ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 32 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 621 - 640 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
621 | ขอความเห็นชอบโครงการ Conserving Habitats for Globally Important Flora and Fauna in Production Landscape | ทส | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ร่างข้อเสนอโครงการ Conserving Habitats for Globally Important Flora and Fauna in Production Landscape มีวัตถุประสงค์เพื่อการอนุรักษ์ชนิดพันธุ์และถิ่นที่อยู่อาศัยของชนิดพันธุ์ที่มีความสำคัญระดับโลกและอยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ โดยให้ความสำคัญกับชนิดพันธุ์พืชและสัตว์ จำนวนรวม ๓ ชนิด ได้แก่ (๑) นกชายเลนปากช้อน ในพื้นที่อ่าวไทยตอนใน (๒) นกกระเรียน ในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ และ (๓) พลับพลึงธาร ในพื้นที่จังหวัดระนองและจังหวัดพังงา ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินโครงการ Conserving Habitats for Globally Important Flora and Fauna in Production Landscape โดยมอบหมายให้เลขาธิการสำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายลงนามร่วมกับผู้แทนสำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Program : UNDP) ในเอกสารโครงการ ๑.๓ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างข้อเสนอโครงการดังกล่าวในประเด็นที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ส่งผลกระทบผูกพันเชิงนโยบาย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับเงินสมทบของรัฐบาลไทยควรพิจารณาให้เหมาะสมกับการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้สอดคล้องกับลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์ประเทศ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||
622 | มติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ 2/2558 | ทก | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ครั้งที่ ๒/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมได้รับทราบเกี่ยวกับการแต่งตั้งคณะทำงานภายใต้คณะกรรมการเตรียมการด้านดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รวม ๕ ชุด ได้แก่ คณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ คณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ คณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล คณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต และคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล รวมทั้งการประชุมแบบลดกระดาษ เพื่อให้สอดรับนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และเพื่อเป็นแบบอย่างในการทำงานที่ส่งเสริมการนำดิจิทัลมาใช้ในทุกกระบวนการและกิจกรรม การประชุมคณะกรรมการเตรียมการฯ และคณะทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ทั้ง ๕ ชุด จะปรับรูปแบบการประชุมจากเดิมที่จัดทำเอกสารประกอบการประชุมเป็นกระดาษเข้าแฟ้ม เป็นเอกสารในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการ เห็นชอบแนวทางการประชุมแบบลดกระดาษ เนื่องจากเป็นการลดการใช้กระดาษ ประหยัดทรัพยากร ประหยัดงบประมาณ และยังเป็นการช่วยลดมลภาวะ ทั้งนี้ ได้ให้ข้อสังเกตว่าในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย ยังคงต้องมีเอกสารในรูปแบบกระดาษอยู่ เนื่องจากต้องใช้เป็นหลักฐานประกอบทางกฎหมาย ๒. ที่ประชุมได้พิจารณาในประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคณะทำงานการเรียนรู้ตลอดชีวิต การดำเนินงานของคณะทำงานศูนย์ข้อมูลในประเทศ การดำเนินงานของคณะทำงานบรอดแบนด์แห่งชาติ การใช้โครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมร่วมกัน (Infrastructure sharing) การเตรียมการประมูลคลื่นความถี่ในกิจการโทรคมนาคมของ กสทช. การดำเนินงานของคณะทำงานติดตามกฎหมายเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล การดำเนินโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพภายใต้คณะอนุกรรมการพัฒนาระบบราชการเกี่ยวกับการบริหารโครงการบูรณาการงานบริการภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ โครงการนำร่องเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ทั้งนี้ เห็นชอบให้เพิ่มผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในคณะทำงานด้านการส่งเสริมการค้าผ่านสื่อดิจิทัล (Digital Commerce) การส่งเสริมธุรกิจเกิดใหม่ดิจิทัล (Digital Entrepreneur) และการส่งเสริมเนื้อหาดิจิทัล (Digital Content)
|
||||||||||||||||||
623 | รายงานสถานการณ์ส่งออกของไทย | พณ | 11/08/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสถานการณ์ส่งออกของไทยในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๕๘ มีมูลค่าการส่งออกของไทยหดตัวร้อยละ ๔.๘๔ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่สาม สาเหตุสำคัญ ได้แก่ (๑) เศรษฐกิจโลกยังคงชะลอตัว จากการนำเข้าของเกือบทุกประเทศทั่วโลกที่ลดลง ส่งผลกระทบไปยังตัวเลขส่งออกของประเทศต่าง ๆ ติดลบตามไปด้วย (๒) ผู้ผลิตรถกระบะส่งออกมีการเปลี่ยนรุ่นรถใหม่ จึงทำให้การส่งออกชะลอตัว ส่งผลให้การส่งออกยานยนต์และส่วนประกอบซึ่งเป็นสินค้าส่งออกที่มีสัดส่วนสูงเป็นอันดับหนึ่งได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก (๓) ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดต่ำลงประมาณครึ่งหนึ่งจากปีที่แล้วและคาดว่าจะทรงตัวที่ระดับนี้จนถึงสิ้นปี (๔) ราคาสินค้าเกษตรในตลาดโลกลดลงมาก โดยสินค้าเกษตรสำคัญที่มีราคาลดลง ได้แก่ ข้าว น้ำตาล ยางพารา และ (๕) หลายประเทศใช้มาตรการลดค่าเงิน ทำให้สินค้าส่งออกของไทย เช่น รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ และเม็ดพลาสติกมีราคาสูงกว่าสินค้าของประเทศคู่ค้าและคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามูลค่าการส่งออกของไทยจะลดลงจากสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจของตลาดโลกที่ชะลอตัวลง แต่ไทยยังสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) ในตลาดคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรปไว้ได้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ไทยยังคงมีความสามารถในการเป็นประเทศผู้ส่งออกที่มีศักยภาพ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความจำเป็นในการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนการค้าระหว่างประเทศต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
624 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 04/08/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมในการวางโครงข่ายคมนาคมเพื่อเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค โดยคำนึงถึงการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมขนส่งทุกด้านทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ให้เป็นโครงข่ายที่ชัดเจนและเป็นระบบเพื่อรองรับการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตามพื้นที่ชายแดนและการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน รวมถึงการแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัด นอกจากนี้ ให้พิจารณาใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้างถนนด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่ขณะนี้ได้เกิดภาวะน้ำท่วมฉบับพลันในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมา เวียดนาม ส่งผลให้ประชาชนในประเทศดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนในชีวิตและทรัพย์สิน ประกอบกับสถานการณ์ในประเทศไทยขณะนี้มีปริมาณฝนตกมากขึ้นและหลายพื้นที่เริ่มประสบปัญหาอุทกภัยแล้ว ดังนั้น จึงให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ ให้กระทรวงการต่างประเทศประสานงานและพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านที่ประสบอุทกภัยตามความเหมาะสม และให้กระทรวงพาณิชย์จัดเตรียมข้าวสารเพื่อให้ความช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย ๒.๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยประสานผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงกลาโหมจัดส่งทหารลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนให้ทันท่วงที โดยให้เร่งแก้ไขปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ (จังหวัดภูเก็ต) และติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย ๒.๑.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการกักเก็บน้ำฝนที่ตกในช่วงนี้เพื่อสำรองไว้ใช้ในระยะต่อไป ๒.๒ ให้ทุกส่วนราชการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการดำเนินการทุกอย่างของรัฐบาลให้แก่ประชาชนตั้งแต่เริ่มแรก รวมทั้งต้องมีการแก้ไขข้อสงสัยที่เกิดขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีความไว้วางใจต่อรัฐบาลและข้าราชการให้ได้ โดยไม่ควรมุ่งที่จะใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการบังคับแต่เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบมาตรการและโครงการสำคัญต่าง ๆ เร่งรัดการดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ นี้ โดยให้รายงานความคืบหน้าการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบภายในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๘ ดังนี้ ๒.๒.๑ กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินและค่าครองชีพของประชาชนทั้งระบบ ได้แก่ เกษตรกร ผู้มีรายได้น้อย ครูและบุคลากรทางการศึกษา ๒.๒.๒ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อย ๒.๒.๓ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการสร้างความเชื่อมโยงธุรกิจชุมชน ธุรกิจเพื่อสังคม วิสาหกิจเพื่อสังคมกับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ๒.๒.๔ กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการก่อสร้างเส้นทางคมนาคมขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๒.๒.๕ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและการให้สิทธิประโยชน์การลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนแต่ละประเภท ๒.๒.๖ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รายงานความคืบหน้าการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อเป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมและการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารผ่านอินเทอร์เน็ต
|
||||||||||||||||||
625 | ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม 2558 | อก | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาร้อยละ ๙.๔ แต่ลดลงร้อยละ ๗.๖ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลง อาทิ Hard Disk Drive รถยนต์ โทรทัศน์ เบียร์ และเครื่องประดับ โดยกลุ่มที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ ๓๐) ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๑.๔๓ อาทิ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การเปิดปิดโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๗๓ ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๖.๙ และโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๑๒๖ ราย มากกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ร้อยละ ๔๓.๑๘ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ทั้งสิ้น ๓๐๖ โครงการ เงินลงทุน ๔๘,๒๕๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ ๓๕.๐๓ และ ๘๓.๘ ตามลำดับ การนำเข้าเครื่องจักรอุตสาหกรรมและเครื่องมือกล มีมูลค่า ๑,๐๑๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัวร้อยละ ๑๕.๓ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต มีปริมาณทั้งหมด จำนวน ๑๐,๖๑๐.๘ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๕ จากเดือนเมษายน ๒๕๕๘ (๙,๔๒๗.๗ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) และเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๓ จากช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๗ (๑๐,๓๒๗.๙ ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) ๒. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมของไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ เปรียบเทียบกับประเทศสำคัญในเอเชีย การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ติดลบหรือหดตัวร้อยละ ๗.๖ อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้การผลิตลดลง คือ Hard Disk Drive รถยนต์ โทรทัศน์ เบียร์ และเครื่องประดับ เป็นต้น โดยการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศเกาหลีใต้และไต้หวัน หดตัวร้อยละ ๒.๘ และร้อยละ ๒.๖ ตามลำดับ สำหรับข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘ ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนเมษายน ๒๕๕๘ การผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวร้อยละ ๔.๑ และ ๕.๘ ตามลำดับ
|
||||||||||||||||||
626 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย - รัสเซีย ครั้งที่ 6 และผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | กต | 28/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย-รัสเซีย ครั้งที่ ๖ และผลการเยือนสหพันธรัฐรัสเซียอย่างเป็นทางการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องตามนัยสรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ และสรุปการติดตามผลการเยือนฯ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปในโอกาสแรก ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สรุปประเด็นสำคัญสำหรับติดตามผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ได้แก่ ประเด็นด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ การค้า และการลงทุน ด้านอุตสาหกรรม ด้านพลังงาน ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการเกษตร ความร่วมมือด้านการศึกษา ด้านวัฒนธรรม ด้านการท่องเที่ยว ด้านสิ่งแวดล้อม และประเด็นอื่น ๆ เกี่ยวกับความร่วมมือด้านสุขาภิบาลและสภาวะแวดล้อมอันปลอดโรคระบาด และการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคีไทย-รัสเซีย ๑.๒ สรุปการติดตามผลการเยือนฯ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง แผนการหารือระหว่างกระทรวงการต่างประเทศไทยและรัสเซีย ความตกลงที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา ความร่วมมือด้านความมั่นคง การจัดหาสินค้ายุทโธปกรณ์ การส่งออกยางพาราของไทย การจัดหาสินค้าอุตสาหกรรม การลงทุนหรือการลงทุนร่วมกันด้านศูนย์ซ่อมบำรุง การประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย-รัสเซีย การฉลองครบรอบ ๑๒๐ ปีความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย การจัดตั้งศูนย์ไทยศึกษาและห้องไทยในรัสเซีย การจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียและสารสนเทศ รวมทั้งความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว และการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการลดค่าบริการการใช้โครงข่ายโทรคมนาคมข้ามประเทศ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีการแก้ไขข้อความในบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมฯ ฉบับภาษาไทย ประเด็นความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ข้อ ๓๑ บรรทัดที่ ๒ จาก “สถาบันเทคโนโลยีแห่งชาติ” เป็น “สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ” และให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรมในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมรัสเซียและสารสนเทศ นอกจากนี้ ให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบโดยเฉพาะในส่วนโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบในส่วนโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานรายงานความคืบหน้าของโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบราง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย และโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษของไทย ให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยตรง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
627 | ขออนุมัติดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุขของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 และวันที่ 31 มีนาคม 2556 | สธ | 21/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข ของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ และวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงการจ่ายค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข และหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่าเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่าย โดยครอบคลุมตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่อสภาวะการคลังระดับประเทศจนเกินไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้กระทรวงสาธารณสุขวางแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณเพื่อไม่ให้มีการเบิกจ่ายค่าตอบแทนย้อนหลังอีก ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงยุติธรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการศึกษา วิเคราะห์ ข้อดี ข้อเสีย ของการจ่ายค่าตอบแทน และจัดทำระบบและอัตราค่าตอบแทนที่เหมาะสม เป็นธรรม และเป็นที่ยอมรับของบุคลากรสาธารณสุขทุกวิชาชีพ การกำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และหลักการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยการปรับอัตราการจ่ายค่าตอบแทนบางวิชาชีพให้เพิ่มขึ้นตามความเหมาะสม และหาข้อสรุปที่ชัดเจน ข้อดี ข้อเสีย และผลกระทบของการดำเนินการจ่ายค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงาน (P4P) โดยนำหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนมาใช้ การศึกษารูปแบบที่เหมาะสมในการจ่ายค่าตอบแทนเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านสาธารณสุขให้สามารถทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้อย่างแท้จริง การเร่งรัดดำเนินการหาข้อสรุปผลการศึกษาหลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงเหมาจ่ายในพื้นที่และค่าตอบแทนตามผลการปฏิบัติงานที่เหมาะสม เป็นธรรม และสอดคล้องกับภาระงาน และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งการพิจารณาภาระรายจ่ายในภาพรวมเปรียบเทียบกับภาระรายจ่ายเดิมเพื่อนำไปสู่การกำหนดแหล่งเงินที่เหมาะสมและคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างวิชาชีพ พื้นที่ อายุงาน ตลอดจนการประเมินในประเด็นที่สำคัญ เช่น ผลลัพธ์ด้านคุณภาพการให้บริการ การกำหนดประเภทกิจกรรมและแนวทางบริหารค่าตอบแทนที่สะท้อนประสิทธิภาพของการปฏิบัติงาน หลักเกณฑ์การจ่ายค่าตอบแทนที่สัมพันธ์กับการแก้ปัญหาความขาดแคลนบุคลากร เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
628 | รายงานสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และเห็นชอบการลดปริมาณการปล่อยน้ำจาก ๔ เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา และแนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ตามที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ประเทศไทยมีอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ จำนวน ๓๓ แห่ง ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำในอ่างฯ ๓๒,๐๘๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๖ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๘,๕๗๘ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๑๘) ลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๗ ที่มีปริมาตรน้ำในอ่างฯ ๓๒,๗๑๐ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔๖ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๙,๒๐๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๐) ๑.๒ สภาพน้ำในเขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาตรน้ำในเขื่อน ๗,๒๘๓ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๒๙ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๕๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓) ลดลงเมื่อเทียบกับปี ๒๕๕๗ ที่มีปริมาตรน้ำในเขื่อน ๗,๓๘๗ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๓๐ (ปริมาตรน้ำใช้การได้ ๖๙๑ ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ ๔) ๑.๓ คาดการณ์ว่า ฤดูฝนในปี ๒๕๕๘ จะมีระยะเวลาสั้น ปริมาณฝนในช่วงกลางเดือนกรกฎาคมจะตกน้อยอย่างต่อเนื่อง และจะเริ่มตกชุกในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งอาจจะเกิดภาวะภัยแล้งอีกครั้งในช่วงปลายฤดูฝน คือ ปลายเดือนพฤศจิกายน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนมีน้ำอุปโภคบริโภคอย่างเพียงพอและสามารถรักษาระบบนิเวศไว้ได้ จึงเห็นควรให้ลดปริมาณการปล่อยน้ำจาก ๔ เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่เดิมปล่อยน้ำรวมกันประมาณ ๒๘ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ลดลงเหลือประมาณ ๑๘ ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และขอให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและเกษตรกรเตรียมการรองรับปัญหาภัยแล้งที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงปลายฤดูฝนด้วย ๑.๔ โครงการบริหารจัดการน้ำปี ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ประกอบด้วย ๕ กิจกรรม คือ การขุดลอกคูคลอง การขุดบ่อใหม่ การขุดท้องน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ และการพัฒนาอ่างเก็บน้ำขนาดเล็ก แบ่งเป็น ปี ๒๕๕๗ จำนวน ๒,๑๗๓ โครงการ และปี ๒๕๕๘ จำนวน ๓,๐๙๕ โครงการ ปัจจุบันดำเนินการแล้วเสร็จร้อยละ ๗๕ มีปริมาณน้ำเพิ่มขึ้น ๑,๐๖๐ ล้านลูกบาศก์เมตร ๑.๕ แนวทางการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ได้แก่ การช่วยเหลือน้ำอุปโภคบริโภค การปรับงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘ เป็นการจ้างแรงงานประชาชนในพื้นที่ การขุดสระน้ำในไร่นาเพิ่มขึ้นโดยเน้นในหมู่บ้านที่ขาดแคลนน้ำ การขุดแก้มลิง/บ่อน้ำ การขุดเจาะบ่อน้ำบาดาลในหมู่บ้านแล้งและท่วมซ้ำซาก การเร่งซ่อมแซมถนนที่ทรุดจากน้ำลด และการใช้ศูนย์ดำรงธรรมในการแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่ตามนโยบายของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ ๒. ให้ฝ่ายเลขานุการฯ ชี้แจงให้สาธารณชนได้รับทราบข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าว พร้อมทั้งแนวทางเตรียมการเพื่อป้องกันสถานการณ์น้ำขาดแคลน โดยให้ระบุรายละเอียดที่ชัดเจนของพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำในปัจจุบัน และการลดปริมาณการปล่อยน้ำจากเขื่อนต่าง ๆ เป็นรายตำบลหรือรายอำเภอ รวมถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำในขณะนี้เพื่อป้องกันปัญหาน้ำขาดแคลน โดยให้ขอความร่วมมือจากประชาชนทุกภาคส่วนทั้งชุมชนเมืองและภาคเกษตรกรรมในการประหยัดการใช้น้ำในช่วงเวลานี้ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในระยะต่อไปเพื่อให้สามารถเตรียมการรองรับได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องเตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้งด้วย
|
||||||||||||||||||
629 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/07/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินของประชาชนทั้งระบบ ได้แก่ หนี้สินเกษตรกร หนี้สินประชาชนผู้มีรายได้น้อย และหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา พร้อมกรอบแนวทางการแก้ไขปัญหาหนี้ทั้งระบบต่อไป ๑.๒ ขณะนี้รัฐบาลมีแผนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและบริการสาธารณะเพื่อเป็นการพัฒนาประเทศหลายโครงการ โดยใช้เงินกู้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายเกี่ยวกับการลงทุนดังกล่าวให้ดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นภาระหนี้สาธารณะของประเทศ โดยให้มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุน ประกอบกับคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘) เห็นชอบร่างแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๒ ที่ได้มีการกำหนดกิจการประเภทต่าง ๆ ที่ควรให้เอกชนมีส่วนร่วมในการลงทุนไว้ด้วย นั้น จึงให้ทุกส่วนราชการพิจารณาแนวทางให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนในกิจการของรัฐ โดยอาจจะกำหนดแนวทางการจัดหาแหล่งเงินทุนในรูปแบบการให้เอกชนร่วมลงทุน (Public Private Partnership : PPP) ทั้งเอกชนภายในประเทศและเอกชนภายนอกประเทศ เพื่อให้สอดคล้องตามนโยบายของรัฐบาลและมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีลงพื้นที่ที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความเข้าใจและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่มีผลกระทบต่อประชาชน เช่น การใช้พื้นที่เพื่อการจัดการขยะตามนโยบายรัฐบาล การก่อสร้างท่าเรือปากบารา ผลกระทบที่เกิดจากการทำเหมืองแร่โพแทช การทำเหมืองแร่ลิกไนต์ การปรับโครงสร้างราคาก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) การแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ปัญหาจากภาวะภัยแล้ง ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ประชาชนมีรายได้ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โดยให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อน จากนั้นให้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน โดยให้คำนึงถึงการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น การสร้างงานสร้างอาชีพ การช่วยเหลือดูแลความเสียหาย การพักชำระหนี้ ทั้งนี้ ให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๘ ๒.๒ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาเด็กในพื้นที่ภาคใต้ที่มีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง ซึ่งอาจมีสาเหตุจากฐานะทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และครอบครัวมีบุตรจำนวนมาก พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประโยชน์และความสำคัญของการวางแผนครอบครัว ๒.๓ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) จัดทำข้อเสนอแนวทางการปฏิรูปตำรวจ เช่น การแบ่งอำนาจการสืบสวนสอบสวนคดีประเภทต่าง ๆ ระหว่างส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งนี้ ข้อเสนอดังกล่าวต้องสอดคล้องกับช่วงเวลาตาม Road Map ของรัฐบาล โดยต้องระบุให้ชัดเจนว่าประเด็นใดที่ต้องดำเนินการเร่งด่วนและต้องแล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๙) และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘
|
||||||||||||||||||
630 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 07/07/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้ทุกส่วนราชการจัดทำแผนการใช้เงินสำหรับโครงการลงทุนสำคัญของรัฐบาล โดยจำแนกให้ชัดเจนว่าเป็นการใช้เงินประเภทใด (งบประมาณ เงินกู้) จำนวนเท่าใด ในช่วงรัฐบาลนี้ (พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๕๙) และในระยะต่อไปที่จะส่งต่อให้รัฐบาลหน้า รวมทั้งพิจารณาว่าโครงการใดสามารถให้ภาคเอกชนเข้ามาร่วมลงทุนในกิจการของรัฐได้ โดยให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ เพื่อให้รัฐบาลใช้ในการวางแผนงบประมาณและการบริหารจัดการหนี้สาธารณะต่อไป ๑.๒ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุนให้สอดคล้องกับความต้องการของนักลงทุนแต่ละประเภทที่แตกต่างกัน (เช่น การลงทุนด้านการวิจัย การลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเร่งด่วนตามแนวชายแดน เป็นต้น) รวมทั้งการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์ โดยเฉพาะผู้ประกอบธุรกิจภาพยนตร์จากต่างประเทศ เพื่อดึงดูดให้ใช้ประเทศไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ต่อไป ทั้งนี้ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๘ ๑.๓ ให้หน่วยงานที่ดูแลข้อมูลภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ กระทรวงการคลัง (สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย บูรณาการข้อมูลและร่วมกันแถลงสภาวะเศรษฐกิจของประเทศให้ประชาชนได้รับทราบเป็นรายเดือน ๑.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศ โดยอาจพิจารณาใช้พื้นที่ของส่วนราชการ เช่น อุทยานแห่งชาติ หรือขอความร่วมมือจากผู้ประกอบการภาคเอกชนให้จัดรายการส่งเสริมการขาย เช่น ให้ส่วนลดราคาค่าเช่าที่พัก และส่วนลดร้านอาหารต่าง ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวในประเทศให้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น ๑.๕ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ และ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘) ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือเกษตรกรซึ่งใช้ที่ดินทำกินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบและถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยอาจพิจารณาดำเนินการในรูปแบบกองทุนที่เป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินดังกล่าวไว้เพื่อให้เกษตรกรยังสามารถมีที่ดินทำกินต่อไปได้ นั้น ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องข้างต้นเร่งดำเนินการตามมติดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว รวมทั้งให้ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาแนวทางการดำเนินการในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ชาวประมงด้วย ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ให้ทุกส่วนราชการดูแลการประดับธงต่าง ๆ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและต้อนรับบุคคลสำคัญจากต่างประเทศให้มีความเหมาะสมทั้งสถานที่และช่วงระยะเวลาในการประดับธงด้วย ๒.๒ ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเกี่ยวกับโครงการเพิ่มรายได้ให้แก่ประชาชนผู้มีรายได้น้อยหรือการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรไปแล้ว นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยสำรวจความพึงพอใจของกลุ่มเป้าหมายพร้อมทั้งประเมินผลสัมฤทธิ์ในแต่ละโครงการ เช่น ความช่วยเหลือเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรงหรือไม่ อย่างไร กลุ่มเป้าหมายได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แล้วรายงานผลให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว ๒.๓ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยพิจารณาศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่นเกี่ยวกับวิธีการปลูกข้าวที่ใช้น้ำน้อยและการลดต้นทุนการผลิตด้วยเทคนิควิธีการต่าง ๆ ของจังหวัดชัยนาท เช่น การปลูกข้าวด้วยเทคนิคเปียกสลับแห้งหรือที่เรียกว่าการแกล้งข้าว โดยใช้ท่อ PVC เพื่อดูระดับน้ำในแปลงนาข้าว ทั้งนี้ เพื่อจะได้นำเทคนิคหรือวิธีการดังกล่าวไปเผยแพร่ให้เกษตรกรในพื้นที่อื่น ๆ นำไปใช้ในการปลูกข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||
631 | ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ 8/2558 | นร11 | 30/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๘/๒๕๕๘ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทบทวนรายงานการประเมินภาวะเศรษฐกิจสังคมครัวเรือนเกษตรกร ปี ๒๕๕๗/๕๘ และนำเสนอคณะกรรมการฯ อีกครั้งหนึ่ง ๒. รับทราบและมอบหมายให้กระทรวงคมนาคมเร่งรัดดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยและนโยบายรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๕๘-๒๕๖๙ ให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งจัดทำรายละเอียดแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งในมาตรการด้านการเกษตรและมาตรการด้านการเงินที่เสนอ รวมทั้งให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำพิจารณาปรับแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ทั้งนี้ ในการดำเนินงานให้นำข้อสังเกตตามประเด็นอภิปรายของคณะกรรมการฯ ไปพิจารณาในการจัดทำรายละเอียดการดำเนินงาน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๔. เห็นชอบให้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี โดยให้มีคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ และมอบหมายให้ทุกหน่วยงานจัดทำข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการดำเนินการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี รวมทั้งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) นำกรอบการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ ปี ไปหารือกับสภาปฏิรูปแห่งชาติ เพื่อให้แนวทางปฏิรูปดำเนินไปในทิศทางเดียวกัน และมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีจัดทำแนวทางการปรับปรุงกลไกการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลในรูปของคณะกรรมการเพื่อกำกับดูแลในภาพรวมเพื่อเสนอต่อนายกรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||
632 | ผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2558 | ทก | 23/06/2558 | |||||||||||||||
|
||||||||||||||||||
633 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2558 และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2558 | อก | 23/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๘ และภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ ๑๗๑.๘ เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (๑๖๖.๕) ร้อยละ ๓.๒ แต่ทรงตัวโดยเพิ่มเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๗ (๑๗๑.๗) ร้อยละ ๐.๑ สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีทรงตัวโดยเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี ๒๕๕๗ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เบียร์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป ยานยนต์ เป็นต้น ๒. ภาวะอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนเมษายน ๒๕๕๘ ลดลงร้อยละ ๕.๓ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่มอุตสาหกรรมส่งออกเป็นหลัก อาทิ ฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ โทรทัศน์ และเครื่องประดับ อย่างไรก็ตาม กลุ่มที่ผลิตเพื่อตอบสนองในประเทศ (สัดส่วนส่งออกน้อยกว่าร้อยละ ๓๐) ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๒.๘๑ อาทิ การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เบียร์ การเปิดปิดโรงงาน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการ จำนวน ๓๔๙ ราย ลดลงจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๒.๒ และโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการ จำนวน ๘๘ ราย น้อยกว่าเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ ร้อยละ ๓๔.๘๑ การขอรับการส่งเสริมการลงทุน มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ทั้งสิ้น ๒๓๗ โครงการ เงินลงทุน ๓๗,๖๒๐ ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ ๓๔.๑๗ และ ๘๕.๕๒ ตามลำดับ โดยประเภทกิจการที่ขอรับการส่งเสริมมากที่สุด คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนคิดเป็นร้อยละ ๗๑.๑๖
|
||||||||||||||||||
634 | การช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาล | กต | 23/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานสรุปผลการเบิกจ่ายงบประมาณในการดำเนินงานช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาลของหน่วยงานต่าง ๆ หลังจากที่ได้ปรับภารกิจในการให้ความช่วยเหลือประเทศเนปาล จำนวน ๔๘,๒๙๓,๑๔๗ บาท ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ [รวมบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)] จำนวน ๕,๙๑๖,๒๗๔ บาท กองทัพไทย (กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพอากาศ) จำนวน ๓๓,๔๒๗,๗๘๓ บาท และกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๙,๙๔๙,๐๙๐ บาท และโดยที่ขณะนี้สถานการณ์ในประเทศเนปาลพ้นขั้นวิกฤตฉุกเฉินและเข้าสู่ภาวะฟื้นฟู ซึ่งทำให้ภารกิจด้านการช่วยเหลือและกู้ภัยสิ้นสุดลง ดังนั้น กระทรวงการต่างประเทศโดยการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๘ จึงเห็นควรยุติการปฏิบัติการด้านมนุษยธรรมในภาวะฉุกเฉิน ๒. เห็นชอบให้หน่วยงานที่ยังคงมีภารกิจดำเนินการต่อเนื่อง เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายของภารกิจดังกล่าวจากวงเงินคงเหลือของงบประมาณ ๑๐๐ ล้านบาท ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ (เรื่อง ขอรับจัดสรรงบประมาณเพื่อช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาลในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว) กับสำนักงบประมาณ และหากหน่วยงานใดยังมีภารกิจเพิ่มเติม ให้เสนอขออนุมัติโดยตรงต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. มอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (หม่อมหลวงปนัดดา ดิศกุล) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาหาแนวทางในการบริหารจัดการสิ่งของบริจาคที่ยังคงค้างอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของผู้บริจาค รวมทั้งไม่เป็นภาระในการเก็บรักษาของภาครัฐ เช่น การจัดจำหน่ายสิ่งของบริจาคเพื่อนำเงินส่งมอบให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรวบรวมยอดเงินบริจาคและพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการบริจาคช่วยเหลือประเทศเนปาลต่อไป |
||||||||||||||||||
635 | แจ้งคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6) ในคดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ 1 กับพวกรวม 1,075 คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการ ขึ้น - ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการ เพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนด มาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด | อส | 16/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองกลางยกฟ้องคณะรัฐมนตรี (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๖) ในคดีระหว่างสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน ที่ ๑ กับพวกรวม ๑,๐๗๕ คน ผู้ฟ้องคดี บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ที่ ๑ กับพวกรวม ๖ คน ผู้ถูกฟ้องคดี เรื่อง ขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ระงับการให้บริการการขึ้น-ลงของเครื่องบินทุกประเภท และขอให้ศาลพิพากษาให้ดำเนินการ เพื่อประกาศให้สนามบินสุวรรณภูมิเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ และการกำหนดมาตรฐานควบคุมมลพิษจากแหล่งกำเนิดดังกล่าว รวมทั้งร่วมกันชำระค่าเสียหายทางละเมิด ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||
636 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 16/06/2558 | |||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาโครงสร้างองค์กร อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) โดยพิจารณาความเหมาะสมในการบูรณาการรวมหน่วยงานทั้งสองเข้าด้วยกัน และให้ กอ.รมน. แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ ในส่วนอำนาจหน้าที่ของ กอ.รมน. ให้ครอบคลุมถึงการดำเนินการเกี่ยวกับภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ ให้กระทรวงการคลังกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินกองทุนหมุนเวียนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด หากพบว่ากองทุนหมุนเวียนใดใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพให้พิจารณาระงับการใช้จ่ายเงินชั่วคราว รวมทั้งพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้กองทุนที่มีรายได้หลักจากเงินที่เรียกเก็บจากผู้มีหน้าที่เสียภาษีสุราและยาสูบเข้ามามีส่วนร่วมในการเตรียมการรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมรายงานความก้าวหน้าเกี่ยวกับแนวทางการสร้างท่าเทียบเรือยอร์ชและท่าเทียบเรือสำราญระหว่างประเทศขนาดใหญ่ ต่อคณะรัฐมนตรีภายใน ๒ สัปดาห์ ๒.๓ ให้กระทรวงพลังงานสร้างการรับรู้ที่ถูกต้องแก่ประชาชนเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินการในกรณีที่ต้องการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์โดยมิได้แสวงหาผลกำไร ๒.๔ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยซึ่งใช้ที่ดินทำกินเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันในการกู้ยืมเงินจากนายทุนนอกระบบ โดยพิจารณาดำเนินการในรูปแบบกองทุนเพื่อทำหน้าที่ในการจัดการหรือช่วยเหลือเกษตรกรเกี่ยวกับสัญญาขายฝาก โดยกองทุนอาจเป็นผู้รับซื้อฝากที่ดินดังกล่าวไว้เพื่อให้เกษตรกรยังสามารถมีที่ดินทำกินต่อไปได้ ๒.๕ ให้รองนายกรัฐมนตรี (หม่อมราชวงศ์ปรีดิยาธร เทวกุล) กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการปรับปรุงและควบคุมคุณภาพข้าวสารบรรจุถุงที่นำมาจำหน่ายในราคาย่อมเยาให้ได้มาตรฐาน และไม่ส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในตลาด รวมทั้งพิจารณาจัดหาสินค้าชนิดอื่นมาจำหน่ายในราคาย่อมเยาต่อไป ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ในกรณีที่ส่วนราชการมีความจำเป็นจะต้องดำเนินการมาตรการหรือโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก เช่น การหยุดส่งน้ำในพื้นที่ชลประทาน ให้ส่วนราชการเสนอมาตรการหรือแนวทางดำเนินการและวิธีการลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้นายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีพิจารณาก่อนที่จะดำเนินการหรือประกาศใช้ต่อไป ๓.๒ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๘ เกี่ยวกับแนวทางบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๓.๒.๑ ให้คณะกรรมการกำหนดนโยบายและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจและขุดแหล่งน้ำบาดาลเพิ่มเติม โดยเร่งดำเนินการในพื้นที่แล้งซ้ำซากก่อน รวมทั้งจัดทำแหล่งกักเก็บน้ำขนาดเล็กในทุกหมู่บ้าน ๓.๒.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนโดยเฉพาะเกษตรกรให้ชะลอการเพาะปลูก เนื่องจากขณะนี้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในระดับวิกฤติและคาดว่ามีภาวะเช่นนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ๓.๒.๓ ให้กระทรวงกลาโหมสำรวจพื้นที่ทางการเกษตร โดยเฉพาะพื้นที่เพาะปลูกข้าวซึ่งได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง เช่น แหล่งกักเก็บน้ำ ความเสียหายที่ได้รับ ความต้องการของเกษตรกร แล้วจัดลำดับความเร่งด่วนของแต่ละพื้นที่เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณามาตรการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยได้อย่างเหมาะสมต่อไป ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม และกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเร่งดำเนินการพิจารณากำหนดแนวเขตป่าไม้ใหม่ โดยจัดทำเป็นแผนที่ดิจิทัล มาตราส่วน ๑ : ๔,๐๐๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว รวมทั้งพัฒนาเป็นแอพพลิเคชันเพื่อความสะดวกในการตรวจสอบแนวเขตป่าไม้ ๓.๔ ให้ทุกหน่วยงานรณรงค์ลดการใช้ถุงพลาสติกและส่งเสริมการใช้ถุงผ้าหรือวัสดุที่ย่อยสลายง่ายแทน โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมการผลิตสินค้าจากวัสดุที่ย่อยสลายง่ายหรือการนำวัสดุเหลือใช้มาผลิตใช้ใหม่ รวมทั้งให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ใช้วัสดุย่อยสลายง่ายหรือนำวัสดุเหลือใช้กลับมาใช้ใหม่ เช่น การสนับสนุนด้านภาษี ๓.๕ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาทบทวนองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติซึ่งเคยมีการดำเนินงานมาก่อนหน้านี้แล้วว่า มีความครอบคลุมการบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้ตามนโยบายของรัฐบาลหรือไม่ หากมีความจำเป็น ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือกำหนดกลไกในการดำเนินงานเรื่องนี้โดยเร็วต่อไป ๓.๖ ให้ทุกหน่วยงานติดตามตรวจสอบการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ หากพบว่า มีการนำเสนอข่าวที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสาธารณชนโดยทันที
|
||||||||||||||||||
637 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และ วัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 20 ฉบับ | พน | 16/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน ๒๐ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้เครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่มีค่าประสิทธิภาพพลังงานไม่เกินค่าที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดตามกฎกระทรวงเป็นเครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อให้ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายมีสิทธิขอรับการส่งเสริมและช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเลือกใช้เครื่องจักร อุปกรณ์ และวัสดุที่มีประสิทธิภาพสูง อันเป็นการประหยัดพลังงานของประเทศและช่วยลดมลภาวะซึ่งควรได้รับการสนับสนุน ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้
๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบลลัสต์ขดลวดที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ พ.ศ. .... ๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดแบลลัสต์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีประสิทธิภาพสูงสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ พ.ศ. .... ๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลอดมีแบลลัสต์ในตัวที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๔. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วคู่ที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๕. ร่างกฎกระทรวงกำหนดพัดลมไฟฟ้าชนิดแขวนเพดานและชนิดส่ายรอบตัวที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๖. ร่างกฎกระทรวงกำหนดมอเตอร์เหนี่ยวนำสามเฟสที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๗. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตาหุงต้มในครัวเรือนใช้กับก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๘. ร่างกฎกระทรวงกำหนดโคมไฟฟ้าเพื่อการอนุรักษ์พลังงานสำหรับหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วคู่ พ.ศ. .... ๙. ร่างกฎกระทรวงกำหนดคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งานและขณะปิดเครื่อง พ.ศ. .... ๑๐. ร่างกฎกระทรวงกำหนดจอภาพที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งานและขณะปิดเครื่อง พ.ศ. .... ๑๑. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องพิมพ์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งานและขณะปิดเครื่อง พ.ศ. .... ๑๒. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอุปกรณ์หลายหน้าที่ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งานและขณะปิดเครื่อง พ.ศ. .... ๑๓. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องสแกนเอกสารที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งานและขณะปิดเครื่อง พ.ศ. .... ๑๔ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องรับโทรทัศน์ที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งาน พ.ศ. .... ๑๕. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องเสียงในบ้านที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะรอใช้งาน พ.ศ. .... ๑๖. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอุปกรณ์ปรับความเร็วรอบที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๑๗. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตาไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๑๘. ร่างกฎกระทรวงกำหนดเตาไมโครเวฟที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๑๙. ร่างกฎกระทรวงกำหนดกาต้มน้ำร้อนไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... ๒๐. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลอดฟลูออเรสเซนซ์ขั้วเดี่ยวที่มีประสิทธิภาพสูง พ.ศ. .... |
||||||||||||||||||
638 | การช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม แก่ประเทศเนปาลในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว | กต | 16/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการช่วยเหลือคนไทยในประเทศเนปาลและการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศเนปาลในกรณีเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยที่ปัจจุบันสถานการณ์ในประเทศเนปาลได้พ้นจากภาวะวิกฤตจากเหตุแผ่นดินไหวแล้ว ระบบสาธารณูปโภค และการคมนาคมขนส่งส่วนใหญ่ภายในประเทศได้รับการฟื้นฟูและซ่อมแซมจนสามารถใช้การได้ โดยรัฐบาลเนปาลได้ประกาศขอให้คณะกู้ภัยจากต่างประเทศออกจากพื้นที่ และขอยุติการรับคณะกู้ภัยจากต่างประเทศ รวมทั้งประกาศหยุดรับการบริจาคสิ่งของจากนานาประเทศ และการปฏิบัติภารกิจของหน่วยงานไทยได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ดังนั้น จึงขออนุมัติปิดศูนย์ประสานการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเนปาล ณ กระทรวงการต่างประเทศ ถนนศรีอยุธยา และศูนย์ปฏิบัติการย่อย กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรมการกงสุล โดยให้ยุติการดำเนินงานตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||
639 | ภาวะสังคมไทยไตรมาสที่หนึ่งของปี 2558 | นร11 | 09/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาสที่หนึ่งของปี ๒๕๕๘ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ความเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ (๑) การจ้างงานลดลง อัตราการว่างงานต่ำ รายได้ยังเพิ่มขึ้น (๒) การก่อหนี้สินครัวเรือนชะลอตัวลงต่อเนื่อง การผิดนัดชำระหนี้ทั้งสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค สินเชื่อภายใต้การกำกับ และบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น (๓) ผู้ป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง แต่ต้องเฝ้าระวังโรคไข้เลือดออก และการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ (๔) ความสุขของคนไทยเริ่มดีขึ้นสอดคล้องกับดัชนีความสุขโลก (๕) การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นลดลงแต่ยังอยู่ในระดับสูง และพบการตั้งครรภ์ซ้ำเพิ่มขึ้น (๖) ค่าใช้จ่ายในการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่เพิ่มขึ้น และยังต้องเฝ้าระวังการเข้าถึงบุหรี่ของเยาวชน (๗) คนไทยมีพฤติกรรมการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้น (๘) ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินโดยรวมดีขึ้น โดยยังคงต้องให้ความสำคัญในการปราบปรามการค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง (๙) การสร้างพฤติกรรมความมีน้ำใจและบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาดเพื่อลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุจราจรทางบก (๑๐) การจมน้ำเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งของเด็กไทยอายุต่ำกว่า ๑๕ ปี และ (๑๑) ความมุ่งมั่นของไทยในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ โดยดำเนินการภายใต้หลักการ 5P (Policy, Prosecution, Protection, Prevention and Partnership and international Cooperation) อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๒ บทความพิเศษเรื่อง “อาชีวะทวิภาคี : พลังร่วมสร้างกำลังคนคุณภาพ” มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีระหว่างสถานศึกษา (ผู้ผลิต) และสถานประกอบการ (ผู้ใช้แรงงาน) มุ่งเน้นพัฒนากำลังคนระดับกลางให้มีคุณภาพ มีการเรียนรู้คู่การทำงาน เพื่อนำไปสู่การยกระดับสมรรถนะให้ตรงกับความต้องการ สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ และข้อจำกัดในการจัดอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ๑.๓ ประเด็นสังคมที่ต้องเฝ้าระวังในระยะต่อไป ได้แก่ คุณภาพชีวิตแรงงานอันเนื่องมาจากปัจจัยผลกระทบต่าง ๆ การเร่งรัดการแก้ไขปัญหาหนี้สิน การป้องกันการสูบบุหรี่ของเยาวชน การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด การป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ การป้องกันเด็กจมน้ำ รวมทั้งปัจจัยที่มีผลต่อความสำเร็จและแนวทางในการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประชาสัมพันธ์ในส่วนที่ต้องการสร้างความเชื่อมั่นและความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนคลายความตื่นตระหนกและใช้จ่ายเงินตามปกติตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีด้วย
|
||||||||||||||||||
640 | รายงานสถานการณ์และความคืบหน้ามาตรการเตรียมความพร้อมในการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ 2012 | สธ | 09/06/2558 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขรายงานว่า ๑.๑ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับสัตว์ที่ติดโรค และการหายใจ มีระยะฟักตัวประมาณ ๕-๖ วัน โดยผู้ป่วยมักมีอาการไข้ ไอ และหายใจหอบ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มียารักษา จึงเป็นการรักษาตามอาการ ๑.๒ จำนวนผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ ทั่วโลก ในช่วงระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๘ (ข้อมูล ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๘) มีจำนวนทั้งสิ้น ๑,๒๓๕ คน เสียชีวิต ๔๙๓ คน การระบาดในประเทศเกาหลีใต้ (ข้อมูล ณ วันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๕๘) พบผู้ป่วย ๖๔ คน เสียชีวิต ๕ คน โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดติดเชื้อจากการสัมผัสเชื้อที่โรงพยาบาล ๕ แห่ง ทั้งนี้ จำนวนคนเกาหลีใต้ที่เดินทางมาประเทศไทยประมาณเดือนละ ๑๐๐,๐๐๐ คน และคนไทยเดินทางไปเกาหลีใต้ประมาณเดือนละ ๓๐,๐๐๐-๔๐,๐๐๐ คน ๑.๓ มาตรการป้องกันการควบคุมโรคของประเทศไทย ประกอบด้วย ระบบการดูแลผู้เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ ค้นหาผู้ป่วยและผู้ต้องสงสัยโดยเร็ว แยกและรักษาผู้ป่วยโดยเร็ว และจัดระบบปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน โดยในแต่ละมาตรการมีการกำหนดเป้าหมายการพัฒนามาตรการป้องกันโรคในปัจจุบันระยะ ๓ เดือน และระยะยาว ทั้งนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือจากกรมประชาสัมพันธ์ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่จำเป็น และกระทรวงการต่างประเทศในการสนับสนุนข้อมูลสถานการณ์ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ รวมทั้งกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมกรณีที่ต้องกักกันผู้สัมผัสโรค ๒. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศพิจารณาความจำเป็นเหมาะสมในการจัดประชุมระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ และเป็นการแสดงบทบาทนำของประเทศไทยในกลุ่มประเทศอาเซียน ๓. มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการ ซึ่งประกอบด้วย แผนระยะสั้น แผนระยะปานกลาง และแผนระยะยาว โดยเฉพาะการดำเนินการเฝ้าระวังผู้เดินทางเข้าออกสนามบินทุกแห่งอย่างเข้มงวด มีการกำหนดเป้าหมายการดำเนินการที่ชัดเจนเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดต่อที่ครอบคลุมทุกโรค เช่น โรคไข้หวัดนก โรคติดต่อไวรัสอีโบลา (Ebola) โรคซาร์ส โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ รวมทั้งโรคติดต่อที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และให้มีการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนเพื่อสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า สายพันธุ์ ๒๐๑๒ และวิธีปฏิบัติหากมีอาการที่อาจเข้าข่ายการติดเชื้อ
|
.....