ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 40 จากทั้งหมด 137 หน้า แสดงรายการที่ 781 - 800 จากข้อมูลทั้งหมด 2735 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
781 | รายงานการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลอ่าวมาบตาพุดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ | พน | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการแก้ไขปัญหาการรั่วไหลของน้ำมันดิบลงทะเลอ่าวมาบตาพุดและการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินและการขจัดคราบน้ำมันดิบในพื้นที่ที่น้ำมันดิบรั่วไหล บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการหยุดการรั่วไหลทันที โดยการปิดวาล์วและหยุดขนถ่ายน้ำมัน มีการประกาศเหตุฉุกเฉินพร้อมการตั้งศูนย์ควบคุมเหตุฉุกเฉิน และประสานงานกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัทในกลุ่ม ปตท. และหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ความช่วยเหลือตามแนวทางปฏิบัติจากการซ้อมแผนฉุกเฉินรองรับภาวะวิกฤต และบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ๒. ความคืบหน้าการกำจัดคราบน้ำมัน พบว่าสภาพในทะเลและชายหาดเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ ยังคงเหลือคราบน้ำมันบริเวณซอกหินเท่านั้น ทั้งนี้ PTTGC ได้ดำเนินการทำความสะอาดอย่างต่อเนื่อง โดยมีการใช้น้ำแรงดันสูง ซึ่งสามารถขจัดคราบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีการพลิกทรายเพื่อให้น้ำมันขนาดเล็กทำปฏิกริยากับแสงแดดและสลายได้เองตามธรรมชาติ ๓. การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ มีผู้ร้องเรียน ๑,๒๕๐ ราย แบ่งกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบเป็น ๔ กลุ่มหลัก คือ กลุ่มอาชีพประมง มีผู้ร้องเรียนประมาณ ๔๐๐ กว่าราย มีผู้ผ่านหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่านการตรวจสอบเอกสาร และได้รับอนุมัติจากจังหวัด จำนวน ๑๑๗ ราย โดยจะมีการจ่ายเงินชดเชยในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๖ จ่ายค่าชดเชยรายละ ๓๐,๐๐๐ บาท (อัตราค่าชดเชย ๑,๐๐๐ บาทต่อวัน x จำนวน ๓๐ วัน) กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร มีผู้ร้องเรียน จำนวนประมาณ ๖๐๐ กว่าราย อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบทางด้านสุขภาพ มีผู้ร้องเรียน จำนวน ๑ ราย อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด และกลุ่มอื่น ๆ ประกอบด้วย อาชีพรับจ้าง ค้าขาย และให้บริการ เช่น รถ-เรือเช่า ก่อสร้าง นวดแผนไทย เป็นต้น อยู่ระหว่างการเจรจารายละเอียด ๔. การกลับเข้าปฏิบัติงาน (Resume operation) อยู่ระหว่างการจัดทำแผนการกลับมาดำเนินการตามปกติ ตามมติคณะกรรมการ ปตท. และ PTTGC โดยก่อนใช้งานจริงจะมีการตรวจสอบระบบท่อและระบบที่เกี่ยวข้อง การเฝ้าระวังของเรือตรวจการณ์ ระบบความปลอดภัย แผนการจัดการหากเกิดเหตุฉุกเฉิน รวมถึงการทบทวนแผนปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง และได้มีการจัดตั้งคณะทำงานของ PTTGC เพื่อจัดทำแผนปฏิบัติการ (Action plan) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ ยังได้ศึกษาขีดความสามารถและความพร้อมของอุปกรณ์และระบบที่เกี่ยวข้อง ศึกษาศักยภาพของสมาคมต่าง ๆ ในด้านการจัดการความปลอดภัย และทบทวนกฎระเบียบ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง และปรับปรุงการดำเนินงานภายใต้ความปลอดภัย
|
|||||||||||||||||||||
782 | ผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ 6/2556 | นร01 | 13/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) ประธานกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานประสานการเสนอแบบฟอร์มเสนอแผนงาน/โครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามโครงการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและดิน ฝายแม้ว ในกิจกรรมการปลูกป่ารายจังหวัดที่รับผิดชอบ โดยผู้มีอำนาจเต็มคือ อธิบดีที่เกี่ยวข้อง และผู้ว่าราชการจังหวัดที่กำกับดูแลพื้นที่เท่านั้น และเมื่อลงนามครบถ้วนแล้ว ให้เสนอสำนักงบประมาณเพื่อตกลงรายละเอียดงบประมาณต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่งตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อติดตามแผนปฏิบัติการโครงการดังกล่าว โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) กบอ. แต่งตั้งคณะอนุกรรมการถาวร (Steering Committee) โดยให้สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ร่วมเป็นองค์ประกอบเพื่อดำเนินการตรวจติดตามระบบ UAV และการใช้ดาวเทียมติดตามผลการดำเนินงานของโครงการดังกล่าว และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะกรรมการถาวร (Steering Committee) ๑.๑.๒ เห็นชอบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอขอขยายเวลาดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๓ โครงการ (๕ รายการย่อย) เป็นเงิน ๑๙๑,๑๒๐,๐๐๐ บาท โดยขยายระยะเวลาออกไป ๖๐ วัน ทั้งนี้ การนับระยะเวลาที่ขยายให้นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติในเรื่องดังกล่าว ๑.๑.๓ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายการ จากถังน้ำแบบไฟเบอร์กลาส ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๑๔,๒๔๐ ใบ ราคาใบละ ๑๒,๐๐๐ บาท และขนาด ๓,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๘,๕๖๐ ใบ ราคาใบละ ๑๗,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓๑๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท เป็น ถังน้ำแบบพลาสติก ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๒๒,๘๐๐ ใบ ราคาใบละ ๙,๘๐๐ บาท (รวมค่าขนส่งใบละ ๒,๐๐๐ บาท) รวมเป็นเงิน ๒๒๓,๔๔๐,๐๐๐ บาท โดยให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยตกลงรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และให้ฝ่ายเลขานุการนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบต่อไป ๑.๑.๔ เห็นชอบให้ยกเลิกโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาจันทบุรี จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๐.๖๔๔ ล้านบาท และเห็นชอบการขอเปลี่ยนแปลงโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๖ ทดแทนรายการยกเลิกของ กปภ. ในโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่และลำพูน จำนวน ๒ โครงการ จำนวนเงิน ๐.๖๑๐ ล้านบาท โดยงบประมาณไม่เกินกรอบวงเงินเดิมที่ได้รับอนุมัติไปแล้ว รวมทั้งเห็นชอบในหลักการโครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี ๒๕๕๗ โดยขอรับการสนับสนุนจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง จำนวน ๕๘๑ โครงการ วงเงินดำเนินการ ๑,๓๓๐.๒๘๒ ล้านบาท และให้คณะอนุกรรมการวิชาการและวิเคราะห์โครงการ กบอ. ตรวจสอบรายละเอียดโครงการดังกล่าว แล้วส่งให้ฝ่ายเลขานุการเพื่อนำเสนอ กบอ. พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๑.๕ เห็นชอบการมอบอำนาจให้เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติเป็นผู้รับมอบอำนาจในกิจการที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีปกครอง หมายเลขดำที่ ๙๔๐/๒๕๕๖ แทน กบอ. ผู้ถูกฟ้องคดีที่สี่ จนถึงที่สุด ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไปด้วย ๒.๑ การดำเนินการโครงการปลูกป่าและฟื้นฟูป่าต้นน้ำ และโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมวางระบบตรวจสอบและติดตามการดำเนินโครงการให้ชัดเจน โดยให้ประสานการดำเนินการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้การปลูกป่าได้ผลอย่างยั่งยืน และให้รายงานผลการดำเนินโครงการให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒.๒ การดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง พ.ศ. ๒๕๕๖ (งบจัดหาถังบรรจุน้ำกลาง) เพื่อเป็นการเตรียมการรองรับภาวะภัยแล้งในพื้นที่ต่าง ๆ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดการดำเนินการจัดหาถังบรรจุน้ำกลางประจำหมู่บ้านที่ประสบภัยแล้งระดับรุนแรงให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||
783 | การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 20 | อก | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการในประเด็นสำคัญจากการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐ ที่ได้รับมอบหมายตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒๐) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ความมั่นคงทางอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม โดยสถาบันอาหาร ได้ดำเนินโครงการที่สนับสนุนให้เกิดความมั่นคงด้านอาหาร เพื่อให้มีการเข้าถึงอาหารอย่างเพียงพอในการบริโภคของประชาชนในประเทศ อาหารมีความปลอดภัยและมีคุณค่าทางโภชนาการเหมาะสมตามความต้องการตามวัย เพื่อการมีสุขภาวะที่ดี รวมทั้งการมีระบบการผลิตที่เกื้อหนุน การรักษาความสมดุลของระบบนิเวศวิทยา และความคงอยู่ของฐานทรัพยากรอาหารทางธรรมชาติของประเทศ ๒. การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่เชื่อถือได้ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมได้จัดทำโครงการสร้างเครือข่ายกลุ่มอุตสาหกรรมและพัฒนาความร่วมมือในระดับห่วงโซ่อุปทานประจำปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย กิจกรรมพัฒนาการรวมกลุ่มและเชื่อมโยงอุตสาหกรรม (คลัสเตอร์) และกิจกรรมเพิ่มผลิตภาพห่วงโซ่อุปทานในกลุ่มอุตสาหกรรม สำหรับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้จัดทำโครงการส่งเสริมและพัฒนาเครือข่ายคลัสเตอร์ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางท่องเที่ยวนานาชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และเป็นการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการ SMEs และโครงการพัฒนาผลิตภาพของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมด้านการค้าและบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาผลิตภาพ โดยเป็นการเพิ่มผลผลิตที่เกิดจากปัจจัยอื่นนอกเหนือจากค่าแรงงาน ได้แก่ ด้านการค้าและการบริการ ๓. การหารือทวิภาคีกับ ๔ ผู้นำเขตเศรษฐกิจ เพื่อแก้ไขปัญหาราคายางพาราที่กรุงเทพฯ สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมได้จัดทำแนวทางการเพิ่มปริมาณการใช้ยางธรรมชาติมาผลิตเป็นยาง ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศได้เป็นจำนวนมาก โดยเห็นควรมีการดำเนินการ ๓ แนวทางพร้อมกัน คือ การส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางเพื่อสร้างฐานการผลิต การพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้มีความเข้มแข็ง โดยการวิจัยพัฒนา การพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาบุคคล รวมทั้งการส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีคุณภาพและมีศักยภาพในการใช้ยางเป็นจำนวนมาก
|
|||||||||||||||||||||
784 | ความคืบหน้าการดำเนินงานเรื่องน้ำมันรั่วไหลจากท่อส่งน้ำมันดิบลงสู่ทะเลจังหวัดระยอง | ทส | 06/08/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการดำเนินงานในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากเหตุการณ์น้ำมันรั่วไหลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง โดยผลการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณชายหาดท่องเที่ยวรอบเกาะเสม็ด เมื่อวันที่ ๓-๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ พบว่า มีคุณภาพน้ำพารามิเตอร์พื้นฐานอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำทะเล สำหรับพารามิเตอร์อื่น ๆ เช่น โลหะหนัก ปิโตรเลียมไฮโดรคาร์บอน (TPH) และโพลีไซคลิก อะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (PAHs) คาดว่า จะสามารถทราบผลภายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนการดำเนินงานของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินการทำความสะอาดชายหาดอย่างต่อเนื่อง โดยในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๖ สภาพหาดอ่าวพร้าวเกือบเข้าสู่ภาวะปกติ แต่ยังพบคราบน้ำมันเป็นลักษณะฟิล์มบาง ๆ ในน้ำทะเลอยู่บ้าง สำหรับผลการสำรวจระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเล คือ ปะการัง หญ้าทะเล และสัตว์ทะเลหายากและใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเล พะยูน โลมา และวาฬ ไม่พบผลกระทบโดยตรงและได้รับความเสียหายจากกรณีการรั่วไหลของน้ำมันที่ชัดเจน ซึ่งกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งจะดำเนินการติดตามตรวจสอบผลกระทบต่อระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลในระยะยาวต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ในการเร่งรัดการแก้ไขปัญหามลพิษในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งให้กลับคืนสภาพเดิมโดยเร็วอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรม ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาประสานกระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงมหาดไทย ปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งในส่วนขององค์ประกอบและอำนาจหน้าที่เพื่อให้สอดคล้องและทันกับเหตุการณ์และสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ทั้งนี้ ในการปรับปรุงแก้ไขระเบียบฯ ให้คำนึงถึงขั้นตอนในการดำเนินงานให้อยู่ในระบบ single command และแบ่งการดำเนินการให้ชัดเจนออกเป็นการช่วยเหลือโดยทันทีเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Response) ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน ส่วนการเยียวยา ฟื้นฟู (Recovery) ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักดำเนินการร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพลังงาน
|
|||||||||||||||||||||
785 | แจ้งผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน (สิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย กรณีบุตรชายของนางแล้ม ทิมทอง เสียชีวิตในระหว่างการเข้ารับการบำบัดยาเสพติด ณ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายจินดาภรณ์ จังหวัดสงขลา) | สม | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ คณะรัฐมนตรี โดยกระทรวงยุติธรรมควรจัดสรรงบประมาณในการบำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น เนื่องจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้กับกรมคุมประพฤติเพื่อใช้บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดทั้งประเทศ จำนวน ๑๕,๐๐๐ คนต่อปี เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดยาเสพติดเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีจำนวนประมาณ ๒๐,๐๐๐ คน ก็เป็นงบประมาณที่ไม่เพียงพอต่อการแก้ไขปัญหายาเสพติดทั้งประเทศแล้ว ๑.๒ คณะรัฐมนตรี โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งศูนย์บำบัดยาเสพติด โดยการมีส่วนร่วมของชุมชนในภาพรวมทั้งประเทศ หน่วยราชการไม่ควรเข้าไปกำกับ แต่ควรเข้าไปส่งเสริมในลักษณะให้สามารถดำเนินงานได้แล้วจัดทำเป็นต้นแบบไว้เป็นตัวอย่างให้กับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหมู่บ้านอื่น ๆ ที่จะนำไปใช้ เนื่องจากอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปจัดตั้งศูนย์ฯ ได้ทุกตำบลหรือหมู่บ้าน หากเห็นว่า ชุมชนมีการร่วมมือกันแต่ขาดความรู้ทางวิชาการ ก็ควรแนะนำส่งเสริมให้ความรู้เพื่อนำไปต่อยอดจากสิ่งที่ชุมชนได้ทำไว้แล้วก็อาจจะทำให้ประหยัดงบประมาณและได้รับความร่วมมือจากชุมชน ๒. มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ รับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการร่วมกับกระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข ตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยให้อยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้รับข้อเสนอแนะของกระทรวงสาธารณสุขที่เห็นว่า ควรมีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เปิดดำเนินการให้การบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้เสพผู้ติดยาเสพติด ทั่วประเทศ ดำเนินการขอจัดตั้งสถานพยาบาลตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ ของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งมีหลักเกณฑ์การบำบัดรักษาหรือคู่มือการบำบัดรักษาที่ถูกต้องตามหลักวิชาการมีมาตรฐานในการดำเนินการเพื่อให้มีมาตรฐานการดำเนินการตามหลักเกณฑ์เดียวกัน และสะดวกในการควบคุมกำกับติดตาม สำหรับกรณีที่มีการอ้างถึงว่าผู้เข้ารับการบำบัดมีภาวะแทรกซ้อนทางจิตเวชจากภาวะถอนยาเสพติด โดยการทำร้ายตัวเอง ควรเข้าสู่ระบบส่งต่อไปยังสถานบำบัดของกรมการแพทย์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ ได้แก่ โรงพยาบาลธัญญารักษ์ สงขลา ไม่ควรดูแลเองโดยใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการและเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งผลการพิจารณาดำเนินการตามมาตรการแก้ไขปัญหาให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติทราบตามกำหนดเวลาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
786 | ขอขยายเวลาแผนพัฒนางานด้านกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. 2548 (2005) ในช่วงปี พ.ศ. 2551 - 2555 | สธ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติให้ขยายเวลาของแผนพัฒนางานด้านกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (๒๐๐๕) ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๕ ออกไปจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงสาธารณสุขประสานงานกับส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อการจัดทำแผนกิจกรรมการพัฒนาสมรรถนะหลักตามกฎอนามัยระหว่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๘ (๒๐๐๕) ประจำปี พร้อมทั้งติดตามความก้าวหน้าของการดำเนินการเป็นระยะ ๆ ตามความเหมาะสม ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินความสำเร็จในการดำเนินงานเพื่อบรรลุเป้าหมายเมื่อครบกำหนดเวลาเพื่อแจ้งต่อองค์การอนามัยโลก การให้ความสำคัญกับแผนงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินการตามแผนพัฒนางานด้านกฎอนามัยฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกับแผนอื่น ๆ ที่ได้พัฒนาออกมาแล้ว อาทิ แผนยุทธศาสตร์เตรียมความพร้อม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาโรคติดต่ออุบัติใหม่แห่งชาติ (๒๕๕๖-๒๕๕๙) แผนรับมือภาวะฉุกเฉินความปลอดภัยอาหารของประเทศไทย ปี ๒๕๕๕ เป็นต้น การพัฒนาความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่จำเป็นระหว่างประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบรองรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ การประเมินความต้องการบุคลากร ทรัพยากร ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานของแต่ละระดับ การจัดลำดับความสำคัญของเขตพื้นที่ที่ต้องเร่งดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการกำหนดตัวชี้วัดในแต่ละแผนงานกิจกรรม ปรับปรุงบทบาทของผู้ประสานงานในแต่ละด้านให้มีหน้าที่ควบคุม ติดตาม กำกับความก้าวหน้าในการดำเนินงาน มีการสื่อสารข้อมูลต่อสาธารณะ และการจัดให้มีกระบวนการรายงานเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
787 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมิถุนายน 2556 | พณ | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๕ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๗ จากการสูงขึ้นของหมวดยานพาหนะ การขนส่ง และการสื่อสาร สูงขึ้นร้อยละ ๐.๕๖ ตามการสูงขึ้นของดัชนีราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ร้อยละ ๑.๗๙ จากการสูงขึ้นของราคาขายปลีกโดยเฉลี่ยภายในประเทศ ตามภาวะราคาน้ำมันในตลาดโลก ค่าบริการบำรุงรักษายานยนต์ ร้อยละ ๐.๐๙ และค่าโดยสารสาธารณะ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๖ ขณะที่ดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ลดลงร้อยละ ๐.๐๗ จากการลดลงของราคาหมวดผักและผลไม้เป็นสำคัญ ทำให้ดัชนีราคาลดลงร้อยละ ๒.๓๔ เนื่องจากสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูก ส่งผลให้มีปริมาณผลผลิตเข้าสู่ตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีลดลงร้อยละ ๒.๙๙ และหมวดผลไม้สด ลดลงร้อยละ ๒.๙๕ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๓.๐๗ เทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๙ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า นอกจากนี้ สินค้าและบริการอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ ค่าเช่าบ้าน วัสดุก่อสร้าง สิ่งที่เกี่ยวกับทำความสะอาดในบ้าน ค่าตรวจรักษาและค่ายา ค่าใช้จ่ายส่วนบุคคล และค่าบริการส่วนบุคคล ค่าเล่าเรียน ค่าเรียนพิเศษ และหมวดเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์
|
|||||||||||||||||||||
788 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) | กค | 30/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมและให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจ) มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา และปรับปรุงหลักเกณฑ์และอัตราภาษีในการจัดเก็บภาษีเงินได้จากห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลให้เกิดความชัดเจนและเป็นธรรมยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังทำความตกลงกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อหาข้อยุติในประเด็นการแยกการปรับปรุงการจัดเก็บภาษีเงินได้สำหรับคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลและห้างหุ้นส่วนสามัญที่มิใช่นิติบุคคลออกจากร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ และหลังจากพระราชบัญญัติฉบับนี้มีผลใช้บังคับไประยะหนึ่ง ควรศึกษาผลกระทบจากการปรับปรุงโครงสร้างภาษีต่าง ๆ รวมถึงการปรับปรุงอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ภาษีเงินได้นิติบุคคล และการยกเว้นหรือลดหย่อนต่าง ๆ ตลอดจนจัดทำมาตรการ แนวทางในการขยายฐานภาษีให้ผู้มีเงินได้เข้ามาอยู่ในระบบเพิ่มมากขึ้น ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
789 | รายงานสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย | มท | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานสรุปแนวทางการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของกระทรวงมหาดไทย ดังนี้
๑. น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” เป็นหลักยึดในการพัฒนาหมู่บ้าน การสร้างความรักความสามัคคี ความสมานฉันท์ของประชาชนในหมู่บ้าน ๒. บริหารจัดการหมู่บ้านอย่างมีเอกภาพ บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นแกนหลักการขับเคลื่อน หลอมรวมผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา ผู้นำตามธรรมชาติ เพื่อบริหารงานหมู่บ้านในรูปของคณะกรรมการหมู่บ้าน ๓. สร้างสภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อการพูดคุย แลกเปลี่ยน รับทราบปัญหา และความต้องการของผู้มีความคิดเห็นแตกต่าง ผู้เสียหาย ผู้ได้รับผลกระทบ เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจ ลดความหวาดระแวง และตระหนักในคุณค่าของการอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความหลากหลายของวิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรม ๔. เสริมสร้างความเข้าใจ สร้างความไว้วางใจ ขจัดเงื่อนไขและสาเหตุที่ส่งผลให้ประชาชนเกิดความรู้สึกไม่ไว้วางใจและหวาดระแวงเจ้าหน้าที่ของรัฐ เพื่อฟื้นคืนความไว้วางใจ ระหว่างรัฐกับประชาชน และระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ๕. พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน และการเสริมสร้างเครือข่ายงานข่าวภาคประชาชน เพื่อให้หมู่บ้านมีศักยภาพในการรักษาความสงบเรียบร้อย และสามารถป้องกันตนเองและแก้ไขปัญหาอาชญากรรมพื้นฐานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. ส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนได้รับการพัฒนาทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา รวมทั้งการช่วยเหลือกลุ่มด้อยโอกาส ๗. เพิ่มบทบาทของประชาชน ภาคประชาสังคม กลุ่มและองค์กรในหมู่บ้านในการคุ้มครองดูแลทรัพยากรและการป้องกันภัยแทรกซ้อนในหมู่บ้าน ๘. ให้ทุกหน่วยงานเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๘.๑ หลักการสำคัญในการขับเคลื่อนหมู่บ้านเข้มแข็งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ หลักการปรึกษาหารือแบบใจเปิดกว้าง และการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย หลักระบบข้อมูลถูกต้อง ครบถ้วน และมีแผนดำเนินการ หลักคุณธรรม ความยืดหยุ่น และเคารพปกป้องความแตกต่าง หลักการแบ่งความรับผิดชอบเป็นคุ้มบ้าน โซน หลักการใช้ทุนของชุมชนอย่างครอบคลุม ครบถ้วน หลัก กฎ ระเบียบ กติกาที่ชัดเจน และหลักกระบวนการกลุ่มที่เข้มแข็ง และมีเครือข่ายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ๘.๒ เป้าหมายการขับเคลื่อนหมู่บ้านเข้มแข็งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ เกิดความสมานฉันท์ระหว่างประชาชนในหมู่บ้านด้วยกันเอง และประชาชนในหมู่บ้านกับทุกภาคส่วนภายนอกหมู่บ้าน ขจัดความไม่ไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐและระหว่างประชาชนด้วยกันเอง ขจัดอคติและความเกลียดชังระหว่างประชาชนในสังคมพหุวัฒนธรรม เกิดความปลอดภัยและความมั่นใจในอำนาจรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว พัฒนาองค์กรในหมู่บ้านให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน สามารถใช้อำนาจหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ รวมทั้งประชาชนในหมู่บ้านมีความสงบสุขและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
|
|||||||||||||||||||||
790 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สผ | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของสภาผู้แทนราษฎร และผลการดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ แล้วแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีข้อสังเกตว่า โดยที่ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มีหลักการที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๘ เพื่อกำหนดให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิที่จะได้รับบำนาญพิเศษเหตุทุพพลภาพได้รับบำนาญพิเศษเพิ่มสูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณามาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ ที่เป็นบทบัญญัติกำหนดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่จะมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษไว้เป็นการเฉพาะให้ต้องเป็นข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับอันตรายจนพิการเสียแขนหรือขา หูหนวกทั้งสองข้าง ตาบอดหรือได้รับการป่วยเจ็บ ซึ่งแพทย์ที่ทางราชการรับรองได้ตรวจแล้วและแสดงว่าถึงทุพพลภาพไม่สามารถจะรับราชการต่อไปได้อีก และเหตุนั้นจะต้องเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่ โดยมิได้รวมถึงกรณีที่ข้าราชการส่วนท้องถิ่นนั้นยังคงรับราชการได้ต่อไป แม้จะเป็นผู้ประสบเหตุอันเนื่องมาจากการปฏิบัติราชการในหน้าที่หรือถูกประทุษร้ายเพราะเหตุกระทำการตามหน้าที่เช่นเดียวกัน สมควรที่จะมีการพิจารณาดำเนินการปรับปรุงบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นในกรณีดังกล่าวมีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญพิเศษเช่นเดียวกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
791 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม 2556 | นร04 | 19/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) รายงานผลการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านเศรษฐกิจ ประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (กองทุนหมู่บ้าน SML) การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการปฏิรูปการจัดการที่ดิน (นโยบายที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) ซึ่งจากรายงานผลการดำเนินงานของส่วนราชการต่าง ๆ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) พิจารณาแล้ว มีความเห็น ดังนี้
๑. โครงการพักหนี้เกษตรกรรายย่อยและประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่มีหนี้คงค้างต่ำกวา ๕๐๐,๐๐๐ บาท ในส่วนการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ดำเนินโครงการสำหรับสหกรณ์การเกษตรหรือสถาบันเกษตรกร โดยพักหนี้หรือลดภาระหนี้ให้แก่สมาชิก เป็นระยะเวลา ๓ ปี ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณากรอบวงเงินในการดำเนินโครงการ โดยขณะนี้เวลาได้ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว จึงเห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาเร่งรัดการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์พิจารณาจัดทำข้อมูลเชิงเปรียบเทียบระหว่างจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนในโครงการรับจำนำข้าว และจำนวนเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงหาสาเหตุที่ทำให้จำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนและเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวมีความแตกต่างกัน ๓. ตามที่กระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการติดตาม ตรวจสอบการรับจำนำสินค้าเกษตร และพบการกระทำความผิด จึงเห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามขั้นตอนตามที่เห็นสมควรและรายงานให้ทราบ ๔. ปัญหาในการดำเนินการของคณะกรรมการบูรณาการการบริหารจัดการที่ดินเชิงระบบ (กบช.) ที่อาจจะทำให้ไม่สามารถใช้งบประมาณได้ทัน เห็นควรให้กรมที่ดินประสานงานกับสำนักงบประมาณเพื่อหาแนวทางในการดำเนินการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อให้การดำเนินการของ กบช. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
792 | มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ | กค | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ) ที่เห็นชอบให้ขยายเวลาการปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการพัสดุในการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๐ และวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ ออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔ โดยให้ส่วนราชการที่จะทำการจัดซื้อในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๑๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือจัดจ้างในวงเงินเกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท แต่ไม่เกิน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้สามารถจัดซื้อ จัดจ้าง โดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้โดยอนุโลม ทั้งนี้ ส่วนราชการในส่วนภูมิภาค หรือส่วนราชการในส่วนกลางที่มีหน่วยงานตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาค ซึ่งอยู่ในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ให้อยู่ในอำนาจของหัวหน้าส่วนราชการนั้นหรือผู้ว่าราชการจังหวัด แล้วแต่กรณี ที่จะพิจารณาได้ตามความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อทางราชการเป็นสำคัญ ต่อมาคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจออกไปอีก ๒ ปี ซึ่งการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าว จะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒. คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุพิจารณาแล้วเห็นว่า การให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ แต่เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ ได้แก่ จังหวัดยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และสงขลา (อำเภอจะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย) ยังไม่กลับคืนสู่สภาวะปกติ คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ในการประชุมครั้งที่ ๖/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๕๖ ได้อาศัยอำนาจตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ข้อ ๑๒ (๒) มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาดำเนินการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจดังกล่าวออกไปอีก ๒ ปี จนถึงวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ และได้มีหนังสือแจ้งเวียนให้หน่วยงานต่าง ๆ แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
793 | สรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. 2556 | ทก | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการสำรวจภาวะการทำงานของประชากร เดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน มีจำนวนทั้งสิ้น ๓๘.๗๙ ล้านคน ประกอบด้วย ผู้มีงานทำ ๓๘.๐๒ ล้านคน ผู้ว่างงาน ๓.๔๗ แสนคน และผู้ที่รอฤดูกาล ๔.๑๖ แสนคน โดยผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานมีจำนวนลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๓๘.๙๑ ล้านคน เป็น ๓๘.๗๙ ล้านคน) ๒ ผู้มีงานทำ มีจำนวน ๓๘.๐๒ ล้านคน ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒ แสนคน (จาก ๓๘.๑๔ ล้านคน เป็น ๓๘.๐๒ ล้านคน) โดยผู้ทำงานลดลง ได้แก่ ผู้ทำงานภาคเกษตรกรรม สาขาการผลิต สาขากิจกรรมด้านการบริหารราชการ การป้องกันประเทศ สาขากิจกรรมการบริการอื่น ๆ เช่น กิจกรรมบริการเพื่อสุขภาพร่างกาย การดูแลสัตว์เลี้ยง การบริการซักรีดซักแห้ง เป็นต้น ส่วนผู้ทำงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ ผู้ทำงานสาขาการขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ และรถจักรยานยนต์ สาขาการก่อสร้าง สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า และสาขาที่พักแรมและการบริการด้านอาหาร เป็นต้น ๓. ผู้ว่างงานทั่วประเทศ มีจำนวนทั้งสิ้น ๓.๔๗ แสนคน ลดลง ๓.๐ หมื่นคน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี ๒๕๕๕ โดยเป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๑.๔๔ แสนคน อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน ๒.๐๓ แสนคน ประกอบด้วย ผู้ว่างงานที่มาจากภาคการบริการและการค้า ภาคการผลิต และภาคเกษตรกรรม โดยผู้ว่างงานเป็นผู้มีการศึกษาอยู่ในระดับอุดมศึกษา ๑.๑๖ แสนคน ระดับประถมศึกษา ๗.๔ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ๖.๘ หมื่นคน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ๖.๐ หมื่นคน และไม่มีการศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา ๒.๙ หมื่นคน และผู้ว่างงานส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๑.๐๙ แสนคน ภาคกลาง ๙.๒ หมื่นคน ภาคใต้ ๗.๑ หมื่นคน ภาคเหนือ ๔.๕ หมื่นคน และกรุงเทพมหานคร ๓.๐ หมื่นคน
|
|||||||||||||||||||||
794 | สถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคมและแนวโน้มปี 2556 | นร11 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสถานการณ์เศรษฐกิจประจำเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ และแนวโน้มปี ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า เครื่องชี้เศรษฐกิจที่สำคัญ (หลังปรับปัจจัยฤดูกาล) ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังแสดงให้เห็นถึงการลดลงของระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า โดยเฉพาะดัชนีการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตร มูลค่าการส่งออกและมูลค่าการนำเข้าซึ่งหดตัวร้อยละ ๑.๗ ร้อยละ ๐.๓ ร้อยละ ๑.๒ และร้อยละ ๔.๘ ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม ดัชนีการบริโภคภาคเอกชนและดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น ๑.๒ ภาวะเศรษฐกิจไทยเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๕ เครื่องชี้วัดเศรษฐกิจที่สำคัญ ๆ ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ยังคงหดตัว ทั้งด้านการใช้จ่าย และการผลิต โดยเฉพาะดัชนีการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และการใช้จ่ายภาครัฐ เมื่อรวมกับข้อมูลในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ เครื่องชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่สองมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากไตรมาสแรก อย่างไรก็ตาม ภาคการท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่เสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งด้านเงินเฟ้อที่ชะลอตัวต่อเนื่อง และการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำ ๑.๓ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ ๕ อัตราการว่างงานในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ ๐.๙ ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลลดลงตามดุลการค้าที่กลับมาเกินดุลและดุลบริการขาดดุลน้อยกว่าเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ๑.๔ สถานการณ์ด้านการคลัง การจัดเก็บรายได้สุทธิของรัฐบาลในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สูงกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตามการเบิกจ่ายจากงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่หนี้สาธารณะคงค้างทรงตัว ๑.๕ สถานการณ์ด้านการเงิน ในเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ในขณะที่เงินฝากเร่งตัวขึ้น ส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากปรับตัวลดลง อัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นเดือนที่สอง ๑.๖ แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี ๒๕๕๖ มีแนวโน้มขยายตัวในช่วงร้อยละ ๔.๒-๕.๒ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยทั้งปี ในช่วงร้อยละ ๒.๓-๓.๓ และดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ ๐.๙ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ๒. ให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ ๒.๑ การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร ให้กระทรวงการต่างประเทศเป็นหน่วยงานหลักรับไปประสานงานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าส่งออก รวมทั้งการแก้ไขปัญหาการส่งออกสินค้าเกษตรในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาการส่งออกไก่แช่แข็งที่ได้มาตรฐานไปยังประเทศญี่ปุ่น ปัญหาการทำการประมงของเรือประมงรายเล็ก รวมทั้งปัญหาการที่หน่วยงานของไทยยังไม่รับรองสินค้าประเภทอาหารจากประเทศญี่ปุ่นหลายรายการ เป็นต้น ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน รวมทั้งการได้รับผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเป็นธรรมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย ๒.๒ การจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับการจัดทำความตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ระหว่างประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ ที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ๒.๓ ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพลังงาน และกระทรวงมหาดไทย ตรวจสอบ สำรวจ และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภคชนิดต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ เช่น ต้นทุนวัตถุดิบจากแหล่งผลิต ค่าขนส่ง ค่าเชื้อเพลิง เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมของราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำหน่ายให้ประชาชนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
795 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร04 | 09/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยจัดทำเป็นคำสั่งใหม่ ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและกีฬา การเกษตร การคมนาคม หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพลังงาน วิทยาศาสตร์ และการอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ และการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๒.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายสังคมและกฎหมาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านแรงงาน ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านกฎหมาย การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กร ชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ๒.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง การทหาร การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่างประเทศ แรงงานต่างด้าว กระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง การกำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
|
|||||||||||||||||||||
796 | รายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส 1 ปี 2556 และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2556 | อก | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) และรายงานสถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาส ๑ ปี ๒๕๕๖ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๖) ๑.๑ การส่งออกมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลก และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น โดยในไตรมาสที่ ๑ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น ๑๒๑,๘๔๔.๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ ๕๖,๙๖๖.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ ๖๔,๘๗๗.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไตรมาสที่ ๔ ปี ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ ๐.๓๘ และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒๒ ส่งผลให้ไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ ดุลการค้าขาดดุล ๗,๙๑๑.๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ ๔.๒๖ ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ชะลอลง ส่วนมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘.๔๔ ๑.๒ การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ การลงทุนสุทธิในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่ารวม ๒๐,๖๖๘.๒๒ ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีมูลค่า -๑,๖๘๒.๕๗ ล้านบาท สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ ๒๒,๓๕๐.๗๙ ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง ๒ เดือนแรกในไตรมาสที่ ๑ ของปี ๒๕๕๖ พบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนมกราคม ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๕,๐๗๔.๖๘ ล้านบาทและเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ ๒๐,๐๖๕.๗๕ ล้านบาท โดยการลงทุนรวมในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนลดลงร้อยละ ๑๒.๔๙ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ๑.๓ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น ๕๘๐ โครงการ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ ๕๑๔ โครงการ โดยการลงทุนในกิจการต่าง ๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น ๒๗๑,๓๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โครงการลงทุนในไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ ประกอบด้วย โครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ ๑๐๐% จำนวน ๒๔๒ โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน ๘๖,๓๐๐ ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ ๑๓๙ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๑๑๘,๖๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย ๑๐๐% จำนวน ๑๙๙ โครงการ เป็นเงินลงทุน ๖๖,๓๐๐ ล้านบาท ๒. สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ๒.๑ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตและจำหน่ายกลุ่มสิ่งทอ คาดว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวจากคำสั่งซื้อทั้งจากตลาดเอเชียและอาเซียนที่ขยายตัวเพื่อนำเข้าไปผลิตและส่งออกไปตลาดอื่น ๆ ส่วนการผลิตและจำหน่ายกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าจะมีโอกาสดีขึ้น เนื่องจากถึงฤดูกาลเปิดภาคเรียนใหม่ ผู้ปกครองจำเป็นต้องซื้อชุดนักเรียนใหม่ ซึ่งจะเป็นการกระตุ้นความต้องการภายในเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มดีขึ้น ภายหลังค่าเงินบาทได้เริ่มอ่อนค่าลง ๒.๒ อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์การผลิต คาดว่าการผลิตทั้งเหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาวจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากราคาเหล็กมีแนวโน้มลดลง ทำให้ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าตามความต้องการใช้เท่านั้น ๒.๓ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ แนวโน้มการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามปริมาณการผลิตที่จะเพิ่มขึ้น ขณะนี้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้บริษัทผู้ผลิตยังคงสำรองปูนซีเมนต์ไว้ใช้ในประเทศมากขึ้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
797 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ปัญหาการท้องไม่พร้อม : การทำแท้งไม่ปลอดภัย" | สสป | 02/07/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการแก้ปัญหาการท้องไม่พร้อม : การทำแท้งไม่ปลอดภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในเรื่องดังกล่าว โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรสนับสนุนให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยารับขึ้นทะเบียนยาสำหรับข้อบ่งชี้ "การยุติการตั้งครรภ์กรณีที่มีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์" เมื่อมีผู้มาขอยื่นขึ้นทะเบียนยา ๒. ควรนำนโยบายและยุทธศาสตร์เกี่ยวกับการพัฒนาอนามัยเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นรูปธรรมและมีความต่อเนื่อง ๓. ควรจัดให้มีศูนย์บริการอนามัยเจริญพันธุ์ เป็น "ศูนย์คลินิกท้องไม่พร้อม" ให้คำปรึกษาแนะนำที่มีประสิทธิภาพ ตามโรงพยาบาลทั่วประเทศ โดยเน้นสร้างเสริมกระบวนการการให้คำปรึกษาผู้ประสบปัญหาก่อนมีปัญหา ขณะและหลังประสบปัญหา รวมทั้งจัดให้มีศูนย์พักพิงสำหรับเยาวชนและผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ไม่พร้อม ให้มีโอกาสทางการศึกษาภายหลังการคลอด ตลอดจนการมีอาชีพให้สามารถเลี้ยงตนเองและลูกได้ ๔. ควรมีการประชาสัมพันธ์การให้ข้อมูลข่าวสาร การเฝ้าระวัง และการวิจัยเพื่อการป้องกัน และแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ โดยการจัดการความรู้จากการปฏิบัติงานป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมการทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังปัญหาการตั้งครรภ์โดยไม่พร้อมและการยุติการตั้งครรภ์ที่ไม่ปลอดภัย ๕. ควรรณรงค์ผ่านสื่อโทรทัศน์ วิทยุ เว็บไซต์ อย่างต่อเนื่อง และจัดเวทีวิชาการระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและทุกภาคส่วน ตลอดจนการสร้างค่านิยมเรื่องเพศสัมพันธ์ที่มีสุขภาวะ รวมถึงเพศสัมพันธ์ที่มีความรับผิดชอบ และเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากความสมัครใจ ไม่ถูกบังคับ ๖. ควรมีมาตรการเสริมสร้างบทบาทและความสำคัญ การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ชุมชน ให้เข้มแข็งขึ้น ให้ความสำคัญกับบ้าน วัด โรงเรียน และการสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือภายในสังคม เพื่อเป็นเครือข่ายในการเฝ้าระวังและช่วยเหลือเยาวชนที่ประสบปัญหาการตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่พร้อม ๗. ควรกำหนดยุทธศาสตร์ด้านการศาสนาและด้านวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมบทบาทของศาสนาให้เป็นภูมิคุ้มกันแก่เด็กและเยาวชน และส่งเสริมวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต การรักนวลสงวนตัว การอนุรักษ์วัฒนธรรมไทย เป็นต้น ๘. มาตรการด้านกฎหมาย โดยผลักดันให้ผ่าน "ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองการอนามัยเจริญพันธุ์ พ.ศ. ...." ให้มีผลออกมาบังคับใช้เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติงานได้อย่างชัดเจนและยั่งยืน และควรปรับปรุงประมวลกฎหมายอาญาให้เปิดกว้างขึ้น เพื่อเป็นทางเลือกการทำแท้งที่ปลอดภัยสำหรับการตั้งครรภ์ไม่พร้อม ๙. ควรบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการยุติธรรม ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข อัยการ ตำรวจ และแพทยสภา จะต้องมีการประชุมทำความเข้าใจเรื่องของการยุติการตั้งครรภ์ตามกฎหมายอาญามาตรา ๓๐๕ ร่วมกันอย่างจริงจัง ๑๐. ควรบังคับใช้กฎหมายให้จริงจัง โดยการปราบปรามผู้ค้าหรือผู้ผลิตสื่อลามกในรูปแบบสื่อสิ่งพิมพ์หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการปราบปรามสถานเริงรมย์ซึ่งปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี เข้าไปมั่วสุมในการดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ยาเสพติด
|
|||||||||||||||||||||
798 | รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤษภาคม 2556 | พณ | 25/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปและดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศและรายงานการวิเคราะห์ภาวะราคาสินค้าและเศรษฐกิจของไทยเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ เทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๔ จากการสูงขึ้นของดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๘๗ สาเหตุจากการสูงขึ้นของราคาหมวดผักและผลไม้ ร้อยละ ๔.๓๙ โดยเฉพาะหมวดผักสด ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๘.๓๗ และหมวดผลไม้สด สูงขึ้นร้อยละ ๐.๙๒ และสินค้าอื่น ๆ ที่มีราคาสูงขึ้น ได้แก่ หมวดไข่ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๘.๗๙ หมวดเนื้อสัตว์ เป็ดไก่ และสัตว์น้ำ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๐.๖๐ หมวดข้าว แป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง สูงขึ้นร้อยละ ๐.๒๐ หมวดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ดัชนีสูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๗ หมวดอาหารสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ ๐.๑๖ สำหรับดัชนีราคาหมวดอื่น ๆ ไม่ใช่อาหารและเครื่องดื่ม ลดลงร้อยละ ๐.๑๐ จากการลดลงของหมวดเคหสถาน ร้อยละ ๐.๒๑ หมวดน้ำมันเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ ๐.๓๕ หมวดการบันเทิงและการอ่าน ลดลงร้อยละ ๐.๒๗ ๒. ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานของประเทศเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๖ เท่ากับ ๑๐๒.๙๘ เทียบกับเดือนเมษายน ๒๕๕๖ สูงขึ้นร้อยละ ๐.๐๕ จากการสูงขึ้นของราคาสินค้าและบริการ ได้แก่ หมวดเครื่องนุ่งห่มและรองเท้า หมวดการตรวจรักษาและบริการส่วนบุคคล สำหรับสินค้าและบริการที่ราคาลดลง ได้แก่ หมวดค่าใช้จ่ายในการเดินทางโอกาสพิเศษและท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||
799 | การปรับโครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต 2555/56 | พณ | 19/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกเจ้า ๑๐๐% จากราคาตันละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นราคาตันละ ๑๒,๐๐๐ บาท และข้าวเปลือกชนิดอื่น ๆ ปรับลด ๒๐% จากราคาที่กำหนดไว้เดิม โดยมีระยะเวลาเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๖ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่าการปรับราคารับจำนำข้าวเปลือกในครั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามกลไกราคาตลาดโลกและอัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ และในกรณีที่ราคาตลาดโลกมีการปรับตัวสูงขึ้น คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติก็ควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการปรับเพิ่มราคาและเงื่อนไขการรับจำนำข้าวเปลือกให้สอดคล้องกับราคาตลาดโลกด้วย ๒. รับทราบผลการประชุม กขช. ครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับวงเงินรับจำนำข้าวเปลือกของเกษตรกรแต่ละครัวเรือน จากเดิมที่ไม่จำกัดวงเงิน เป็น ไม่เกินครัวเรือนละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ๓. การดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเปลือกตามที่ กขช. ได้เห็นชอบและเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบในครั้งนี้ ยังคงอยู่ในกรอบของการรวมปริมาณการรับจำนำข้าวเปลือกและกรอบวงเงินในการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ (เรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก ปีการผลิต ๒๕๕๕/๕๖ ครั้งที่ ๒) โดย ณ วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๖ โครงการรับจำนำข้าวเปลือกต้องอยู่ในกรอบวงเงิน ๕๐๐,๐๐๐ ล้านบาท ๔. รับทราบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาชี้แจงว่า ตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภามีทั้งนโยบายเร่งด่วนที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก และนโยบายที่จะดำเนินการใน ๔ ปี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกร ซึ่งการรับจำนำข้าวเปลือกในราคาที่กำหนดได้ดำเนินการแล้ว ส่วนข้อเสนอของ กขช. ที่มีการดูแลรายได้เกษตรกรให้ยังคงมีกำไรที่เหมาะสม โดยสอดคล้องกับวินัยการเงินการคลัง และรัฐบาลได้มีมาตรการอื่นในการยกระดับรายได้และเพิ่มคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกร เช่น การจัด Zoning ภาคการเกษตร เพื่อกำหนดพื้นที่ในการผลิตพืชผลทางการเกษตรให้เหมาะสมและส่งเสริมการวิจัยพันธุ์ข้าวเพื่อพัฒนาคุณภาพของข้าว รวมทั้งการวิจัยเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตและผลิตภัณฑ์ที่มาจากข้าวให้สูงขึ้นในระยะยาว จึงเป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลครบถ้วนแล้ว ทั้งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปกำหนดมาตรการยกระดับราคาสินค้าเกษตรและพืชพลังงาน โดยให้คำนึงถึงนโยบายเกี่ยวกับการเงินการคลังของประเทศด้วย ๕. เพื่อให้การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเป็นธรรมต่อเกษตรกร ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนปฏิบัติการในการตรวจสอบการดำเนินการโครงการตั้งแต่ขั้นตอนการขึ้นทะเบียน การตรวจสอบคุณภาพข้าว ตลอดจนการเก็บรักษาและระบายข้าวทุกขั้นตอน เพื่อกำหนดแนวทางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามโดยเคร่งครัดต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
800 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" | สสป | 18/06/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการบรรเทาผลกระทบการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย คณะกรรมการค่าจ้าง และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ควรจะมีการประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการดำเนินการตามมาตรการเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบต่าง ๆ ก่อนจะให้มีการปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ๒. ควรเพิ่มองค์ประกอบของคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ศึกษาและพิจารณามาตรการการบรรเทาผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยให้มีผู้แทนจากนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างร่วมด้วย ๓. ควรมีมาตรการการบริหารค่าจ้างขั้นต่ำในอนาคตอย่างชัดเจน ดังนี้ ๓.๑ การพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำครั้งต่อไป ควรใช้กระบวนการไตรภาคีและปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ รวมถึงกำหนดเวลาให้ชัดเจน ๓.๒ การกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำควรแบ่งเขต (Zoning) เป็นกลุ่มจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพของแต่ละกลุ่มจังหวัด ทั้งยังเป็นการสนับสนุนการส่งเสริมการลงทุนไปยังภูมิภาคและสอดคล้องกับการกระจายความเจริญไปสู่ภูมิภาค ๓.๓ จัดให้มีการส่งเสริมการจัดระบบการบริหารค่าตอบแทนในสถานประกอบการตามหลักการบริหารค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ๔. รัฐควรช่วยเหลือแรงงานกรณีมีการเลิกจ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการเลิกกิจการโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ให้ได้รับค่าชดเชยรวมทั้งเร่งให้มีการบรรจุงานให้แก่แรงงานเหล่านี้โดยเร็ว
|
.....