ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 73 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1441 - 1460 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1441 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนเมษายน 2556 | นร04 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนเมษายน ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายกฎหมายและวิชาการ และได้จัดเสวนารับฟังความเห็น เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๕๖ และวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ สำหรับกระทรวงยุติธรรมได้จ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ที่ถูกดำเนินคดีจากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๓) จำนวน ๑๓ ราย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น ๑๑.๑ ล้านบาท ๒. กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน ๕๗,๒๑๔ หมู่บ้าน/ชุมชน (ร้อยละ ๖๗.๘๕) เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ จำนวน ๖,๐๕๖ หมู่บ้าน/ชุมชน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ ๗.๑๘ และการแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดโดยการนำเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาทั้ง ๓ ระบบ ได้แก่ ระบบสมัครใจ ระบบต้องโทษ และระบบบังคับ จำนวน ๑๗๘,๕๐๕ ราย (ร้อยละ ๕๙.๕๐) เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๐,๑๓๗ ราย คิด เป็นสัดส่วนร้อยละ ๑๓.๓๘ ๓. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการได้ดำเนินการปลุกจิตสำนึกและสร้างตระหนักรู้ การพัฒนาองค์การ การตรวจสอบเฝ้าระวังเชิงรุก การปราบปรามที่จริงจังและการลงโทษที่เข้มงวด และการดำเนินงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๔. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติได้ดำเนินโครงการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๘ ลุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ ๑๗ ลุ่มน้ำ การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน เพื่อส่งน้ำและระบายน้ำให้พื้นที่เพาะปลูก ๒๔.๕๒ ล้านไร่ การป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจลดลง ๖๐,๐๐๐ ไร่ ผลงานภาพรวมร้อยละ ๒๙.๗๖ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ๑๐ โครงการ ผลงานภาพรวมร้อยละ ๒๙.๗๖ ๕. เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้จัดทำโครงการและกิจกรรมตามนโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ภายใต้วัตถุประสงค์ ๙ ข้อ ได้แก่ การเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้ และทุกคนในพื้นที่ดำรงชีวิตได้ปกติสุข การขจัดและป้องกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่หล่อเลี้ยงและเอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย ฯลฯ ๖. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ กระทรวงการต่างประเทศได้รายงานการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในอาเซียนของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ การประชุมในกรอบอาเซียน การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงและการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นตลาดใหม่ เป็นต้น ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้ดำเนินการเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ จำนวน ๖๐๒,๙๓๔.๔๕ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๓๑.๒๘ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ดำเนินการจัดทำแผนรักษาความปลอดภัยในหลายจังหวัด ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรมหลายประการ ได้แก่ การจัดงาน OTOP ภูมิภาค (ภาคใต้) ณ ลานพระอาทิตย์ จังหวัดกระบี่ มีผู้ประกอบการ OTOP ที่ผ่านกระบวนการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ไทย ระดับ ๑-๕ ดาว เข้าร่วมจำหน่ายสินค้าในงาน จำนวน ๓๐๐ ราย การจำหน่ายสินค้า OTOP ในต่างประเทศ ณ ศูนย์การค้า South Asia Top City นครคุนหมิง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้ประกอบการเข้าร่วมงาน จำนวน ๘๐ ราย และการส่งเสริมอาชีพด้านหัตถกรรมพื้นบ้าน จำนวน ๑,๑๖๔ ราย คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐.๓๔ ๙. เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กระทรวงมหาดไทยได้จัดการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โครงการจัดเวทีการพูดจาหาทางออกประเทศไทย โดยจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย จำนวน ๒ รุ่น ๆ ละ ๒๒๐ คน รวม ๔๔๐ คน งบประมาณ ๑๖๘.๒๓๒ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
1442 | ร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... | พม | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้มีคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑.๒ กำหนดให้สำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็ก เยาวชน ผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ รับผิดชอบงานธุรการ งานประชุม และกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานของคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการ ๑.๓ กำหนดให้การจัดตั้งสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งต้องเสนอต่อคณะกรรมการคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งพิจารณาประกาศจัดตั้ง และกำหนดเขตพื้นที่ที่ให้การคุ้มครอง ๑.๔ กำหนดอำนาจหน้าที่สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๕ กำหนดให้มีการสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรสาธารณประโยชน์ องค์กรสวัสดิการชุมชน องค์กรภาคเอกชนอื่น สถาบันศาสนา หรือกลุ่มคนไร้ที่พึ่ง ดำเนินการในลักษณะเดียวกับสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือมีส่วนร่วมในการให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๖ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอาจจัดให้มีศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และกำหนดอำนาจหน้าที่ของศูนย์ดังกล่าว โดยให้สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด ศูนย์พัฒนาสังคมประจำจังหวัด หรือส่วนราชการอื่นที่กำหนดเป็นศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๗ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งมีสิทธิขอรับการคุ้มครองจากสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง และให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ๑.๘ กำหนดให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งให้ความช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นในเบื้องต้น แล้วจัดส่งคนไร้ที่พึ่งผู้นั้นไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบตามกฎหมาย ๑.๙ กำหนดให้คนไร้ที่พึ่งต้องจัดทำข้อตกลงเข้าร่วมการอบรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ การประกอบอาชีพและทำงาน ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลให้สถานสงเคราะห์ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ที่ทำหน้าที่ให้การคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ เป็นสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งชั่วคราวเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้ ๒. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับไปดำเนินการแปรญัตติตามข้อสังเกตของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในชั้นกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เกี่ยวกับบทนิยาม “คนไร้ที่พึ่ง” ในร่างมาตรา ๓ ควรหมายความรวมถึง “คนเร่ร่อน จรจัด” เพื่อให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น และร่างมาตรา ๑๙ ควรเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการรองรับให้สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งหรือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งซึ่งไม่สมัครใจในการขอใช้สิทธิตามร่างพระราชบัญญัตินี้ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนซึ่งอาจมีการหลั่งไหลของคนไร้ที่พึ่งจากประเทศอื่นเข้ามาในประเทศไทย |
||||||||||||||||||||||||
1443 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 รวม 4 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ 9 - 10 มิถุนายน 2556 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดกำแพงเพชร วันที่ ๙-๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ วงเงินรวม ๕๑๒.๗๑ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดคำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ทั้งนี้ แผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๔ โครงการ ประกอบด้วย ๑.๑ กลุ่มภาคเหนือตอนล่าง ๒ ได้แก่ โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายผลิตภัณฑ์ปลาริมบึงบอระเพ็ด วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำ เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง วงเงิน ๒๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ จังหวัดกำแพงเพชร ได้แก่ โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก วงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และโครงการขุดลอกคลองแม่ระกา วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ จังหวัดอุทัยธานี ได้แก่ โครงการขุดลอกแควตากแดดบริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท โครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม.๘๖+๐๐๐-กม.๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำ บ้านดอนเพชร หมู่ที่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ที่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๒. ให้จังหวัดพิจิตรปรับปรุงข้อเสนอโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีภายใต้กรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด/กลุ่มจังหวัด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๓. ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบในการบริหารจัดการและบำรุงรักษาภายหลังจากการก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๔. เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ (จังหวัดนครสวรรค์ กำแพงเพชร พิจิตร และอุทัยธานี) รวม ๔ จังหวัด จำนวน ๑๗๗ โครงการ วงเงินรวม ๗๑,๗๔๗.๗๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณีเพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน
|
||||||||||||||||||||||||
1444 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 | นร11 | 10/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดกำแพงเพชร และจังหวัดอุทัยธานี โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นดังกล่าวไปดำเนินการต่อไป ๑.๑ ความเห็นของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ต่อโครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยเห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ในพื้นที่จังหวัดนครสรรค์ และจังหวัดอุทัยธานี วงเงิน ๔๓.๐๐ ล้านบาท (๒ ) โครงการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้อาเซียนของกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๒ ซึ่งดำเนินการในพื้นที่มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร วงเงิน ๑๔.๗๐ ล้านบาท และ (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบส่งน้ำโครงการวังบัว ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตร วงเงิน ๔๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ ความเห็นของรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงที่ลงพื้นที่โครงการในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ของ ๔ จังหวัด ๑.๒.๑ จังหวัดนครสวรรค์ เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการส่งเสริมการแปรรูปและศูนย์จำหน่ายปลาริมบึงบอระเพ็ด ตำบลเกรียงไกร อำเภอเมือง วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวทุ่งเขาพระ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการก่อสร้างสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าพร้อมระบบส่งน้ำเพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ตำบลเนินศาลา อำเภอโกรกพระ และตำบลจันเสน อำเภอตาคลี วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำจำนวน ๓ แห่ง ตำบลบ้านไร่ อำเภอลาดยาว ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง และตำบลบ้านแดน อำเภอบรรพตพิสัย วงเงิน ๓๒.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๒ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๔ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก อำเภอเมือง วงเงิน ๓๘.๖๒ ล้านบาท (๒) โครงการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาการผลิตมันสำปะหลัง อำเภอเมือง วงเงิน ๑๖.๘๙ ล้านบาท (๓) โครงการปรับปรุงระบบส่งน้ำฝายวังหามแห (ฝายด่านใหญ่) ตำบลโค้งไผ่ อำเภอขาณุวรลักษบุรี วงเงิน ๒๖.๐๐ ล้านบาท และ (๔) โครงการขุดลอกคลองแม่ระกา ตำบลท่าไม้ ตำบลวังควง อำเภอพรานกระต่าย วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๓ จังหวัดพิจิตร เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง ฯ จำนวน ๘ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการขุดลอกศิริวัฒน์ (บึงนาราง-บางลาย) ตำบลบึงนาราง และตำบลบางลาย อำเภอบึงนาราง วงเงิน ๕.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการก่อสร้างถนนลาดยางสายเนินสะอาด หมู่ที่ ๕ ตำบลแหลมรัง อำเภอบึงนาราง จังหวัดพิจิตร-นาตาเซา หมู่ ๑๒ ตำบลวังชะโอน อำเภอบึงสามัคคี จังหวัดกำแพงเพชร วงเงิน ๑๘.๐๐ ล้านบาท (๓) โครงการระบบส่งน้ำบ้านไทรโรงโขน-บ้านบางไผ่-บ้านดงตะขบ ตำบลไทรโรงโขน ตำบลดงตะขบ อำเภอตะพานหิน ตำบลบางไผ่ อำเภอบางมูลนาก วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท (๔) โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำน่าน หมู่ที่ ๔ ตำบลไผ่หลวง อำเภอตะพานหิน วงเงิน ๑๒.๐๐ ล้านบาท (๕) โครงการระบบส่งน้ำสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าจากแม่น้ำน่านไปตำบลท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร วงเงิน ๑๕.๐๐ ล้านบาท (๖) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายแยก ทล.๑๑๕-วัดสวนโพธิบัลลังค์ หมู่ที่ ๑๐ ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๑.๒๐ ล้านบาท (๗) โครงการก่อสร้างถนนลาดยาง สายกลางหมู่บ้าน หมู่ ๔ บ้านมาบฝาง-หมู่ ๘ บ้านดงยาง ตำบลบึงบัว อำเภอวชิรบารมี วงเงิน ๑๐.๐๐ ล้านบาท และ (๘) โครงการซ่อมสร้างผิวทางจราจรถนนลาดยาง หมูที่ ๖ บ้านสระประทุม-หมู่ที่ ๗ บ้านหนองคล้า-หมู่ที่ ๑๐ บ้านหนองนาร้าง ตำบลไผ่รอบ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง วงเงิน ๙.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๔ จังหวัดอุทัยธานี เห็นชอบและสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางฯ จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขุดขยายสระเก็บน้ำบ้านดอนเพชร หมู่ ๓ ตำบลบ่อยาง-หมู่ ๑๐ ตำบลสว่างอารมณ์ อำเภอสว่างอารมณ์ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท (๒) โครงการขุดลอกแควตากแดด บริเวณเหนือเขื่อนวังร่มเกล้า อำเภอเมือง วงเงิน ๔๐.๐๐ ล้านบาท และโครงการปรับปรุงทางหลวงหมายเลข ๓๓๓ ตอน กม. ๘๓+๐๗๕ (ต่อเขตแขวงฯ สุพรรณบุรีที่ ๑)-วังหิน ระหว่าง กม. ๘๖+๐๐๐-กม. ๘๗+๐๐๐ ระยะทาง ๑.๐๐๐ กม. (บริเวณหน้าโรงงานน้ำตาลบ้านไร่) อำเภอบ้านไร่ วงเงิน ๓๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๒.๕ ให้จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณโครงการให้เหลือจังหวัดละไม่เกิน ๑๐๕ ล้านบาท โดยจังหวัดกำแพงเพชรได้ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาเขตเมืองเก่า “นครชุม” และการท่องเที่ยวเมืองมรดกโลก เหลือวงเงิน ๓๒.๑๒ ล้านบาท จังหวัดนครสวรรค์ปรับลดงบประมาณในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จำนวน ๓ แห่ง เหลือวงเงิน ๒๙ ล้านบาท ๒. เห็นชอบให้จังหวัดพิจิตรทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับศักยภาพและยุทธศาสตร์การพัฒนาของจังหวัด ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท โดยให้จังหวัดจัดทำข้อเสนอโครงการและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี ๓.๑ จังหวัดพิจิตร ๓.๑.๑ เห็นชอบให้ดำเนินการโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูบึงสีไฟ (ขุดลอกบึงสีไฟ) โดยให้จังหวัดพิจิตรจัดทำรายละเอียดโครงการที่มีลักษณะบูรณาการของกิจกรรมทั้งการพัฒนาแหล่งน้ำ การท่องเที่ยว และการพัฒนาอาชีพ โดยประสานงานกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๓.๑.๒ เห็นชอบในหลักการโครงการนอกกรอบงบ ๑๐๐ ล้านบาท จำนวน ๓ โครงการ ได้แก่ (๑) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๘ ตอนควบคุม ๐๑๐๑ ต่อเขตเทศบาลบางมูลนาก-กม. ๒๒+๐๐๐ (๒) โครงการบูรณะทางผิวแอสฟัลต์ ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม (๓) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องทางจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๗ ตอนควบคุม ๐๑๐๒ ตอนหอไกร-สี่แยกโพธิ์ไทรงาม และ (๔) โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง (ขยายผิวจราจรเป็น ๔ ช่องจราจร) ทางหลวงหมายเลข ๑๐๖๙ ตอนบางมูลนาก-ตลิ่งชัน โดยให้แขวงการทางพิจิตรจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และเสนอกรมทางหลวงเพื่อบรรจุในแผนงานประจำปีเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณในปี ๒๕๕๘ หรือ ปีอื่น ๆ ถัดไปตามความจำเป็นเร่งด่วน ๓.๒ จังหวัดอุทัยธานี ๓.๒.๑ ให้จังหวัดและกรมชลประทานพิจารณาศักยภาพรอบเขื่อนวังร่มเกล้า กรณีปรับภูมิทัศน์แล้วอาจสามารถพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัด ๓.๒.๒ ให้กรมชลประทานและสำนักงบประมาณหารือปรับปรุงการขอจัดสรรงบประมาณปี ๒๕๕๗ เพื่อเร่งรัดการดำเนินการวางท่อส่งน้ำจากสถานีสูบน้ำบ้านจักษามาถึงแก้มลิงตำบลเขาขี้ฝอย เขื่อนวังร่มเกล้า ในส่วนที่ยังขาดอยู่เพื่อให้เกษตรกรได้ใช้ประโยชน์โดยเร็ว ๓.๒.๓ โครงการศึกษาความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสำรวจออกแบบการผันน้ำจากเขื่อนศรีนครินทร์สู่ลุ่มน้ำท่าจีนและลุ่มน้ำสะแกกรัง งบประมาณ ๔๐ ล้านบาท ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งนี้เป็นวงเงินนอกกรอบ ควรมีการศึกษาความทับซ้อนด้านกฎหมายของส่วนราชการที่ถือปฏิบัติแต่ละหน่วยงาน ประเด็นที่อาจเป็นข้อร้องเรียนของ NGO ตลอดจนแนวทางการสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ดำเนินการและควรให้มีการหารือร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการความร่วมมือสำหรับการดำเนินการแต่ละขั้นตอนให้ชัดเจน ๓.๓ จังหวัดกำแพงเพชร เห็นชอบโครงการตามที่วัดพระบรมธาตุเจดียารามได้นำเสนอโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมเมืองเก่านครชุมเพิ่มเติม โดยให้จังหวัดหารือร่วมกันระหว่างเทศบาลตำบลนครชุม สำนักงานโยธาธิการและผังเมืองจังหวัดกำแพงเพชร และกรมศิลปากร เพื่อจัดทำรายละเอียดโครงการพร้อมประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอรับการสนับสนุน ได้แก่ ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากงบพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ หรือขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง หรือให้บรรจุโครงการไว้ในแผนพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอุทยานประวัติศาสตร์ (สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และกำแพงเพชร) ที่กระทรวงวัฒนธรรมกำลังดำเนินการ
|
||||||||||||||||||||||||
1445 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง กระทรวงมหาดไทย (จำนวน 4 ราย 1. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ฯลฯ) | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. นายวัลลภ พริ้งพงษ์ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดี กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๒. นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ให้ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายธงชัย ลืออดุลย์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบุรีรัมย์ ๔. นายพงศธร สัจจชลพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด จังหวัดบึงกาฬ
|
||||||||||||||||||||||||
1446 | ยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) | ทก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบยุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) มีสาระสำคัญเพื่อใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศที่ยั่งยืน โดยมีกรอบแนวทางการดำเนินการ ประกอบด้วย การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความเร็วสูง ICT ทั้งด้านโครงข่าย (Network Infrastructure) และด้านสารสนเทศ (Information Infrastructure) รวมทั้งการใช้บริการคลาวด์ภาครัฐ (Government Cloud) เพื่อลดความซ้ำซ้อนและภาระการลงทุนในการพัฒนาด้าน ICT ในหน่วยงานของรัฐ และการพัฒนาระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ (e-Government Services) ตามภารกิจของหน่วยงานในลักษณะของระบบบริการที่มีการบูรณาการข้อมูลระหว่างหน่วยงาน (Integrated e-Services) ให้บริการระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ ตลอดจนกำหนดกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติและมาตรฐานด้านความมั่นคงปลอดภัย ทั้งนี้ กรอบแนวทางการดำเนินการดังกล่าวสามารถกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เป็นการพัฒนาโครงข่ายสื่อสารข้อมูลภาครัฐโดยการต่อยอดและยกระดับเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วยงานภาครัฐ (Government Information Network หรือ GIN) ให้เป็นโครงข่ายสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงที่เชื่อมโยงภาครัฐสู่ประชาชนทุกภาคส่วน หรือ Super GIN รองรับการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในหลากหลายรูปแบบ อาทิ การบริการด้านการเกษตร การบริการสาธารณสุขทางไกล การขยายโอกาสทางการศึกษา ตลอดจนการขยายการให้บริการสู่ระดับท้องถิ่นเพื่อการบริการประชาชน และภาคธุรกิจเอกชนที่รวดเร็ว ทั่วถึง และครอบคลุม ๑.๑.๒ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการบูรณาการศูนย์ข้อมูลภาครัฐเข้าด้วยกัน และให้มีระบบสารสนเทศแบบรวมศูนย์ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับจังหวัด พร้อมทั้งการพัฒนาบริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อให้บริการสำหรับหน่วยงานของรัฐ ทั้งในด้านการบริการโครงสร้างพื้นฐาน และแอพลิเคชั่น ซึ่งในระยะแรกให้ดำเนินการบูรณาการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ในกระทรวงหลัก ๔ กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ๑.๑.๓ การสนับสนุนการบริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยการให้หน่วยงานของรัฐทุกหน่วยงานดำเนินการเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลในภารกิจของหน่วยงานตามกรอบแนวทางการเชื่อมโยงรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ TH e-GIF รวมทั้งกำหนดมาตรฐานด้านการรักษาความปลอดภัยในการดำเนินธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐ และมาตรฐานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมียุทธศาสตร์การบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแบบแผนของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศไทย โดยเฉพาะ (Thailand e-Government platform) ให้ทุกหน่วยงานได้ปรับใช้และสามารถใช้เป็นแบบแผนเดียวกันทุกระบบ ควรคำนึงถึงการพัฒนาบุคลากรทั้งในส่วนของภาครัฐและประชาชนให้มีความรู้ความสามารถในการใช้งานระบบบริการอิเล็กทรอนิกส์ภาครัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควรมียุทธศาสตร์ด้านกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่สนับสนุนการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายที่มีความเกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบบริการคลาวด์ภาครัฐ และกำหนดให้มีแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจนด้านการเติบโตของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในด้านการใช้พลังงานและผลกระทบที่มีต่อสภาพภูมิอากาศ หรือ Green ICT eco system ควรเพิ่มระดับความสำคัญของระบบความปลอดภัยให้กับเครือข่าย GIN และการให้บริการคลาวด์ภาครัฐ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ใช้บริการ และควรเร่งจัดทำรายละเอียดองค์ประกอบสำคัญของยุทธศาสตร์ทั้งในด้านกลยุทธ์ เป้าหมายการพัฒนา ตัวชี้วัด การแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การติดตามประเมินผล เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการขับเคลื่อนและผลักดันการดำเนินการให้บรรลุตามยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารให้ความสำคัญในเรื่องการเชื่อมโยงข้อมูล การจัดทำข้อมูลระหว่างหน่วยงานภาครัฐให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล เพื่อยกระดับการบูรณาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government) ไปสู่การให้บริการแบบอัตโนมัติ (e-services) ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1447 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา | คค | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์ปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา โดยจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน จำนวน ๒๙ อำเภอ ๒๒๔ ตำบล ๒,๓๗๙ หมู่บ้าน ยกเว้นอำเภอปากช่อง ครบุรี และเสิงสาง มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๑๔๔,๖๘๐ ครัวเรือน และพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ จำนวน ๙๒๖,๒๓๓ ไร่ ๒. ผลการดำเนินงานและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ในส่วนของน้ำเพื่ออุปโภคและบริโภค ได้สนับสนุนยานพาหนะและเครื่องมืออุปกรณ์เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งให้แก่อำเภอ ได้แก่ เครื่องสูบส่งน้ำระยะไกล (๓-๕ กม.) เพื่อเพิ่มน้ำต้นทุนในการผลิตประปา รถบรรทุกน้ำ เครื่องสูบน้ำเพื่อการเกษตร เครื่องสูบน้ำเพื่ออุปโภค ขุดเจาะบ่อบาดาล และสนับสนุนถังแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับน้ำเพื่อการเกษตรกรรม ได้สำรวจความเสียหายและทำรายการและขอรับความช่วยเหลือ โดยใช้เงินงบกลาง (กรมส่งเสริมการเกษตร) จำนวน ๖๖๓,๓๗๕ ไร่ เกษตรกร ๕๘,๐๒๙ ราย วงเงิน ๔๑๓,๘๒๓,๖๗๕ บาท ได้แก่ ข้าว ๖๑๒,๕๙๕ ไร่ เกษตรกร ๕๓,๙๗๐ ราย พืชไร่ ๔๙,๖๑๐ ไร่ เกษตรกร ๓,๘๙๗ ราย พืชสวนและอื่น ๆ ๑๒,๑๖๙ ไร่ เกษตรกร ๕๖,๓๖๐ ราย ๓. ข้อเสนอแนะเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบยั่งยืน ได้แก่ โครงการสำรวจออกแบบการประปาชุมชนแบบยั่งยืน โดยเน้นให้สถาบันการศึกษาเป็นผู้ดำเนินการและประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแบบต่อเนื่อง เพื่อยกระดับน้ำในแม่น้ำเพื่อการบริโภคอุปโภค และเพื่อการเกษตร และการจัดทำยุทธศาสตร์การพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม
|
||||||||||||||||||||||||
1448 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2509 | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๔๒ ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ เพื่อกำหนดลักษณะ ชนิด และประเภทของเครื่องแบบ และระเบียบในการแต่งเครื่องแบบของกรรมการหมู่บ้าน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้รับข้อสังเกตของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงฯ ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙ ดังนั้น ข้อความ “ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นหมวด ๔/๑ เครื่องแบบกรรมการหมู่บ้าน ข้อ ๑๑/๑ แห่งกฎกระทรวง (ฉบับที่ ๑๑) พ.ศ. ๒๕๔๒” ในร่างข้อ ๑ ควรแก้เป็น “ให้เพิ่มข้อความต่อไปนี้เป็นหมวด ๔/๑ เครื่องแบบกรรมการหมู่บ้าน ข้อ ๑๑/๑ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบัญญัติเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๙” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1449 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนหทัยราษฎร์ พ.ศ. .... | มท | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนหทัยราษฎร์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายถนนหทัยราษฎร์ในท้องที่แขวงมีนบุรี เขตมีนบุรี แขวงบางชัน แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร และอำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า การขยายถนนหทัยราษฎร์เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาโครงข่ายถนนย่านกรุงเทพมหานคร ตะวันออก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพถนนรองรับปริมาณการจราจรที่เพิ่มขึ้นของกรุงเทพมหานคร ทั้งนี้ ปัจจุบันกรุงเทพมหานครได้ดำเนินการขยายถนนในส่วนถนนเสมอระดับในเส้นทางดังกล่าวให้เป็น ๔ ช่องจราจรใกล้จะสมบูรณ์แล้วคงเหลือเฉพาะส่วนก่อสร้างสะพานข้ามทางแยกและสะพานข้ามคลอง จึงเห็นควรให้กรุงเทพมหานครพิจารณากำหนดแผนดำเนินงานก่อสร้างดังกล่าวให้มีความชัดเจน เพื่อให้สามารถกำหนดระยะเวลาการบังคับใช้พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณดังกล่าวให้มีความสอดคล้องกับแผนการก่อสร้างโครงการฯ ก่อนดำเนินการตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1450 | ผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในการประชุมเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 จังหวัดชลบุรี เรื่อง การแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลัก และชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) | อก | 04/06/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ เรื่อง การแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) โดยคณะกรรมการพิจารณาแก้ไขปรับปรุงร่างผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) ได้จัดทำข้อเสนอการขอแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ ๓ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยข้อเสนอการขอแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แนวคิด (Concept) ในการจัดทำข้อเสนอผังการใช้พื้นที่ ควรมีการนำแนวคิดอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industry) มาใช้ในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมภายใต้หลักการพึ่งพาอาศัยกัน (Symbiosis) ระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน ด้วยการออกแบบการใช้พื้นที่โดยคำนึงถึงความสำคัญและความสอดคล้องของการพัฒนา ๕ มิติ กล่าวคือ มิติทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย และคุณภาพชีวิตชุมชน ๒. ข้อเสนอผังการใช้พื้นที่ การใช้ประโยชน์พื้นที่ตามข้อเสนอการขอแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมฯ จัดทำขึ้นภายใต้แนวคิดความสอดคล้องของการพัฒนา ๕ มิติ ของอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ กล่าวคือ มิติทางกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยและคุณภาพชีวิตชุมชน โดยมีพื้นที่อุตสาหกรรมและคลังสินค้าและพื้นที่รองรับกิจกรรม/บริการสนับสนุนอุตสาหกรรม และพื้นที่ท่าเรืออุตสาหกรรม ทั้งสิ้นรวมประมาณ ๔๓,๔๔๔ ไร่ ๓. แนวทางการบริหารจัดการเพื่อให้บรรลุการเป็นอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (Eco-industrial) ได้นำแนวคิดหลักการ Eco อันหมายถึง ทั้ง Ecology และ Economy มาประยุกต์ใช้ สำหรับการพัฒนา (๑) ระดับโรงงานอุตสาหกรรม เป็น Green Industry (๒) ระดับนิคมอุตสาหกรรมและเครือข่าย ได้แก่ ชุมชนโดยรอบ โรงเรียน โรงพยาบาล หน่วยงานท้องถิ่น เป็น Eco Industrial Estate & Networks และ (๓) ระดับท้องถิ่น ได้แก่ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัดที่นิคมอุตสาหกรรมตั้งอยู่เป็น Eco Industrial Town เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1451 | ขอความเห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) | มท | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบวงเงินโครงการ พร้อมอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ (โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรฝั่งธนบุรี ย่านศิริราช ย่านบ้านช่างหล่อ และย่านอรุณอัมรินทร์ ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ) ดังนี้ ๑.๑ โครงการต่อขยายสะพานอรุณอมรินทร์พร้อมทางขึ้น-ลง และทางยกระดับข้ามแยกศิริราช ในวงเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) โดยค่าชดเชยที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และค่าก่อสร้างจำนวน ๑,๒๗๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษาควบคุมงาน จำนวน ๓๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร โดยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และมาตรฐานของทางราชการต่อไป ๑.๒ โครงการก่อสร้างขยายผิวจราจรของถนนสุทธาวาส และสะพานข้ามถนนจรัลสนิทวงศ์ ในวงเงิน ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-พ.ศ. ๒๕๕๙) ให้ใช้งบประมาณสัดส่วนเงินอุดหนุนรัฐบาล ร้อยละ ๑๐๐ โดยให้กรุงเทพมหานครใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ซึ่งสำนักงบประมาณได้เสนอตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๘-พ.ศ. ๒๕๕๙ ตามแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ตามความจำเป็นที่ต้องใช้จ่ายในแต่ละปีต่อไป ทั้งนี้ การกำหนดการจัดสรรงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการดังกล่าวอยู่นอกเหนือจากสัดส่วนเงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ให้กรุงเทพมหานครนำเสนอคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณาตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรุงเทพมหานคร รับความเห็นของกระทรวงกลาโหมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทดแทนสิ่งปลูกสร้างของกองทัพเรือที่ได้รับผลกระทบต่อพื้นที่และสิ่งปลูกสร้างจากโครงการดังกล่าว และเห็นว่ากรุงเทพมหานครควรให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ และการดำเนินมาตรการเพื่อลดผลกระทบต่อสถานที่ราชการและประชาชนที่อยู่อาศัยในบริเวณแนวสายทางอย่างเคร่งครัด รวมทั้งควรประสานกับกระทรวงคมนาคมในการพิจารณาความเชื่อมโยงของโครงข่ายถนนโดยรอบเพื่อให้สามารถบรรเทาปัญหาจราจรในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งกำหนดแนวทางหรือมาตรการเพื่อลดผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างโครงข่ายคมนาคมขนส่งในบริเวณกรุงเทพมหานครและปริมณฑลโดยเฉพาะการก่อสร้างถนนยกระดับและการก่อสร้างรถไฟฟ้า ๑๐ สายทาง ตามนโยบายรัฐบาล เช่น การให้บริการจุดจอดแล้วจรฟรีชั่วคราวให้แก่ประชาชนในช่วงก่อสร้าง การจัดรถบริการสาธารณะพิเศษในเส้นทางก่อสร้าง การเปิดเส้นทางลัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1452 | ร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... | ศธ | 28/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสถาบันวิทยาลัยชุมชน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กำหนดให้สถาบันเป็นนิติบุคคลและเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งจัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญาโดยวิทยาลัยชุมชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การศึกษา ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อสร้างความเข้มแข็งของท้องถิ่นและชุมชน ตอบสนองและสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นและชุมชน ๑.๒ กำหนดให้สถาบันแบ่งส่วนราชการออกเป็น สำนักงานสถาบันวิทยาลัย ส่วนราชการอื่น ๆ และให้การจัดตั้ง การรวม การโอนหรือการยุบเลิกวิทยาลัยหรือส่วนราชการอื่นจัดทำเป็นกฎกระทรวง เว้นแต่การแบ่งส่วนราชการภายในให้ทำเป็นประกาศสถาบัน ๑.๓ กำหนดให้สถาบันมีรายได้นอกจากเงินที่กำหนดไว้ในงบประมาณแผ่นดิน ได้แก่ เงินผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียม เบี้ยปรับ ค่าปรับ และค่าบริการต่าง ๆ ของสถาบัน เงินอุดหนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือเงินอุดหนุนที่สถาบันได้รับเพื่อใช้ในการดำเนินกิจการของสถาบัน เงินและทรัพย์สินซึ่งมีผู้อุทิศให้ เป็นต้น และให้รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่นำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ๑.๔ กำหนดให้มีสภาสถาบัน ประกอบด้วย นายกสภาสถาบัน กรรมการโดยตำแหน่ง กรรมการซึ่งเลือกจากผู้แทนภาคเอกชน กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ กำหนดคุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งนายกสภาสถาบันและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิและภาคเอกชนเป็นไปตามที่กำหนด และให้สภาสถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๕ กำหนดให้มีสภาวิชาการ สภาวิทยาลัย และคณะกรรมการส่งเสริมกิจการวิทยาลัย โดยมีองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด และให้จำนวน คุณสมบัติ หลักเกณฑ์ วิธีการได้มา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง ตลอดจนการประชุม เป็นไปตามที่กำหนด ๑.๖ กำหนดให้มีผู้อำนวยการสถาบันเป็นผู้บังคับบัญชาและรับผิดชอบการบริหารงานของสถาบัน กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการสรรหา วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามให้เป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๗ กำหนดให้วิทยาลัยซึ่งเป็นส่วนราชการในสถาบันมีหน้าที่จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ต่ำกว่าปริญญา และฝึกอบรมด้านวิชาการหรือด้านวิชาชีพ และให้วิทยาลัยบริหารและจัดการศึกษาบนพื้นฐานของการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและชุมชน ตลอดจนการระดมทรัพยากรและการสนับสนุน ๑.๘ กำหนดห้ามมิให้วิทยาลัยปฏิเสธการรับบุคคลเข้าศึกษาในวิทยาลัยหรือยุติหรือชะลอการศึกษาของนักศึกษาด้วยเหตุเพียงว่าผู้นั้นขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อจ่ายค่าธรรมเนียมการศึกษา สำหรับหลักเกณฑ์การพิจารณาว่านักศึกษาผู้ใดเป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ให้เป็นไปตามระเบียบที่สภาสถาบันกำหนด ๑.๙ กำหนดให้มีผู้อำนวยการวิทยาลัยซึ่งแต่งตั้งจากผู้มีคุณสมบัติตามที่กำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเป็นไปตามข้อบังคับของสถาบัน วาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และให้ผู้อำนวยการมีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด ๑.๑๐ กำหนดบทเฉพาะกาลเกี่ยวกับการโอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน งบประมาณฯ การโอนบรรดาข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างของส่วนราชการ การดำรงตำแหน่งประธานกรรมการและกรรมการต่าง ๆ การได้รับอนุปริญญาและประกาศนียบัตร ตลอดจนกฎกระทรวง กฎ ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ หรือหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ๒. ให้สำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาความเหมาะสมในการตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีและเงินอุดหนุนสำหรับการดำเนินกิจการของสถาบันวิทยาลัยชุมชนในส่วนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
|
||||||||||||||||||||||||
1453 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนมีนาคม 2556 | นร04 | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านความมั่นคงและปลอดภัยของประชาชน ประจำเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย กระทรวงยุติธรรมได้จ่ายเงินเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง (เมื่อปี ๒๕๔๘-๒๕๕๓) จำนวน ๑๐ ราย เป็นเงิน ๘,๑๕๑,๐๒๔ บาท และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้จ่ายเงินเยียวยาให้ผู้เสียหาย จำนวน ๒,๒๖๗ ราย เป็นเงิน ๑,๗๗๕ ล้านบาท ๒. กำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” สำนักงาน ป.ป.ส. ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหายาเสพติดในหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน ๕๑,๑๕๘ หมู่บ้าน/ชุมชน และแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด โดยการนำเข้าสู่ระบบบำบัดรักษาทั้ง ๓ ระบบ จำนวน ๑๓๘,๓๖๘ ราย ๓. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง สำนักงาน ก.พ.ร. ได้ปลูกจิตสำนึกและสร้างความตระหนักรู้ โดยมอบรางวัลเชิดชูเกียรติข้าราชการต้นแบบที่มีความประพฤติดี ทุ่มเทในการทำงาน ไม่ทุจริต ซึ่งโครงการได้เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนโครงการสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ (๑ กรม ๑ ป้องกันโกง) มีหน่วยงานส่งข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านการอนุมัติ ๑๔๓ กรม และจังหวัด จำนวน ๗๖ จังหวัด ๔. ส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน สำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติได้ดำเนินโครงการตามแผนแม่บทการบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ๘ ลุ่มน้ำ และพื้นที่ลุ่มน้ำอื่น ๆ ๑๗ ลุ่มน้ำ การบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทานเพื่อส่งน้ำและระบายน้ำในพื้นที่เพาะปลูก ๒๔.๕๒ ล้านไร่ การป้องกันและบรรเทาอุทกภัยพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เศรษฐกิจลดลง ๖๐,๐๐๐ ไร่ รวมทั้งการก่อสร้างโครงการชลประทานขนาดใหญ่ ๑๐ โครงการ ๕. เร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้จัดทำโครงการและกิจกรรมตามนโยบายการบริหารและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๗ ภายใต้วัตถุประสงค์การเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้และทุกคนในพื้นที่ดำรงชีวิตได้ปกติสุข การขจัดและป้องกันไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่หล่อเลี้ยงและเอื้อต่อการใช้ความรุนแรงจากทุกฝ่าย เป็นต้น และได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพิจารณาและบูรณาการแผนงาน/โครงการ และงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการบูรณาการในการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีโครงการที่ซ้ำซ้อนกัน ๖. เร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ กระทรวงการคลังรายงานการแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง และการประชุมทวิภาคีระดับสูงกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศในอาเซียนของนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ๗. เร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้มีนโยบายการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว ๒ ล้านล้านบาท ภายในปี ๒๕๕๘ โดยร่วมมือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อสำรวจพื้นที่ติดตั้งสัญญาณ WiFi ในพื้นที่ ๑๓ จังหวัด ได้แก่ กระบี่ ตรัง พังงา ชลบุรี เพชรบุรี กาญจนบุรี เชียงราย เชียงใหม่ เลย นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร พระนครศรีอยุธยา และลพบุรี ๘. สนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น (OTOP และ SMEs) กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินโครงการ/กิจกรรม ได้แก่ การจัดทำฐานข้อมูลผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP โดยในปี ๒๕๕๕ มีผู้ลงทะเบียนทั้งสิ้น ๓๕,๙๘๔ กลุ่ม และมีผลิตภัณฑ์ที่เข้าร่วมโครงการ/กิจกรรม จำนวน ๗๑,๕๙๑ ผลิตภัณฑ์ และกระทรวงอุตสาหกรรมได้สนับสนุนภารกิจของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในงานศิลปหัตถกรรมอันทรงคุณค่า การยกระดับผู้ประกอบการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์แบบบูรณาการ (OTOP Plus) เป็นต้น ๙. เร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง กระทรวงมหาดไทย ได้จัดการส่งเสริมวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีหมู่บ้านต้นแบบประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น ๘,๗๘๐ หมู่บ้าน และอาสาสมัครเพิ่มขึ้น ๑๗๕,๖๐๐ คน และคาดว่าจะมีโครงการจัดเวทีประชาเสวนาหาทางออกประเทศไทย ระหว่างเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ๒๕๕๖ รวม ๑๐๘ เวที กลุ่มเป้าหมาย ๗๕,๗๐๐ คน
|
||||||||||||||||||||||||
1454 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยศูนย์วิจัย 5 กับซอยพระรามเก้าแยก 18 พ.ศ. .... | มท | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยศูนย์วิจัย ๕ กับซอยพระรามเก้าแยก ๑๘ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างซอยศูนย์วิจัย ๕ กับซอยพระรามเก้าแยก ๑๘ ในท้องที่แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อรับทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1455 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" | สสป | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "มาตรการเร่งด่วนในการจัดการอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อเกิดวิกฤตภัย" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ สมาคมโรงแรมไทย สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเตรียมความพร้อมก่อนเกิดวิกฤตภัย ได้แก่ กำหนดแผนการแก้ไขปัญหาวิกฤตต่าง ๆ ที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว เสริมสร้างบทบาทขององค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวให้มีความเข้มแข็งและเป็นองค์กรหลักในการพัฒนาการท่องเที่ยวในระดับประเทศและนานาชาติทั้งในยามปกติและเกิดวิกฤตภัย จัดตั้งศูนย์การข่าวและการประชาสัมพันธ์ เพิ่มประสิทธิภาพในการนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศโดยสร้างความเข้มแข็งแก่สายการบิน และสร้างความสะดวกด้านการเดินทาง และบูรณาการความพร้อมในการอำนวยความปลอดภัย ในกรณีเกิดวิกฤตภัย และแผนการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพร้อมไปกับผู้ประกอบการ ๒. การดำเนินการในช่วงวิกฤตภัย ได้แก่ การสื่อข่าวและประชาสัมพันธ์ต้องเป็นเอกภาพจากแหล่งข่าวเดียว มีความชัดเจนถูกต้อง เสนอข่าวที่สร้างความน่าเชื่อถือจากข้อมูลที่อ้างอิงได้ในระดับสากล ร่วมประชาสัมพันธ์ข่าวและกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นปัจจุบันของพื้นที่ท่องเที่ยวให้เห็นภาพข้อเท็จจริงว่ายังคงปลอดภัยและน่าท่องเที่ยว รวมทั้งควบคุมการนำเสนอข่าวของสื่อต่าง ๆ ให้เป็นไปโดยเอกภาพจากศูนย์การข่าวที่จัดตั้งขึ้นเป็นหลัก และให้องค์กรภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวเป็นแกนหลักในการดำเนินการเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ๓. การดำเนินการภายหลังวิกฤตภัย ได้แก่ สร้างความเชื่อมั่นโดยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศในระดับชาติและนานาชาติโดยทันทีหลังเหตุการณ์คลี่คลาย มีมาตรการเยียวยา ฟื้นฟู และกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ควรนำมาใช้หลังเกิดวิกฤตภัยและดำเนินการอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย ๖ เดือน ประกอบด้วย การเยียวยาผู้ประกอบการในด้านการเงินและภาษีที่รัฐควรดำเนินการ จัดหาแหล่งเงินทุน และผ่อนปรนเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมสามารถกู้เงินได้จริงในทางปฏิบัติ เป็นต้น รวมทั้งกระตุ้นบทบาทให้เกิดการใช้จ่ายงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดอบรมภายในประเทศ และส่งเสริมการจัดประชุมนานาชาติและสร้างกิจกรรมในระดับนานาชาติเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยว ตลอดจนใช้นโยบายส่งเสริมการตลาดให้ภาคเอกชน เช่น การให้รางวัลแก่ผู้ประกอบการที่มีความสามารถนำนักท่องเที่ยวเข้าประเทศและสร้างรายได้ให้กับประเทศเป็นจำนวนมาก ๆ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||
1456 | รายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 - 2552 (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 170 | กค | 21/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินรายได้ที่ไม่ต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ (ฉบับปรับปรุง) ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๑๗๐ โดยกระทรวงการคลังได้พิจารณาทบทวนข้อมูลรายชื่อหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งและดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ซึ่งต้องจัดทำรายงานฯ มีจำนวนทั้งสิ้น ๔๒๑ แห่ง และ ๔๓๗ แห่ง ตามลำดับ โดยไม่นับรวมกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีลักษณะการปกครองพิเศษ และมีจำนวนหน่วยงานที่ต้องดำเนินการรวบรวมรายงานเป็นจำนวนมาก ประกอบกับกรมบัญชีกลางเริ่มมีการจัดเก็บข้อมูลทางการเงินของหน่วยงานดังกล่าวอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นต้นไป ดังนั้น จึงไม่มีข้อมูลทางการเงินประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ที่จะนำมาใช้ในการรายงานเสนอคณะรัฐมนตรีได้อย่างครบถ้วน และเห็นสมควรแจ้งให้หน่วยงานของกรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำรายงานฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ เสนอต่อคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาโดยตรงต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังเสนอเรื่องดังกล่าวต่อคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง เมื่อได้ดำเนินการครบถ้วนตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว ๒. รับทราบปัญหาและอุปสรรคในการจัดทำรายงานฯ ได้แก่ ความชัดเจนของคำนิยาม “หน่วยงานของรัฐ” และความหลากหลายของประเภทหน่วยงาน ตามนัยมาตรา ๑๗๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทำให้มีข้อจำกัดในการพิจารณาว่าครอบคลุมถึงหน่วยงานใดบ้างที่จะต้องดำเนินการจัดทำรายงานฯ รวมทั้งข้อจำกัดในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูลของหน่วยงานต่าง ๆ และให้กระทรวงการคลังเร่งรัดหน่วยงานที่ยังมิได้จัดส่งรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑-๒๕๕๒ ๓. ให้กระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกันพิจารณากฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในการกำหนดแนวทางปฏิบัติในการจัดทำรายงานการรับและการใช้จ่ายเงินฯ เพื่อใช้เป็นมาตรการให้คณะรัฐมนตรีสามารถดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรา ๑๗๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ได้อย่างครบถ้วน ถูกต้อง |
||||||||||||||||||||||||
1457 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 ไตรมาสที่ 2 (ตุลาคม 2555 - มีนาคม 2556) | กค | 14/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ไตรมาสที่ ๒ (ตุลาคม ๒๕๕๕-มีนาคม ๒๕๕๖) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เป้าหมายการเบิกจ่ายไตรมาสที่ ๒ รายจ่ายภาพรวม ร้อยละ ๔๔.๐๐ ของวงเงินงบประมาณ และรายจ่ายลงทุน ร้อยละ ๒๕.๐๐ ของงบประมาณรายจ่ายลงทุน มีการเบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑,๒๑๒,๖๘๖.๕๕ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๐.๕๓ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๔๐๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายร้อยละ ๖.๕๓ โดยเป็นการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๐๖๓,๕๙๗.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๓.๑๘ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจำหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๑,๙๙๙,๘๖๖.๖๔ ล้านบาท และการเบิกจ่ายรายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๔๙,๐๘๘.๖๑ ล้านบาท หรือร้อยละ ๓๗.๒๖ ของวงเงินงบประมาณรายจ่ายลงทุนหลังโอนเปลี่ยนแปลง จำนวน ๔๐๐,๑๓๓.๓๖ ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายรายจ่ายลงทุนร้อยละ ๑๒.๒๖ ๒. เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘-๒๕๕๕ จำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๓๐๐,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๕๘,๘๙๐.๙๔ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕๒.๙๒ ของวงเงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปี ทั้งนี้ การเบิกจ่ายเงินกันไว้เบิกเหลื่อมปีของงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ รายการที่ควรให้ความสำคัญ ได้แก่ งบกลาง : รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยาฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ จำนวน ๑๒๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๑๑,๘๒๔.๖๖ ล้านบาท ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ มีการเบิกจ่ายรวมทั้งสิ้น จำนวน ๑๑๑,๕๘๓.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๙๙ ของวงเงินที่จัดสรร ๓. เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๘๖๕.๘๙ ล้านบาท ๔. เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท เบิกจ่ายตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๕,๑๙๗.๓๔ ล้านบาท ๕. การเบิกจ่ายเงินของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพื่อโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ จนถึงวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๑๔๘,๑๐๖.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๖.๙๒ ของวงเงินงบประมาณ ๒๒๑,๓๐๖.๙๒ ล้านบาท ๖. การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ เดือนมีนาคม ๒๕๕๖ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๖๐,๓๑๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๑๖.๙ ของแผนการลงทุนทั้งปี จำนวน ๓๕๗,๐๑๘ ล้านบาท
|
||||||||||||||||||||||||
1458 | การประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย - แปซิฟิก ครั้งที่ 2 | นร | 14/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. ประเทศไทยได้เตรียมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับผู้นำด้านน้ำแห่งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ครั้งที่ ๒ (The 2nd Asia-Pacific Water Summit : 2nd APWS) ระหว่างวันที่ ๑๔-๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ ๗ รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่ โดยการประชุม 2nd APWS ประกอบด้วย การประชุมระดับผู้นำ (Leader’s Forum) เป็นการหารือของผู้นำรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้นำองค์การระหว่างประเทศในหัวข้อภาวะผู้นำด้านน้ำ “Water Security and Water-Related Disaster Challenges : Leadership and Commitment” การประชุมผู้เชี่ยวชาญ (Focus Area Sessions) และกิจกรรมรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักด้านน้ำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ตระหนักถึงความสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการจัดการทรัพยากรน้ำในภูมิภาค เสริมสร้างการเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่จะช่วยลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยพิบัติ โดยได้เชิญผู้นำจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ๔๙ ประเทศ รวมทั้งรัฐมนตรี ผู้บริหารองค์การระหว่างประเทศ และผู้บริหารภาคเอกชนเข้าร่วมประชุมในเวทีที่เกี่ยวข้อง ๒. ในช่วงเวลาเดียวกับการประชุม 2nd APWS จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมอย่างไม่เป็นทางการไทย-ลาว ครั้งที่ ๒ ในวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ จึงขอให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเข้าร่วมการประชุมดังกล่าวเพิ่มเติมในคณะผู้แทนฝ่ายไทย และให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายทั้งหมดเข้าร่วมพิธีการต้อนรับผู้นำจากประเทศต่าง ๆ การประชุม และงานเลี้ยงอาหารค่ำผู้เข้าร่วมการประชุม 2nd APWS รวมทั้งงานแสดงแสงสีเสียงเวียงกุมกาม และให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีประสานกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อจัดทำรายละเอียดกำหนดการและการมอบหมายรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีเกียรติยศและรัฐมนตรีประจำผู้นำในการประชุมดังกล่าวส่งให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องด้วย ๓. ให้กระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนา ฟื้นฟู และอนุรักษ์โบราณสถานเวียงกุมกามให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่คงความเป็นเอกลักษณ์ของท้องถิ่น ทั้งนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่บริหารจัดการพื้นที่ดังกล่าวให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1459 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี 2555 | ผผ | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปี ๒๕๕๕ ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องต่าง ๆ พร้อมทั้งข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะที่เสนอต่อหน่วยงานของรัฐ โดยผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนไว้พิจารณาดำเนินการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงรวมทั้งสิ้น ๓,๕๔๔ เรื่อง และสามารถดำเนินกระบวนการพิจารณาแล้วเสร็จได้ ๒,๒๒๗ เรื่อง หรือคิดเป็นกว่าร้อยละ ๖๓ ของเรื่องร้องเรียนทั้งหมดที่รับไว้ดำเนินการ ๒. ผลการปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐที่ได้ดำเนินการหรือไม่ดำเนินการตามข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยหน่วยงานที่ถูกร้องเรียนส่วนใหญ่มักจะให้ความร่วมมือในการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ตรวจการแผ่นดิน สร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้ร้องเรียน ตลอดจนเป็นการปรับปรุงแก้ไขวิธีการปฏิบัติราชการให้มีความถูกต้องและเป็นธรรมมากยิ่งขึ้นในหลายกรณี ๓. ความร่วมมือจากหน่วยงานในการชี้แจงข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียน ที่ผ่านมาหน่วยงานของรัฐจำนวนหนึ่งที่ตระหนักในความสำคัญของกระบวนการแก้ไขปัญหาตามคำร้องเรียนที่มีต่อหน่วยงานตน แต่ก็มีหน่วยงานที่ยังคงเพิกเฉยไม่ให้ความร่วมมือกับผู้ตรวจการแผ่นดินในการชี้แจงข้อเท็จจริงหรือการส่งเอกสารหลักฐานที่จำเป็นต่อการพิจารณา ในกรณีนี้ผู้ตรวจการแผ่นดินอาจพิจารณาใช้มาตรการบังคับทางกฎหมายตามที่บทบัญญัติมาตรา ๔๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๒ ได้กำหนดบทลงโทษไว้ เพื่อให้การแก้ไขปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดต่อไป ๔. ผลการดำเนินงานด้านจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐ (รวมราชการส่วนท้องถิ่น) โดยได้ดำเนินการเสนอแนะหรือให้คำแนะนำในการจัดทำหรือปรับปรุงประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเจ้าหน้าที่ของรัฐโดยผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๑๔,๗๘๒ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๙๒๗ หน่วย ส่วนเจ้าหน้าที่ของรัฐส่งประมวลจริยธรรมแล้ว ๗,๓๑๐ หน่วย ยังไม่ได้ส่ง ๗๐๔ หน่วย สำหรับการส่งเสริมให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐมีจิตสำนึกในด้านจริยธรรม ได้มีโครงการและกิจกรรมในการขับเคลื่อนแผนพัฒนาความซื่อตรงแห่งชาติไปสู่การปฏิบัติในระดับจังหวัด โครงการพัฒนาผู้นำคุณธรรม ความร่วมมือในการดำเนินงานตามจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โรงเรียนต้นแบบด้านคุณธรรมจริยธรรม และโครงการคนดีแห่งแผ่นดิน ทั้งนี้ การตรวจสอบการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้ประกาศระเบียบผู้ตรวจการแผ่นดินว่าด้วยการไต่สวนและเปิดเผยการไต่สวนสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๓ ลงในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๒๘ ตอนที่ ๕ ก ๒๑ มกราคม ๒๕๕๔ ๕. ผลการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ได้ดำเนินการติดตามการตรากฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กฎหมายที่ดำเนินการทั้งหมด จำนวน ๓๐๒ ฉบับ สำหรับการติดตามผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรการหรือโครงการตามรัฐธรรมนูญทั้งหมด จำนวน ๓,๔๑๓ งาน/โครงการ ๖. แนวทางในการพัฒนาการดำเนินงานของผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนในเชิงระบบ การสอบสวนข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่ผู้ร้องเรียน การพัฒนางานด้านจริยธรรม การติดตามและประเมินผลการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และการพัฒนาสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินให้เป็นองค์กรที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ
|
||||||||||||||||||||||||
1460 | การตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. 2556 ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี | นร01 | 07/05/2556 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ของผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ในพื้นที่ ๓๗ จังหวัด ระหว่างวันที่ ๑๒-๒๒ มีนาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย การรายงานการเกิดวิกฤตภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดต่าง ๆ การแก้ไขปัญหาระยะเร่งด่วน และการแก้ไขปัญหาตามมาตรการระยะยาวในการวางแผนการใช้ประโยชน์จากน้ำอย่างทั่วถึงของหน่วยงานและจังหวัด การสำรวจความพึงพอใจของประชาชนในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งของหน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะระดับนโยบาย ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการตามข้อเสนอของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และข้อพิจารณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อรับข้อเสนอแนะไปร่วมกันพิจารณาดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ ได้แก่ ๒.๑.๑ ควรมีการทำ VDO Conference จากส่วนกลางไปยังจังหวัดโดยตรงเพื่อให้การแก้ไขปัญหาภัยแล้งแบบบูรณาการสามารถดำเนินการได้สำเร็จในเวลาเร่งด่วน ๒.๑.๒ จังหวัดควรจัดทำโครงการเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ และนำเสนอคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ/คณะกรรมการบริหารงานกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ เพื่อบรรจุในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด แผนปฏิบัติการราชการประจำปีจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓ ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๕๖ มีข้อกำหนดที่ไม่เอื้อต่อการช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างรวดเร็ว จึงควรมีการกำหนดมาตรการที่ยืดหยุ่น ๒.๑.๔ กรณีกรมบัญชีกลางควรยกเว้นการจัดซื้อจัดจ้างกรณีโครงการขุดลอกเพื่อเปิดทางน้ำหลายสายในจังหวัด โดยให้เป็นการจัดซื้อจัดจ้างวิธีกรณีพิเศษ ๒.๒ ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบหลักและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันตามแนวทางของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ ได้แก่ ๒.๒.๑ จัดทำแผนที่และจัดลำดับพื้นที่เสี่ยงภัยทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาคและจังหวัด เพื่อกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและป้องกันผลกระทบที่ใช้ทั้งมาตรการด้านกายภาพโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัยของระบบสาธารณูปโภค ๒.๒.๒ พัฒนายกระดับการจัดการภัยแล้งให้มีประสิทธิภาพ กำหนดมาตรการให้ครอบคลุมทั้งด้านการเตรียมความพร้อม การป้องกัน การลดผลกระทบ การเตือนภัย การจัดการในภาวะฉุกเฉิน การช่วยเหลือบรรเทาทุกข์และฟื้นฟูบูรณะ โดยให้ความสำคัญกับการบูรณาการและสร้างเจตนารมณ์ในการบริหารจัดการ ๒.๒.๓ พัฒนาระบบฐานข้อมูลและระบบการสื่อสารโทรคมนาคม ส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ด้านการจัดการภัยแล้ง โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พัฒนาเครือข่ายการจัดการภัยพิบัติระดับภูมิภาค ให้มีการเชื่อมโยงข้อมูล การถ่ายทอดเทคโนโลยี การส่งเสริมความร่วมมือทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้ด้านการเตือนภัยและการจัดการในภาวะฉุกเฉิน ๒.๒.๔ วางระบบเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานของภาคส่วนต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพของชุมชนและผู้นำท้องถิ่น ผนึกกำลังของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาควิชาการ กองทัพ ภาคประชาสังคมและสื่อมวลชน เพื่อระดมสรรพกำลังและบูรณาการระบบการจัดการภัยแล้งของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ๒.๒.๕ สนับสนุนภาคเอกชน สถานประกอบการ โรงเรียนและท้องถิ่น ให้มีการเตรียมความพร้อมโดยจัดทำแผนปฏิบัติการรองรับภัยแล้ง วางระบบปฏิบัติการสำรองในระดับองค์กรและฝึกซ้อมรับมือกับภัยแล้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย |
.....