ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 78 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1541 - 1560 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1541 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1542 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2549 - 2553 | ศธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๙ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ออกไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท และปริญญาเอกให้บรรลุตามเป้าหมายเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของอาจารย์ เพื่อการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓) จำนวน ๑,๔๙๒.๑๖๕๐ ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่มุ่งเน้นให้มีการจัดสหกิจศึกษาในทุกสาขาวิชาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในสาขาที่ประเทศมีความขาดแคลนเป็นพิเศษ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ แฟชั่น และซอฟต์แวร์ รวมทั้งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยหรือการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยของมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการที่สนับสนุนความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายในแต่ละปีจนสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนที่ยังเหลืออีก ๑,๔๙๙,๔๐๓,๘๐๐ บาท และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานประกอบการและชุมชน โดยเฉพาะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1543 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน ๒ แห่ง และค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ จำนวน ๑๑ ราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๐๑๙,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๒,๗๕๓,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๑๘,๒๖๕,๒๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ชอบที่จะเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศให้เบิกจ่ายตามระเบียบของทางราชการ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1544 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2559) | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการพัฒนาในช่วงแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุลกับการอนุรักษ์ ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑.๒ ประเด็นการพัฒนา ๑.๒.๑ จัดตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริ สร้างความเข้มแข็งของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ๑.๒.๒ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน และป่า ในลักษณะองค์รวม มุ่งพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำและสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๒.๓ สร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในอาชีพ ๑.๒.๔ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ๑.๓.๑ การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ๑.๓.๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ๑.๓.๔ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ๑.๔ องค์กรบริหารงาน ๑.๔.๑ ระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ (พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์) เป็นรองประธานกรรมการ และมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ที่ได้รับมอบหมาย) เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๔.๒ ระดับบริหารและอำนวยการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ โดยมีหัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ โดยมีศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๑.๔.๓ ระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะทำงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน จังหวัด...... รับผิดชอบดำเนินงานในระดับจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละจังหวัดร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ และเป็นแกนกลางดำเนินงานระดับจังหวัด ๒. ให้ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน และให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๓. สำหรับการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ และบูรณาการการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการปลูกป่าของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน และดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ในระดับนโยบาย/ระดับบริหารและอำนวยการ ควรมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบริหารจัดการและผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ให้ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษาในท้องถิ่นทุรกันดาร และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และควรมีกลไกทำงานเชิงรุก ประสานและบูรณาการร่วมกับแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ/กิจกรรมในพื้นที่เป้าหมายที่หน่วยงานทั้งภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาผู้นำกลุ่มและเครือข่ายการผลิตให้มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐในกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับสภาพนิเวศน์บนพื้นที่สูง ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำเพื่อแก้ปัญหาดินขาดอินทรีย์วัตถุและป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีไปยังปลายน้ำ และการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตพลังงานทดแทนสำหรับใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานให้เน้นการส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นพืชพลังงานทดแทน ๕. ให้คณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กบอ. ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1545 | ร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน | ทส | 25/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน (Bangkok Resolution on ASEAN Environmental Cooperation) มีสาระสำคัญคือ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันดำเนินการตามพันธสัญญาอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ตลอดจนผลจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) รวมถึงกระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไฟป่าและลดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน โดยการเฝ้าระวังและการดำเนินกิจกรรมป้องกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อป้องกันความสูญเสียทางความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนในภูมิภาค ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ประเทศสมาชิกเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่อพิธีสารนาโงย่าว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม และพิธีสารเสริมนาโงย่าว่าด้วยการรับผิดและการชดใช้ด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ นั้น เนื่องจากการเข้าร่วมในพิธีสารดังกล่าวจะทำให้ประเทศอื่นเข้าถึงทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าว จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพภายในประเทศให้เข้มแข็งทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากฎระเบียบและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและกำกับติดตามเงื่อนไขการแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งสร้างความเข้าใจและความพร้อมให้กับชุมชนท้องถิ่นต่อกระบวนการและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจัดให้มีการฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1546 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... | ศธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนอาจจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้ตามที่กำหนด ๒. กำหนดแบบคำขอ การยื่นคำขอ และแผนการจัดการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนการจัดการศึกษาในการจัดตั้งศูนย์การเรียนขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน ๓. กำหนดให้คุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียนขององค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นไปตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียนเป็นไปตามที่กำหนด และกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๕. กำหนดหลักเกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้และการออกหลักฐานทางการศึกษา ๖. กำหนดให้ศูนย์การเรียนอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชนอื่นสำหรับการจัดการศึกษา ๗. กำหนดหลักเกณฑ์การเลิกศูนย์การเรียน และการเรียกเงินอุดหนุนคืน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1547 | มาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ | สธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการบังคับให้เกลือบริโภค (โซเดียมคลอไรด์) เสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ เพื่อให้ประชาชนได้รับเกลือบริโภคเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปเร่งดำเนินการศึกษาทางวิชาการและผลกระทบที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ แล้วรายงานความก้าวหน้าผลการศึกษาดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน ๓ เดือน ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบังคับให้เกลือเสริมไอโอดีนเป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ อาจส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ทำจากเนื้อสัตว์ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจทำให้กลุ่มคนที่มีรายได้น้อยที่ขาดสารไอโอดีนไม่สามารถเข้าถึงสินค้าเหล่านี้ได้ จึงเห็นควรเป็นนโยบายที่เสริมไอโอดีนให้กับกลุ่มเป้าหมายที่ขาดเป็นการเฉพาะเจาะจง (Targeted Approach) เนื่องจากแนวทางนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด มีประสิทธิภาพ และมีต้นทุนที่ต่ำกว่าการใช้นโยบายเกลือเสริมไอโอดีนถ้วนหน้า (Universal Salt Iodization ; USI) นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการรณรงค์ให้ความรู้เกี่ยวกับการบริโภคไอโอดีนแก่ประชาชน เพื่อให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับสารไอโอดีนอย่างเพียงพอและเหมาะสมในแต่ละวัน โดยส่งเสริมให้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีบทบาทเชิงรุกร่วมกับชุมชนท้องถิ่นในการรณรงค์เกี่ยวกับการบริโภคเกลือไอโอดีนในชุมชนในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับประชาชนแต่ละกลุ่มวัย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1548 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" | สสป | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากอัคคีภัยและไฟป่า" โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. อัคคีภัย กรณีชุมชน รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมาย และดำเนินมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอัคคีภัยอย่างจริงจังและเด็ดขาด ปรับปรุงกฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล และการกำหนดนโยบายการให้ความรู้เกี่ยวกับหลักสูตรการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงมีการฝึกซ้อมอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๑.๒ ด้านมาตรการทางด้านการสื่อสารและการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ มีมาตรการด้านการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ การสร้างเครือข่ายภาคประชาชน และจัดทำคู่มือการป้องกันและระงับอัคคีภัยพื้นฐานแก่ประชาชน ๑.๓ ด้านมาตรการบริหารจัดการแบบบูรณาการของระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ การให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นติดตั้งระบบสัญญาณเตือนภัยในชุมชนให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ และตั้งศูนย์ประสานงานช่วยเหลือผู้ประสบภัย ส่งเสริมและสนับสนุนองค์กรเอกชน องค์กรสาธารณะกุศลในการเพิ่มศักยภาพการป้องกันและควบคุมอัคคีภัยในชุมชน ส่งเสริม สนับสนุนงานวิจัย การศึกษาคนคว้า เทคโนโลยีและนวัตกรรมระบบสัญญาณเตือนภัย การป้องกันภัยอัคคีภัย ระบบการควบคุมอัคคีภัย สนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงต้องมีแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของประเทศที่เป็นแผนงานที่มีความชัดเจน ครอบคลุมหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๑.๔ ด้านมาตรการกำหนดนโยบายเกี่ยวกับระบบความปลอดภัยจากอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัยแก่เจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกมาตรการบังคับให้มีการติดตั้งสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัยทุกชุมชน และกำหนดนโยบายในการส่งเสริมสนับสนุนอาสาสมัครป้องกันภัยในชุมชนและองค์กรที่สนับสนุนในการป้องกันและระงับอัคคีภัย ๒. อัคคีภัย กรณีโรงงานอุตสาหกรรม รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ มีมาตรการให้ผู้ประกอบการต้องติดตั้งระบบสัญญาเตือนภัยให้ครอบคลุมทั้งอาคาร และสามารถเชื่อมโยงสัญญากับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรง ปรับปรุง กฎระเบียบในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการหรือข้อกำหนดสำหรับการป้องกันอัคคีภัยในโรงงานและสถานประกอบการให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล การบังคับใช้กฎหมายต้องเด็ดขาดและจริงจัง และควรแก้ไขเพิ่มเติมบทลงโทษสำหรับผู้ประกอบการที่หลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดดังกล่าว และจัดการบูรณาการกฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันอัคคีภัย ให้ยืดหยุ่น ไม่ซ้ำซ้อนและเป็นฉบับเดียวกัน ๒.๒ ด้านมาตรการส่งเสริมและพัฒนาระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยและนำผลงานวิจัยเกี่ยวกับระบบสัญญาณเตือนภัยและการป้องกันอัคคีภัย รวมถึงนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้กับระบบป้องกันอัคคีภัยของประเทศ สนับสนุนการศึกษาในสาขาวิชาวิศวกรรมอัคคีภัย และสนับสนุนให้มีหน่วยงานการพิสูจน์หลักฐานเฉพาะด้าน ๓. อัคคีภัย กรณีไฟป่า รัฐบาลควรดำเนินการ ดังนี้ ๓.๑ ด้านมาตรการบังคับใช้กฎหมาย ได้แก่ บังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาดและจริงจัง และเพิ่มบทลงโทษทางอาญาและความรับผิดทางแพ่งต่อผู้กระทำผิดโดยเจตนา ๓.๒ ด้านมาตรการเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยอัคคีภัย ได้แก่ จัดให้มีระบบตรวจจับการเกิดไฟป่า โดยใช้ข้อมูลผ่านดาวเทียมที่พัฒนาโดยหน่วยงานในประเทศ จัดสรรงบประมาณให้เพียงพอต่อการจัดซื้ออุปกรณ์พื้นฐานในการดับไฟป่า และดำเนินการบูรณาการเทคโนโลยีให้สามารถปรับใช้ร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ในการเฝ้าระวังและเตือนภัยให้สอดคล้องกับท้องถิ่น ๓.๓ ด้านมาตรการเทคโนโลยีในการป้องกันและการบริหารจัดการอัคคีภัย ได้แก่ สนับสนุนการค้นคว้าวิจัยในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบสัญญาณเตือนภัย และรวมถึงการนำผลงานวิจัย และหรือนวัตกรรมของนักวิจัยคนไทยมาปรับใช้กับการป้องกันอัคคีภัย ประชาสัมพันธ์และจัดอบรมวิธีการป้องกัน การดับไฟ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องไฟป่าให้กับเจ้าหน้าที่และประชาชนอย่างต่อเนื่อง จัดการบูรณาการหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการทับซ้อนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการเกิดไฟป่าของแต่ละหน่วยงาน และจัดทำโครงการเพื่อจูงใจและสร้างจิตสำนึกในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทุกภาคส่วน ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1549 | แผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง | นร. | 18/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนปฏิบัติการตามแผนแม่บทการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ตามที่องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) เสนอ โดยสาระสำคัญของแผนปฏิบัติการฯ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วิสัยทัศน์ พัทยา : เมืองน่าอยู่ น่าท่องเที่ยวระดับโลก ด้วยภาพลักษณ์ใหม่เมืองแห่งนวัตกรรมสีเขียว (New Pattaya : The World Class Greenovative Tourism City) ๑.๑.๒ เป้าหมายการพัฒนา ได้แก่ พื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงมีแหล่งท่องเที่ยวและบริการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นักท่องเที่ยวคุณภาพมาท่องเที่ยวเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งชุมชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับประโยชน์ทั้งในด้านเศรษฐกิจคุณภาพชีวิตและสภาพสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ พัฒนาสภาพแวดล้อมสะอาด ความปลอดภัย และภูมิทัศน์สีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและกิจกรรมท่องเที่ยวที่จะเป็น Green Landmark ของพื้นที่พัทยาและพื้นที่เชื่อมโยง ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ส่งเสริมกิจกรรมท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาระบบคมนาคมขนส่งและระบบสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ กลุ่มพื้นที่ในการพัฒนา ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ได้แก่ เมืองพัทยา เกาะล้าน หมู่เกาะไผ่ เทศบาลตำบลนาจอมเทียน เทศบาลตำบลบางละมุง กลุ่มที่ ๒ พื้นที่รองรับการขยายตัวของที่อยู่อาศัยและการลงทุน ได้แก่ เทศบาลเมืองหนองปรือ เทศบาลตำบลตะเคียนเตี้ย เทศบาลตำบลโป่ง และกลุ่มที่ ๓ พื้นที่สีเขียว ท่องเที่ยวธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม ได้แก่ เทศบาลตำบลห้วยใหญ่ องค์การบริหารส่วนตำบลหนองปลาไหล องค์การบริหารส่วนตำบลเขาไม้แก้ว และเทศบาลตำบลเขาชีจรรย์ ๑.๑.๕ งบประมาณดำเนินการตามแผนงาน/โครงการตามแผนปฏิบัติการฯ ระยะ ๘ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๒) มีโครงการพัฒนา จำนวน ๗๖ โครงการ วงเงิน ๙,๒๒๙.๔๖๕ ล้านบาท แบ่งเป็นเมืองพัทยา ๑๙ โครงการ วงเงิน ๖,๗๒๐.๕๑๗ ล้านบาท พื้นที่เชื่อมโยงทั้ง ๙ แห่ง จำนวน ๔๐ โครงการ วงเงิน ๑,๔๕๑.๗๔๘ ล้านบาท หน่วยงานส่วนกลาง จำนวน ๑๖ โครงการ วงเงิน ๑,๐๒๗.๒ ล้านบาท และ อพท. จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๓๐.๐ ล้านบาท ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามแผนปฏิบัติการฯ ดำเนินการขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ กรณีขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หากโครงการใดไม่ได้รับการพิจารณาสนับสนุนงบประมาณและจะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการโดยรวม เห็นควรให้หน่วยงานส่วนกลางที่มีภารกิจรับผิดชอบโดยตรงพิจารณาเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวแทน ๒. ให้ อพท. กำกับ ติดตาม และเร่งรัดการดำเนินการให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาจัดลำดับความสำคัญและความจำเป็นเหมาะสมของโครงการในภาพรวมเป็น ๓ ระดับ (tier) คือ เป็นโครงการเพื่อตอบสนองความจำเป็นพื้นฐาน เพื่อแก้ไขปัญหาและลดความเหลื่อมล้ำของประชาชน เป็นโครงการเฉพาะของท้องถิ่นหรือของจังหวัดที่ส่งผลตอบแทนในเชิงเศรษฐกิจ และเป็นโครงการเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลในระยะยาว โดยครอบคลุมถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ๓. สำหรับโครงการใดหากไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินการ ให้ อพท. ประสานงานกับ กกถ. เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1550 | ผลการเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี (วันที่ 24 - 26 มกราคม 2555) | นร04 | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอผลการเยือนสาธารณรัฐอินเดียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ตามรายงานของกระทรวงการต่างประเทศ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ในการประชุมคณะกรรมการเจรจาการค้าไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๒๓ ณ กรุงนิวเดลี เมื่อวันที่ ๘ - ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ทั้งสองฝ่ายสามารถจัดทำข้อบทความร่วมมือทางเศรษฐกิจและความร่วมมือศุลกากร และตกลงจะปรับปรุงข้อเสนอการเปิดตลาดการค้าสินค้าเพื่อแลกเปลี่ยนกัน ทั้งนี้ ไทยมีกำหนดเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะกรรมการเจรจาฯ ครั้งที่ ๒๔ ภายในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ ๒. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงนิวเดลี ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาท้องถิ่นเพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกด้านธุรกิจ และให้คำปรึกษาแก่ภาคเอกชนไทยในอินเดีย รวมทั้งได้จัดงานสัมมนา “ภาครัฐอินเดียพบภาคเอกชนไทย” เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๕๕ โดยเชิญอธิบดีกรมนโยบายและส่งเสริมการลงทุนร่วมบรรยายและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับนโยบายและกฎระเบียบต่าง ๆ ให้นักธุรกิจเอกชนไทยในอินเดียได้รับทราบ และเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๕ กระทรวงการต่างประเทศได้จัดสัมมนา “การค้าการลงทุนไทยในเอเชียใต้” เพื่อให้ข้อมูลสำหรับนักธุรกิจไทยเกี่ยวกับโอกาส กฎระเบียบ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจในประเทศอินเดียและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียใต้ ๓. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดประชุมกับฝ่ายอินเดีย เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ เพื่อหารือเบื้องต้นเกี่ยวกับภาพรวมของนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการเชื่อมโยงและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแต่ละฝ่าย และได้เสนอร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ (TOR) ของการจัดตั้งคณะทำงานร่วมฯ ให้ฝ่ายอินเดียพิจารณา ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศอยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะทำงานฝ่ายไทย และจะดำเนินการจัดการประชุมคณะทำงานร่วมฯ ต่อไป ๔. กระทรวงการต่างประเทศได้จัดการประชุมคณะทำงานร่วมเฉพาะกิจด้านการตรวจลงตราและการกงสุล ไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยได้หารือในประเด็นต่าง ๆ ที่ได้หยิบยกระหว่างการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี ไทย - อินเดีย ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๒๔ - ๒๖ มกราคม ๒๕๕๕ ซึ่งอินเดียได้แสดงความพอใจที่กลไกการประชุมสามารถไขข้อขัดข้องใจในประเด็นที่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาหารือ อาทิ การปฏิบัติต่อนักท่องเที่ยวชาวอินเดีย และการนำเข้าเครื่องประดับสำหรับผู้เข้าร่วมงานแต่งงาน เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1551 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ และทำเนียบเอกอัครราชทูต | กต | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศ (สำนักงานปลัดกระทรวงการต่างประเทศ) ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงสุลใหญ่ และทำเนียบเอกอัครราชทูต โดยมีวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น จำนวน ๕๑,๗๙๗,๔๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๓,๑๙๖,๓๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๒๘,๖๐๑,๑๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่ง กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์) ที่เสนอเพิ่มเติมว่า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเป็นการประหยัดและลดภาระงบประมาณของประเทศในระยะยาว กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาเลือกใช้วิธีการเช่าซื้ออาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต/สถานกงกุลใหญ่ และทำเนียบเอกอัครราชทูต รวมทั้งอาคารที่ใช้ในการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นของไทยในต่างประเทศ แทนวิธีการเช่า ไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้เป็นแนวทางดำเนินการในกรณีต่อ ๆ ไป ตามความเหมาะสม โดยให้คำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น สถานที่ตั้ง ภาระในการดูแลรักษาและความคุ้มค่าในการเช่าซื้อหรือขายต่อไป เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1552 | กรอบเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ 16 และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ 63 และครั้งที่ 64 | ทส | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (คณะที่ ๑) (ฝ่ายความมั่นคงและโครงสร้างพื้นฐาน)
ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นประธานกรรมการ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบกรอบการเจรจาภายใต้ร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับสำนักเลขาธิการอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) เกี่ยวกับการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ซึ่งกำหนดให้มีขึ้นในระหว่างวันที่ ๒-๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย เพื่อขอความเห็นชอบต่อรัฐสภาต่อไป โดยสาระสำคัญของกรอบเจรจาฯ ได้แก่ ๑.๑ การจัดการประชุมสมัยภาคีอนุสัญญาครั้งที่ ๑๖ และข้อปฏิบัติด้านการเงิน ๑.๑.๑ รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดหาและจัดเตรียมสถานที่ พร้อมวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก การรักษาความปลอดภัย และการจัดหาเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสนับสนุนการจัดประชุม ๑.๑.๒ รัฐบาลไทยต้องจัดหาค่าใช้จ่ายในการจัดประชุมเป็นส่วนต่างระหว่างการดำเนินการจัดประชุมที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย กับการดำเนินการจัดประชุมที่สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ในสวิตเซอร์แลนด์ ๑.๑.๓ รัฐบาลไทยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขนย้ายและประกันภัยเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการประชุม ๑.๑.๔ สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ จะส่งรายละเอียดบัญชีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงภายใน ๑๘๐ วัน หลังการประชุม และจะส่งเงินส่วนที่เหลือคืนให้กับรัฐบาลไทย ถ้าเกินกว่าที่ชำระไว้รัฐบาลไทยต้องชำระเพิ่ม ๑.๒ เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน ๑.๒.๑ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อให้ความคุ้มกันจากกระบวนการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับคำพูดหรือข้อเขียนและการกระทำต่าง ๆ ในระหว่างการประชุมให้แก่ ผู้แทนของรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ผู้สังเกตการณ์ขององค์การสหประชาชาติ ผู้สังเกตการณ์จากหน่วยงานหรือองค์กรที่มีคุณสมบัติเชี่ยวชาญเฉพาะทางในด้านการคุ้มครอง การอนุรักษ์ หรือการจัดการเกี่ยวกับสัตว์ป่าหรือพืชป่า และคณะเจ้าหน้าที่ของสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และคณะเจ้าหน้าที่ที่รัฐบาลไทยจัดหาให้สำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ๑.๒.๒ รัฐบาลไทยจะต้องดำเนินการเพื่อกำหนดให้สถานที่และอาณาบริเวณสำหรับการจัดประชุม ในระหว่างการประชุมจะต้องละเมิดมิได้ ๑.๒.๓ รัฐบาลไทยจะให้เอกสิทธิ์บางประการแก่ผู้เข้าร่วมประชุม เช่น การอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับวีซ่า การยกเว้นภาษีสำหรับการนำเข้าเอกสาร เป็นต้น ๑.๓ ความรับผิดชอบต่อความเสียหาย ๑.๓.๑ รัฐบาลไทยจะต้องรับผิดชอบต่อการปฏิบัติใด ๆ การเรียกร้อง หรือความต้องการอื่น ๆ ที่ต่อต้านสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่อาจเกิดความบาดเจ็บต่อร่างกาย และ/หรือความเสียหายหรือความสูญเสียซึ่งทรัพย์สินในสถานที่จัดการประชุม ที่มีสาเหตุหรือเกิดขึ้นในการใช้บริการคมนาคมที่รัฐบาลไทยจัดให้ และการจ้างบุคลากรสำหรับการประชุมฯ ของรัฐบาลไทย ๑.๓.๒ รัฐบาลไทยสามารถใช้มาตรการใด ๆ ตามสมควรในการป้องกันภัยที่อาจเกิดกับสถานที่ประชุม บุคคล และทรัพย์สินภายในสถานที่จัดประชุม ๑.๓.๓ รัฐบาลไทยจะต้องจ่ายค่าชดเชยและป้องกันภัยให้สำนักงานเลขาธิการอนุสัญญาฯ และเจ้าหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวกับการปฏิบัติ การเรียกร้องหรือความต้องการใด ๆ ยกเว้นการปฏิบัติและข้อเรียกร้องดังกล่าวเกิดจากความเพิกเฉยหรือความจงใจของเจ้าหน้าที่สำนักเลขาธิการฯ ที่เข้าประชุม ๑.๓.๔ แต่ละฝ่ายสงวนสิทธิ์สำหรับเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้น เช่น ความปลอดภัย ความสงบเรียบร้อยของประชาชน หรือการสาธารณสุข ๑.๓.๕ ข้อพิพาทใด ๆ ระหว่างสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ และรัฐบาลไทย ให้พิจารณาตามกฎอนุญาโตตุลาการ UNCITRAL ๑.๓.๖ ความตกลงและภาคผนวกทั้งหมดที่จะลงนามจะมีผลนับตั้งแต่วันที่รัฐบาลไทยแจ้งสำนักเลขาธิการอนุสัญญาฯ ทราบว่าได้เสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายภายในประเทศเพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปดำเนินการยกร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกัน เนื่องจากในการประชุมสมัยสามัญภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมคณะกรรมาธิการบริหาร ครั้งที่ ๖๓ และครั้งที่ ๖๔ ไม่เป็นการประชุมของ UNEP (United Nations Environmental Programme) จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองการดำเนินงานของสหประชาชาติและทบวงการชำนัญพิเศษในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๐๔ ตามความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1553 | (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. 2555 - 2564) และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. 2555 - 2559) | วท | 11/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๖๔) เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนานาโนเทคโนโลยีของประเทศไทยให้เข้มแข็งและเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สำหรับใช้ในการกำกับดูแล เฝ้าระวัง และบริหารจัดการด้านความปลอดภัยและจริยธรรมในการใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีอย่างยั่งยืน และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ สรุปสาระสำคัญของ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ได้ ดังนี้ ๑.๑ (ร่าง) กรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การยกระดับคุณภาพชีวิต สุขภาพ การแพทย์และสาธารณสุขด้วยนาโนเทคโนโลยี การเพิ่มขีดความสามารถของภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมการผลิตด้วยนาโนเทคโนโลยี การเสริมความมั่นคงทางพลังงาน อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมด้วยนาโนเทคโนโลยี การพัฒนากำลังคนด้านนาโนเทคโนโลยี และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและปัจจัยเอื้อ ๑.๒ (ร่าง) แผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ประกอบด้วย ๓ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การสร้างและบริหารจัดการองค์ความรู้ด้านความปลอดภัยและจริยธรรมนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของมาตรการและกลไกการกำกับดูแลและบังคับใช้ และการสร้างความเข้มแข็งและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับการกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติด้านสิ่งแวดล้อมให้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่งของการออกฉลากผลิตภัณฑ์นาโน การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของประชาชน การรณรงค์ให้เครือข่ายภาคประชาชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีจิตสำนึกที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอันเนื่องมาจากนาโนเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์นาโน โดยดำเนินการให้ครอบคลุมทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องตั้งแต่การวิจัย การผลิต การใช้ประโยชน์ จนถึงการกำจัดซากผลิตภัณฑ์และของเสียจากนาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การศึกษาวิจัยถึงผลกระทบและแนวทางการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมจากการใช้นาโนเทคโนโลยี การให้ความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการในการประยุกต์ใช้นาโนเทคโนโลยีอย่างถูกต้องปลอดภัย การวิจัยและพัฒนาองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่เพื่อใช้ในการจัดการมลพิษที่เหมาะสมกับพื้นที่ที่ไม่ยุ่งยาก และประหยัดค่าใช้จ่าย เพื่อให้เกิดการนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง การจัดทำตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์เพื่อใช้ในการติดตามประเมินผลการดำเนินงาน รวมทั้งการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรวิจัยเพื่อให้สอดคล้องกับสาระของมาตรการ และแก้ไขปัญหาการขาดกำลังคนที่ทำการวิจัยด้านความปลอดภัยนาโนเทคโนโลยี โดยจัดแบ่งระยะเวลาดำเนินการเป็นแต่ละช่วงที่สอดคล้องกับการขับเคลื่อนตัวชี้วัดเพื่อให้การดำเนินงานทั้งหมดบรรลุผลสัมฤทธิ์เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของแผนฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับงบประมาณที่จะใช้จ่ายตามกรอบนโยบายการพัฒนานาโนเทคโนโลยีฯ และแผนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยฯ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี และเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความเหมาะสมและจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1554 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเลียบวารีกับถนนมิตรไมตรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเลียบวารีกับถนนมิตรไมตรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนเลียบวารีกับถนนมิตรไมตรี ในท้องที่แขวงโคกแฝดและแขวงคู้ฝั่งเหนือ เขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้นตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1555 | รายงานประจำปี 2554 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | นร01 | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยรายงานดังกล่าวมีสาระสำคัญ ๓ ส่วน ดังนี้
๑. ส่วนที่ ๑ กล่าวถึงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของ กกถ. รวมทั้งคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ที่ กกถ. แต่งตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือ กำกับ ดูแล ในภารกิจสำคัญในด้านนั้น ๆ ก่อนที่จะเสนอ กกถ. พิจารณา ๒. ส่วนที่ ๒ กล่าวถึงผลการปฏิบัติงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ของ กกถ. และคณะอนุกรรมการคณะต่าง ๆ ดังนี้ ๒.๑ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องแผนการกระจายอำนาจ ได้แก่ การถ่ายโอนภารกิจตามแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การจัดทำแผนการกระจายอำนาจ การกระจายอำนาจด้านสาธารณสุข และหลักสูตรการเรียนรู้ด้วยตนเอง (E-learning) ๒.๒ การรวบรวมผลการดำเนินงานในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดสัดส่วนรายได้ของ อปท. การกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและเงินอุดหนุนให้แก่ อปท. หลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ การจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อเป็นรางวัลสำหรับ อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี และที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้ เป็นต้น ๒.๓ สรุปผลการดำเนินงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายให้เป็นไปตามแผนปฏิบัติการฯ ร่างพระราชบัญญัติการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... และการวินิจฉัยและให้ความเห็นทางกฎหมาย ๒.๔ การรวบรวมผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลในด้านต่าง ๆ ได้แก่ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านงานส่งเสริมคุณภาพชีวิต ด้านการจัดระเบียบชุมชน สังคม และการรักษาความสงบเรียบร้อย และด้านการบริหารจัดการและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๓. ส่วนที่ ๓ กล่าวถึงผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปี ๒๕๕๔ ได้แก่ การพัฒนาและฝึกอบรมด้านต่าง ๆ การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์และรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันฑ์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1556 | การดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน 2554 - 2563 | สธ | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานการดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมประชุมสรุปผลการดำเนินงานเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร/กรมการขนส่งทางบก) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน และบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพื่อเน้นย้ำมาตรการที่ดำเนินงานผ่านมา และร่วมหารือเพื่อบูรณาการงานที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคตต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเน้นปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุ ๔ ประเด็น ดังนี้
๑. ประเด็นการสวมหมวกนิรภัย ได้แก่ การขยายปีรณรงค์สวมหมวกนิรภัย ๑๐๐% ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยตั้งเป้าให้สวมเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ ๒๐ ต่อปี การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย และรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ๒. ประเด็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการดื่มแล้วขับ ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันการแก้ไขกฎหมายกรณีผู้ขับขี่ที่ปฏิเสธการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ให้สันนิษฐานว่าเมา การผลักดันการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีเพิ่มเติมในเรื่องการห้ามดื่มหรือขายบนทางสาธารณะ การผลักดันให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมให้ประชาชนมีการรับรู้และตระหนักถึงความสูญเสียจากการเมาแล้วขับ ๓. ประเด็นการขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การผลักดันให้ อปท. สามารถนำเงินที่ได้จากการเปรียบเทียบปรับในส่วนของการกระทำความผิดพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ไปซื้อวัสดุ อุปกรณ์สนับสนุนงานป้องกันอุบัติเหตุทางถนนได้ เช่น เครื่องมือตรวจจับความเร็ว และการศึกษาและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการควบคุมความเร็วรถตู้สาธารณะ ๔. ประเด็นการใช้เข็มขัดนิรภัย ได้แก่ การเร่งรัดการบังคับใช้กฎหมาย การให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการปรับปรุง แก้ไข กฎ ระเบียบ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ใช้รถใช้ถนน เช่น ให้มีกฎหมายบังคับใช้เข็มขัดนิรภัยในผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังของรถ และให้มีการบังคับติดตั้งเข็มขัดนิรภัยในรถโดยสารสาธารณะทุกที่นั่ง ให้มีการใช้เก้าอี้นิรภัยสำหรับเด็ก รวมทั้งรณรงค์ส่งเสริมการใช้เข็มขัดนิรภัยในหน่วยงานทุกหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1557 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ประจำปี 2554 | นร09 | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ โดยมีผลงานในรอบปีสรุปได้ ดังนี้
๑. คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองได้ให้คำปรึกษาแก่เจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยตอบข้อหารือแก่หน่วยงานของรัฐ ได้แก่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น สำนักงานเทศบาลตำบลสระยายโสม สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข จังหวัดอ่างทอง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จังหวัดอุดรธานี สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๒. การดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาซึ่งทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง มีดังนี้ ๒.๑ จัดฝึกอบรมข้าราชการของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อเป็นวิทยากรออกไปเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองตามที่หน่วยงานของรัฐต่าง ๆ ร้องขอทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้จัดวิทยากรไปบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่กรมบัญชีกลาง สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สำนักงานสรรพากรภาค ๑ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๒.๒ จัดเจ้าหน้าที่ไว้ให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์แก่เจ้าหน้าที่ในหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มีการให้คำปรึกษาทางโทรศัพท์ จำนวนทั้งสิ้น ๑๓๒ ครั้ง ๒.๓ เผยแพร่เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ และประชาชนที่สนใจเป็นระยะ ๆ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดนิทรรศการเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิและประโยชน์ของประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ที่ห้างเทสโก้โลตัส สาขาปิ่นเกล้า ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่สถานีขนส่งหมอชิต ระหว่างวันที่ ๗ - ๘ เมษายน ๒๕๕๔, ๒๘ - ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๔ และที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๓ กันยายน ๒๕๕๔
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1558 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวแก่ข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ โดยคณะกรรมการกลั่นกรองฯ มีมติเห็นชอบในหลักการการปรับเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการหรือพนักงานส่วนท้องถิ่นและลูกจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการช่วยเหลือบุคลากรภาครัฐให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพตามสภาวะเศรษฐกิจที่ปรับสูงขึ้น และให้มีความเท่าเทียมกับบุคลากรภาครัฐอื่น ๆ โดยให้ยึดถือแนวปฏิบัติ ดังนี้ ๑.๑ กรณีเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล (ปริญญาตรี ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าแรง ๓๐๐ บาท) ให้กระทรวงมหาดไทยและคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (กกถ.) ตรวจสอบรายได้และค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรตามที่ได้จ่ายจริงของ อปท. แต่ละแห่ง หาก อปท. แห่งใดมีรายได้เพียงพอ ก็ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ อปท. นั้น ๆ สำหรับ อปท. ใดที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ให้ กกถ. พิจารณาทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอน ๑.๒ กรณี อปท. มีค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และประโยชน์ตอบแทนอื่นเกินกว่าร้อยละ ๔๐ ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี ให้ กกถ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรภาษีและค่าธรรมเนียมรถยนต์ และเงินเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ ภาษีรถตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก และค่าธรรมเนียมล้อเลื่อนตามกฎหมายว่าด้วยล้อเลื่อน ที่จัดสรรให้กับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ร้อยละ ๑๐๐ โดยลดสัดส่วนการจัดสรรรายได้ให้แก่ อบจ. ลง เพื่อนำมาจัดสรรเพิ่มให้แก่องค์การบริหารส่วนตำบลและเทศบาล ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาค่าใช้จ่ายด้านเงินเดือน ค่าจ้าง และผลประโยชน์ตอบแทนอื่นให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ๑.๓ ให้ อปท. ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๙๐ กรณีที่งบประมาณรายจ่ายประกาศใช้บังคับแล้ว หรือ อปท. มีงบประมาณไม่เพียงพอที่จะจ่ายในกรณี รับโอน เลื่อนระดับ เลื่อนขั้นเงินเดือนพนักงานส่วนท้องถิ่น การเบิกเงินให้พนักงานส่วนท้องถิ่นตามสิทธิ ตลอดจนลูกจ้างมีสิทธิได้รับเงินอื่นตามกฎหมาย ระเบียบ คำสั่ง หรือหนังสือสั่งการกระทรวงมหาดไทยในระหว่างปีงบประมาณ หรือไม่ได้ตั้งงบประมาณเพื่อการนั้นไว้ ให้ อปท. จ่ายขาดเงินสะสมได้ โดยได้รับอนุมัติจากผู้บริหารท้องถิ่นและให้ถือเป็นรายจ่ายในปีนั้น ๒. ให้ กกถ. เร่งรัดการดำเนินการทบทวนเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปสำหรับดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และภารกิจถ่ายโอนของ อปท. ที่มีรายได้ไม่เพียงพอ ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองฯ ตามข้อ ๑.๑ ต่อไป ๓. ในระยะยาวให้ กกถ. พิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้ อปท. โดยให้คำนึงถึงจำนวนประชากรและรายได้ของ อปท. แต่ละแห่งเพื่อให้ อปท. ที่มีรายได้น้อยมีงบประมาณเพียงพอสำหรับจัดทำบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานของประชาชน เช่น การให้บริการด้านสาธารณสุข การดูแลเด็กและผู้สูงวัย เป็นต้น และให้เสนอหลักเกณฑ์ดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1559 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 7 ราย 1. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ฯลฯ) | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๙ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประภาศ บุญยินดี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายชวน ศิรินันท์พร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการปกครอง ๕. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ๖. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๗. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายมณฑล สุดประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมโยธาธิการและผังเมือง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1560 | การโอนข้าราชการประเภทบริหารระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (นายภาณุ อุทัยรัตน์ และนายมณฑล สุดประเสริฐ) | มท | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง สังกัดกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๙ ราย ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายประภาศ บุญยินดี ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๔. นายชวน ศิรินันท์พร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการปกครอง ๕. นายขวัญชัย วงศ์นิติกร ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน ๖. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๗. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายภาณุ อุทัยรัตน์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๙. นายมณฑล สุดประเสริฐ ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมโยธาธิการและผังเมือง
|