒ ๑.๒ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๗ จะขยายตัวร้อยละ ๑.๐ ปรับลดลงจากประมาณการร้อยละ ๑.๕-๒.๐ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สามขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ เป็นผลมาจากปัจจัยสำคัญ ๔ ประการ ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจโลกในไตรมาสที่สามขยายตัวต่ำกว่าในไตรมาสที่สอง โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ในขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นและยุโรปอยู่ในภาวะอ่อนแอ (๒) ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งยังหดตัวต่อเนื่องร้อยละ ๔๑.๙ หดตัวมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และส่งผลให้ปริมาณการผลิตรถยนต์ต่ำกว่าที่ประมาณการ (๓) การเบิกจ่ายงบประมาณในไตรมาสสุดท้ายของปีงบประมาณ ๒๕๕๗ อยู่ที่ร้อยละ ๒๐.๘ ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดร้อยละ ๒๕.๐ และอัตราเบิกจ่ายรวมทั้งปีงบประมาณอยู่ที่ร้อยละ ๘๙.๐ ต่ำกว่าเป้าหมายการเบิกจ่ายที่ตั้งไว้ที่ร้อยละ ๙๕.๐ และ (๔) การท่องเที่ยวยังฟื้นตัวได้ช้า จำนวนนักท่องเที่ยวในไตรมาสที่สามลดลงมากกว่าที่คาดไว้ ๑.๓ แนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี ๒๕๕๘ คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ ๓.๕-๔.๕ โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ (๑) การส่งออกที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก (๒) การปรับตัวดีขึ้นของการท่องเที่ยวตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและเงื่อนไขภายในประเทศ รวมทั้งผลของการดำเนินนโยบายรัฐบาล (๓) การลงทุนภาคเอกชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการที่ได้รับอนุมัติส่งเสริมไปแล้วในปี ๒๕๕๗ จะเริ่มดำเนินการ (๔) การเร่งการใช้จ่ายและดำเนินโครงการลงทุนที่สำคัญ ๆ ของภาครัฐ (๕) การเริ่มกลับมาขยายตัวของการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ และ (๖) การลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลกจะลดแรงกดดันด้านราคาและเพิ่มอำนาจซื้อ ๒. ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) สำนักงบประมาณ และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในส่วนของการดำเนินโครงการในพื้นที่เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนโดยเร็ว ๓. ในการแถลงข่าวและประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจไทย นั้น ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานอื่น ๆ ที่รับผิดชอบอธิบายให้ชัดเจนถึงสาเหตุของการขยายตัวหรือหดตัวของดัชนีเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีสถานการณ์ไม่ปกติ การนำเสนอควรเน้นการเปรียบเทียบข้อมูลกับไตรมาสก่อนหน้าหรือเดือนก่อนหน้า เพื่อให้ประชาชนมีความเข้าใจถึงการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาสที่สาม การขยายตัวด้านการลงทุนของเอกชน และการบริโภคเริ่มมีอัตราขยายตัวที่เป็นบวกเมื่อเทียบกับการติดลบในช่วงต้นปี และในขณะนี้ผลกระทบจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังหดตัวมีผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทย
|
||||||||||||||||||
698 | รายงานประจำครึ่งปี (มกราคม - มิถุนายน 2557) ของธนาคารแห่งประเทศไทย | กค | 12/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำครึ่งปี (มกราคม-มิถุนายน ๒๕๕๗) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เศรษฐกิจไทย หดตัวร้อยละ ๐.๑ จากสถานการณ์การเมืองที่ยืดเยื้อทำให้การอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนหดตัว ภาครัฐมีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลง อุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอและการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวช้าทำให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัว ภาคการท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญได้รับผลกระทบอย่างมากทำให้นักท่องเที่ยวลดลง อย่างไรก็ดี สถานการณ์การเมืองที่คลี่คลายในช่วงกลาง ไตรมาสที่ ๒ ส่งผลให้อุปสงค์ในประเทศทั้งการบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้น ๒. ภาวะการเงิน อยู่ในเกณฑ์ผ่อนปรนต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองและเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเศรษฐกิจ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงร้อยละ ๐.๒๕ ต่อปี เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี ๓. อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน เฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๓ และ ๑.๔๕ ตามลำดับ โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีตามราคาก๊าซหุงต้มและราคาอาหารสด แต่โดยรวมยังอยู่ในระดับต่ำ ขณะที่ราคาพลังงานปรับสูงขึ้นตามราคาก๊าซหุงต้ม ๔. เสถียรภาพของภาคสถาบันการเงิน อยู่ในเกณฑ์ดี สินเชื่อขยายตัวร้อยละ ๗.๓ จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์เฉลี่ย (Return on Asset : ROA) ของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ร้อยละ ๑.๔ เงินกองทุนและเงินสำรองอยู่ในระดับสูง โดยอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๑๕.๙ และอัตราส่วนเงินสำรองที่มีต่อเงินสำรองพึงกันอยู่ที่ร้อยละ ๑๖๙.๒ คุณภาพสินเชื่อด้อยลงเล็กน้อย แต่โดยรวมยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross NPL Ratio) อยู่ที่ร้อยละ ๒.๓ ขณะที่สินเชื่อจัดชั้นกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special Mention Loan : SM) ทรงตัวที่ร้อยละ ๒.๔ ๕. เสถียรภาพด้านการคลัง โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ร้อยละ ๔๖.๖ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ ๖. เสถียรภาพด้านการต่างประเทศ อยู่ในเกณฑ์ดี ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล ๘.๘ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการเกินดุลการค้าเป็นสำคัญ ฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคงและสูงกว่ามาตรฐานสากล (ไม่ต่ำกว่า ๑ เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น) โดยสัดส่วนเงินสำรองระหว่างประเทศต่อหนี้ระยะสั้นอยู่ ๒.๗ เท่า ขณะที่ดุลบัญชีเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดดุลสุทธิอยู่ที่ ๗.๓ พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามการออกไปลงทุนในต่างประเทศของนักลงทุนไทย ๗. แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๗ และปี ๒๕๕๘ กนง. ประเมินว่าเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว โดยอุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นจากรายได้และความเชื่อมั่นของภาคเอกชนที่ฟื้นตัว รวมถึงการเบิกจ่ายของภาครัฐ นอกจากนี้ แรงส่งจากภาคการส่งออกจะมีมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่ค่อย ๆ ฟื้นตัว สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่มีเสถียรภาพ การส่งผ่านต้นทุนก๊าซหุงต้มไปยังราคาอาหารสำเร็จรูปเริ่มชะลอลง แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ และต้นทุนการผลิตโดยรวมไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากนโยบายตรึงราคาเชื้อเพลิงของภาครัฐ อย่างไรก็ดี ในปี ๒๕๕๘ แรงกดดันเงินเฟ้อจากด้านอุปสงค์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศที่คาดว่าจะฟื้นตัว
|
||||||||||||||||||
699 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | สลธ.คสช. | 12/11/2557 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ กรณีที่ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ จะไปประชุมระดับนานาชาติ และจะเสนอตัวให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพการจัดงานหรือการประชุมระดับนานาชาติต่าง ๆ ให้เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบก่อน และรายงานผลให้คณะรัฐมนตรีทราบในโอกาสแรก ๒. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง (ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร) เร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ และเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการจ่ายเงินให้แก่ชาวนาและเกษตรกรชาวสวนยางโดยเร็ว ถูกต้อง โปร่งใส เป็นธรรม และตรวจสอบได้ เพื่อให้ชาวนารายย่อยผู้มีรายได้น้อยและเกษตรกรชาวสวนยางที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงได้รับประโยชน์โดยตรงและทั่วถึงต่อไป ๓. ด้านสังคม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามนโยบายการจัดระเบียบสังคมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การแก้ไขปัญหายาเสพติด ผู้มีอิทธิพล การพนัน การค้าประเวณี รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๕๗ ที่ให้พิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาสังคมต่าง ๆ เช่น ยาเสพติด การแข่งมอเตอร์ไซค์ตามถนน (เด็กแว้น) โดยพิจารณาหาแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน นอกเหนือจากการจับกุมและบังคับใช้กฎหมาย เช่น ให้ผู้ที่ถูกดำเนินคดีทำกิจกรรมบริการสาธารณะในงานที่ถนัด ควบคุมความประพฤติและฝึกอาชีพเพื่อให้สามารถมีอาชีพเมื่อได้รับการปล่อยตัว ๔. ด้านอื่น ๆ ๔.๑ เนื่องด้วยขณะนี้หลายจังหวัดในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศอยู่ในภาวะประสบภัยพายุฝน น้ำท่วม ดินถล่ม คลื่นลมแรง ดังนั้น ให้ทุกส่วนราชการโดยเฉพาะหน่วยงานในพื้นที่เร่งดูแลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากภาวะอุทกภัยตามมติคณะรักษาความสงบแห่งชาติเมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๕๗ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ทันการณ์ และให้มุ่งเน้นการฟื้นฟูความเสียหายของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบให้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการด้วย ๔.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เกี่ยวกับการประชาสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจให้แก่ประชาชนรับทราบถึงผลกระทบในแต่ละพื้นที่อันเนื่องจากภัยแล้ง โดยกำหนดมาตรการเตรียมความพร้อมรองรับปัญหาภัยแล้งที่อาจสร้างความเสียหายกับพืชผลทางเกษตรและปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคโดยเร็ว และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||
700 | รายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงินประจำปีครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2557 | กค | 12/11/2557 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประจำครึ่งแรกของปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เป้าหมายนโยบายการเงิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ กนง. ได้กำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสระหว่างร้อยละ ๐.๕-๓.๐ ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเดียวกับที่ใช้ในปี ๒๕๕๖ สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยในไตรมาสที่ ๑ และ ๒ ของปี ๒๕๕๗ อยู่ในช่วงเป้าหมายที่ร้อยละ ๑.๑๙ และ ๑.๗๑ ตามลำดับ เร่งตัวขึ้นเล็กน้อยจากครึ่งหลังของปีก่อน ๒. สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในการดำเนินนโยบายการเงินในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ หดตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับครึ่งหลังของปีก่อน โดยในไตรมาสที่ ๑ ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ยืดเยื้อส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินและการเบิกจ่ายการลงทุนของภาครัฐ รวมทั้งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นภาคเอกชนและการท่องเที่ยว ขณะที่การส่งออกสินค้าฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับภาวะเงินเฟ้อ ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๒.๒๓ และอัตราเงินเฟ้อฟื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ ๑.๔๕ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเร่งขึ้นจากช่วงครึ่งหลังของปี ๒๕๕๖ ตามอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานและราคาพลังงาน โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นจากการส่งผ่านต้นทุนก๊าซหุงต้มและเครื่องประกอบอาหารที่ปรับเพิ่มขึ้นไปยังราคาอาหารสำเร็จรูป ๓. การดำเนินนโยบายการเงิน ที่ประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๕๗ มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินลงร้อยละ ๐.๒๕ จากร้อยละ ๒.๒๕ เป็นร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มแรงสนับสนุนให้กับเศรษฐกิจ ภายใต้ภาวะที่แรงส่งเศรษฐกิจแผ่วลงในระยะสั้นและแรงกระตุ้นทางการคลังมีจำกัด และในการประชุม กนง. เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๗ ที่ประชุมได้มีมติให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ ๒.๐๐ ต่อปี โดยประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายการเงินอยู่ในระดับผ่อนคลายเพียงพอที่จะสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ๔. การดำเนินนโยบายด้านอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์สหรัฐในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ มีเสถียรภาพแม้จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงต้นปีจากความไม่สงบทางการเมืองและความกังวลของนักลงทุนต่างชาติต่อเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่บางประเทศ อย่างไรก็ดี เงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ เนื่องจากเงินทุนจากต่างประเทศเริ่มไหลกลับเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์และตลาดพันธบัตรของไทยตามความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้นหลังจากสถานการณ์บ้านเมืองคลี่คลาย และการบริหารราชการแผ่นดินสามารถดำเนินการได้ โดยค่าเงินบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ อยู่ที่ ๓๒.๔๕ บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ดัชนีค่าเงินบาท (NEER) และดัชนีค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ในช่วงครึ่งแรกของปี ๒๕๕๗ ปรับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ ๑๐๒.๔๖ และ ๑๐๑.๕๗ ตามลำดับ ๕. แนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อปี ๒๕๕๗ กนง. ประเมินเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๗ จะขยายตัวชะลอลงจากปีก่อนอยู่ที่ร้อยละ ๑.๕ เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศหดตัวจากสถานการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อในช่วงครึ่งแรกของปี ประกอบกับภาคการส่งออกฟื้นตัวช้า |
.....