ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 79 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1561 - 1580 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1561 | แนวทางการบริหารจัดการน้ำของประเทศ | นร04 | 04/09/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การจัดงานนิทรรศการ “มุ่งมั่นทำงาน บริหารจัดการน้ำเพื่อประชาชน” เมื่อวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๕-๒ กันยายน ๒๕๕๕ ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี มีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานเป็นจำนวนมาก โดยแนวทางการบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ได้น้อมนำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการดำเนินการ รวมทั้งได้ปรับกระบวนการทำงานของหน่วยงานหลักที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) ให้ประสานสอดคล้องและเชื่อมโยงข้อมูลกันให้เป็นปัจจุบันและมีเอกภาพเสมือนเป็นหน่วยงานเดียวกันที่จะปฏิบัติงานเชื่อมโยงจากส่วนกลางไปยังจังหวัด และให้ทุกจังหวัดมีการจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้า (โดยใช้สำนักงานและบุคลากรที่มีอยู่ในปัจจุบัน) เชื่อมโยงต่อไปในระดับอำเภอและท้องถิ่นเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลในภาวะปกติ และเมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติก็ให้สามารถรายงานข้อมูลสถานการณ์ภัยพิบัติในระดับต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันการณ์ โดยให้กระทรวง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และทุกจังหวัดมอบหมายเจ้าหน้าที่ในการติดตาม รวบรวม รายงาน และปรับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัยและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องในเว็บไซต์ของหน่วยงานให้ครบถ้วน ถูกต้อง เป็นปัจจุบัน (update) อย่างต่อเนื่อง เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบอย่างถูกต้อง ทันเหตุการณ์ รวมทั้งสามารถใช้เป็นข้อมูลในการประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป นอกจากนี้ ให้ กบอ. ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยเพื่อติดตามและเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยที่อาจได้รับผลกระทบจากลมมรสุมที่พัดผ่านในช่วงนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ลุ่มน้ำยมและลุ่มน้ำน่าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1562 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 | สว | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการพัฒนาสังคมและกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส วุฒิสภา เรื่อง ผลการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พร้อมข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนรายงานของคณะกรรมาธิการฯ พร้อมข้อเสนอแนะ มีดังนี้
๑. ความยากลำบากในการดำเนินคดี ควรหามาตรการ แนวทางในการพิจารณาช่วยเหลือ หรือกำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว รวมทั้งแนะนำแนวทางในการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมและปลอดภัยต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ๒. ขาดงบประมาณด้านการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ รัฐบาลควรพิจารณาจัดสรรอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานตามมาตรา ๓๕ และมาตรา ๓๗ การเรียกร้องสินไหมทดแทนให้ผู้เสียหายต้องผ่านขั้นตอนการได้รับแจ้งจากปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จึงไม่คล่องตัว และควรผลักดันกฎกระทรวงให้มาตรา ๓๗ ดำเนินการปฏิบัติได้ ๔. ภาษาและการสื่อสารกับผู้เสียหายที่คลาดเคลื่อน ควรมีระบบการสนับสนุนล่ามให้พอเพียงกับความต้องการของหน่วยงานในด้านการบังคับใช้กฎหมายและการคุ้มครองช่วยเหลือผู้เสียหาย ๕. การแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมาย ควรเร่งรัดดำเนินการฝึกอบรมและแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ ๖. ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติไม่เข้าใจในขั้นตอนกระบวนการดำเนินงานตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรพิจารณาอบรม สัมมนาให้กับผู้ปฏิบัติทุกพื้นที่ รวมทั้งอบรมพนักงานสอบสวนโดยตรง ๗. ความไม่ชัดเจนในเรื่องการคัดแยกผู้เสียหาย ควรจัดทำเอกสารแนวทางการพิจารณาองค์ประกอบของความผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแจกจ่าย รณรงค์ และให้ความรู้ ๘. ความล่าช้าในการดำเนินคดี ควรเร่งรัดการดำเนินคดีให้รวดเร็วขึ้นโดยตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาหาแนวทางมาตรการ และควรส่งเสริมให้ผู้เสียหายมีนันทนาการ และมีรายได้ ๙. การเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ในพื้นที่ ศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์จังหวัดควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์พระราชบัญญัติดังกล่าวให้เครือข่าย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และประชาชนทั่วไป หรือผลิตคู่มืออธิบายพระราชบัญญัติฯ ๑๐. การสร้างกลไกและทีมสหวิชาชีพ ควรทบทวนการดำเนินงานเพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมจากทีมสหวิชาชีพ การช่วยเหลือผู้เสียหายหรือผู้อาจตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ รวมทั้งซักซ้อมความเข้าใจในการปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงระดับพื้นที่หรือระดับภาค ๑๑. ระดับนโยบาย ควรจัดตั้งคณะติดตามและประเมินผลการทำงานด้านการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ รวมทั้งให้คำแนะนำ ปรึกษาแนวทางปฏิบัติและข้อกฎหมายต่าง ๆ ๑๒. การศึกษาในอนาคต ควรทำการศึกษาใน ๒ ประเด็น คือการวิจัยเชิงคุณภาพโดยเก็บข้อมูลเชิงลึกจากผู้เสียหายในพื้นที่ที่มีการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย และศึกษาระบบการคุ้มครองพยานตามพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๔๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||
1563 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกันอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดการศึกษาในรูปแบบวิทยาลัยชุมชนเป็นการขยายโอกาสทางการศึกษาและการเข้าถึงการศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา โดยให้ท้องถิ่นสามารถกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความเหมาะสมและความประสงค์ของท้องถิ่นได้ โดยควรพัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนให้มีมาตรฐานสามารถเชื่อมโยงกับการศึกษาในระบบ เพื่อให้ผู้ที่จบการศึกษาจากวิทยาลัยชุมชนสามารถศึกษาต่อในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาในระดับปริญญาได้ รวมทั้งความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีอำนาจในการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา ใช้และจัดหาประโยชน์จากที่ราชพัสดุ โดยรายได้หรือผลประโยชน์ที่ได้จากที่ราชพัสดุเป็นรายได้ของสถาบันที่ไม่ต้องนำส่งคลังเป็นรายได้ของแผ่นดิน โดยเห็นควรเพิ่มเติมให้กระทรวงการคลังมีอำนาจกำหนดเงื่อนไขในการใช้ที่ราชพัสดุด้วย ส่วนการกำหนดให้สภาสถาบันมีอำนาจออกข้อบังคับ และระเบียบเกี่ยวกับการเงินของสถาบันนั้น ซึ่งในหลักการ การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหลักเกณฑ์ที่กระทรวงการคลังกำหนดเพื่อให้การใช้จ่ายเงินของส่วนราชการเป็นไปในแนวทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในทางปฏิบัติ และโดยที่สถาบันวิทยาลัยชุมชนมีสถานะเป็นส่วนราชการจึงไม่เห็นสมควรให้สภาสถาบันมีอำนาจดังกล่าว และเห็นควรให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนบริหารการใช้จ่ายเงินโดยถือปฏิบัติเช่นเดียวกับส่วนราชการอื่น รวมทั้งควรบัญญัติเพิ่มเติมให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินรายได้ที่ได้รับฝากไว้กับกระทรวงการคลัง หากจะนำรายได้ไปฝากธนาคารให้ขอความเห็นชอบจากกระทรวงการคลังก่อน และในกรณีที่ปรากฏว่า เงินรายได้ของสถาบันวิทยาลัยชุมชนเหลือเกินความจำเป็น กระทรวงการคลังจะกำหนดให้สถาบันวิทยาลัยชุมชนนำเงินส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดินตามจำนวนที่เห็นสมควรก็ได้ นอกจากนี้ รายได้อื่นของสถาบันวิทยาลัยชุมชนที่มาจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นควรให้ใช้จ่ายเกี่ยวกับการลงทุนค่าก่อสร้างและจัดหาครุภัณฑ์ เพื่อไม่ให้เกิดภาวะงบประมาณในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
1564 | ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ | รง | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นรองประธานกรรมการ กรรมการ จำนวน ๓๐ คน โดยมีรองปลัดกระทรวงแรงงานที่ได้รับมอบหมาย เป็นกรรมการและเลขานุการ มีอำนาจหน้าที่กำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านแรงงานนอกระบบของประเทศ รวมทั้งนโยบายเกี่ยวกับงบประมาณเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน การกำกับ ติดตามการดำเนินงานด้านแรงงานนอกระบบของประเทศ รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานด้านแรงงานนอกระบบ เสนอแนะแนวทางการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ คณะทำงาน และผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม ตลอดจนปฏิบัติการอื่นใดตามที่ประธานกรรมการมอบหมาย ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นหรือผู้แทน เป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบแห่งชาติ เพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๓. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการฯ ควรให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่าย/กลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ในระดับต่าง ๆ อย่างเป็นรูปธรรม อาทิ การจัดทำและพัฒนาฐานข้อมูลแรงงานนอกระบบ และการพัฒนาระบบคุ้มครองทางสังคมอย่างมีส่วนร่วมในท้องถิ่น/ชุมชน รวมทั้งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของแรงงานนอกระบบในการเสริมสร้างหลักประกันความมั่นคงในการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1565 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา เรื่อง การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาชั้นสอบสวน | สว | 21/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการยุติธรรมและการตำรวจ วุฒิสภา พร้อมข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ กับผลการดำเนินการตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะดังกล่าวที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ เรื่อง การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาชั้นสอบสวน และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ เห็นว่ารัฐบาลควรเร่งให้มีการตรากฎหมายเกี่ยวกับการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทคดีอาญาชั้นสอบสวนเพื่อรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต่อไป โดยมีข้อสังเกต ดังนี้
๑. หากกำหนดให้กระบวนการไกล่เกลี่ยเป็นภารกิจของหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นใหม่โดยเฉพาะ จะทำให้การไกล่เกลี่ยมีประสิทธิภาพเกิดผลสัมฤทธิ์มากขึ้น หรือไม่ ๒. หากในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทผู้กระทำความผิดให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิด ไม่ว่าจะด้วยประสงค์ให้ข้อพิพาทนั้นยุติโดยเร็วหรือเป็นผู้กระทำความผิดที่แท้จริงก็ตาม คำให้การรับสารภาพดังกล่าวจะถือเป็นคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแล้วนำไปเป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้หรือไม่ อย่างไร ๓. ขณะนี้ร่างพระราชบัญญัติมาตรการแทนการฟ้องคดีอาญา พ.ศ. .... ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งเนื้อหาในร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมีทั้งส่วนของการไกล่เกลี่ยคดีอาญาชั้นสอบสวนและมาตรการชะลอฟ้องในชั้นพนักงานอัยการรวมกัน โดยที่กำหนดให้พนักงานอัยการสามารถใช้ดุลยพินิจในผลของการไกล่เกลี่ยคดีอาญาได้ด้วย จะทำให้ร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่เหมาะสมกับสภาวการณ์หรือไม่ ๔. กรณีของการไกล่เกลี่ยหากมีกรณีที่คณะกรรมการอำนวยการไกล่เกลี่ยลงนามไว้ก่อน โดยติดภารกิจไม่สามารถร่วมประชุมได้อาจเป็นประเด็นให้คู่กรณีโต้แย้งว่าการไกล่เกลี่ยกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ ๕. ความผิดอันยอมความได้เป็นความผิดที่คู่กรณีสามารถตกลงกันโดยไม่ดำเนินคดีต่อไปตามกฎหมายโดยไม่มีขั้นตอนใดรองรับ หากนำคดีความผิดอันยอมความได้และความผิดลหุโทษมาเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยจะเป็นการเพิ่มขั้นตอนและสร้างภาระแก่คู่กรณีได้ ๖. ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาททุกประเภทสามารถไกล่เกลี่ยได้จะทำให้มีการบิดเบือนจากเจตนาเป็นประมาท ๗. ควรกำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งอาจกระทำได้ในรูปของการทำงานที่สร้างสรรค์แก่ชุมชน การทำงานบริการสังคม หรือการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในร่างพระราชบัญญัตินี้ ๘. ควรมีการจัดทำฐานข้อมูลกลางเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้กระทำความผิดที่เข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยเพื่อป้องกันการไกล่เกลี่ยซ้ำ ๙. ควรกำหนดให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการไกล่เกลี่ยมากกว่านี้ เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล และนักการเมืองท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันบุคคลเหล่านี้เป็นผู้มีความน่าเชื่อถือในชุมชนบางท้องที่อย่างยิ่ง จะส่งผลให้หลักกระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันทน์ในร่างพระราชบัญญัตินี้ชัดเจนยิ่งขึ้น ๑๐. ควรมีการกำหนดให้ตั้งข้อรังเกียจคณะกรรมการอำนวยการไกล่เกลี่ยได้และกำหนดให้คณะกรรมมการสามารถสละสิทธิในการเป็นกรรมการได้ ๑๑. ควรมีกระบวนการสอดส่องดูแลคุณธรรมจริยธรรมของคณะกรรมการอำนวยการไกล่เกลี่ยและผู้ไกล่เกลี่ยที่ชัดเจนกว่านี้ ๑๒. ควรจะต้องเปิดโอกาสให้คู่พิพาทมีสิทธิโต้แย้งคัดค้านการเสนอรายชื่อบุคคลที่จะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยดังกล่าวได้ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1566 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการขยายเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม และคงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๗ ๑.๒ กำหนดให้จัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๙ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรพิจารณาความเป็นไปได้ในการให้มีการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๙ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๑๐ (รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับสินค้านำเข้าที่เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1567 | ร่างแผนแม่บทการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย พ.ศ. 2557 - 2561 | มท | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างแผนแม่บทการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ โดยปรับระยะเวลาการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ จาก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๗ เป็น พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ เพื่อให้กรอบเวลาตามแผนแม่บทฯ สอดรับกับปีงบประมาณที่หน่วยงานเครือข่ายสามารถนำยุทธศาสตร์และมาตรการตามแผนแม่บทฯ ไปจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทฯ และขอตั้งงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้ทัน และดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณต่อไป และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณภายใต้แผนแม่บทฯ ให้เป็นรูปธรรมและเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ แผนแม่บทการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยกำหนดยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ดังนี้ ๑.๑ วิสัยทัศน์ เป็นแผนหลักที่เน้นการบูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ในระบบการบริหารจัดการสาธารณภัยของประเทศไทย ๑.๒ เป้าหมาย เพื่อให้ชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมีความปลอดภัยจากสาธารณภัย ๑.๓ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การป้องกันและลดผลกระทบ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเตรียมความพร้อม ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การจัดการเมื่อเกิดภัย ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบรรเทาและฟื้นฟู และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนแม่บทฯ ให้สอดคล้องกับผลการประชุมเรื่อง โครงสร้างและระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติ และการเตือนภัย เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ที่มีลักษณะการบริหารจัดการแบบ Single Command และตรวจสอบการจัดตั้งหน่วยงานดำเนินการด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดภาระงบประมาณในอนาคตอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งความจำเป็นและความซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่มีอยู่ในปัจจุบัน ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มประเด็นความสอดคล้องกับแผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ โดยเฉพาะยุทธศาสตร์การพัฒนาสินค้า บริการและปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยว ในส่วนของการป้องกันและรักษาความปลอดภัยทางการท่องเที่ยว เพื่อให้เห็นภาพรวมความเชื่อมโยงของแผนในแต่ละระดับ การให้ความสำคัญกับการกำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยในการให้บริการท่องเที่ยวในพื้นที่และการส่งเสริมให้คนในชุมชนแหล่งท่องเที่ยวเป็นอาสาสมัครดูแลรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ชุมชนของตน การเพิ่มการสำรวจจุดเสี่ยงของการเกิดสาธารณภัย การสำรวจและมาตรการป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับที่ฝังกลบขยะของท้องถิ่น การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ประสบภัย สถานที่การขนส่งผู้ประสบภัยไปยังสถานที่ปลอดภัย หรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บไปยังสถานพยาบาลใกล้เคียง การกำหนดจุดเริ่มต้น-จุดสิ้นสุดการเดินทางเข้าประเทศของนักท่องเที่ยว การคำนึงถึงการอนุรักษ์ความสมดุลทางธรรมชาติ โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง การเพิ่มกรมควบคุมมลพิษร่วมเป็นหน่วยงานภาคีเครือข่าย การส่งเสริมและให้ความรู้ความเข้าใจการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ อัตลักษณ์พื้นถิ่นของไทย วิถีชุมชนแบบไทย การขอความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศในการศึกษาวิจัยในเชิงพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพท้องถิ่น และในเชิงพัฒนาเครื่องมือในการป้องกัน หรือวิจัยเพื่อหาแนวทางหรือมาตรการป้องกันรูปแบบที่เหมาะสมกับประเทศและสภาพภูมิอากาศ การให้ชุมชนมีแผนพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างปลอดภัยภายใต้ขีดความสามารถของระบบธรรมชาติในการทดแทน ฟื้นฟูมรดก และทรัพย์สินทางวัฒนธรรม เพื่อการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตลอดจนปรับปรุง พัฒนากฎหมายตามมาตรฐานสากล และมีมาตรการอำนวยความสะดวก สร้างความปลอดภัยสำหรับการท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ และมาตรการในการบรรเทาและฟื้นฟูในการฝึกความรู้พื้นฐานในการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้แก่ประชาชนในพื้นที่ และสร้างค่านิยมในการช่วยเหลือ นอกจากนี้ ควรปรับปรุงร่างแผนแม่บทฯ โดยแยกแยะประเด็นที่คาบเกี่ยวกับแผนแม่บทการจัดการภัยพิบัติแต่ละประเภทที่มีอยู่แล้วภายใต้แผนแม่บทการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ โดยเฉพาะในเรื่องการพยากรณ์และเตือนภัย การพัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศและการสื่อสาร การพัฒนาเครือข่ายและบทบาทชุมชน การสร้างอาสาสมัคร การฝึกซ้อมการเผชิญภัย การปฏิบัติการกู้ภัยและช่วยเหลือ การฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้การดำเนินการในขั้นตอนการจัดทำแผนปฏิบัติการและงบประมาณมีความชัดเจนไม่เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งให้ความสำคัญกับแนวทางการปฏิบัติตามแผนแม่บทฯ ที่มีอยู่แล้วเป็นลำดับแรก ส่วนประเด็นใดที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวซึ่งไม่ได้กล่าวไว้ในแผนจัดการภัยพิบัติแต่ละประเภท ให้ดำเนินการตามที่ระบุไว้ในแผนแม่บทฯ ไปพิจารณาปรับปรุงร่างแผนแม่บทดังกล่าว เพื่อนำเสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย พิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||
1568 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมชาติ วุฒิสภา | สว | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาพื้นที่การเกษตรและชุมชนที่ประสบภัยธรรมขาติ วุฒิสภา และผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งแผนระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยเฉพาะโครงการแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ระยะที่ ๒ โดยมีกรอบการดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ การสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดสรรน้ำ รวมทั้งกำหนดแนวทางที่ครบถ้วนและชัดเจนในการแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำยมเพื่อบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้ง กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดทำคู่มือการบริหารจัดการการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรเพื่อให้การปฏิบัติงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติด้านการเกษตรมีประสิทธิภาพ รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ และถูกต้องตามระเบียบราชการ เป็นต้น ๒. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้นำเสนอการจัดการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งทะเลและพื้นที่ชายฝั่งทะเลต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ แล้ว การจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างเป็นระบบและพัฒนากลไกการบริหารจัดการน้ำแบบบูรณาการ รวมทั้งแผนการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำ แผนพัฒนาโครงข่ายน้ำ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กรลุ่มน้ำ เครือข่ายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนการพัฒนากลไก กฎ ระเบียบ ระบบข้อมูลสารสนเทศทรัพยากรน้ำ การวิจัยด้านทรัพยากรน้ำ และการรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะภูมิอากาศ เป็นต้น ๓. สำนักงบประมาณได้จัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทยให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน การฝึกซ้อมด้านสาธารณภัยและด้านความมั่นคง การจัดทำเครือข่ายข้อมูลด้านความมั่นคงของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และการดำเนินการระบบงานเตรียมความพร้อมของชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การฝึกซ้อมการบริหารวิกฤตการณ์ระดับชาติ ประจำปี ๒๕๕๓) ๔. คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้พิจารณาปรับปรุงการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีคำสั่งแต่งตั้งอนุกรรมการเฉพาะกิจ ๔ คณะ เพื่อจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ด้านสังคม ด้านเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม และได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจที่เกี่ยวข้องรับไปเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนยุทธศาสตร์กระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อไป ซึ่งคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้นำเรียนนายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว ๕. กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) ได้ดำเนินการด้านกฎหมาย โดยใช้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นกฎหมายหลักในการบริหารจัดการภัยพิบัติของประเทศ ด้านแผน ได้จัดทำแผนเพื่อเป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการบริหารจัดการภัยพิบัติแบบบูรณาการอย่างมีประสิทธิภาพ การดำเนินการฝึกซ้อมแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยทุกระดับ (กลุ่มจังหวัด จังหวัด และอำเภอ) การดำเนินโครงการฟื้นฟู บูรณะแหล่งน้ำเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและอุทกภัย การจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นตลอด ๒๔ ชั่วโมง เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1569 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร พ.ศ. .... | มท | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร ในท้องที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท และแขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอนได้อีกสามปี และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1570 | สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร | นร | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ๒. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร วันจันทร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1571 | ร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร (ปสส.) วันจันทร์ที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ตามที่สำนักงานเลขานุการ ปสส. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1572 | การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 | นร | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินี เป็นโครงการที่คนไทยทุกคนร่วมเป็นเจ้าภาพในการปลูกป่าน้อมเกล้าฯ ถวายในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ เพื่อร่วมกันฟื้นฟูและเพิ่มพื้นที่สีเขียวและต้นไม้ในท้องถิ่น ชุมชน และพื้นที่ป่าต่าง ๆ ให้มีความสมบูรณ์ โดยมีระยะเวลา ๕ ปี ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ รวมทั้งเป็นการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักให้ประชาชนในทุกพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการดูแลบำรุงรักษาต้นไม้และพื้นที่ป่าด้วยจิตอาสา ซึ่งจะมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั่วประเทศ ในวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในพิธีเปิดที่จังหวัดเชียงใหม่ รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล) เป็นประธานในพิธีเปิดในภูมิภาคอีก ๔ จังหวัด คือ จังหวัดนครศรีธรรมราช นครราชสีมา อุทัยธานี และน่าน ตามลำดับ โครงการประชาอาสาปลูกป่าฯ นี้ ได้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นการสนองพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในด้านการฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรป่าไม้และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงให้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการ ดังนี้
๑. ให้ทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้องร่วมมือกันดำเนินโครงการนี้อย่างพร้อมเพรียงและมีการประสานงานกันอย่างใกล้ชิด หากมีหน่วยงานหรือภาคเอกชนสนใจจะเข้าร่วมดำเนินการเพิ่มเติม ขอให้แจ้งความประสงค์ที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ๒. ให้นำแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีมาเป็นแนวทางในการปลูกป่าภายใต้โครงการนี้ ๓. ให้ยึดหลักในการดำเนินงาน ๔ ประการ คือ น้อมนำ ปฏิบัติการ ป้องกัน และรักษา ๔. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเจ้าภาพหลักในการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ๕. ให้ส่งเสริมให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกป่า การดูแลรักษา และการใช้ประโยชน์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1573 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง | วธ | 07/08/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรม โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง โดยกำหนดมาตรการในการฟื้นฟูและช่วยเหลือเป็น ๒ มาตรการ ได้แก่ มาตรการระยะสั้น ระยะเวลา ๖-๑๒ เดือน และมาตรการระยะยาว ระยะเวลา ๑-๓ ปี เน้นประเด็นเรื่อง อัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การจัดการทรัพยากร สิทธิในสัญชาติ การสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรม และการศึกษา ดังนี้
๑. ผลการดำเนินการตามมาตรการระยะสั้น ๑.๑ ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์และวัฒนธรรม การดำเนินการในระดับพื้นที่มีโครงการที่หลากหลาย ได้แก่ ด้านการส่งเสริมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมประเพณีกะเหรี่ยง เช่น การแสดงดนตรีพื้นบ้าน ด้านการรวบรวมองค์ความรู้ เช่น จัดทำข้อมูลภูมิปัญญาท้องถิ่นชาวกะเหรี่ยง และด้านการเพิ่มพูนทักษะชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เช่น ฝึกอบรมการทำอิฐ ๑.๒ ประเด็นการจัดการทรัพยากร การดำเนินการในระดับพื้นที่มีกิจกรรมที่ขับเคลื่อนเรื่องการจัดการทรัพยากร ได้แก่ กิจกรรมด้านการแก้ไขปัญหาที่ดินและการสำรวจการถือครองที่ดิน เช่น โครงการจัดทำโฉนดชุมชน กิจกรรมด้านการยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงท้องถิ่นดั้งเดิม เช่น นโยบายยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกิจกรรมการส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพในชุมชนบนพื้นที่สูง เช่น การให้ความรู้ทางการเกษตรชีวภาพ ๑.๓ ประเด็นสิทธิในสัญชาติ ได้ดำเนินการออกบัตรประจำตัวประชาชนและการให้สิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น ทำบัตรประจำตัวให้กับชาวกะเหรี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ชาวกะเหรี่ยงนำเอกสารหลักฐานมาขอลงทะเบียนผู้มีสิทธิประกันสุขภาพ รวมถึงสำรวจและทำทะเบียนประวัติบุคคลที่มีปัญหาสถานะและสิทธิ ๑.๔ ประเด็นการสืบทอดมรดกวัฒนธรรม การดำเนินงานในระดับพื้นที่ ได้แก่ กิจกรรมการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมชุมชนชาวกะเหรี่ยง เช่น จัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมไทยสายใยชุมชนกะเหรี่ยง กิจกรรมส่งเสริมและสืบทอดศิลปวัฒนธรรม เช่น ส่งเสริมเวทีลานวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยงในวันสำคัญ และกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้และเพิ่มพูนทักษะชีวิต เช่น ส่งเสริมการเรียนรู้การประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริ ๑.๕ ประเด็นการศึกษา มีการดำเนินกิจกรรม ได้แก่ การพัฒนาศักยภาพชาวกะเหรี่ยง/บุคลากร/ครู/คณะกรรมการสถานศึกษา และการสนับสนุนทุนการศึกษา เช่น อบรมเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมและด้านอาชีพ การพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและวัฒนธรรมกะเหรี่ยง เช่น พัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นโดยปรับสาระการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๒. ปัญหาและอุปสรรค ได้แก่ การไม่มีเป้าหมายและแผนการดำเนินการอย่างชัดเจน ความไม่เข้าใจของหน่วยงานและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในมาตรการการฟื้นฟู การไม่มีงบประมาณดำเนินงาน เนื่องจากไม่ได้เสนอไว้ล่วงหน้า และบางหน่วยงานไม่สามารถเจียดจ่ายเงินจากงบปกติได้ การยึดถือกฎระเบียบของหน่วยงานของตนที่มีอยู่แล้วและไม่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการขาดแนวคิดและทักษะในการทำงานร่วมกับชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานราชการในระดับต่าง ๆ ๓. ข้อเสนอแนะต่อแนวทางการทำงานฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง ๓.๑ ควรตั้งหน่วยงานสำหรับการผลักดันเรื่องนี้โดยเฉพาะ พร้อมทั้งการจัดสรรงบประมาณพิเศษ โดยหน่วยงานนี้มีบทบาทในการทำงานเชิงบูรณาการ โดยมีการวางแผนปฏิบัติการหลัก (Master plan) ที่มีเป้าหมาย แผนการดำเนินการและการประเมินผลอย่างชัดเจนที่ทุกหน่วยงานสามารถปฏิบัติการได้ และมีงบประมาณสนับสนุน เพื่อประกันว่ามติคณะรัฐมนตรีจะได้ผลในระยะ ๓ ปีภายหน้า ๓.๒ การดำเนินงานของคณะกรรมการระดับจังหวัดควรมีทิศทางที่สอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรีมากขึ้น มีการกำหนดแผนงานการดำเนินงาน ติดตามแก้ปัญหาในพื้นที่ โดยวางแผนให้มีความสอดคล้องกับแผนระดับชาติ และได้รับงบประมาณสนับสนุน ๓.๓ ดำเนินแผนการประชาสัมพันธ์ การสื่อสารกับสังคม รวมทั้งการอบรม และการสร้างความเข้าใจในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ชุมชน นักเรียนนักศึกษา และบุคคลทั่วไปในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวกับการฟื้นฟูวิถีชีวิตของกะเหรี่ยง เช่น ประเด็นอัตลักษณ์ ชาติพันธุ์ มรดกทางวัฒนธรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ การจัดการทรัพยากร ระบบไร่หมุนเวียน การจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ๓.๔ การเพิ่มพื้นที่และโอกาสการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อทำให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดอคติที่มีต่อกันทั้งในรูปแบบของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ การวางแผนการทำกิจกรรม และการติดตามประเมินผลร่วมกัน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1574 | ผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ 26 | กห | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการต่างประเทศรายงานผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee : RBC) ไทย - เมียนมาร์ ครั้งที่ ๒๖ ระหว่างวันที่ ๖ - ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดตองยี รัฐฉาน สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ โดยมีพลโท ชาญชัยณรงค์ ธนารุณ แม่ทัพภาคที่ ๓ และพลโท เท็ดไหน่วิน ผู้บัญชาการสำนักปฏิบัติการพิเศษที่ ๔ เป็นประธานร่วม สำหรับการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้มีการดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการประสานประโยชน์ร่วมกัน ส่งผลให้การประชุมประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในทุก ๆ ด้าน โดยเฉพาะการสนับสนุนให้ความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพของทั้งสองประเทศแน่นแฟ้นกันมากขึ้น ซึ่งประเด็นที่ได้มีการหารือ ได้แก่ กลไกของคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น (Township Border Committee : TBC) การยกระดับจุดผ่านแดน บ.พระเจดีย์สามองค์/พญาตองซู การส่งเสริมให้มีการติดต่อสื่อสารระหว่างเรือ ทร. เมียนมาร์ และเรือ ทร. ไทย การแลกเปลี่ยนการเยือนระหว่างผู้นำทางทหารของกองทัพทั้งสองประเทศ การป้องกันอาชญากรรมบริเวณพื้นที่ชายแดน การปราบปรามการลักลอบการค้าอาวุธและกระสุน การป้องกันการค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การป้องกันไฟป่าและหมอกควัน การป้องกันการค้าสัตว์ป่าและไม้ข้ามแดนผิดกฎหมาย การเปิดจุดผ่านแดนแห่งใหม่ การจัดตั้งหมู่บ้านคู่ขนานบริเวณพื้นที่ชายแดนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดระหว่างประชาชน และส่งเสริมความร่วมมือในระดับท้องถิ่นของทั้งสองประเทศ การจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในพื้นที่ชายแดน การตั้งจุดตรวจทางทหารบริเวณพื้นที่ดอยลาง และการตั้งจุดตรวจบริเวณพิกัด NR 092354 ของไทย การกำหนดมาตรการที่มีประสิทธิภาพต่อกลุ่มก่อความไม่สงบ/กลุ่มต่อต้าน และความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดน นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือในประเด็นการล้ำน่านฟ้าของไทย - เมียนมาร์ การทำประมงผิดกฎหมาย และการลักลอบระเบิดปลาในน่านน้ำเมียนมาร์และน่านน้ำไทย รวมทั้งประเด็นที่เกี่ยวกับเส้นเขตแดน การปราบปรามยาเสพติด การหาประโยชน์จากชาวเขาเผ่าปะด่อง และการกำหนดการประชุม RBC - 27 จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1575 | รายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี 2553 | พม | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอรายงานการพัฒนาเด็กและเยาวชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติแล้ว โดยสาระสำคัญของรายงาน ประกอบด้วย วัตถุประสงค์และขอบเขตรายงาน เนื้อหารายงาน และข้อเสนอเชิงนโยบายต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชน โดยในส่วนของข้อเสนอเชิงนโยบายฯ มีดังนี้
๑. ส่งเสริมสถาบันครอบครัวและวัฒนธรรม ด้วยการพัฒนาความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ถูกต้องให้กับพ่อแม่และผู้ปกครองในการเลี้ยงดู เด็กและเยาวชนอย่างเหมาะสม โดยปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีคุณธรรม จริยธรรม ยึดมั่นในหลักคำสอนทางศาสนา มีความพอเพียง มีสำนึกความเป็นพลเมือง มีวิถีประชาธิปไตย เคารพสิทธิผู้อื่น รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล มีจิตสาธารณะ รักสิ่งแวดล้อม สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปลอดภัย และสนับสนุนให้ชุมชน สังคม ภาคีเครือข่ายเข้าใจปัญหาและความต้องการของเด็กและเยาวชน จัดบริการสวัสดิการให้สอดคล้องกับความต้องการของเด็กและเยาวชน ๒. ส่งเสริมสุขภาพกายและสุขภาพจิตเด็กและเยาวชน ด้านโภชนาการที่เหมาะสมตามวัยให้หญิงมีครรภ์และเด็กเล็กได้รับสารไอโอดีนอย่างทั่วถึง ให้ความรู้กับเด็กและเยาวชนในการป้องกันตนเองจากโรคและสิ่งเสพติด หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ป้องกันปัญหาโรคอ้วน รวมทั้งดูแลสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนไม่ให้เกิดความเครียด ปรับปรุงคุณภาพศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรผู้ดูแลเด็ก รวมถึงการดูแลเด็กเล็กในโรงเรียน โรงงาน สถานประกอบการ และให้ความรู้และทักษะการใช้ชีวิตเรื่องเพศศึกษาเมื่อถึงวัยอันควร ๓. ด้านการศึกษา ควรสนับสนุนภาคีอื่นเข้าร่วมจัดการศึกษากับกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ สื่อมวลชน องค์กรพัฒนาเอกชน องค์กรระหว่างประเทศที่ทำงานด้านการศึกษา หรือชุมชน ฯลฯ เพื่อให้การจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีคุณภาพและสอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละกลุ่ม รวมทั้งเตรียมความพร้อมเด็กและเยาวชนเมื่อไทยเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน และต้องเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชนที่ยากจนหรือด้อยโอกาสรุนแรงด้วยมาตรการที่หลากหลาย ดูแลเรื่องคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจัง รวมทั้งสร้างความหลากหลายของแนวทางและช่องทางการศึกษา โดยสนับสนุนให้มีการจัดการศึกษาทางเลือกทุกระดับ ๔. ดูแลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ทั้งในด้านโภชนาการ การศึกษาที่พอเพียงและมีคุณภาพ การมีงานทำ ครอบครัวที่อบอุ่น รวมทั้งสร้างทุนทางสังคมให้กับเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสที่จะมีส่วนช่วยการพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นสภาพด้อยโอกาส ภาครัฐควรสร้างฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนด้อยโอกาส ซึ่งปัจจุบันยังมีความคลุมเครือและไม่สมบูรณ์ โดยเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ด้อยโอกาส ระหว่างเครือข่ายพันธมิตรและชุมชน และทำการปรับแก้หรือบังคับใช้กฎหมายที่เอื้อต่อการพัฒนา คุ้มครองและพิทักษ์สิทธิของเด็กและเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ๕. ปรับปรุงการดำเนินงานของสภาเด็กและเยาวชน ด้วยการสร้างความเข้าใจถึงบทบาทและความสำคัญของสภาเด็กและเยาวชนในทุกระดับ เพื่อให้มีความต่อเนื่องของการดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชน พร้อมกับที่ต้องส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ของสภาเด็กและเยาวชนไปในตัวด้วย ในขณะที่ผู้บริหารสภาเด็กและเยาวชนควรทำการปรึกษาอย่างกว้างขวางกับเด็กและเยาวชนในพื้นที่ในการจัดกิจกรรมที่ตรงกับความต้องการในพื้นที่ อันจะนำไปสู่การสนับสนุนทรัพยากรทางการเงินจากภาครัฐได้มากขึ้น ๖. ส่งเสริมบทบาทของเครือข่ายเพื่อมีส่วนร่วมพัฒนาเด็กและเยาวชน การพัฒนาเด็กและเยาวชนเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนในสังคมไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ธุรกิจเอกชน ชุมชน หรือครอบครัว จึงควรมีมาตรการส่งเสริมให้ภาคส่วนเหล่านี้ตระหนักและมีการเพิ่มบทบาทของตนเองในเรื่องนี้มากขึ้น มาตรการที่อาจทำได้ เช่น การสนับสนุนการดำเนินงานของธุรกิจเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) เพิ่มอัตราจ้างเด็กและเยาวชนในการทำงาน สนับสนุนให้อาสาสมัครมีบทบาทต่อการพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีฝ่ายงานด้านเด็กและครอบครัว ๗. ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกด้าน
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1576 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการประกาศให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ ๑๐๐ ปี ของการสหกรณ์ไทย ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการหลังการประกาศ “สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติ” โดยคาดหวังว่า หากสหกรณ์ได้รับการพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ จะมีผลในทางปฏิบัติในเรื่องที่สำคัญ ดังนี้ ๑.๑ เป็นเครื่องมือสำคัญในการรองรับนโยบายทางด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่ เช่น นโยบายประกันรายได้เกษตรกร ปัญหาจากผลของ AFTA สหกรณ์สามารถรองรับการตลาดผลผลิตการเกษตรได้ นโยบายส่งเสริมการออมภาคประชาชน การแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบ โดยสหกรณ์เป็นแหล่งการออมที่สำคัญของภาคประชาชน เป็นต้น ๑.๒ เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในระดับมหภาคโดยการขับเคลื่อนและพัฒนาการรวมกลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชนบทที่มีความหลากหลายให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยใช้วิธีการสหกรณ์ เพื่อลดความซ้ำซ้อน สร้างความชัดเจน และความเป็นเอกภาพแก่ระบบการส่งเสริมกลุ่มของรัฐ รวมถึงเป็นการปฏิรูประบบการออมของประเทศที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองได้ในระยะยาว ๑.๓ เป็นกลไกสร้างการเรียนรู้ วิถีแห่งประชาธิปไตยในระยะยาว โดยปลูกฝังประชาธิปไตยตั้งแต่ระดับเยาวชน ผ่านกิจกรรมสหกรณ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม อันจะทำให้เกิดการซึมซับวิธีการประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปบูรณาการร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อจัดทำยุทธศาสตร์และรายละเอียดต่าง ๆ ที่จะดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนการสหกรณ์ รวมทั้งการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ชัดเจน แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการกำหนดวัตถุประสงค์ เป้าหมายในข้อเสนอระเบียบวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจนเพื่อจะได้มีขอบเขตทิศทางและจุดมุ่งหมายร่วมของทุกภาคส่วนที่จะนำไปดำเนินการ การศึกษาโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ผลกระทบ รวมทั้งผลดีผลเสีย ที่ผู้รับบริการจะได้รับ และรับฟังความคิดเห็นของหน่วยงานที่จะต้องดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์มาประกอบการพิจารณา การกำหนดเป้าหมายและตัวชี้วัดการดำเนินงานตามข้อเสนอยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ให้ชัดเจน การปลูกฝังและวางรากฐานการสหกรณ์ให้กับเยาวชน โดยเฉพาะการให้มีหลักสูตรการสหกรณ์เป็นวิชาบังคับในโรงเรียน และนำระบบการสหกรณ์มาใช้ในโรงเรียน การทำงานร่วมกันระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยราชการในพื้นที่ และสหกรณ์ในระดับพื้นที่ในการขับเคลื่อนการพัฒนาสหกรณ์ในพื้นที่อย่างเป็นเอกภาพ การเชื่อมโยงสหกรณ์เครือข่ายการผลิต และการตลาด ที่มีอยู่หลากหลายประเภทในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับชาติ และการปรับปรุงโครงสร้างภายในกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ เพื่อให้เป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนทางวิชาการและให้บริการที่เกี่ยวข้องแก่สหกรณ์ทุกประเภท ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
1577 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 และตอนล่าง 2 | นร | 30/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ แนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดอุบลราชธานี อำนาจเจริญ ศรีสะเกษ และยโสธร) รวม ๘ จังหวัด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน ๑.๓ ความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมที่นอกเหนือจากโครงการในพื้นที่ดูงานของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วนซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันทีขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป ๒. คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ผลจากการลงพื้นที่ปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๑ และตอนล่าง ๒ พบว่า ถนนสายรองและสะพานในพื้นที่หลายแห่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ขาดการซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีและใช้สัญจรไปมาได้อย่างสะดวกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางสายทางผิวจราจรเสียหายเป็นหลุมบ่อทั้งที่ก่อสร้างเสร็จไม่นานและอยู่ในระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างของผู้ประกอบการ จึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรับไปกำกับสั่งการเพื่อให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องติดตามดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร็ว รวมทั้งการตรวจสอบความชำรุดเสียหายของถนนภายหลังก่อสร้างเสร็จและใช้งานแล้ว เพื่อให้ผู้ประกอบการก่อสร้างเร่งปรับปรุงแก้ไขและซ่อมบำรุงให้อยู่ในสภาพดีภายในกรอบระยะเวลารับประกันตามสัญญาก่อสร้างด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1578 | กรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของ คชก. | พณ | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบกรอบระยะเวลาการพิจารณาให้ความช่วยเหลือเกษตรกรของคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอ ดังนี้
๑. การประเมินสถานการณ์สินค้า ๑.๑ สินค้าเกษตรที่มีคณะกรรมการเฉพาะ ให้คณะกรรมการประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาสินค้าเกษตรที่รับผิดชอบและสภาพปัญหา รวมทั้งเสนอแนวทางป้องกันและมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำเสนอ คชก. โดยเร็วต่อไป ๑.๒ สินค้าเกษตรที่ไม่มีคณะกรรมการกำกับดูแลเฉพาะ และประสงค์จะของบประมาณสนับสนุนจากภาครัฐ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบประเมินสถานการณ์แนวโน้มราคาและสภาพปัญหา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการป้องกัน/แก้ไขปัญหาก่อนผลผลิตออกสู่ตลาดไม่น้อยกว่า ๒ เดือน แล้วนำ เสนอ คชก. พิจารณาโดยเร็วต่อไป ๒. การพิจารณาของ คชก. ให้ฝ่ายเลขานุการ คชก. พิจารณาตรวจสอบรายละเอียดข้อมูลโครงการที่จำเป็นให้ครบถ้วนก่อนเสนอประธาน คชก. พิจารณากำหนดวัน เวลา ประชุม คชก. โดยเร็ว ทั้งนี้ ให้ฝ่ายเลขานุการสรุปมติคณะกรรมการ และแจ้งมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบภายใน ๓ วันทำการ ๓. การดำเนินการตามมติ คชก. ให้หน่วยงานที่ได้รับอนุมัติโครงการจาก คชก. เตรียมความพร้อมเพื่อสามารถดำเนินการตามมติ คชก. ได้ทันที โดยให้สามารถดำเนินการได้ภายใน ๗ วันทำการนับตั้งแต่ได้รับแจ้งมติ คชก. จากฝ่ายเลขานุการ ดังนี้ ๓.๑ เปิดบัญชีธนาคาร พร้อมทั้งประสานกรมบัญชีกลางในการรับโอนเงิน ๓.๒ เตรียมแผนการดำเนินการตามโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้โดยเร็ว ๓.๓ จัดสรรและโอนเงินให้หน่วยงานดำเนินการในระดับพื้นที่ เพื่อให้หน่วยงานในท้องถิ่นและเกษตรกรดำเนินการได้โดยเร็ว และสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้ทันเหตุการณ์
|
||||||||||||||||||||||||||||||
1579 | การดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรม ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง | อก | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๕ รวมทั้งผลการหารือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการดำเนินการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ดำเนินการเอง ซึ่งประธานกรรมการกลั่นกรองฯ คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เห็นชอบแล้ว ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการกลั่นกรองฯ เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบการขอเพิ่มเติมงบประมาณลงทุนประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (ครั้งที่ ๒) เพื่อก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในนิคมอุตสาหกรรมของ กนอ. รวม ๖ แห่ง ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง นิคมอุตสาหกรรมบางชัน นิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมพิจิตร วงเงิน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท โดยให้กู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน จำนวน ๓,๕๔๖.๒๔ ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๐.๐๑ ต่อปี ระยะเวลา ๑๕ ปี และให้จ่ายเฉพาะดอกเบี้ยโดยไม่ต้องจ่ายคืนเงินต้นใน ๕ ปีแรก ๑.๒ ให้ กนอ. พิจารณานำเงินส่งเป็นรายได้แผ่นดินตามปกติ โดยไม่ต้องหักยอดเงินต้นและดอกเบี้ยที่จะต้องชำระคืนในแต่ละปีออก ๑.๓ ให้ กนอ. รับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการพิจารณาเก็บค่าบริการส่วนกลาง ไปดำเนินการต่อไป ๑.๔ ให้ กนอ. จัดทำรายละเอียดผลกระทบที่เกิดขึ้นเสนอคณะกรรมการจัดทำบันทึกข้อตกลงและประเมินผลการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจพิจารณาต่อไป ๑.๕ ให้ กนอ. รับภาระภาษีโรงเรือน ภาษีบำรุงท้องที่หรือภาษีอื่นใดที่หน่วยงานท้องถิ่นจัดเก็บ เนื่องจากการประมาณการภาระภาษีอยู่ในระดับที่ฐานะทางการเงินของ กนอ. สามารถรองรับได้ ๒. ในกรณีที่การดำเนินการโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมนิคมอุตสาหกรรมที่ กนอ. ดำเนินการเอง ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของ กนอ. ให้คณะกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยพิจารณาปรับอัตราค่าบริการส่วนกลางจากผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม โดยให้มีผลกระทบต่อผู้ประกอบการน้อยที่สุด |
||||||||||||||||||||||||||||||
1580 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล" | สสป | 24/07/2555 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ ๑.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๑ รัฐควรให้ความสำคัญกับศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลเพื่อเป็นศูนย์กลางการบูรณาการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับชุมชน ๑.๑.๒ รัฐควรสนับสนุนให้สภาเกษตรกรแห่งชาติมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนภารกิจศูนย์ฯ ให้บรรลุเป้าหมายเป็นไปตามทิศทางที่กำหนดไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ๑.๑.๓ หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่ให้ความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีไปยังชุมชนควรลดความซ้ำซ้อนในการจัดตั้งกลุ่มประชาชนเพื่อให้เป็นตัวแทนของหน่วยงานโดยอาศัยศูนย์ฯ เพื่อให้เป็นศูนย์รวมของชุมชนด้านการเกษตรในลักษณะจุดบริการเพียงจุดเดียว ๑.๑.๔ รัฐควรเอาภารกิจการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีของศูนย์ฯ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ๑.๒. การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน ๑.๒.๑ พัฒนาให้เป็นศูนย์รวมข้อมูลองค์ความรู้และเทคโนโลยีด้านการเกษตรของชุมชน เพื่อเพิ่มศักยภาพในการประกอบอาชีพสร้างแรงจูงใจก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในอาชีพเกษตรกรรม ๑.๒.๒ เพิ่มบทบาทและหน้าที่ของศูนย์ฯ ในการส่งเสริมให้ชุมชนอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างพอเพียงจากพันธุกรรมพืช พันธุกรรมสัตว์ ทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพ และภูมิปัญญาท้องถิ่น ๑.๒.๓ จัดให้มีการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีการเกษตรด้านต่างๆ ให้เข้าถึงทุกกลุ่มเป้าหมายโดยวิธีการที่เหมาะสมกับพื้นที่และชุมชน เช่น การจัดฝึกอบรม การจัดตั้งศูนย์สาธิต เป็นต้น ๑.๒.๔ จัดให้มีการถ่ายทอดผลงานและประสบการณ์บริหารงานระหว่างศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๑.๓. งบประมาณ ๑.๓.๑ รัฐพึงจัดสรรงบประมาณสนับสนุนศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลผ่านทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยระบุงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินงานให้ชัดเจน ๑.๓.๒ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรบูรณาการแผนงานด้านการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เทคโนโลยีการเกษตรของหน่วยงานในระดับต่างๆ ให้กับเกษตรกร ๑.๓.๓ รัฐส่งเสริมและสนับสนุนให้ศูนย์ฯ สามารถดำเนินกิจกรรมโดยไม่ต้องรองบประมาณจากรัฐเพียงอย่างเดียว ๒. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ดังนี้ ๒.๑ การบูรณาการงานถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีให้กับชุมชน โดยมอบให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นประสานความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อให้นำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการบริหารศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลให้ชัดเจนในการขับเคลื่อนการดำเนินงาน ให้ทุกส่วนราชการบูรณาการแผนการถ่ายทอดความรู้ โดยให้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติสนับสนุนข้อมูลหรือองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน ๒.๒ การทำหน้าที่บริการและถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีสู่ชุมชน มอบกรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการประสานข้อมูลองค์ความรู้ เอกสาร นิทรรศการ จากภาครัฐ เอกชน และประชาชน ให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลมีบทบาทในด้านการอนุรักษ์ เป็นศูนย์กลางการส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรระดับตำบล โดยให้ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้ความสำคัญจะต้องสนับสนุนข้อมูล องค์ความรู้และงบประมาณให้ศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบล ๒.๓ งบประมาณ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนำภารกิจด้านศูนย์บริการและถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรประจำตำบลบรรจุไว้ในแผนยุทธศาสตร์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในลักษณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต้องดำเนินการตามภารกิจถ่ายโอนทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเห็นควรให้ขอจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในฐานะที่กำกับดูแลต่อไป
|
.....