ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 90 จากทั้งหมด 138 หน้า แสดงรายการที่ 1781 - 1800 จากข้อมูลทั้งหมด 2746 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1781 | การจัดทำงบประมาณรายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 11/10/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๒,๓๓๐,๐๐๐ ล้านบาท โดยเป็นนโยบายขาดดุล จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท รายได้สุทธิ จำนวน ๑,๙๘๐,๐๐๐ ล้านบาท และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น และให้สำนักงบประมาณจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ โดยให้ส่งร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบโดยตรงก่อนนำไปพิมพ์เป็นร่างพระราชบัญญํติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๒. ให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบในส่วนที่เป็นภารกิจพื้นฐาน ทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษางานเดิม เพิ่มเป้าหมาย และรายการผูกพันใหม่ และภารกิจยุทธศาสตร์ทั้งค่าใช้จ่ายที่เป็นนโยบายต่อเนื่องและรายการผูกพันใหม่ ในวงเงินงบประมาณร้อยละ ๑๐ เพื่อนำงบประมาณจำนวนดังกล่าวกำหนดเป็นรายการงบกลางสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการพื้นฟูและเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๓. กำหนดแนวทางการปรับลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ดังนี้ ๓.๑ ให้พิจารณาทบทวนปรับลดรายการที่มีลำดับความสำคัญต่ำ หรือไม่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของรัฐบาล และไม่ส่งผลกระทบต่อการให้บริการสาธารณะแก่ประชาชน ๓.๒ ให้ยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่เกี่ยวข้อง) ในข้อ ๑.๖ “รายจ่ายลงทุนที่จะขออนุมัติผูกพันข้ามปีงบประมาณทุกรายการต้องได้รับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดินในปีแรก เป็นจำนวนเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๒๐ ของวงเงินรายจ่ายส่วนที่เป็นเงินงบประมาณทั้งสิ้นของรายจ่ายลงทุนนั้น ๆ โดยไม่รวมวงเงินเผื่อเหลือเผื่อขาด” โดยให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการผูกพันงบประมาณใหม่ในวงเงินไม่ต่ำกว่าร้อยละ ๑๕ ของวงเงินงบประมาณรวมแต่ละรายการ ๓.๓ ให้พิจารณาทบทวนการตั้งงบประมาณรายการผูกพันเดิมให้สอดคล้องกับผลการดำเนินงานจริงและแผนการใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์ที่สำนักงบประมาณกำหนด ๓.๔ วงเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรเพื่อดำเนินการฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาจากอุทกภัยที่เสนอไว้เดิมให้พิจารณาปรับลดได้ไม่เกินร้อยละ ๑๐ ๓.๕ ไม่ควรปรับลดรายจ่ายประจำขั้นต่ำที่จำเป็นและรายจ่ายตามข้อผูกพันอื่น ยกเว้นเป็นการดำเนินการตามนัยข้อ ๓.๓ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณจัดทำหนังสือแจ้งเวียนส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ให้ดำเนินการตามข้อ ๒. และ ๓. และแจ้งผลการพิจารณาให้สำนักงบประมาณทราบภายในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๐๐ น. หากส่วนราชการดำเนินการล่าช้ากว่าระยะเวลาที่กำหนดให้สำนักงบประมาณพิจารณาปรับปรุงงบประมาณให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1782 | ร่างพระราชบัญญัติและเรื่องที่คณะรัฐมนตรีเสนอที่รัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยังมิได้ให้ความเห็นชอบหรือรับทราบ | นร | 06/09/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับร่างพระราชบัญญัติที่คณะรัฐมนตรีและองค์กรอิสระเป็นผู้เสนอและรัฐสภายังมิได้ให้ความเห็นชอบ รวม ๑๑๗ ฉบับ ไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่งว่า จะสมควรร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาต่อไปหรือไม่ แล้วแต่กรณี ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้
๑. ร่างพระราชบัญญัติของส่วนราชการต่าง ๆ ที่ค้างการพิจารณาอยู่ที่รัฐสภา มอบให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณา ๒. ร่างพระราชบัญญัติองค์กรอิสระต่าง ๆ ที่ค้างการพิจารณาอยู่ที่รัฐสภา ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแจ้งไปยังองค์กรอิสระที่เกี่ยวข้องพิจารณา ๓. ร่างพระราชบัญญัติที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรชุดก่อนเสนอและค้างการพิจารณาอยู่ที่รัฐสภา มอบให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) และคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรรับไปพิจารณา ๔. ร่างพระราชบัญญัติที่ประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งเสนอและค้างการพิจารณาอยู่ที่รัฐสภา มอบให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณา ๕. ให้ส่วนราชการรับไปตรวจสอบเรื่องอื่นนอกจากร่างพระราชบัญญัติ ตามข้อ ๑ - ๔ เช่น รายงานการโอนหรือนำรายจ่ายตามงบประมาณที่กำหนดไว้ในรายการใดไปใช้ในรายการอื่นของหน่วยราชการหรือรัฐวิสาหกิจ และรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามมาตรา ๑๖๙ และมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งรัฐสภาหรือสภาผู้แทนราษฎรยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จและตกไปอันเนื่องมาจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ ให้แจ้งผลการพิจารณาตามข้อ ๑ - ๔ ว่าจะสมควรร้องขอให้รัฐสภาพิจารณาต่อไปหรือไม่ ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในวันอังคารที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๕๔ ต่อไป และแจ้งผลการพิจารณาตามข้อ ๕ ว่าจะสมควรดำเนินการเช่นไร ไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อรวบรวมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1783 | ผลการพิจารณาข้อเสนอ เรื่อง การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง | รง | 28/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาข้อเสนอ เรื่อง การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง ตามที่คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเสนอ โดยมีผลการพิจารณา ดังนี้
๑. เห็นด้วยกับการกำหนดให้การแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวเป็นวาระแห่งชาติ ๒. ให้แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ลักลอบทำงานได้เข้าสู่ระบบการจ้างงานที่ถูกต้องโดยการเปิดจดทะเบียนผ่อนผันอีกครั้ง เพื่อให้ทราบข้อมูลและจำนวนชื่อที่อยู่ที่ชัดเจน เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานและการลักลอบจ้างแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ๓. เห็นควรยกระดับฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้มีสถานะเป็นหน่วยงานระดับกรม เพื่อบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ มีความเป็นเอกภาพในการดำเนินงานตั้งแต่การวางแผนการบริหารจัดการ การจัดระบบแรงงานต่างด้าว การจดทะเบียนจัดทำประวัติแรงงานต่างด้าว การอนุญาตการทำงาน การควบคุมการเคลื่อนย้าย การปราบปรามจับกุมดำเนินคดี รวมทั้งการนำเข้าแรงงานต่างด้าวโดยถูกกฎหมาย ๔. เห็นควรปรับปรุงแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๔๔ และ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๖ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๕๓ ให้ครอบคลุมการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองทั้งระบบ รวมทั้งปรับลดคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองให้เหลือเพียง ๕ คณะ เพื่อให้มีความกระชับ เกิดความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน และเพิ่มคณะอนุกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง (กบร.) ในระดับจังหวัดให้สามารถบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวได้สอดคล้องตรงกับความต้องการในพื้นที่ ๕. ไม่ควรตั้งหน่วยงานใด ๆ ขึ้นอีก เนื่องจากมีสำนักงานจัดหางานจังหวัดดำเนินการในการให้บริการแก่แรงงานต่างด้าวและนายจ้างอยู่แล้ว ทั้งในเรื่องการให้โควตา การอนุญาตทำงาน การเคลื่อนย้ายแรงงาน ๖. การประสานความร่วมมือกับประเทศต้นทางเพื่อเร่งรัดการดำเนินการตาม MOU และการพิสูจน์สัญชาติ กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ประสานความร่วมมือกับประเทศพม่า ลาว และกัมพูชาอย่างใกล้ชิดและได้รับความร่วมมือจากประเทศต้นทางเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเร่งรัดการพิสูจน์สัญชาติให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ๗. เห็นด้วยกับข้อเสนอให้ขยายระยะเวลาการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติและแรงงานต่างด้าวที่นำเข้าตาม MOU ๓ ปี ต่อได้อีก ๓ ปี ส่วนการกลับไปพักควรเว้นระยะให้ไปพักเพียง ๑ เดือน แล้วให้สามารถกลับเข้ามาทำงานได้ใหม่ ๘. การดำเนินการประชาสัมพันธ์นโยบายและมาตรการเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย กรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ และมีการชี้แจงทำความเข้าใจในการจัดประชุมสัมมนานายจ้าง ผู้ประกอบการ ผู้นำชุมชนและประชาชนทั่วไปให้ได้รับทราบนโยบายเพื่อร่วมกันสอดส่องดูการแจ้งเบาะแสแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และมีการออกระเบียบการให้รางวัลสินบนนำจับแก่ผู้แจ้งเบาะแส ๙. ปัจจุบันได้มีการกำหนดประเภทอาชีพของแรงงานต่างด้าวทำได้เพียง ๒ งาน คือ ผู้รับใช้ในบ้าน และงานกรรมกร ส่วนการกำหนดให้นายจ้างจ่ายค่าธรรมเนียมการใช้แรงงานต่างด้าว นั้น ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้มีการกำหนดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจ้างแรงงานต่างด้าว (LEVY) ไว้แล้ว ซึ่งจะเรียกเก็บในอัตราที่เหมาะสมต่อไป ๑๐. เห็นด้วยกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน โดยกระทรวงแรงงานได้มีมาตรการจูงใจให้นายจ้างลดการใช้แรงงานต่างด้าวในส่วนกลางโดยการปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตทำงาน ซึ่งเดิมจัดเก็บในอัตราเดียวทั่วประเทศ ๑,๘๐๐ บาท/คน/ปี ปรับลดจังหวัดตามแนวชายแดนเหลือ ๙๐๐ บาท/คน/ปี ๑๑. ให้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้องหรือรับผลประโยชน์ในการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศ ลงโทษนายจ้าง และแรงงานต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย รวมทั้งการลงโทษเจ้าของสถานที่หรือผู้ครอบครองอาคารที่อนุญาตให้แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าอยู่อาศัยอย่างเคร่งครัดและเด็ดขาด ๑๒. ให้มีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแก่แรงงานต่างด้าวในระบบผ่อนผัน และให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมสนับสนุนในการแก้ไขปัญหา |
|||||||||||||||||||||||||||
1784 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง "แนวทางความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศญี่ปุ่นกรณี : วิกฤตภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวและสึนามิ" | สสป | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “แนวทางความร่วมมือและการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศญี่ปุ่นกรณี : วิกฤตภัยธรรมชาติแผ่นดินไหวและสึนามิ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การนำเสนอให้ประเทศไทยเป็นแหล่งพำนักชั่วคราวเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจแก่ชาวญี่ปุ่น โดยมีแนวทางการดำเนินงานโดยสรุป ดังนี้ ๑.๑ กลุ่มเป้าหมายชาวญี่ปุ่นที่จะมาพำนักในไทยเน้นกลุ่มผู้สูงอายุ เด็ก สตรี และครอบครัวคนไทยที่สมรสกับชาวญี่ปุ่น เป็นต้น โดยให้รัฐบาลญี่ปุ่นเป็นผู้พิจารณาคัดเลือกและจัดส่งผู้ประสบภัยดังกล่าว ๑.๒ แหล่งพำนักอาศัยควรพิจารณาจากสถานที่พักของผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวไทยที่เหมาะสมจะใช้เป็นที่พำนักระยะยาว (Long stay หรือ Home stay) โดยรัฐเป็นผู้สนับสนุนค่าที่พักในอัตราที่มีส่วนลดพิเศษสุด หรืออาจเลือกใช้สถานที่พักขนาดใหญ่ของรัฐที่มีสภาพดีและมีศักยภาพในการรองรับ ๑.๓ ระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือควรร่วมพิจารณากับรัฐบาลหรือหน่วยงานญี่ปุ่นเพื่อกำหนดกรอบที่เหมาะสม โดยอาจพิจารณาจากปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาแก่ชาวญี่ปุ่น เช่น ภูมิอากาศที่หนาวเย็น มลภาวะ แผนการควบคุมการรั่วไหลของกัมมันตรังสี แผนในการก่อสร้างบูรณะเมือง การขาดแคลนพลังงานไฟฟ้าที่พำนัก อาหารและเครื่องดื่ม เป็นต้น ทั้งนี้ หากกรอบระยะเวลามีระยะเวลายาว รัฐบาลไทยอาจสนับสนุนค่าใช้จ่ายในช่วงต้น ๑.๔ การเคลื่อนย้ายประชาชนชาวญี่ปุ่นควรเตรียมมาตรการในการออกวีซ่าที่เหมาะสมที้งระยะเวลา (เช่น ๑ ปี) รวมทั้งกติกาที่สะดวกและรวดเร็ว ๑.๕ การจัดตั้งศูนย์ในการบริหารจัดการความร่วมมือการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ โดยเปิดโอกาสให้เกิดการมีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือในด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างมีระบบ โปร่งใส ๑.๖ รูปแบบการให้ความช่วยเหลือต้องคำนึงถึงวัฒนธรรม ธรรมเนียมปฏิบัติ ค่านิยมและวิถีแนวคิดของชาวญี่ปุ่น ธรรมเนียมปฏิบัติ ค่านิยมและวิถีแนวคิดของชาวญี่ปุ่นที่มีต่อการรับความช่วยเหลือซึ่งต้องแสดงออกถึงการให้เกียรติแก่ผู้ประสบภัยด้วย ๒. การจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวญี่ปุ่นในสาขาเฉพาะทางที่ประเทศไทยไม่มีความพร้อมเดินทางมาพำนักและทำงานในประเทศไทยชั่วคราว ๓. ความร่วมมือทางวิชาการในการดำเนินงานวิจัยและการศึกษาระหว่างสถาบันหรือหน่วยงานทางการศึกษาของไทยและญี่ปุ่น ซึ่งมีการวางแผนงานโครงการอยู่แล้ว ให้สามารถเริ่มดำเนินงานได้โดยทันที ๔. ออกมาตรการเชิญชวนนักลงทุนญี่ปุ่นเพื่อย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทยโดยเฉพาะเทคโนโลยีด้าน IT รวมทั้งการวางแผนการบริหารจัดการแรงงานไทยเพื่อรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ โดยให้คำนึงถึงผลกระทบต่อนักลงทุนไทยด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1785 | การคุ้มครองแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงาน | รง | 14/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาแนวทางการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่ได้รับการผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตทำงาน โดยให้เอกชนเข้ามาดำเนินการและให้ได้รับการคุ้มครองเหมือนกับระบบกองทุนเงินทดแทน ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้
๑. การกำหนดสิทธิประโยชน์ ให้มีการคุ้มครองแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่จดทะเบียนผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและได้รับอนุญาตให้ทำงานที่ประสบอันตรายจากการทำงาน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เหมือนกองทุนเงินทดแทนที่ให้กับคนไทยทุกประการ ๒. การบังคับใช้ ให้ใช้กับแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองที่จดทะเบียนผ่อนผันให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคาวและได้รับอนุญาตให้ทำงาน ๓. วิธีการดำเนินการ ใช้วิธีการประกันภัยโดยให้บริษัทประกันภัยเอกชนดำเนินการโดยให้นายจ้างซื้อประกันให้แก่แรงงานต่างด้าวกับบริษัทประกันภัย และนำมาแสดงในการรับใบอนุญาตทำงาน และให้สำนักงานประกันสังคมเป็นผู้วินิจฉัยเกี่ยวกับค่าทดแทนโดยการจ่ายค่าสินไหมทดแทน ให้บริษัทประกันภัยเป็นผู้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้มีสิทธิ ๔. อัตราค่าเบี้ยประกัน ให้นายจ้างเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายค่าเบี้ยประกันให้แก่แรงงานต่างด้าว ส่วนอัตราค่าเบี้ยประกันให้กำหนดเป็นจำนวนเงินต่อคนต่อปีในอัตราเดียวกันทั่วประเทศ โดยให้สมาคมประกันวินาศภัยศึกษาและส่งข้อมูลให้คณะทำงานภายใน ๑ สัปดาห์
|
|||||||||||||||||||||||||||
1786 | การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง | ปช | 07/06/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ในคราวประชุมครั้งที่ ๒๘๑-๒๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๔ เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงหรือบุคคลดำรงตำแหน่งกรรมการในรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง ดังนี้ ๑.๑ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภคและมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแลนั้น เห็นควรให้หน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแลรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเป็นผู้พิจารณากำหนดรายชื่อรัฐวิสาหกิจหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเหล่านั้น ๑.๒ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ และหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้นนั้น เนื่องจากการเสนอมาตรการในข้อนี้ต่อคณะรัฐมนตรีเป็นการเสนอในหลักการ ส่วนการพิจารณาว่าจะสมควรหรือไม่เป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาความเหมาะสมและตัดสินใจเอง การที่จะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ประสานรายละเอียดร่วมกับองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องน่าจะเป็นการไม่เหมาะสม ๒. ให้ทุกกระทรวงที่มีหน้าที่กำกับ ควบคุม ดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้นรับมติคณะกรรมการฯ ตามข้อ ๑ ไปพิจารณาศึกษาวิเคราะห์ในรายละเอียดว่ามีรัฐวิสาหกิจใดบ้างที่จะเข้าข่ายและสมควรดำเนินการตามมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจตามข้อเสนอของคณะกรรมการฯ กรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการสำนักหรือเทียบเท่าขึ้นไปในส่วนราชการ หรือผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วย รองหรือผู้บริหารสูงสุดในรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุม กำกับ ทั้งด้านนโยบายและด้านการปฏิบัติ (Regulator) เป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ หรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจถือหุ้น ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค และมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไรรวมอยู่ด้วย ซึ่งอยู่ในการควบคุม กำกับ หรือดูแล และกรณีการห้ามผู้มีอำนาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ของรัฐในองค์กรตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวดที่ ๑๑ ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบและดำเนินคดีเป็นประธานกรรมการหรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจและหรือนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจเป็นผู้ถือหุ้น ทั้งนี้ โดยให้คำนึงถึงความสอดคล้องกับข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น กฎหมายเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กฎหมายเกี่ยวกับการพลังงาน หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) เป็นต้น แล้วให้จัดทำผลการพิจารณาส่งไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเพื่อรวบรวมนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1787 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ | สสป | 31/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่อง ต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกันโรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ในช่วงสถานการณ์ปกติ ๑.๑ จัดทำฐานข้อมูลที่เป็นระบบ และพัฒนาระบบบริการสาธารณสุข เพื่อให้สามารถรับมือกับวิกฤตการระบาดของโรคอุบัติใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อีก ๑.๒ ควรมีโครงสร้างการบริหารจัดการแบบไตรภาคี (ภาครัฐ เอกชน และประชาชน) ในการเฝ้าระวังและควบคุมโรคอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทุกภาคส่วนสามารถรับรู้ถึงสถานการณ์การระบาดของโรคได้อย่างทั่วถึง และมีการเตรียมพร้อม ป้องกันแก้ไข หากมีการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๑.๓ มีระบบการประชาสัมพันธ์อย่างทันท่วงทีเมื่อมีโรคติดต่ออุบัติใหม่ พร้อมทั้งให้มีข้อกำหนดแก่สาธารณะด้านสุขอนามัยที่จะเป็นพื้นฐานด้านสุขอนามัยในการป้องกันโรคติดต่อร้ายแรง ๒. ในช่วงเกิดการแพร่ระบาดของโรคอุบัติใหม่ ๒.๑ มาตรการด้านสื่อและการประชาสัมพันธ์เพื่อดูแลภาพลักษณ์ สร้างความเชื่อมั่นในด้านการท่องเที่ยวและงานบริการทั้งภายในและภายนอกประเทศ ๒.๑.๑ ควรมี “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” ซึ่งมีโครงสร้างที่บูรณาการกับทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องในช่วงเวลาวิกฤต ที่ควบคุมการสร้างภาพลักษณ์ที่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะต้องเป็นการสื่อในเชิงสร้างสรรค์ภายใต้ข้อมูลที่เป็นจริง และมีการจัดระบบการนำเสนอข่าวที่ชัดเจน ๒.๑.๒ จัดตั้งศูนย์สายด่วน (Hot line) ใน “ศูนย์แถลงข่าวแห่งชาติ” เพื่อรับเรื่องตลอด ๒๔ ชั่วโมง และรองรับภาษาต่างชาติที่เป็นภาษาหลัก เช่น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สเปน ฝรั่งเศส อาหรับ เป็นต้น ๒.๑.๓ จัดกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคระบาดและโรคติดต่อที่กำลังระบาดและอาจจะเกิดขึ้นในอนาคตให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มบทบาท เช่น กลุ่มผู้มีบทบาทในสังคม ได้แก่ ผู้นำศาสนา ผู้นำชุมชน อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) นักข่าว ครู นักเรียน เป็นต้น ๒.๑.๔ จัดทำคู่มือการปฏิบัติงานในภาวะฉุกเฉินที่สามารถดำเนินการได้ทันทีโดยเฉพาะการรับเรื่องแจ้งเหตุ เรื่องการป้องกันควบคุมเบื้องต้น โดยใช้ระบบสาธารณสุขและการประชาสัมพันธ์อย่างครบวงจร เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ๒.๒ เพิ่มความเข้มข้นของมาตรการด้านสาธารณสุขที่ประกาศใช้ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและทุกพื้นที่ และเน้นระบบการติดตามผลการดำเนินนโยบาย มีการรายงานต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่องเป็นระบบ ๒.๓ มาตรการส่งเสริมและสนับสนุนด้านอื่น ๆ ๒.๓.๑ เสริมสร้างการมีส่วนร่วมให้ภาคเอกชน ชุมชน ท้องถิ่น และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการดูแล เฝ้าระวัง ป้องกัน ควบคุม และรายงานสถานการณ์อย่างชัดเจน เช่น การจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจแบบไตรภาคี มีบทบาทในการขับเคลื่อนกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละชุมชน ได้แก่ การตั้งข้อกำหนดการปฏิบัติตนให้พ้นจากโรคระบาดอุบัติใหม่ หรือการให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility) โดยการสนับสนุนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นต้น ๒.๓.๒ การควบคุมรักษามาตรฐานความสะอาดในแหล่งบริการทางสาธารณะ เช่น ห้องน้ำสาธารณะ สวนสาธารณะ บริการระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ ที่ดื่มน้ำสะอาด เป็นต้น ๒.๓.๓ เน้นการส่งเสริมให้เกิดวินัยและจิตสาธารณะรับผิดชอบต่อสังคม ในการสร้างความร่วมมือสกัดกั้นการระบาดของโรคอุบัติใหม่ โดยจัดทำข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะของแต่ละกลุ่มบุคคล เช่น สุขบัญญัติในการประกอบอาหารของสถานประกอบการร้านอาหารและบริการ การใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน เป็นต้น การส่งเสริมในเชิงบวกกับผู้ให้บริการสาธารณะ (ที่เกี่ยวกับอาหารและยา รถสาธารณะ) เช่น การออกใบรับรอง หรือเครื่องหมายแสดงถึงการให้บริการที่มีมาตรฐานให้กับผู้ประกอบการที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดหรือบทบัญญัติด้านสุขลักษณะ และส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยของบุคคลในการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น สุขบัญญัติ ๑๐ ประการ (สุขวิทยาส่วนบุคคล) พฤติกรรมการใช้ห้องสุขา เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
1788 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 3/2554 (เพิ่มเติม) | นร | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยที่ประชุมฯ มีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสถานการณ์ท่องเที่ยวไทยไตรมาส ๑/๒๕๕๔ และทิศทางในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสนอ พร้อมทั้งให้หน่วยงานรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามข้อเสนอแนวทางการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ได้แก่ การเร่งแก้ไขข้อขัดแย้งในการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวในการเดินทางเข้าถึงและการเดินทางภายในพื้นที่ท่องเที่ยว การศึกษาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการท่องเที่ยวของไทยเพื่อนำไปสู่ “การท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ (High Value Tourism)” โดยใช้ตลาดนำ (Market - led) การจัดทำ “บัญชีประชาชาติด้านการท่องเที่ยว (Tourism Satellite Account : TSA)” ให้ครอบคลุมสาขาสำคัญ ๆ ด้านการท่องเที่ยว การปรับกลยุทธ์ทางการท่องเที่ยวทั้งในระดับภาพรวมและระดับพื้นที่ให้มีจุดขายที่ชัดเจนและสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการท่องเที่ยวที่เหมาะสม การเร่งกระบวนการทำงานของรัฐเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียนด้านการท่องเที่ยวให้มีความเป็นบูรณาการมากขึ้นในระดับปฏิบัติ และเร่งรัดการถ่ายโอนอำนาจการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวให้องค์กรภาคเอกชน ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาตินำยุทธศาสตร์ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยทั้ง ๖ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไทยในแนวทางการสร้างคุณค่าด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมอย่างครบวงจร และสามารถต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมให้อยู่ร่วมกับสังคมได้อย่างยั่งยืน ยุทธศาสตร์การพัฒนาการดำเนินธุรกิจในรูปแบบคลัสเตอร์ ยุทธศาสตร์มาตรการเชิงรุกสำหรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และการเตรียมความพร้อมสำหรับเขตการค้าเสรี ยุทธศาสตร์การสนับสนุนปัจจัยเอื้อต่อการประกอบอุตสาหกรรม และยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ความยั่งยืนของอุตสาหกรรม ไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานหลักในการประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และภาคเอกชนในการพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของยุทธศาสตร์และแนวทางที่ต้องดำเนินการให้ชัดเจน รวมทั้งพิจารณาเสนอแนะรูปแบบกลไกในการขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงาน ๓. รับทราบความคืบหน้าการพิจารณาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการก่อสร้างในเขตจังหวัดที่มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง ซึ่งออกตามความในพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้เร่งนำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในสัปดาห์หน้า ๔. รับทราบผลการสัมมนาเรื่อง “การจัดอันดับความสามารถทางการแข่งขันของประเทศไทยโดย IMD” ตามที่ฝ่ายเลขานุการเสนอ และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาวิเคราะห์การจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของไทยให้มีความชัดเจนมากขึ้น ๕. รับทราบผลการจัดงาน “Thailand Focus 2011 - Enhancing Thailand’s Competitiveness Through the Next Decade” ตามที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทยเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับเรื่องการเจรจากับประเทศจีนเพื่อดำเนินการจัดทำ MOU ระหว่างหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ของจีนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ของไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนจีนมาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1789 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง แนวทางการปฏิรูปประเทศไทยท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลง | สสป | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ ด้านการปฏิรูปด้านสังคม เช่น การปฏิรูปการศึกษา ควรนำปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ปรัชญาการศึกษาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และพุทธปรัชญาการศึกษา หรือการศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง ควรส่งเสริมให้คนไทยได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การศึกษาทางเลือก ให้เป็นการศึกษาตลอดชีวิต และควรให้การศึกษาเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการส่งเสริมวัฒนธรรมให้คนไทยมีความภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย และการศึกษาจะต้องสร้างความเป็นพลเมืองดี (Good Citizen) การปฏิรูปค่านิยมความซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน ควรปฏิบัติตามยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ของคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ควรปฏิรูปองค์กรด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิของให้เป็นองค์กรอิสระ เลือกคนดี คนเก่งเข้ามาทำงาน การปฏิวัติจิตสำนึก ปฏิวัติศีลธรรม ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบประชาชนมีส่วนร่วมได้มากกว่าเพียงการเลือกตั้ง เป็นต้น ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ อาทิ เห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาที่ปรึกษา ฯ เนื่องจากเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่ ๒ แผนปฏิรูปประเทศไทย “เพื่ออนาคตคนไทยที่เท่าเทียมและเป็นธรรม” ด้านการสร้างอนาคตของชาติด้วยการพัฒนาคน เด็กและเยาวชน และนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายการลงทุนสาขาศึกษาที่อยู่ภายในแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
1790 | ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... | กค | 03/05/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสรุปผลการพิจารณาร่วมระหว่างหน่วยงาน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ซึ่งมีความเห็นร่วมกันในหลักการว่า ร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่จะทำให้การลงทุนในกิจการของรัฐมีความคล่องตัวและสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายโดยเฉพาะการลงทุนในกิจการของรัฐที่มีความสมดุลมากยิ่งขึ้นในขณะที่ยังคงรักษาและส่งเสริมระบบวินัยการเงินการคลังของรัฐ ตลอดจนความโปร่งใสในการทำสัญญากับเอกชน เพื่อประกอบการพิจารณาปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติฯ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรปรับปรุงถ้อยคำในมาตรา ๘ ให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยกำหนดให้โครงการเอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐดำเนินการตามขั้นตอนตามร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... เพียงฉบับเดียว เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติของหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจ และตามที่ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณเสนอเพิ่มเติมว่า ควรแก้ไขความในมาตรา ๔๕ (๑) จาก “เงินประเดิม หรือเงินที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน” เป็น “เงินประดิมที่ได้รับจากงบประมาณแผ่นดิน” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป ๓. ในระหว่างที่ร่างพระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. .... อยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้กระทรวงการคลังศึกษาและจัดทำแผนยุทธศาสตร์การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐและกฎหมายลำดับรองที่จำเป็นเพื่อรองรับการประกาศใช้พระราชบัญญัติฯ โดยให้สามารถแต่งตั้งคณะทำงานต่าง ๆ และหรือว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการดังกล่าวได้อย่างเป็นระบบ |
|||||||||||||||||||||||||||
1791 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขวิกฤตยางพาราอย่างครบวงจร | สสป | 26/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาวิกฤติยางพาราอย่างครบวงจร” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านนโยบาย ๑.๑ สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการยางแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศ ๑.๒ กำหนดให้ยางพาราเป็นวาระแห่งชาติโดยให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงความสำคัญของยางพาราในฐานะตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ๑.๓ กำหนดนโยบายเชิงกลยุทธ์ให้มีการแปรรูปยางดิบเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อส่งออกและใช้ภายในประเทศให้ได้ร้อยละ ๒๐ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ จัดตั้งกองทุนรักษาราคายางเพื่อรักษาเสถียรภาพและพยุงราคาในช่วงราคายางตกต่ำ โดยส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรของเกษตรกรชาวสวนยางที่มีโรงงานแปรรูปเป็นของตนเองรับผิดชอบเก็บสะสมยางพาราซึ่งสามารถเก็บรักษาไว้ได้เมื่อราคายางตกต่ำ ๑.๕ สนับสนุนเงินออมให้เกษตรกรชาวสวนยาง โดยผ่านระบบเงินสงเคราะห์ (CESS) ในอัตราก้าวหน้าและรัฐจะต้องสมทบอีกครึ่งหนึ่ง (รูปแบบการจัดเก็บคล้ายกับกองทุนประกันสังคม) ๑.๖ สนับสนุนให้เกษตรกรปลูกยางพันธุ์ดีหลายสายพันธุ์ในพื้นที่เหมาะสม และให้ปลูกไม้ยืนต้นเสริมในสวนยางเพื่อช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศและเป็นรายได้พิเศษแก่ชาวสวนยางหรือพืชผลจากไม้ยืนต้น และสนับสนุนให้เกษตรกรบางส่วนทำสวนผสมผสานปลูกไม้หลาย ๆ ชนิดแบบป่ายางแทนที่เป็นสวนยาง ๑.๗ สนับสนุนให้เกิดการรวมตัวของชาวสวนยางขนาดเล็กเป็นสถาบันเกษตรกรในรูปแบบวิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร สมาคมชาวสวนยาง หรือสหกรณ์การเกษตรครบวงจรแบบพึ่งตนเอง ๒. ด้านมาตรการ ๒.๑ มาตรการระยะสั้น (ประมาณ ๓ เดือน - ๑ ปี) เพื่อรักษาระดับราคาและแก้ปัญหาคนตกงาน อาทิ ๒.๑.๑ ลดอุปทานหรือปริมาณการเสนอขายยางพาราโดยประกันราคาผ่านกองทุนรักษาราคายาง เพื่อเก็บสะสมยางพาราในช่วงราคาตกต่ำ ๒.๑.๒ ให้มีการแปรรูปยางดิบเป็นผลิตภัณฑ์ยางเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม ๒.๑.๓ ส่งเสริมและสนับสนุนให้สถาบันเกษตรกรแปรรูปผลิตภัณฑ์ยาง ๒.๑.๔ สนับสนุนให้เกษตรกรพัฒนาความรู้และรู้จักใช้เทคโนโลยี ๒.๑.๕ ให้สถาบันวิจัยยางทำการศึกษาวิจัยเพื่อเพิ่มมูลค่ายาง ๒.๑.๖ ส่งเสริมและสนับสนุนการแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางขั้นต้น โดยใช้เทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน ๒.๑.๗ ฝึกอบรมคนว่างงานจากภาคอุตสาหกรรมที่ประสงค์จะทำอาชีพกรีดยางและอบรมแรงงานกรีดยางที่ไร้ฝีมือขึ้นทดแทนแรงงานต่างชาติ พร้อมทั้งออกใบรับรองให้ ๒.๒ มาตรการระยะปานกลาง (ประมาณ ๑ - ๓ ปี) เพื่อพัฒนายางพันธุ์ดี สร้างแรงงานกรีดยางที่มีฝีมือ สนับสนุนใช้ปุ๋ยอินทรีย์ อาทิ ๒.๒.๑ สนับสนุนการวิจัย พัฒนายางพันธุ์ดี โดยคำนึงถึงภูมิประเทศที่แตกต่างกันให้แก่เกษตรกรที่สามารถผลิตน้ำยางได้มากและมีลำต้นใหญ่เมื่อขายไม้ยางก็จะได้ราคาสูง ๒.๒.๒ ให้เกษตรกรใช้ปุ๋นอินทรีย์ทดแทนการใช้ปุ๋ยเคมี ๒.๒.๓ สนับสนุนการปลูกป่ายางตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง โดยมีการปลูกต้นยางผสมผสานกับพืชผักไม้ผลหลาย ๆ ชนิด และเลี้ยงสัตว์ ๒.๒.๔ สนับสนุนให้มีการใช้ผลิตภัณฑ์ไม้ยางแปรรูปให้มากขึ้น ๒.๒.๕ พัฒนาและส่งเสริมความยั่งยืนในการจัดทำผลิตภัณฑ์จากยางพารา โดยการสร้างมาตรฐานของโรงงานให้มีความปลอดภัย มีสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมทั้งวางระบบการบริหาร การจัดการด้านการตลาดให้สามารถรองรับผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพารา ๒.๓ มาตรการระยะยาว (ประมาณ ๕ ปี) สนับสนุนการจัดตั้งการประกันสังคมชาวสวนยางเป็นการเฉพาะ และสนับสนุนการจัดตั้งสถาบันเกษตรกรให้เข้มแข็งและให้ใช้เงินสงเคราะห์ (CESS) อาทิ ๒.๓.๑ สนับสนุนการประกันสังคมให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางเป็นการเฉพาะโดยใช้มาตรการสนับสนุนเงินออมแบบประกันสังคมโดยเก็บเงินสงเคราะห์ (CESS) ในอัตราก้าวหน้า ตามปริมาณที่ขายยาง เข้ากองทุนรักษาเสถียรภาพราคาและกองทุนการออม ๒.๓.๒ ให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยการยาง ๒.๓.๓ สร้างบุคลากรด้านการแปรรูปยางหรือเทคโนโลยีการผลิตผลิตภัณฑ์ยางเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยางให้เพียงพอ ๒.๓.๔ สนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันเกษตรกรตั้งแต่ระดับหมู่บ้านจนถึงระดับชาติ ๒.๓.๕ เร่งเผยแพร่ ถ่ายทอดเทคโนโลยีของชุมชนในการจัดทำโรงงานเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยางพารา ๒.๓.๖ สนับสนุนภาคเอกชนเสริมความรู้และเทคโนโลยีกับอุดหนุนปัจจัยการผลิตที่จำเป็นต่อการบำรุงรักษาสวนยาง ๒.๓.๗ จัดทำยุทธศาสตร์พัฒนายางพาราไทยให้สำเร็จเป็นรูปธรรมเพื่อใช้เป็นแผนแม่บทในการกำหนดทิศทางการพัฒนายางพาราของประเทศ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1792 | หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) เกี่ยวกับข้อมูลรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่กลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคลจะได้รับ เช่น ที่ทำกิน การศึกษา การรักษาพยาบาล เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เป็นต้น รวมทั้งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ ๒. ผลการพิจารณาเกี่ยวกับความเห็นของสำนักงานอัยการสูงสุด เรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายตามยุทธศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล โดยสำนักงานอัยการสูงสุดมีความเห็น สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ หลักเกณฑ์การกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ ตามมติคณะรัฐมนตรี (๗ ธันวาคม ๒๕๕๓) มีเงื่อนไขที่สำคัญคือ ต้องเป็นบุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นเวลานาน ไม่มีจุดเกาะเกี่ยวและไม่ถือสัญชาติของประเทศต้นทาง รวมทั้งไม่มีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง ๒.๒ การจะได้รับการกำหนดสถานะกลุ่มเป้าหมายจะต้องยื่นคำร้องขอมีสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นลำดับแรกก่อน ส่วนบุตรที่เกิดในประเทศไทยต้องยื่นขอสัญชาติไทย มิใช่เป็นการได้สัญชาติไทยโดยทันที ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดซึ่งจะมีเงื่อนไขและกระบวนการคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันมิให้เกิดช่องว่างหรือเป็นสาเหตุจูงใจให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองใช้เป็นแบบอย่างในการขอสัญชาติ และป้องกันปัญหาสองสัญชาติ ทั้งนี้ หากบุคคลเป้าหมายมีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงก็สามารถเพิกถอนสถานะได้ ๒.๓ ประเด็นสิทธิพิเศษ ในทางกฎหมายมิได้ระบุเป็นการเฉพาะเจาะจงที่จะให้สิทธิดังกล่าวแต่มุ่งหมายคุ้มครองสิทธิในการอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของชนกลุ่มน้อยเป็นการทั่วไปไม่ว่าจะมีสัญชาติไทยหรือไม่ก็ตาม หากบุคคลเหล่านี้ผ่านกระบวนการคัดกรองอย่างเข้มงวดตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดจนได้รับสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือได้รับสัญชาติไทยแล้ว ในหลักการย่อมมีความชอบธรรมที่จะได้รับสิทธิในเรื่องต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด ๒.๔ ประเด็นเกี่ยวกับข้อเสนอการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาในระดับทวิภาคีและพหุภาคีกับประเทศต้นทาง รวมถึงการเสนอเรื่องไปยังองค์การสหประชาชาติเพื่อนำไปสู่การส่งกลับผู้หลบหนีเข้าเมือง ซึ่งที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญและพยายามดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องในระดับหนึ่ง แต่ด้วยข้อจำกัดเนื่องจากสถานการณ์และปัญหาภายในของประเทศต้นทางไม่เอื้ออำนวย รวมทั้งเป็นประเด็นที่มีความสุ่มเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การแก้ปัญหาจำเป็นต้องพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างเหมาะสม
|
|||||||||||||||||||||||||||
1793 | รายงานผลการพิจารณาของ ก.พ. เรื่องสถาบันพระปกเกล้าขออนุมัติให้หลักสูตรสถาบันพระปกเกล้าเป็นหลักสูตรนักบริหารระดับสูง | นร | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาของ ก.พ. เรื่อง สถาบันพระปกเกล้าขออนุมัติให้หลักสูตรสถาบันพระปกเกล้าเป็นหลักสูตรนักบริหารระดับสูง ตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ที่ประชุม ก.พ. เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๕๓ วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ได้พิจารณาข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้า และมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติเป็นหลักการให้ผู้ผ่านการศึกษาอบรมหลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.) รุ่นที่ ๘ และหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปศส.) รุ่นที่ ๗ ที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตร ส.นบส. ของสำนักงาน ก.พ. เป็นผู้มีคุณสมบัติเสมือนผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (นบส.) ของสำนักงาน ก.พ. เช่นเดียวกับผู้ที่สภาสถาบันพระปกเกล้าอนุมัติการสำเร็จการศึกษาอบรมก่อนวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๒ ๒. เห็นชอบกับการรับรองหลักสูตรการฝึกอบรมนักบริหารระดับสูงและการรับรองข้าราชการผู้ผ่านการฝึกอบรมในหลักสูตรนักบริหารระดับสูงที่จัดโดยส่วนราชการและหน่วยงานอื่นเพื่อแจ้งให้ส่วนราชการทราบและใช้ประกอบการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักบริหาร ระดับต้น ทั้งนี้ การรับรองให้ข้าราชการผู้ผ่านการฝึกอบรมในหลักสูตรนักบริหารระดับสูงที่จัดโดยส่วนราชการและหน่วยงานอื่นเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเสมือนได้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงของสำนักงาน ก.พ. โดยในส่วนของสถาบันพระปกเกล้า ประกอบด้วย ข้าราชการผู้ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสำหรับนักบริหารระดับสูง (ปปร.) รุ่นที่ ๑ - ๑๒ หลักสูตรการบริหารงานภาครัฐและกฎหมายมหาชน (ปรม.) รุ่นที่ ๑ - ๘ และหลักสูตรการบริหารเศรษฐกิจสาธารณะสำหรับนักบริหารรดับสูง (ปศส.) รุ่นที่ ๑ - ๗ และรุ่นที่ ๘ เฉพาะรายที่ผ่านการฝึกอบรมในโครงการฝึกอบรมเสริมหลักสูตรนักบริหารระดับสูง (ส.นบส.) แล้ว
|
|||||||||||||||||||||||||||
1794 | ข้อเสนอการตราพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... | สม | 20/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย เรื่อง การตราพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. .... สรุปได้ ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติว่าด้วยการชุมนุมสาธารณะ ควรเป็นกฎหมายที่เจ้าหน้าที่รัฐใช้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดการการชุมนุมสาธารณะ เว้นแต่เมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนที่ยากต่อการบริหารราชการ จึงจะนำกฎหมายพิเศษมาบังคับใช้ แต่ต้องทำภายในระยะเวลาอันจำกัดเท่าที่จำเป็นแก่สถานการณ์ ๒. การตรากฎหมายมาใช้บังคับในเรื่องการชุมนุมสาธารณะ ควรกำหนดชื่อของกฎหมายที่แสดงความหมายให้ตรงกับเจตนารมณ์ที่จะมุ่งส่งเสริมและคุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมสาธารณะของประชาชน ๓. อำนาจในการห้ามการชุมนุม การสั่งให้เลิกการชุมนุม หรือการคัดค้านการชุมนุม ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานเดียวกันคือ มอบให้ฝ่ายบริหาร (ฝ่ายปกครอง) เป็นผู้ตัดสินใจในขั้นตอนสุดท้าย และรับผิดชอบในการตัดสินใจดังกล่าว ดังนั้น เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่มีคำสั่งห้ามหรือให้เลิกการชุมนุมสาธารณะ ผู้จัดการชุมนุมหรือผู้นำการชุมนุมควรมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ต่อฝ่ายบริหารระดับสูงขึ้นไปเป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ และเมื่อได้ดำเนินการตามขั้นตอนวิธีการในฝ่ายปกครองจนครบถ้วนแล้ว ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้จัดการชุมนุมหรือผู้นำการชุมนุมที่จะนำคดีไปสู่ศาลปกครองได้ต่อไป ๔. การชุมนุมสาธารณะควรบัญญัติให้ครอบคลุมถึงองค์การระหว่างประเทศ เช่น ที่ทำการขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งควรได้รับความคุ้มครองเช่นเดียวกับสถานทูตหรือสถานกงสุลของรัฐต่างประเทศ ๕. การกำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการจัดการเกี่ยวกับสถานที่ที่ใช้ชุมนุม โดยมีอำนาจหน้าที่อำนวยความสะดวก ดูแลรักษาความปลอดภัย และจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมให้ประชาชนร่วมชุมนุมสาธารณะ ควรกำหนดให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมากกว่าเป็นการใช้ดุลพินิจจะจัดสถานที่หรือไม่ก็ได้ ๖. ผู้ที่ประสงค์จัดการชุมนุมสาธารณะ และการชุมนุมนั้นกระทบต่อความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ ต้องให้มีหนังสือแจ้งการชุมนุมไม่น้อยกว่า ๗๒ ชั่วโมง การชุมนุมสาธารณะที่ไม่ได้แจ้งภายในระยะเวลาดังกล่าว ต้องขอผ่อนผันต่อผู้บัญชาการตำรวจนครบาลหรือผู้ว่าราชการจังหวัด และต้องได้รับอนุญาตให้ผ่อนผันเสียก่อนจึงจะชุมนุมได้ การชุมชนโดยยังมิได้รับอนุญาตให้ถือว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ๗. อำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ ควรกำหนดกรอบและขั้นตอนการควบคุมฝูงชน ซึ่งรวมถึงการใช้กำลังเพื่อให้ผู้ชุมนุมยุติหรือเลิกการชุมนุมไว้ในพระราชบัญญัติฉบันนี้ ส่วนการจับกุม การค้น รวมทั้งกระทำต่อทรัพย์สินของผู้ชุมนุมโดยการยึดอายัดทรัพย์สิน ศาลต้องสั่งอนุญาตให้ออกหมายจับ หมายค้น ฯลฯ เสียก่อน ภายใต้ข้อสันนิษฐานตามกฎหมายที่เชื่อว่าผู้กระทำผิดจะหลบหนี หรือทรัพย์สินสำหรับใช้ในการกระทำความผิดจะถูกเคลื่อนย้ายหรือถูกทำลาย สำหรับบทกำหนดโทษจำคุกแก่ผู้จัดการชุมนุมสาธารณะกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัตินี้ การลงโทษควรเป็นโทษทางปกครอง (ปรับทางปกครอง) ไม่ใช่โทษทางอาญา (จำคุก) เพราะการชุมนุมเป็นสิทธิและเสรีภาพที่ได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ ผู้ที่กระทำความผิดไม่ใช่อาชญากร จึงไม่ควรกำหนดความผิดที่จะต้องรับโทษทางอาญาไว้ในกฎหมายฉบับนี้ ๘. กำหนดให้มีกลไกรองรับการชุมนุมสาธารณะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การปรับปรุงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นการเฉพาะ
|
|||||||||||||||||||||||||||
1795 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ ครั้งที่ 2/2554 (เพิ่มเติม) | นร | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ (เพิ่มเติม) เมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติของคณะกรรมการ กรอ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กรอ. เสนอ โดยคณะกรรมการ กรอ. มีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศจัดส่งข้อมูลการดำเนินการแลกเปลี่ยนสัตยาบันอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสหภาพพม่า ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เพื่อจัดทำข้อมูลประกอบการเยือนสหภาพพม่าของรองนายกรัฐมนตรี (นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี) ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงการคลัง กระทรวงพลังงาน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์ร่วมกันอีกครั้ง โดยให้มีการพิจารณารายละเอียดครอบคลุมถึงกรณีที่การปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตรถยนต์อาจทำให้เกิดภาระภาษีเพิ่มขึ้น ผลกระทบที่จะทำให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในการแข่งขัน และกรอบระยะเวลาในการปรับตัวของภาคเอกชนที่เหมาะสมและเป็นไปได้ด้วย ๓. รับทราบความคืบหน้าการกำหนดจำนวนที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการและหน่วยงานของรัฐจะต้องรับคนพิการเข้าทำงานและจำนวนเงินที่นายจ้างหรือเจ้าของสถานประกอบการจะต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ตามที่ สศช. เสนอ โดยให้กระทรวงแรงงาน และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับองค์กรภาคเอกชน ๒ สถาบัน ได้แก่ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เร่งรัดดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลจำนวนคนพิการในวัยแรงงานที่จะประสงค์จะทำงาน เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการร่วมกัน ๔. รับทราบความคืบหน้าแนวทางการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวไทยปี ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยให้ สศช. ในฐานะฝ่ายเลขานุการ ติดตามความคืบหน้าการดำเนินมาตรการลดหย่อนค่าประกันการใช้ไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม และมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมประกอบธุรกิจโรงแรมปีละ ๘๐ บาทต่อห้องพัก แล้วรายงานให้คณะกรรมการ กรอ. ทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
1796 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | สสป | 12/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรีให้เป็นหน่วยงานหลักในการจัดประชุมพิจารณาดำเนินการจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ทั้ง ๖ หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงอุตสาหกรรม เร่งรัดดำเนินการจัดทำรายงานผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวข้อง (รวม ๙ เรื่อง) และจัดส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีโดยด่วนภายใน ๓๐ วัน เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๑.๑ การใช้ประโยชน์สนามบินดอนเมืองควบคู่สนามบินสุวรรณภูมิ ๑.๒ การพัฒนาอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลของประเทศไทย ๑.๓ การป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการพัฒนาอุตสาหกรรมในภาคตะวันออก กรณีศึกษาจังหวัดระยอง ๑.๔ แนวทางการแก้ไขวิกฤติยางพาราอย่างครบวงจร ๑.๕ ปัญหาเขาพระวิหารกรณีการคัดค้านการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ๑.๖ การดำเนินการของรัฐต่อการคิดค่าเสียหายจากประชาชนในการทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ๑.๗ กลยุทธ์การสร้างความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องต่อการท่องเที่ยวของไทย ด้วยแผนการป้องกัน โรคระบาดอุบัติใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๘ การปรับปรุงการบริหารจัดการและการบริการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ๑.๙ การจัดการอันตรายจากแร่ใยหินไครโซไทล์เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพผู้บริโภค ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) รับไปกำกับติดตามการดำเนินการของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
1797 | ขอความเห็นชอบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ | กค | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการผลการประชุมของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงานภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่วนราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป โดยมติที่ประชุมมี ดังนี้ ๑.๑ ให้แต่ละส่วนราชการที่มีระเบียบเกี่ยวกับเงินรายได้อยู่แล้วปรับแก้ไขระเบียบกำหนดให้สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ที่ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ตามความเหมาะสมในแต่ละประเภทงานและข้อเท็จจริง และกรณีส่วนราชการที่ดำเนินการจ้างเป็น Unit Cost ให้ปรับ Unit Cost เฉพาะในเขตพื้นที่ ๔ จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สูงกว่าในเขตพื้นที่ปกติทั่วไปโดยระบุเป็นเงื่อนไขพิเศษ หรือกรณีจ้างแรงงานทั่วไปที่ทำงานในพื้นที่ ก็ให้พิจารณากำหนดอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติในเรื่องดังกล่าวสำหรับกรณีที่ส่วนราชการที่ได้รับเงินอุดหนุนเป็นค่าใช้จ่ายรายหัวต่อคนจากรัฐในการบริหารจัดการ ก็สามารถขอเพิ่มเงินอุดหนุนต่อสำนักงบประมาณได้ ทั้งนี้ การขอเพิ่มเงินอุดหนุนดังกล่าวต้องเท่าที่จำเป็น ๑.๒ ให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รายงานผลการพิจารณาเรื่อง การจ่ายเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน ภาครัฐอื่น ๆ ที่ปฏิบัติงานในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่ได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้คณะรัฐมนตรีทราบ ๒. หากส่วนราชการใดมีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว ให้แจ้งข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไปยังสำนักงบประมาณโดยด่วน เพื่อให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาในภาพรวมให้เกิดความคล่องตัวและเหมาะสมเป็นธรรม แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
1798 | ผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน ครั้งที่ 2/2554 | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) ครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๔ และเห็นชอบผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการ กพบ. เสนอ โดยผลการพิจารณาและมติคณะกรรมการ กพบ. มี ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๓ (นครพนม - คำม่วน) ซึ่งมีผลงานการก่อสร้างแล้วเสร็จร้อยละ ๘๑.๕๙ เร็วกว่าแผนงานร้อยละ ๑๐.๐๒ และความก้าวหน้าการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ แห่งที่ ๔ (เชียงของ - ห้วยทราย) ซึ่งมีความก้าวหน้าของงานร้อยละ ๘.๕๓ เร็วกว่าแผนงานการก่อสร้างเล็กน้อย รวมทั้งความก้าวหน้าการเตรียมความพร้อมในฝั่งไทยเพื่อรองรับการเปิดสะพานมิตรภาพฯ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้ฝ่ายเลขานุการฯ ติดตาม และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเปิดใช้สะพานได้ตามกำหนดเวลา พร้อมรับความเห็นของคณะกรรมการ กพบ. เกี่ยวกับการจัดทำข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สะพานร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน และการหารือเพื่อกำหนดการเก็บค่าธรรมเนียมในการใช้สะพาน และการจัดสรรตอบแทน (ค่าธรรมเนียม) ระหว่างไทยกับ สปป.ลาว เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๒. ที่ประชุมรับทราบผลการศึกษาเส้นทางเชื่อมโยงบ้านภูดู่ (อำเภอบ้านโคก จังหวัดอุตรดิตถ์) - เมืองปากลาย แขวงไซยะบุรี สปป.ลาว ซึ่งมีขั้นตอนการศึกษา ๒ ระยะ คือ ระยะที่ ๑ การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ได้แก่ การศึกษาด้านวิศวกรรม การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม ผลประโยชน์ของโครงการ การศึกษาด้านผลกระทบทางสังคม และการศึกษาความคุ้มค่าต่อการลงทุน ขณะนี้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว และระยะที่ ๒ การสำรวจและออกแบบรายละเอียด ซึ่งเริ่มในวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และกำหนดการดำเนินงานให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลา ๑๕๐ วัน ๓. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการเตรียมความพร้อมในส่วนของไทยในการประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ซึ่งสหภาพพม่าจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งผลักดันกระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ว่าด้วยการอนุมัติการให้เป็นไปตามความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง) ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... (เป็นกฎหมายแยกต่างหากเฉพาะเรื่องผ่านแดนของ GMS) และร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... เพื่อให้สามารถให้สัตยาบันเอกสารที่ยังค้างอยู่อีก ๖ ฉบับ เพิ่มเติมได้ก่อนการประชุมสุดยอดผู้นำ ครั้งที่ ๔ รวมทั้งผลักดันกระบวนการภายในประเทศและประสานประเทศเพื่อนบ้านเพื่อให้ไทยสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยนำร่องการอำนวยความสะดวกการข้ามพรมแดนของคนและสินค้าระหว่างไทย - ลาว - จีน ณ ด่านเชียงของ - ห้วยทราย และด้านบ่อเต้น - โมฮั่น ร่วมกันภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ การแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรระหว่างไทย - กัมพูชาได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเร่งรัดกระบวนการเพื่อให้ไทยสามารถลงนามความตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระบบโครงข่ายทางด่วนสารสนเทศและข้อมูลข่าวสารร่วมกับประเทศสมาชิกได้ในการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านโทรคมนาคม ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ณ นครคุนหมิง มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ๔. ที่ประชุมเห็นชอบในหลักการการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขง โดยพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เป็นไปได้ระหว่าง ๔ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนก่อน ได้แก่ ไทย - จีนตอนใต้ - พม่า - ลาว และให้ใช้ต้นแบบของไทย - กัมพูชา ที่ดำเนินการนำร่องการตรวจลงนามเดียวในกรอบ ACMECS และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายละเอียดเสนอต่อคณะกรรมการ กพบ. พร้อมทั้งผลักดันให้บรรจุเรื่องการตรวจลงตราเดียวเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศลุ่มแม่น้ำโขงเป็นวาระการประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส ๕. ที่ประชุมเห็นชอบเรื่องที่ต้องเร่งรัดดำเนินงานในส่วนของไทยตามผลการประชุมเพื่อขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ครั้งที่ ๔ เมื่อวันที่ ๒๐ - ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ณ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามข้อสั่งการของผู้นำแผนงาน IMT - GT ทั้งในด้านการจัดประชุมคณะทำงานและการดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถรายงานต่อที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT - GT ในโอกาสการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๘ ที่อินโดนีเซีย ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานและติดตามความก้าวหน้าเสนอคณะกรรมการ กพบ. และให้จัดประชุมระดมความเห็นของฝ่ายไทยกับภาคีที่เกี่ยวข้องในการปรับรูปแบบการดำเนินงานแผนงานโดยพิจารณาจากข้อเสนอตามผลการประชุมที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อหาข้อสรุปเสนอต่อที่ประชุมระดับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่อาวุโส ครั้งที่ ๑๘ ก่อนเสนอที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ ที่อินโดนีเซียต่อไป รวมทั้งเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำร่างกรอบความร่วมมือระหว่าง IMT - GT กับรัฐบาลญี่ปุ่น และระหว่าง IMT - GT กับ ERIA แล้วรายงานต่อคณะกรรมการ กพบ.
|
|||||||||||||||||||||||||||
1799 | ผลการพิจารณาให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภาคใต้ของคณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตามการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | นร | 04/04/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท รวม ๑๐ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดนครศรีธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ตรัง ชุมพร สงขลา กระบี่ พังงา สตูล และนราธิวาส ตามหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือที่คณะกรรมการอำนวยการ กำกับ ติดตาม การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (คชอ.) กำหนด ในกรอบไม่เกินจำนวน ๕๗๙,๐๖๒ ครัวเรือน รวมงบประมาณทั้งสิ้นไม่เกิน ๒,๘๙๕,๓๑๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเป็นจำนวนที่ประเมินเบื้องต้น ต้องมีการตรวจสอบให้มีความถูกต้องชัดเจนก่อนจ่ายเงินช่วยเหลือ ทั้งนี้ ให้เป็นการช่วยเหลือกรณีพิเศษเฉพาะภัยพิบัติครั้งนี้เท่านั้น และให้ถัวจ่ายข้ามจังหวัดได้ โดยจ่ายผ่านธนาคารออมสิน ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธาน คชอ. เสนอ ๒. เห็นชอบหลักเกณฑ์และแนวทางการจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้ ครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท สำหรับอุทกภัยตั้งแต่วันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๕๔ ให้สิ้นสุดในเวลา ๓ เดือน ภายในวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย) ประธาน คชอ. เสนอ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่มในภาคใต้ดังกล่าวด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
1800 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคมนาคมขนส่งภายในศูนย์ราชการ (แจ้งวัฒนะ) | สสป | 28/03/2554 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การคมนาคมขนส่งภายในศูนย์ราชการ (แจ้งวัฒนะ) ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการคลังร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. เร่งรัดระบบขนส่งมวลชนทุกรูปแบบ อาทิ รถไฟฟ้าสายสีชมพู (ปากเกร็ด - สุวินทวงศ์) รถ BRT รถประจำทาง ๒. เร่งรัดการก่อสร้างระบบเชื่อมทางทิศตะวันตกและด้านใต้เพื่อให้สามารถระบายรถออกทางถนนประชาชื่นและถนนสายย่อย (Local road) เพื่อบรรเทาการจราจรแออัดของถนนแจ้งวัฒนะ โดยสายใดมีความพร้อมให้ดำเนินการโดยเร็ว ๓. บริหารจัดการเดินรถประจำทางในปัจจุบันให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมครอบคลุมพื้นที่ และสามารถเป็นตัวป้อน (Feeder) นำผู้ใช้บริการเข้าออกศูนย์ราชการฯ ได้อย่างรวดเร็ว ลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ๔. การจัดโซนตามผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครที่ได้จำแนกประเภทการใช้ที่ดินไว้นั้น ต้องมีความแน่วแน่ในการปฏิบัติตามผังเมืองที่กำหนดไว้ มิใช่เปลี่ยนตามนโยบายของรัฐ เช่น ศูนย์ราชการฯ ที่ไม่ได้วางผังเมืองรองรับจึงได้เกิดปัญหาอย่างในปัจจุบันและอนาคตที่มีความแออัดเพิ่มขึ้น ๕. การเตรียมตัวของกรุงเทพมหานครด้านโครงสร้างพื้นฐาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนเดิมและผู้อยู่อาศัยที่ต้องเข้ามาใหม่ ๖. การจ่ายค่าชดเชยการเวนคืนที่ดินที่เหมาะสมและจูงใจ ๗. ปรับปรุงกฎหมายปัจจุบันทั้งระบบเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคในการบังคับตามกฎหมายผังเมือง เพื่อจัดการโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ให้เพื่อรองรับสิทธิชุมชน การทำประชาพิจารณ์ หรือการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะ การเวนคืน ๘. มีการสร้างรถไฟรางเดียว (Monorail) ภายในศูนย์ราชการฯ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขนส่งภายในและเชื่อมต่อกับถนนแจ้งวัฒนะ ถนนวิภาวดีรังสิต และสถานีรถไฟฟ้าสายสีแดง
|
.....