ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 80 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1581 - 1600 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1581 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ด้านการบริหารงานบุคคลในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) แทนตำแหน่งที่ว่าง (ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ) | มท | 17/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง ร้อยตำรวจตรี เกรียงศักดิ์ โลหะชาละ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการบริหารงานบุคคลในคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น (ก.ถ.) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๕) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1582 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มี ความจำเป็นโดยเร่งด่วน | มท | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่นสาย จ บางส่วน ตามโครงการผังเมืองรวมเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี ในท้องที่ตำบลหนองปรือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
1583 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2555 | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ จำนวน ๑๕ เรื่อง ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ร่างประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง ขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดพังงา ร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่องขยายระยะเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในท้องที่จังหวัดกระบี่ และร่างประกาศกระทรวงฯ เรื่อง ขยายเวลาการใช้บังคับประกาศกระทรวงฯ ในบริเวณพื้นที่จังหวัดกระบี่ พ.ศ. ๒๕๕๓ รวม ๓ ฉบับ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศกระทรวงฯ ทั้ง ๓ ฉบับ เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ โดยเร่งรัดดำเนินการนำเสนอให้ทันกำหนดการบังคับใช้ ๒. เห็นชอบแนวทาง/มาตรการในการสนับสนุนเงินกู้จากกองทุนสิ่งแวดล้อมเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้รับบริการจากกองทุนฯ ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ตามความเห็นของคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๔ และครั้งที่ ๖/๒๕๕๔ และเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไขการพิจารณาให้กู้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ย ระยะเวลาการปลอดการชำระคืนเงินต้น และระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ยืม เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเหตุอุทกภัย พ.ศ. ๒๕๕๔ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำร่างประกาศคณะกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อมฯ เสนอประธานกรรมการกองทุนสิ่งแวดล้อม และประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. เห็นชอบสรุปผลการวิเคราะห์แผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประกอบด้วยโครงการด้านการจัดการมลพิษสิ่งแวดล้อมที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ จำนวน ๓๑ โครงการ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๒,๖๘๔,๐๖๙,๑๑๖ ล้านบาท ตามความเห็นของคณะอนุกรรมการกำกับการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด โดยให้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนำโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อขอตั้งงบประมาณแผ่นดิน หมวดเงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ และให้สำนักงบประมาณให้การสนับสนุนงบประมาณต่อไป และให้การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาคเร่งรัดดำเนินงานตามมติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๓ เรื่อง การปรับแก้พระราชบัญญัติการประปานครหลวงและพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาคเพื่อให้มีอำนาจและหน้าที่ในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสีย รวมทั้งให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำคำขอตั้งงบประมาณเพื่อซ่อมแซมระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียที่ยังชำรุดเสียหาย และไม่สามารถส่งมอบให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ เทศบาลนครพิษณุโลก เทศบาลเมืองสระบุรี เทศบาลเมืองชุมพร และเทศบาลเมืองปัตตานี เพื่อให้ระบบอยู่ในสภาพที่ดีพร้อมใช้งาน ก่อนส่งมอบให้ อปท. และให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณดังกล่าวด้วย ๔. เห็นชอบ (ร่าง) แผนปฏิบัติการการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และแต่งตั้งคณะทำงานติดตามผลการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ เพื่อกำกับ ติดตาม ประสานงาน และจัดทำรายงานผลการดำเนินงานในแต่ละปี ๕. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการภายใต้พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อกำหนดให้ผู้ประกอบกิจการเลี้ยงสุกร การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และการแกะล้างวัตถุดิบสัตว์น้ำ (แปรรูปสัตว์น้ำเบื้องต้น) ตามหลักเกณฑ์ของกิจการที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย และการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอื่น ๆ เสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียและของเสียต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นในการยื่นขอหรือต่อใบอนุญาตการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษตรวจสอบหลักเกณฑ์ของกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืดที่เสนอให้มีการกำหนดเงื่อนไขด้านการจัดการน้ำเสียและของเสีย ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก่อนให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการต่อไป ๖. เห็นชอบการยกร่างกฎหมายเพื่อให้ อปท. มีอำนาจหน้าที่ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมตามความในมาตรา ๒๙๐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมควบคุมมลพิษจัดทำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณามอบให้กรมควบคุมมลพิษเป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการยกร่างกฎหมายดังกล่าว โดยในการรับฟังความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายควรเปิดโอกาสให้ อปท. และรัฐวิสาหกิจ เข้ามามีส่วนร่วมด้วย ๗. ให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎกระทรวงการสาธารณสุขว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมกำจัดมูลฝอยและของเสียอันตรายของชุมชน ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นกฎหมายรองรับการดำเนินงานของท้องถิ่นต่อไป และให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการออกกฎระเบียบ มาตรการ และเกณฑ์การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของ อปท. ในเรื่องการจัดการมูลฝอย การควบคุมมลพิษจากการประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และเหตุเดือดร้อนรำคาญด้านมลพิษ และร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสริมสร้างสมรรถนะให้กับ อปท. ในการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติฯ นอกจากนี้ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงมหาดไทยเสนอสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการกำหนดยุทธศาสตร์สิ่งแวดล้อม (ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม) เป็นตัวชี้วัดร่วมระหว่างกระทรวงที่มีเป้าหมายร่วมกัน (Joint KPI) โดยเริ่มในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๘. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างท่าเรือชายฝั่งที่จังหวัดตรัง ของกรมเจ้าท่า โดยให้กรมเจ้าท่าปฏิบัติตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และปะการัง ใกล้แนวเส้นทางเดินเรืออย่างเคร่งครัด รวมทั้งเพิ่มเติมมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพน้ำทะเลบริเวณแหล่งหญ้าทะเล พะยูน และแนวปะการัง ตลอดอายุโครงการ ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๙. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายนครปฐม - ชะอำ ของกรมทางหลวง โดยให้กรมทางหลวงพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงสร้างระบบระบายน้ำของโครงการให้สามารถรองรับปริมาณน้ำที่จะไหลผ่านบริเวณแนวเส้นทางโครงการเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัยที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตามความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ๑๐. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการก่อสร้างสายส่งไฟฟ้าระบบ ๑๑๕ กิโลโวลต์ อำเภอเขาค้อ - อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ ของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ ๑๑. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบขนส่งมวลชนสายสีชมพู ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) โดยให้ดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๒. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการระบบรถไฟชานเมือง (สายสีแดง) ช่วงรังสิต - มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๓. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมของระบบรถไฟสายสีแดงผ่านบริเวณสถานีรถไฟจิตรลดา และการออกแบบรายละเอียดระบบรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ - พญาไท - มักกะสัน ของ รฟท. โดยให้ รฟท. นำข้อมูลอุทกภัยที่เกิดขึ้นล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ มาใช้ประกอบการพิจารณาออกแบบรายละเอียดโครงการฯ เพื่อลดผลกระทบสิ่แวดล้อมจากการดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปตามข้อสังเกตของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และดำเนินการตามมาตรการป้องกันแก้ไขและลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม รวมทั้งมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามที่กำหนดไว้ในรายงานฯ และให้นำความเห็นของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อประกอบการพิจารณาตามมาตรา ๔๗ แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ต่อไป ๑๔. เห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแ
|
||||||||||||||||||||||||
1584 | รายงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย การพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2549 สำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัย อย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด | กค | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินงานการอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับหน่วยงานที่ได้รับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ในงานฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานของจังหวัด วงเงิน ๑,๕๕๕.๖๓๓๙ ล้านบาท เพื่อให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุได้อย่างรวดเร็ว ทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ได้เพิ่มความคล่องตัวในการปฏิบัติตามระเบียบฯ พ.ศ. ๒๕๔๙ ในการจัดหาพัสดุสำหรับงาน/โครงการ ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้ ๑.๑ ให้หน่วยงานที่จัดหาพัสดุพิจารณาแม้จะได้รับงบประมาณและดำเนินการจัดหาพัสดุตามนัยหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพอ) ๐๔๒๑.๓/ว ๓๔ ลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ซึ่งลดระยะเวลาในการจัดหาพัสดุ จากประมาณ ๘๕ วัน เหลือประมาณ ๒๘ วันแล้วก็ตาม หน่วยงานยังไม่สามารถดำเนินการจัดหาพัสดุจนได้พัสดุหรือสิ่งก่อสร้างพร้อมใช้งาน เพื่อใช้ในการป้องกันอุทกภัยภายในระยะเวลาตามแผนงานที่กำหนดไว้ และหากความต้องการใช้พัสดุดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นเร่งด่วนล่าช้าอาจจะเสียหายแก่ราชการ หน่วยงานก็ชอบที่จะดำเนินการจัดหาโดยวิธีพิเศษ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการพัสดุของหน่วยงานนั้น ๑.๒ ให้หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานที่ได้รับจัดสรรเงินงบประมาณดังกล่าว ควบคุม กำกับดูแล ในการพิจารณาคัดเลือกผู้ขายหรือผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ และมีความพร้อมที่จะดำเนินงาน/โครงการต่าง ๆ ให้แล้วเสร็จตามวัตถุประสงค์และระยะเวลาที่กำหนดไว้ และหากเป็นงาน/โครงการที่เกี่ยวกับการขุดลอกคูคลอง ให้หน่วยงานถือปฏิบัติตามหนังสือคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ด่วนที่สุด ที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๑๔๗ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๕ เรื่อง การซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์และมาตรฐานการตรวจรับงานโครงการขุดลอกคูคลองอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาในส่วนของการจัดหาพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยให้ถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
|
||||||||||||||||||||||||
1585 | แผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน พ.ศ. 2555 - 2559 | สธ | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนแม่บทการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ฉบับที่ ๒ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายใช้แผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เป็นกรอบแนวทางการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดนร่วมกัน และเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณและทรัพยากรอื่น ๆ จากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน ประกอบด้วย ๔ ประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบบริการสุขภาพ : สถานบริการสุขภาพทุกระดับผ่านเกณฑ์มาตรฐานและมีเพียงพอต่อการให้บริการ, ผู้มารับบริการมีความพึงพอใจ, มีระบบการส่งต่อและติดตามผู้ป่วยข้ามแดนและผู้ป่วยจากพื้นที่พักพิงชั่วคราวเพื่อการตรวจวินิจฉัย และรักษาโรค, มีระบบการส่งเสริมสุขภาพ อนามัยสิ่งแวดล้อม การเฝ้าระวัง การป้องกันและควบคุมโรคในพื้นที่ชายแดน และมีระบบการคุ้มครองผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีประสิทธิผลในพื้นที่ชายแดน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐาน : มีระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมเพื่อรองรับกลุ่มประชากรที่ไม่มีหลักประกันสุขภาพ, ขยายการประกันสุขภาพให้มีความครอบคลุมแรงงานต่างด้าวทุกกลุ่มในรูปแบบที่เหมาะสม, ขยายบริการสาธารณสุขเชิงรุกในกลุ่มประชากรที่เข้าไม่ถึงบริการด้านสุขภาพ และมีข้อมูลการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มประชากรต่างด้าวทุกกลุ่ม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความร่วมมือและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน : มีเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน ภาคเอกชน องค์การระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดนทุกระดับที่เข้มแข็ง และความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมระหว่างประเทศไทยกับเพื่อนบ้านทั้งในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การบริหารจัดการ : มีนโยบาย แผนยุทธศาสตร์ แผนปฏิบัติการ และงบประมาณในการดำเนินงานด้านสาธารณสุขชายแดน, มีกลไกการขับเคลื่อนแผนไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการกำกับ ติดตาม และประเมินผล, มีโครงสร้างและอัตรากำลังที่มีเพียงพอและมีศักยภาพในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน, มีระบบสารสนเทศด้านสุขภาพชายแดน และบุคลากรที่เกี่ยวข้องมีความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะในการดำเนินงานสาธารณสุขชายแดน ๒. ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้สอดคล้อง และสนับสนุนการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพเกี่ยวกับการนำผลการประเมินความสำเร็จของแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๑ ปัญหาและอุปสรรคมาใช้ประกอบการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ให้มีความสมบูรณ์และมีประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติ การเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานร่วมกับแผนอื่น ๆ ของกระทรวงสาธารณสุข เช่น แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) การสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพในกลุ่มผู้ประกอบการและแรงงานต่างด้าว การประสานความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริมสุขภาพและการลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ การป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคอุบัติใหม่และโรคอุบัติซ้ำที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี การจัดระบบบริการสาธารณสุขและระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสมให้แก่กลุ่มคนต่างด้าว การให้ความสำคัญกับการพัฒนาดูแลคน ชุมชน และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ การพัฒนากรอบความร่วมมือทางสุขภาพกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขชุมชน และการบริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ โดยเน้นเรื่องการเสริมสร้างสุขภาพเชิงรุกในชุมชนแรงงานต่างด้าวที่อยู่ติดกับชายแดนไทย รวมทั้งการส่งเสริมให้สถานบริการสาธารณสุขตามแนวชายแดนแต่ละพื้นที่ร่วมกับภาคธุรกิจในพื้นที่ (เช่น สภาหอการค้าจังหวัด สภาอุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) เป็นแกนกลางในการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการปัญหาสาธารณสุขชายแดนในพื้นที่รับผิดชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขจัดทำแผนปฏิบัติการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย และแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนในการแก้ปัญหาและพัฒนางานสาธารณสุขชายแดน รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขหารือร่วมกับสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงในการดำเนินการตามแผนแม่บทฯ ฉบับที่ ๒ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1586 | กำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย | ทส | 10/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสีย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ พื้นที่ที่องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่เทศบาลตำบลบางเสร่ จังหวัดชลบุรี พื้นที่เทศบาลเมืองพะเยา และพื้นที่เทศบาลนครสงขลา ๑.๒ พื้นที่ที่ อจน. ได้มีการทำบันทึกความเข้าใจกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อจะได้พัฒนาไปสู่การทำข้อตกลงการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียอย่างเต็มรูปแบบ ประกอบด้วย พื้นที่เทศบาลเมืองกระบี่ พื้นที่เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ พื้นที่เทศบาลนครเชียงใหม่ รวมถึงพื้นที่ในแนวท่อระบายน้ำเสีย และที่ตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่เทศบาลตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ พื้นที่เทศบาลนครนครสวรรค์ พื้นที่เทศบาลนครลำปาง พื้นที่เทศบาลเมืองวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี พื้นที่เทศบาลนครหาดใหญ่ พื้นที่เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ และพื้นที่เทศบาลเมืองหนองบัวลำภู ๑.๓ พื้นที่ตามเขตควบคุมมลพิษตามที่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศกำหนด ประกอบด้วย พื้นที่จังหวัดภูเก็ต พื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พื้นที่อำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา พื้นที่หมู่เกาะพีพี ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ พื้นที่อำเภอหัวหิน อำเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ พื้นที่ตำบลหน้าพระลาน อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสระบุรี และพื้นที่ตำบลมาบตาพุด ตำบลห้วยโป่ง ตำบลเนินพระ ตำบลทับมา อำเภอเมืองระยอง ตำบลมาบข่า อำเภอนิคมพัฒนา และตำบลบ้านฉาง อำเภอบ้านฉาง จังหวัดระยอง ๒. ให้ อจน. รับไปพิจารณาดำเนินการเพื่อให้พื้นที่เทศบาลเมืองมาบตาพุดอยู่ในเขตพื้นที่ที่ อจน. ทำข้อตกลงบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างเต็มรูปแบบ และพิจารณาเพิ่มเติมพื้นที่เทศบาลนครแหลมฉบังให้ครอบคลุมพื้นที่จัดการน้ำเสียด้วย โดยให้ประสานการดำเนินงานกับกระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการน้ำเสียในระดับชุมชนโดยมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยีที่ชุมชนและประชาชนในพื้นที่สามารถบริหารจัดการได้ด้วยตนเอง การประชาสัมพันธ์และรณรงค์เพื่อเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจในการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการลดการก่อมลพิษจากแหล่งกำเนิดน้ำเสีย การส่งเสริมให้มีการต่อยอดภูมิปัญญาเพื่อการลดการก่อมลพิษของแต่ละชุมชน การกำหนดเขตพื้นที่จัดการน้ำเสียในเขตนิคมอุตสาหกรรม รวมทั้ง อจน. และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรพิจารณาจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้ และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงิน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ นั้น อจน. ควรประสานงานและหารือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องแต่ละแห่งใช้จ่ายจากงบประมาณแผ่นดินที่ได้รับการจัดสรรแล้ว หรือใช้เงินรายได้ของราชการส่วนท้องถิ่นเอง เนื่องจากการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียถือเป็นภารกิจของท้องถิ่นจะต้องรับถ่ายโอนไปดำเนินการตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณรับไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า ในการจัดตั้งงบประมาณตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๐๒ นั้น ต้องพิจารณาไม่ให้มีความซ้ำซ้อนกัน |
||||||||||||||||||||||||
1587 | ขออนุมัติรับโอนข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษามาเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ และแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงศึกษาธิการ) (นางชวนี ทองโรจน์) | ศธ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรับโอนนางชวนี ทองโรจน์ ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา ตำแหน่งรองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต มาบรรจุเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาด้านพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่น (นักวิชาการศึกษาทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
1588 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 | กค | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยกรมบัญชีกลางได้รวบรวมรายงานการเงินของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ กองทุนและเงินทุนหมุนเวียน รัฐวิสาหกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม ๘,๐๘๒ หน่วยงาน จาก ๘,๓๙๒ หน่วยงาน คิดเป็นร้อยละ ๙๖.๓๑ เพื่อจัดทำรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยรวบรวมข้อมูลรายงานการเงินสิ้นสุดถึงวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบข้อเสนอแนะในประเด็นสำคัญต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้หน่วยงานทุกกลุ่มจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน และส่งสำเนารายงานการเงินที่ส่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินให้กรมบัญชีกลาง โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ให้ส่งสำนักงานคลังจังหวัดรวบรวมส่งกรมบัญชีกลางต่อไป ยกเว้นหน่วยงานในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจยังคงส่งข้อมูลรายงานการเงินให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจตามเดิม ๑.๒.๒ ให้ผู้บริหารให้ความสำคัญงานบัญชีมากยิ่งขึ้น และให้กำกับดูแลให้ผู้ตรวจสอบภายในวางแผนการตรวจสอบด้านการเงินและบัญชี พร้อมทั้งรายงานผลให้ผู้บริหารทราบอย่างสม่ำเสมอเพื่อรายงานปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะ กรณีมีปัญหาข้อขัดข้องในการปฏิบัติงานเพื่อสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องทันเหตุการณ์ต่อไป ๑.๒.๓ ให้ผู้บริหารระดับกรม/กระทรวง พิจารณาให้ความสำคัญในเรื่องอัตรากำลังและคุณสมบัติของเจ้าหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานการเงินและบัญชีของหน่วยงานในสังกัด ซึ่งจำเป็นต้องมีวุฒิการศึกษาด้านบัญชี และจะต้องมีการสอนงานการเงินและบัญชีให้ผู้ที่ได้รับมอบหมายสามารถปฏิบัติงานได้ต่อเนื่องเป็นปัจจุบัน รวมทั้งพิจารณาความดีความชอบเป็นกรณีพิเศษให้กับเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีที่จัดทำบัญชีและรายงานการเงินถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ๑.๒.๔ ผู้บริหารควรกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัด โดยเฉพาะหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดเก็บและนำส่งเงินรายได้แผ่นดิน/รายได้ของหน่วยงาน/เงินนอกงบประมาณต่าง ๆ ให้มีการควบคุมดูแลการรับเงินและการออกใบเสร็จรับเงิน รวมถึงการบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ๑.๒.๕ ผู้บริหารควรกำชับหน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินของหน่วยงานให้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานการเบิกจ่ายเงินให้ถูกต้อง ครบถ้วน และปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและรอบคอบ โดยให้มีการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและการบันทึกบัญชีให้ถูกต้อง ครบถ้วนอย่างสม่ำเสมอ ๑.๒.๖ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดและเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชีตรวจสอบและบันทึกรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน พร้อมทั้งให้มีการจัดทำงบกระทบยอดเงินฝากธนาคารประจำเดือน เพื่อให้สามารถตรวจพบข้อผิดพลาดคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นและปรับปรุงแก้ไขรายการบัญชีดังกล่าวให้ถูกต้องก่อนจัดทำรายงานการเงินประจำเดือน/ประจำปี ๑.๒.๗ ผู้บริหารควรกำชับให้หน่วยงานในสังกัดควบคุมดูแลและตรวจสอบบัญชีวัสดุและสินทรัพย์ถาวรของหน่วยงานให้ถูกต้องตรงกับข้อเท็จจริงและตรงกับทะเบียนคุมวัสดุ ทะเบียนคุมทรัพย์สิน หากพบข้อผิดพลาดให้รายงานผู้บริหารและดำเนินการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็วต่อไป ๒. ให้กระทรวงการคลังติดตามผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะแนวทางการการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องตามที่กรมบัญชีกลางเสนอ และให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะดังกล่าวไปยังหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ต่อราชการในการจัดทำข้อมูลทางบัญชีการเงินของภาครัฐให้มีความทันสมัย ถูกต้องเพื่อใช้ในการบริหารสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และยืดหยุ่นต่อการปฏิบัติงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1589 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2555 | พณ | 03/07/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑.๑ เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ จำนวน ๓ คณะ ได้แก่ คณะอนุกรรมการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา คณะอนุกรรมการเตรียมการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) และคณะอนุกรรมการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาด้านภูมิปัญญา ทรัพยากรชีวภาพ และวัฒนธรรมไทย ๑.๑.๒ เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสร้างสรรค์และการใช้ประโยชน์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงพาณิชย์ที่สอดคล้องกับศักยภาพของประเทศไทย และความต้องการตลาดโลก ตลอดจนใช้ทรัพย์สินทางปัญญาเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ รวมถึงการคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพของไทยอย่างเหมาะสมทั้งในและต่างประเทศ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ประกอบด้วย ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์สร้างสรรค์ทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยุทธศาสตร์การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์การศึกษา และสร้างวัฒนธรรมด้านทรัพย์สินทางปัญญา ยุทธศาสตร์ความร่วมมือด้านต่างประเทศ และยุทธศาสตร์ด้านการเงินการคลัง ๑.๑.๓ เห็นชอบแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ซึ่งได้รวบรวมการดำเนินการที่สำคัญเพื่อให้การป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในประเทศไทยประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรมโดยเร็ว แบ่งเป็น ๔ ด้าน คือ ด้านโครงสร้าง ด้านการบังคับใช้กฎหมาย ด้านการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย และด้านการศึกษาและรณรงค์สร้างจิตสำนึกการเคารพสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา ๑.๑.๔ เห็นชอบ (ร่าง) ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ พ.ศ. .... ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพ และเกิดผลเป็นรูปธรรม รวมถึงเสนอแนะการกำหนดนโยบาย แนวทาง มาตรการ และแผนงานด้านการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งในประเทศและต่างประเทศต่อคณะรัฐมนตรี ๑.๑.๕ รับทราบในเรื่องสำคัญ ได้แก่ รายงานผลการดำเนินงานด้านการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา รายงานผลการประเมินสถานะไทยตามกฎหมายการค้าสหรัฐฯ มาตรา ๓๐๑ พิเศษ รายงานผลการดำเนินงานของคณะทำงานความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญาอาเซียน (ASEAN Working Group on Intellectual Property Cooperation - AWGIPC) รายงานผลการประชุม WIPO Intergovernmental Committee on Intellectual Property and Genetic Resources, Traditional Knowledge and Folklore (WIPO IGC) ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส ครั้งที่ ๑๙ และรายงานผลการเตรียมการจัดงานมหกรรมเศรษฐกิจสร้างสรรค์นานาชาติ ครั้งที่ ๒ (Thailand International Creative Economy Forum - TICEF 2012) ๑.๒ เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญา พ.ศ. ๒๕๕๖ - ๒๕๕๙ พร้อมทั้งหน่วยงานรับผิดชอบหลัก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งแผนเร่งรัดการป้องปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ ตามที่คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติมีมติเห็นชอบ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์ คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการพัฒนา ปรับปรุง และการบังคับใช้กฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพยากรเกษตร การส่งเสริมและคุ้มครองภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อให้มีศักยภาพในเชิงพาณิชย์ที่สูงขึ้น การยกระดับการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาในด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และทรัพยากรชีวภาพให้ครอบคลุมในประเด็นสิทธิของกลุ่มคนและชุมชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรด้านต่าง ๆ การเพิ่มกฎหมายเฉพาะเพื่อการปกป้องคุ้มครองด้านการแสดงออกทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมและภูมิปัญญาท้องถิ่น การสนับสนุนให้มีการจัดตั้งสถาบันเฉพาะทางเพื่อพัฒนาผู้มีศักยภาพทางด้านศิลปวัฒนธรรมสู่การเป็นศิลปินอาชีพอย่างครบวงจร การส่งเสริมให้ศิลปินและผู้สร้างสรรค์งานด้านศิลปวัฒนธรรมใช้ประโยชน์จากระบบทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อการสร้างสรรค์งานที่มีคุณภาพและก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มของผลงานนั้น ๆ การบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากทุนสนับสนุนของรัฐที่เหมาะสมโดยผู้รับทุนวิจัยจากงบประมาณแผ่นดินมีสิทธิเป็นเจ้าของทรัพย์สินทางปัญญาที่เกิดจากผลงานวิจัยดังกล่าวได้ การปรับปรุงกระบวนการจดสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าให้มีประสิทธิภาพเพื่อสร้างความมั่นใจแก่เจ้าของสินค้าและบริการ การจัดทำแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติด้านยาและเวชภัณฑ์ การกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ของแผนยุทธศาสตร์ทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อให้สามารถประเมินผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ได้อย่างแท้จริง การให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและสร้างความเชื่อมโยงในทางปฏิบัติทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับท้องถิ่น เพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งการดำเนินมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต/เคเบิลทีวีโดยใช้มาตรการทางกฎหมาย โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายควบคู่กับการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และการเคารพในสิทธิขั้นพื้นฐานด้านการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชนตามรัฐธรรมนูญอย่างเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1590 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 26/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๓๑,๓๖๓ ครั้ง เปรียบเทียบกับในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่าในไตรมาสที่ ๒ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนใช้บริการร้องทุกข์เพิ่มขึ้น จำนวน ๑๔,๐๐๔ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ สวัสดิการสงเคราะห์ผู้ประสบภัย การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามลำดับ ๑.๒ ข้อมูลเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ได้แก่ การแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการจำหน่ายและเสพยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการลักลอบเปิดบ่อนการพนัน/เล่นการพนัน การปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการและบุคลากรภาครัฐในระดับปริญญาตรี ราคาจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิง การปรับขึ้นราคาจำหน่ายก๊าซ LGP และ NGV นโยบายสร้างความปรองดองของรัฐบาลเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อนำไปสู่ความปรองดอง ๒. ข้อมูลการแจ้งเบาะแสจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับยาเสพติดในรอบ ๖ เดือนแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นหน่วยงานหลักในการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป โดยสถิติการแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติด พบว่า ประชาชนแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับยาเสพติดในพื้นที่ของกรุงเทพมหานครมากที่สุด รองลงมาคือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ชลบุรี นนทบุรี และสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ โดยประเภทของยาเสพติดที่มีการแจ้งเบาะแสมากที่สุด ได้แก่ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ และกัญชา ตามลำดับ ซึ่งสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนของสถานที่จำหน่ายหรือเสพยาเสพติด จำแนกเป็นรายองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัดเพื่อเตรียมจัดส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดในการเป็นหน่วยงานหลักประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำข้อมูลไปดำเนินการขยายผลการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
1591 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 5/2555 | นร | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี ซึ่งได้มีการพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ๒. เห็นชอบตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๕/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ ณ จังหวัดชลบุรี และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุม รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ดังนี้ ๒.๑ ข้อเสนอของ กกร./สทท. จำนวน ๕ เรื่อง ได้แก่ ๒.๑.๑ ข้อเสนอมาตรการและกลไกเพื่อบูรณาการและเสริมสร้างความเข้มแข็งพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๑.๑ เห็นชอบข้อเสนอมาตรการระยะสั้น ตามที่ กกร. เสนอ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักในการรับไปพิจารณาแก้ไขปัญหาอุปสรรคและระยะเวลาการพิจารณาโครงการที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับการปฏิบัติตามมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ และให้กระทรวงอุตสาหกรรมประสานกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของเรือสินค้าที่ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบ รวมทั้งให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบขนส่งทางรางในเส้นทางสายตะวันออก เพื่อให้สามารถจูงใจให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากการขนส่งทางถนนสู่รางได้ตามเป้าหมายต่อไป ๒.๑.๑.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรม โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานหลักรับไปพิจารณารูปแบบการจัดตั้งกลไกระดับชาติและระดับจังหวัดเพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการความปลอดภัยและกำกับภาวะฉุกเฉินในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ๒.๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๒.๑.๒.๑ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กองทัพเรือ และภาคเอกชน ศึกษาความเหมาะสมในการเปิดใช้สนามบินนานาชาติอู่ตะเภา - พัทยา ในเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ ๒.๑.๒.๒ ให้กระทรวงคมนาคมพิจารณาความเหมาะสมในการก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงของภาคตะวันออก สายกรุงเทพฯ - ระยอง เพื่อให้การก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยเร่งรัดการจัดทำข้อกำหนดการดำเนินโครงการ (TOR) ให้สามารถประกวดราคาได้ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๒.๑.๒.๓ ให้กระทรวงคมนาคมศึกษาความเหมาะสมของการขยายเส้นทางและช่องจราจรในพื้นที่ภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จภายใน ๓ สัปดาห์ และเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๒.๑.๓ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๒.๑.๓.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษารายละเอียดและวิเคราะห์ความเหมาะสมในการขยายเวลาการเปิดจุดผ่านแดนชั่วคราว/ถาวร ด่านชายแดนไทย - กัมพูชา จังหวัดจันทบุรี ตราด และสระแก้ว ให้เป็นไปตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ๒.๑.๓.๒ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับภาคเอกชนประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำข้อเสนอให้กับกระทรวงมหาดไทยเพื่อพิจารณารายละเอียดการแก้ไขปรับปรุงผังเมืองรวมบริเวณอุตสาหกรรมหลักและชุมชนจังหวัดระยอง (ผังมาบตาพุด) เพื่อไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งและเตรียมการรองรับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในอนาคต ๒.๑.๓.๓ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานจังหวัดที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณารายละเอียดโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (จังหวัดระยอง - ฉะเชิงเทรา - ชลบุรี - สมุทรปราการ) โดยเฉพาะความเชื่อมโยงและความซ้ำซ้อนของแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด ๒.๑.๓.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนร่วมกันศึกษาความเหมาะสมและจัดทำข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการโครงการสร้างห้องแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าและส่งออกผลไม้ของภาคตะวันออก ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒.๑.๓.๕ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาทบทวนผลการศึกษาโครงการวางและจัดทำผังอนุภาคกลุ่มจังหวัดชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อประกอบการศึกษารายละเอียดในการพัฒนาเมืองศูนย์กลางกลุ่มจังหวัด “บูรพนา” (ชลบุรี - ระยอง - จันทบุรี - ตราด) เพื่อให้การจัดระเบียบ การกำหนดเขตการใช้ที่ดินและการจัดเตรียมระบบโครงข่ายโครงสร้างพื้นฐานของพื้นที่เมืองศูนย์กลางธุรกิจของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกมีความสอดคล้องเหมาะสมกับศักยภาพของพื้นที่ ๒.๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒.๑.๔.๑ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานพิจารณาในรายละเอียดของโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแผนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พื้นที่ภาคตะวันออก เพื่อขอรับการสนับสนุนตามระเบียบและขั้นตอนให้แล้วเสร็จตามเป้าหมายที่กำหนดต่อไป ๒.๑.๔.๒ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) พิจารณาความคุ้มค่าและความเหมาะสมในรายละเอียดของโครงการจัดสร้างอาคารศูนย์ปฏิบัติการน้ำภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดรูปแบบและกลไกการบริหารจัดการโครงการฯ รวมถึงการบูรณาการจัดทำฐานข้อมูลน้ำร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่สามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนกลางได้ ๒.๑.๔.๓ ให้กระทรวงมหาดไทย โดยการประปาส่วนภูมิภาคพิจารณาในรายละเอียดของโครงการก่อสร้างระบบส่งน้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล - โรงผลิตน้ำประปาระยอง โดยหารือกับกรมชลประทาน ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ด้วย ๒.๑.๕ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๒.๑.๕.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงคมนาคมร่วมกันพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการก่อสร้างถนนรอบเกาะช้างในส่วนที่ยังขาดอยู่ช่วงบ้านบางเบ้า - บ้านสลักเพชร ให้แล้วเสร็จ โดยคำนึงถึงการประหยัดและงบประมาณด้วย ๒.๑.๕.๒ ให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงแรงงานจัดประชุมเชิงปฏิบัติการร่วมกับภาคเอกชนเพื่อร่วมกันวางแผนการพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ประกอบการในระยะ ๓ ปี ข้างหน้า ๒.๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังพิจารณามาตรการจูงใจให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการฝึกอบรมทักษะด้านภาษาต่างประเทศแก่แรงงาน ๒.๑.๕.๔ ให้กระทรวงการคลังและกระทรวงมหาดไทยพิจารณาความเหมาะสมในการจัดสรรภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับท้องถิ่น โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่จริงและจำนวนสถานประกอบการที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในท้องถิ่นนั้น ๆ ๒.๒ เรื่องอื่น ๆ ที่ภาคเอกชนเสนอเพิ่มเติม ได้แก่ ๒.๒.๑ รับทราบเรื่อง ผลักดันการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยการผ่อนปรนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๔๓ (เรื่อง การแก้ไขปัญหาการจัดการพื้นที่ป่าชายเลน) ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างนำเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒.๒.๒ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมทางการค้าเศรษฐกิจไทย - ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๒๒ (22nd Japan-Thailand Joint Trade and Economic Committee Meeting) และให้ กกร. จัดส่งรายละเอียดให้กระทรวงการต่างประเทศต่อไป ๒.๒.๓ รับทราบการสนับสนุนกลไกดำเนินการของสมาคมขนส่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS-FRETA) และให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นหน่วยงานประสานหลักในการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกับภาครัฐต่อไป ๒.๒.๔ รับทราบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย พ.ศ. .... (ผลกระทบตามประกาศ FATF) และให้กระทรวงยุติธรรมรับไปพิจารณาแต่งตั้งผู้แทนจากสภาธุรกิจตลาดทุนไทยเข้าร่วมในคณะทำงานเพื่อรับผิดชอบเรื่องดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
1592 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุมและประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | มท | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ดังนี้ ๑.๑ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา และประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงอัตราเงินเดือนของนายกเมืองพัทยา รองนายกเมืองพัทยา เลขานุการนายกเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ประธานที่ปรึกษาหรือที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ดังนี้ นายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๕๕,๕๓๐ บาท/เดือน รองนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน เลขานุการนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน ผู้ช่วยเลขานุการนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ประธานที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๖,๖๕๐ บาท/เดือน และที่ปรึกษาของนายกเมืองพัทยา ๔ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ๑.๒.๑ ปรับปรุงอัตราเงินประจำตำแหน่งของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ดังนี้ ประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๓๐,๕๔๐ บาท/เดือน รองประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๒๔,๙๙๐ บาท/เดือน สมาชิกสภาเมืองพัทยา ๒๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๑ อัตรา ได้รับ ๑๙,๔๔๐ บาท/เดือน และผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ๒ อัตรา ได้รับ ๑๓,๘๘๐ บาท/เดือน ๑.๒.๒ ปรับปรุงบัญชีอัตราเงินค่าเบี้ยประชุมกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา ดังนี้ พนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๕๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๔๐๐ บาท ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท อนุกรรมการ ครั้งละ ๖๐๐ บาท และบุคคลอื่นนอกจากพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา ข้าราชการหรือลูกจ้างของทางราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของรัฐวิสาหกิจ หรือขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอื่นซึ่งมิได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างในสังกัดเมืองพัทยา กรรมการ ครั้งละ ๑,๐๐๐ บาท และอนุกรรมการ ครั้งละ ๘๐๐ บาท ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณที่เห็นควรตัดคำว่า “ลูกจ้าง” ออกจากร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานสภาเมืองพัทยา รองประธานสภาเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา เลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา ผู้ช่วยเลขานุการประธานสภาเมืองพัทยา และกรรมการหรืออนุกรรมการของสภาเมืองพัทยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เนื่องจากกรรมการและอนุกรรมการของส่วนราชการที่ตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาเบี้ยประชุม พ.ศ. ๒๕๔๗ ไม่มีการแต่งตั้งลูกจ้างเป็นกรรมการหรืออนุกรรมการ ส่วนค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการของสภาเมืองพัทยา ให้เบิกจ่ายในอัตราไม่เกินอัตราที่กรุงเทพมหานครกำหนดไว้ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเงินประจำตำแหน่ง เงินค่าเบี้ยประชุม และเงินค่าตอบแทนอื่นของสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร สมาชิกสภาเขตของกรุงเทพมหานคร และกรรมการของสภากรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๕๐ ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการปรับค่าตอบแทนในครั้งนี้ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของเมืองพัทยา |
||||||||||||||||||||||||
1593 | ขออนุมัติใช้วงเงินช่วยเหลือเยียวยาตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555 | กษ | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการช่วยเหลือเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ กรณีเสียหายเนื่องจากประสบอุทกภัย และกรณีจำหน่ายผลผลิตไปก่อนเริ่มโครงการรับจำนำผลผลิตข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ โดยเป็นเกษตรกรที่เก็บเกี่ยวผลผลิตในเดือนสิงหาคม - กันยายน ๒๕๕๔ และเกษตรกรที่ปลูกข้าว ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม - ๓๐ เมษายน ๒๕๕๔ ซึ่งเก็บเกี่ยวและขายข้าวแล้วตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน - ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ โดยให้ความช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่เพาะปลูกข้าวนาปี ๒๕๕๔/๕๕ ที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามเงื่อนไขของมติคณะรัฐมนตรีเพิ่มเติม จำนวน ๕๕๐.๓๘๙ ล้านบาท โดยใช้จ่ายจากกรอบวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ สำหรับในส่วนของการจัดสรรงบประมาณเพื่อชดเชยเงินที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสำรองจ่ายไปก่อน เห็นควรชดเชยในอัตราดอกเบี้ย FDR + 1 ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตรวจสอบความถูกต้องและความซ้ำซ้อนของเกษตรกรก่อนจ่ายเงินให้แก่เกษตรกรด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป และรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบด้วย ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย รับไปกำกับติดตามการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบปัญหาอุทกภัยให้รวดเร็ว ครบถ้วน และเป็นธรรม โดยประสานสั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการและชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประสบภัยในพื้นที่ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และเขตสายไหม กรุงเทพมหานคร เกี่ยวกับระเบียบหลักเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือดังกล่าวให้ชัดเจนถูกต้องตรงกันด้วย |
||||||||||||||||||||||||
1594 | สรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ 6 ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส | ทส | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการเดินทางไปเข้าร่วมการประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ ณ สาธารณรัฐฝรั่งเศส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและคณะ ระหว่างวันที่ ๑๑ - ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. การประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรี (Ministerial Conference) การประชุมโต๊ะกลมระดับรัฐมนตรี 12 session/หัวข้อ และการประชุมร่วมกันระหว่างระดับ และกลุ่มต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายให้มากที่สุด ภายใต้หัวข้อหลักคือ “ถึงเวลามีแนวทางแก้ไขปัญหา” (Time for Solutions) โดยสามารถรวบรวมแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำได้ ๑,๔๐๐ เรื่อง ๒. การประชุมโต๊ะกลมระดับสูงเรื่องภัยพิบัติด้านน้ำ ได้มีการนำเสนอผลสรุปของการประชุมเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรี (Ministerial Conference) โดยสรุปคือ ภัยพิบัติด้านน้ำ เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง สึนามิ และอุบัติภัยจากมลพิษทางน้ำได้กลายเป็นปัญหาของโลกที่ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกระดับ จำเป็นต้องมีการจัดการแก้ไขโดยด่วน โดยเฉพาะประเด็นเรื่องข้อจำกัดทางโครงสร้างองค์กร การให้ประชาชนมีส่วนร่วมและการมีเครือข่าย ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ มีมาตรการแก้ไขปัญหาที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ภายในของตนทั้งมาตรการด้านโครงสร้าง และที่มิใช่โครงสร้าง (เช่น ระบบการเตือนภัยล่วงหน้า) โดยประเทศต่าง ๆ ควรให้ความสำคัญในเรื่องมาตรการป้องกันและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การแปลงสภาพเป็นชุมชนเมือง และจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ความร่วมมือระหว่างประเทศและในภูมิภาคมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในการต่อสู้และรับมือกับภัยพิบัติด้านน้ำ โดยต้องร่วมมือกันในวงกว้างทั้งระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค และระดับโลก รวมถึงการสนับสนุนด้านการเงินในการป้องกันภัยพิบัติ ความร่วมมือทางวิชาการในการบริหารจัดการ การเสริมสร้างศักยภาพ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ และข้อมูล สำหรับการใช้ระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีผู้ตัดสินใจที่มีความรับผิดชอบ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากระบบการสังเกตการณ์ ติดตาม ตรวจสอบที่ดีเพียงพอ และมีเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้ ประเทศที่เข้าร่วมการประชุมมีความเห็นร่วมกันว่าจะนำผลของการประชุมไปพิจารณาเพื่อเพิ่มความพยายามดำเนินการทั้งระดับประเทศ และระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการประชุม Rio+20 และการประชุมอื่น ๆ ในอนาคต ๓. การประชุม Ministerial Declaration รัฐมนตรี และหัวหน้าคณะผู้แทนที่เข้าร่วมประชุม World Water Forum ครั้งที่ ๖ มีความเห็นร่วมกันในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ ๓.๑ การยืนยันผลการประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ Rio Summit ปี ๑๙๙๒ และ World Summit on Sustainable Development ปี ๒๐๐๒ ว่าน้ำเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างสันติภาพและความมีเสถียรภาพ และมีส่วนสำคัญที่จะส่งเสริมการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) ในเรื่อง Green Economy และกรอบโครงสร้างเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ๓.๒ การให้ความสำคัญในเรื่องความเป็นอยู่ที่ดีของประชากรทุกคน โดยส่งเสริมให้เร่งดำเนินการเรื่องการให้ประชาชนเข้าถึงน้ำดื่มสะอาดและสุขาภิบาลที่ดี รวมถึงการมีน้ำและสุขภาพดี ทั้งนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายแห่งสหัสวรรษ (MDGs) และเห็นว่าต้องมีแนวทางแบบผสมผสานในเรื่องสุขาภิบาลและการจัดการน้ำเสีย ตลอดจนพยายามใช้แนวทางอื่น ๆ เช่น การนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ และการผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล โดยส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้และเทคโนโลยี ๓.๓ การช่วยส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจ “เศรษฐกิจสีเขียว” น้ำเพื่อความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน ซึ่งจะต้องมีแนวทางในการวางแผนบริหารจัดการในเรื่องนี้โดยมีความเข้าใจและตระหนักถึงความเชื่อมโยงระหว่างกันของทรัพยากรน้ำ - อาหาร - พลังงาน ๓.๔ การรักษาโลกเป็นสีฟ้า - น้ำ (Keep the Planet Blue) น้ำในอนุสัญญา Rio ภัยพิบัติด้านน้ำและการพัฒนาเมือง โดยนำเรื่องน้ำประกอบการพิจารณาในการจัดทำยุทธศาสตร์และแผนงานเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความหลากหลายทางชีวภาพ การกลายเป็นทะเลทราย ซึ่งเป็นอนุสัญญา Rio ๓ เรื่อง และอนุสัญญา Ramsar เรื่องพื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งนี้ ควรมีการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ระหว่างกัน รวมถึงการขยายความเป็นหุ้นส่วนการพัฒนาระหว่างรัฐและเอกชนกับภาคประชาสังคม และกลุ่มทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ๓.๕ เงื่อนไขสู่ความสำเร็จ เห็นว่า การบริหารจัดการน้ำที่ดีจำเป็นต้องมีเวที และกรอบด้านองค์กรและกฎหมายที่เอื้อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วม และจำเป็นต้องสร้างความเข้มแข็งให้หน่วยงาน/องค์กรท้องถิ่นและภูมิภาคเพื่อให้ทำหน้าที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และต้องได้รับข้อมูลที่ทันสมัยและเพียงพอสำหรับการพิจารณาทางเลือกในการตัดสินใจ จำเป็นต้องมีเครื่องมือและตัวชี้วัดที่จะช่วยในการติดตาม ประเมินผล และการรายงานตรวจสอบนโยบาย เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการของปฏิญญา Rio เรื่องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนา และการใช้ประโยชน์จากปีสากลว่าด้วยความร่วมมือด้านน้ำ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ รวมทั้งมีการพิจารณาเรื่องการคืนทุนอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ และควรมีความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้มีอำนาจตัดสินใจ ผู้ให้บริการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นในการจัดทำ ดำเนินการ และติดตามนโยบายด้านน้ำ
|
||||||||||||||||||||||||
1595 | รายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล | พม | 19/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้งและพัฒนากิจการสภาองค์กรชุมชนตำบล ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสนับสนุนการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลนับตั้งแต่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑ จนถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชนตำบลรวมทั้งสิ้น ๒,๘๒๒ แห่ง จำนวนชุมชน/กลุ่ม/องค์กรชุมชน/เครือข่ายองค์กรชุมชนที่จดแจ้งรวม ๕๓,๔๑๘ องค์กร จำนวนสมาชิกสภาองค์กรชุมชนตำบลรวม ๗๕,๔๑๖ คน ๒. การดำเนินงานของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้มีการจัดประชุมอย่างน้อยปีละ ๔ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๙๑ ได้บัญญัติไว้ โดยร้อยละ ๙๕.๓ ของจำนวนสภาองค์กรชุมชนตำบลที่จัดส่งรายงาน สามารถดำเนินการตามภารกิจข้อ ๑๒ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลเพื่อไปร่วมประชุมในระดับจังหวัดมากที่สุด รองลงมาร้อยละ ๗๙ คือ การส่งเสริมและสนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูจารีตประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติ ๓. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ร้อยละ ๖๘.๔ ของจำนวนที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงานสามารถจัดให้มีการประชุมอย่างน้อยปีละ ๑ ครั้ง ตามที่พระราชบัญญัติสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติไว้ ด้านการดำเนินงานตามมาตรา ๒๗ ซึ่งพระราชบัญญัติฯ ได้กำหนดบทบาทภารกิจของที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล จำนวน ๕ ด้าน ส่วนใหญ่สามารถดำเนินงานด้านการส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างสภาองค์กรชุมชนตำบลมากที่สุดถึงร้อยละ ๗๐.๑ ของที่ประชุมในระดับจังหวัดฯ ที่จัดส่งรายงาน รองลงมาร้อยละ ๖๕ คือ การให้ข้อเสนอแนวทางการพัฒนาจังหวัดต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และองค์การบริหารส่วนจังหวัด และร้อยละ ๔๙.๑ คือ การเสนอรายชื่อผู้แทนระดับจังหวัดเพื่อไปร่วมประชุมในระดับชาติ ตามลำดับ ๔. การดำเนินงานของที่ประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบลเป็นประจำทุกปี เพื่อรายงานผลการดำเนินงานส่งเสริมการจัดตั้ง และพัฒนากิจการของสภาองค์กรชุมชนตำบลในทุกระดับต่อที่ประชุมในระดับชาติฯ รวมถึงสนับสนุนให้ที่ประชุมในระดับชาติ ฯ ดำเนินการตามภารกิจตามมาตรา ๓๒ โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้สนับสนุนให้มีการจัดการประชุมในระดับชาติฯ จำนวน ๑ ครั้ง เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการพิจารณารับรองข้อเสนอเชิงนโยบายที่ได้มาจากการประมวลความเห็นและข้อเสนอแนะจากเครือข่ายองค์กรชุมชน สภาองค์กรชุมชนตำบลผ่านที่ประชุมในระดับจังหวัดของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประกอบด้วยข้อเสนอ ๕ ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านกฎหมาย โครงสร้างและวิธีปฏิบัติราชการ ด้านคุณภาพชีวิต และด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๕. สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ได้ดำเนินการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์กิจการเกี่ยวกับสภาองค์กรชุมชนตำบล การรวบรวมข้อมูล ศึกษาวิจัย และพัฒนางานของสภาองค์กรชุมชนตำบล การประสานและร่วมมือกับส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำทะเบียนกลาง ติดตามและประเมินผลการปฏิบัติจัดตั้งและดำเนินการของสภาองค์กรชุมชนตำบล
|
||||||||||||||||||||||||
1596 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 6 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (Indonesia - Malaysia - Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๕ ณ Peace Palace กรุงพนมเปญ ราชอาณาจักรกัมพูชา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT ที่ประชุมได้มีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ซึ่งมีสาระสำคัญประกอบด้วยการขับเคลื่อนตามข้อสั่งการของผู้นำจากการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๕ ณ กรุงฮานอย สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม โดยเฉพาะการเตรียมยกร่างแผนดำเนินการระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ และการดำเนินการตามแผนที่นำทางฉบับแรก ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๐ - ๒๕๕๔ จนแล้วเสร็จใน ๖ สาขาความร่วมมือที่สำคัญ เช่น การศึกษาความเหมาะสมการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส - เมืองเปิงกาลันกุโบร์ รัฐกลันตัน และสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส - เมืองรันเตาปันยัง รัฐกลันตัน การเตรียมการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนไทย - มาเลเซีย ที่จังหวัดนราธิวาส - รัฐกลันตัน การจัดสัมมนานานาชาติเพื่อส่งเสริมการเป็นศูนย์การท่องเที่ยวทางการแพทย์ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและการท่องเที่ยวเพื่อการมีสุขภาพทีดี (Wellness) ที่ภูเก็ตและบาหลี ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาล การจัดนิทรรศการและการส่งเสริมอุตสาหกรรมและธุรกิจฮาลาลระหว่างประเทศ การยอมรับมาตรฐานวิชาชีพแรงงานสาขาการท่องเที่ยว พยาบาล สุขภาพและสปา การเกษตรและชิปปิ้ง และความร่วมมือด้านยางและไม้ยางพารา ๑.๒ เห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT (The Sixth IMT-GT Summit Joint Statement) โดยมีสาระสำคัญของแถลงการณ์ฯ กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการประชุม เพื่อทบทวนความก้าวหน้าของความร่วมมือและกำหนดทิศทางการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ร่วมในการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และยืนยันถึงพันธะที่จะร่วมมือต่อไปอย่างมุ่งมั่นเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ลดช่องว่างการพัฒนาภายในและระหว่างประเทศในอนุภูมิภาค และนำประชาชนให้พ้นจากความยากจน ๒. นายกรัฐมนตรีไทยได้มีข้อเสนอเพิ่มเติมในการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ แผนงาน IMT-GT ดังนี้ ๒.๑ เน้นย้ำความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ของกรอบ IMT-GT ในช่วงแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ทั้งในด้านบทบาทในการส่งเสริมการบูรณาการและความร่วมมือในพื้นที่สู่การพัฒนา ความเจริญรุ่งเรืองและความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนซึ่งจำเป็นต้องใช้การมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาที่สนองต่อความต้องการจากพื้นที่ ๒.๒ เน้นย้ำความสำคัญของความเชื่อมโยงทั้งในทางกายภาพและการอำนวยความสะดวกด้านกฎระเบียบเป็นปัจจัยชี้วัดการพัฒนาความเชื่อมโยงตามแผนแม่บทว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน โดยไทยมีโครงการพัฒนาที่เป็นรูปธรรม เช่น ทางพิเศษหาดใหญ่ - สะเดา และสะพานข้ามแม่น้ำโกลกแห่งใหม่ที่อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส และสะพานแห่งที่สองที่อำเภอสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส ซี่งต้องพัฒนาคู่ขนานกับการอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน ๒.๓ การดำเนินความร่วมมืออย่างต่อเนื่องในด้านการท่องเที่ยว ในผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่ ๆ การพัฒนาฐานข้อมูลการท่องเที่ยว รวมทั้งความร่วมมือด้านความมั่นคงของอาหารและพลังงานทางเลือกโดยความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น พร้อมทั้งการขยายความร่วมมือในด้านที่มีความเป็นไปได้กับหุ้นส่วนการพัฒนาอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ ๒.๔ เน้นย้ำความสำคัญในการดำเนินโครงการตามแผนดำเนินงานระยะ ๕ ปี ต่อไป (Implementation Blueprint) ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ ที่สะท้อนถึงประโยชน์ในระดับประชาชนในท้องถิ่น ระดับอนุภูมิภาค และระดับอาเซียน และสนับสนุนบทบาทของศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาค IMT-GT (CIMT) ในการขับเคลื่อนการดำเนินการโครงการในแผนดำเนินงาน ๕ ปี
|
||||||||||||||||||||||||
1597 | การบริหารโครงการลงทุนภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) | กค | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบ เห็นชอบ และอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๑.๑ รับทราบการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ และวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ (เรื่อง การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน) เกี่ยวกับข้อมูลการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ และผลการหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกากรณีโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ๑.๒ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ดังนี้ ๑.๒.๑ เห็นชอบแนวทางการเบิกจ่ายเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดฯ สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ที่ไม่สามารถเบิกจ่ายเงินได้ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ โดยให้สามารถดำเนินการเบิกจ่ายเงินภายใต้พระราชกำหนดฯ ได้จนกว่าโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ต้องไม่เกินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการที่ไม่สามารถดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ชี้แจงเหตุผล ความจำเป็น และประมาณการเบิกจ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการได้บรรลุตามวัตถุประสงค์ต่อคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ เพื่อพิจารณาอนุมัติและรายงานผลการพิจารณาต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ ๑.๒.๒ รับทราบการขอขยายระยะเวลาเบิกจ่ายเงินของกรมปศุสัตว์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และสภากาชาดไทย ๑.๒.๓ อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายเงินสำรองจ่ายให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ อนุมัติการขยายเวลาลงนามในสัญญา จำนวน ๒ โครงการ ได้แก่ โครงการเพิ่มศักยภาพโรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๔.๕๔๘ ล้านบาท และโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาท้องถิ่น (ก่อสร้างศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและอาคารเรียน) ของจังหวัดนครสวรรค์ วงเงิน ๓.๑๖๓ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานลงนามในสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ๑.๒.๕ ให้สัตยาบันการลงนามในสัญญาก่อนคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการขยายระยะเวลาการลงนามในสัญญาของโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ จำนวน ๒ รายการ วงเงินรวม ๑,๓๙๐,๒๖๐ บาท ได้แก่ เครื่องวัดการเปล่งแสงฟลูออเรสเซนซ์ วงเงิน ๑,๓๗๑,๐๐๐ บาท และเตาให้ความร้อนพร้อมชุดกวนสารละลาย วงเงิน ๑๙,๒๖๐ บาท ๑.๒.๖ อนุมัติการยกเลิกโครงการตามที่หน่วยงานเสนอ วงเงินรวม ๕๓๓.๓๒๐ ล้านบาท ได้แก่ กรมทางหลวง จำนวน ๒ โครงการ วงเงิน ๑๑.๐๒๗ ล้านบาท กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๘๕ ล้านบาท จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๔.๘๗๐ ล้านบาท และสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๑ โครงการ วงเงิน ๕๑๒.๕๓๘ ล้านบาท และให้นำวงเงินดังกล่าวรวมเป็นวงเงินเหลือจ่ายภายใต้สาขาเศรษฐกิจนั้นต่อไป ๑.๒.๗ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายสำหรับค่าใช้จ่ายเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้างตามสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) ให้แก่กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑๙,๘๖๖,๕๒๘.๗๘ บาท และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง วงเงิน ๓๒,๕๒๓.๐๐ บาท วงเงินรวม ๑๙,๘๙๙,๐๕๑.๗๘ บาท ๑.๒.๘ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยหน่วยงานจะต้องส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓ พิจารณาแนวทางการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ดังนี้ ๑.๓.๑ อนุมัติกรอบวงเงินเพิ่มเติมให้กับสภากาชาดไทย เป็นวงเงิน ๘๓๖.๓๒๘๒ ล้านบาท โดยจัดสรรจากเงินกู้ DPL สำหรับการจัดหาครุภัณฑ์ วงเงิน ๗๘๙.๕๐๑๑ ล้านบาท และสภากาชาดไทยรับภาระค่าใช้จ่ายของภาษีมูลค่าเพิ่มที่เกิดขึ้นเอง วงเงิน ๔๖.๘๒๗๑ ล้านบาท ๑.๓.๒ อนุมัติการยกเลิกรายการครุภัณฑ์โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วงเงิน ๒.๓๖๖๔ ล้านบาท ๑.๓.๓ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาทบทวนและแจ้งยืนยันโครงการเงินกู้ DPL มายังกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๒. ยกเว้นในส่วนของโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท มอบให้คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รับไปพิจารณาในรายละเอียด รวมทั้งความเหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วนตามนโยบายรัฐบาลก่อน โดยให้กระทรวงสาธารณสุขชี้แจงข้อมูลที่เกี่ยวข้องประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีฯ ด้วย แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน |
||||||||||||||||||||||||
1598 | สรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) | นร | 12/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมเพื่อติดตามความคืบหน้าในการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ความคืบหน้าการดำเนินการป้องกันและบรรเทาอุทกภัย และการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน รวมทั้งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้สั่งการและมอบหมายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ผ่านระบบการประชุมทางไกล (video conference) ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ และให้รัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี มีดังนี้ ๑.๑ ให้รัฐมนตรีที่รับผิดชอบแต่ละจังหวัดดูแลและเร่งรัดให้มีการจ่ายเงินเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากบ้านเรือนเสียหายอันเนื่องมาจากน้ำท่วมโดยเร็ว รวมทั้งการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๒ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดติดตามดูแลในเรื่องของการเยียวยา ช่วยเหลือ ฟื้นฟู และเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณโครงการที่ใช้งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ วงเงิน ๑๒๐,๐๐๐ ล้านบาท และโครงการที่ใช้เงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ (เงินกู้ ๓๕๐,๐๐๐ ล้านบาท) โดยให้ดูแลในภาพรวมของทุกโครงการที่ดำเนินการอยู่ในจังหวัดด้วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการของหน่วยงานใด หากพบว่าเรื่องใดมีปัญหาอุปสรรค หรือมีสิ่งใดที่จะต้องแก้ไขหรือดำเนินการเพิ่มเติมให้แจ้งส่วนกลางเพื่อร่วมกันแก้ไขต่อไป ๑.๓ ให้จังหวัดรายงานความก้าวหน้าการใช้จ่ายงบประมาณในโครงการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยผ่านทางระบบ PMOC Flood Recovery โดยปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือนนับตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแลพื้นที่สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการลงพื้นที่ตรวจติดตาม โดยหากมีระบบ GPS ให้รายงานข้อมูลพิกัดของพื้นที่ที่ดำเนินการ เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงแผนที่ GPS ของส่วนกลาง ทั้งนี้ ให้พิจารณาปรับแผนการขอใช้งบประมาณให้สอดคล้องกับความเร่งด่วนของโครงการที่จะต้องดำเนินการในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ๑.๔ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจความสมบูรณ์และความพร้อมของระบบเตือนภัยในท้องถิ่น โดยให้มีการเชื่อมโยงไปถึงชุมชน และให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมบูรณาการการติดตั้งระบบให้ครอบคลุมไปยังชุมชนให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีฝนตกหนักและน้ำท่วมขังเป็นประจำ ๑.๕ ให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาการรุกล้ำพื้นที่รับน้ำและทางระบายน้ำ และการป้องกันมิให้มีการรุกล้ำพื้นที่เพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ๑.๖ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสำรวจพื้นที่ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำของทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ ว่ามีพื้นที่ส่วนใดที่ยังไม่ได้ดำเนินการขุดลอกคูคลอง แล้วให้รายงานข้อมูลผ่านระบบ PMOC Flood Recovery และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหม (กองทัพไทย) เพื่อร่วมกันกำหนดแนวทางการบำรุงรักษาคูคลองที่ขุดลอกแล้วให้คงอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ๑.๗ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดูแลเรื่องการรักษาแหล่งน้ำต่าง ๆ โดยให้คำนึงถึงพื้นที่เพื่อการเกษตรด้วย ซึ่งเรื่องนี้จะนำไปพิจารณาในการประชุมเชิงปฏิบัติการที่จะขอให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดให้มีขึ้น ซึ่งจะพิจารณาในภาพรวมของการเกษตรทั้งในเรื่องของ Zoning การใช้น้ำ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมและน้ำแล้ง ในชั้นนี้ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำรวจข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าเกษตรที่มีศักยภาพในทางเศรษฐกิจและให้ผลผลิตที่ดี เนื่องจากต่อไปนี้จะไม่ส่งเสริมให้ปลูกพืชล้มลุกตามเชิงเขา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณากำหนดให้ชัดเจนในเรื่องการใช้น้ำในระบบชลประทานเพื่อการเกษตรของแต่ละจังหวัดอย่างเต็มประสิทธิภาพตามแนวพระราชดำริ เนื่องจากต่อไปรัฐบาลจะจัดทำแผนการส่งเสริมสินค้าเกษตรของแต่ละจังหวัดให้สอดคล้องกับสินค้าที่มีศักยภาพในการที่จะสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๘ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดประสานการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดและเป็นไปในลักษณะเชิงรุก โดยร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วยเพื่อให้การดูแลประชาชนในเรื่องต่าง ๆ เป็นไปอย่างทั่วถึง และให้กระทรวงมหาดไทยใช้กลไกท้องถิ่นเพื่อดูแลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่เพื่อมิให้มีเรื่องการเมืองเข้ามาแทรกแซงการดำเนินการ ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนและมีการชุมนุมเรียกร้อง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว และเร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้เรียกร้อง ตลอดจนหาทางช่วยเหลือแก้ไขปัญหาเพื่อมิให้การชุมนุมลุกลาม หากผู้ชุมนุมเรียกร้องใช้วิธีการปิดถนน ให้ดำเนินการตามกฎหมาย ๑.๙ ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) และกระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลด้านภัยพิบัติให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยใช้ศาลากลางจังหวัดเป็นศูนย์บัญชาการประจำจังหวัด (single command) ทำหน้าที่เป็นส่วนหน้าในการรวบรวมและประมวลข้อมูลทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้ส่วนกลาง ๑.๑๐ ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเร่งดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก โดยให้ความสำคัญในการสร้างความตระหนักถึงภัยและอันตรายของยาเสพติด รณรงค์ให้มีการแจ้งเบาะแส การป้องกัน และให้ความสำคัญในการแยกแยะกลุ่มเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ในสถานศึกษาและชุมชน ๑.๑๑ รัฐบาลจะใช้เรื่องการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน การแก้ไขปัญหาอุทกภัยและการบริหารจัดการน้ำในจังหวัด การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องชี้วัดประเมินผลการปฏิบัติงาน ดังนั้น ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ใต้บังคับบัญชาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกันทำงานอย่างจริงจัง เพื่อที่จะสามารถเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ๒. ในกรณีเกิดสถานการณ์อุทกภัยที่อาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของราษฎรในพื้นที่ เช่น น้ำหลาก ดินถล่ม เป็นต้น และมีความฉุกเฉินจำเป็นที่จะต้องดำเนินการใด ๆ ในพื้นที่ป่า เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวอย่างเร่งด่วน เห็นชอบเป็นหลักการให้จังหวัดที่เกี่ยวข้องประสานงานโดยตรงกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานในพื้นที่เพื่อดำเนินการป้องกันแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างทันท่วงทีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
1599 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนากีฬามวลชนของประเทศไทย" | สสป | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง “การพัฒนากีฬามวลชนของประเทศไทย” ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ รวมทั้งความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ๑.๑ ด้านการพลศึกษา ได้แก่ การกำหนดเป็นวาระแห่งชาติ การส่งเสริมให้ประชาชนเกิดความรู้ ความเข้าใจด้านการกีฬาและนันทนาการ และการเพิ่มบุคลากรด้านการกีฬาและนันทนาการ เช่น ครูพลศึกษา ๑.๒ ด้านการกีฬา ได้แก่ การกำหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ การกำหนดเป็นนโยบายหลักให้มีหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรง การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนานักกีฬาเพื่อความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่องและครอบคลุม การส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการพัฒนากีฬาอาชีพอย่างจริงจัง การส่งเสริมบุคลากรรุ่นใหม่ให้มีจิตสำนึกมีคุณธรรมและจริยธรรม มีน้ำใจนักกีฬา และการกำหนดให้ศาสตร์ด้านการกีฬาและนันทนาการเป็นศาสตร์แห่งการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรม ๑.๓ ด้านนันทนาการ โดยส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชากรทุกระดับ รวมถึงผู้สูงอายุให้เป็นประชากรที่มีคุณค่าของประเทศ โดยพัฒนาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ให้ได้รับการดูแล ด้านสุขภาพและสมรรถภาพให้สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้เป็นอย่างดี ๑.๔ ด้านสังคม ได้แก่ การกำหนดให้มีแผนพัฒนากีฬาและนันทนาการระดับชาติ โดยผนวกประเด็นการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมไว้ในทุกกิจกรรมของแผนฯ การลงทุนในกิจกรรมการกีฬาและนันทนาการสำหรับประชาชนทุกเพศทุกวัยและทุกกลุ่มให้สามารถเข้าถึงหรือมีโอกาสในการเข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง และการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเอกชนมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการลงทุนในกิจกรรมกีฬาและนันทนาการ ๑.๕ ด้านโครงสร้างการจัดการ ได้แก่ การกำหนดให้มีหน่วยงานตรวจสอบติดตามประเมินผลการดำเนินงานด้านกิจกรรม กีฬาและนันทนาการ ของทุกหน่วยงานให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม ให้มีประสิทธิผลและมีความโปร่งใสตรวจสอบได้อย่างแท้จริง และมีมาตรการในการตรวจสอบติดตามโรงเรียนและสถาบันทางการศึกษาให้ความสำคัญและดำเนินกิจกรรมกีฬาและนันทนาการให้ทุกคนมีโอกาสในการพัฒนาตนในกิจกรรมกีฬาและนันทนาการอย่างทั่วถึงและเพียงพอ ๒. ข้อเสนอแนะด้านบริหารจัดการ ๒.๑ การผลักดันระดับยุทธศาสตร์ ได้แก่ การผลักดันให้แผนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) สามารถขับเคลื่อนไปสู่การปฏิบัติได้อย่างจริงจัง การกำหนดให้การกีฬาเป็นหนึ่งในนโยบายหลักของแต่ละจังหวัด การบรรจุหลักสูตรด้านการกีฬาและนันทนาการในการเรียนการสอนทุกระดับ และการจัดสรรบุคลากร งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ รวมทั้งส่งเสริมและประชาสัมพันธ์กิจกรรมด้านกีฬาและนันทนาการอย่างเต็มที่และเพียงพอ ๒.๒ ระดับปฏิบัติการ ได้แก่ การจัดให้มีคณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ การผลักดันให้การเล่นกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการกลายเป็นวิถีชีวิตประจำวันของประชาชนทุกระดับ การจัดให้มีและเพิ่มศักยภาพของสถาบันพัฒนาบุคลากรทางการกีฬา ระบบการฝึกซ้อมและการผลิตนักกีฬา การออกกำลังกายและนันทนาการ การเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรที่ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักด้านกีฬา การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนการเล่นกีฬา การออกกำลังกาย และนันทนาการ การส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสามารถเข้ามาลงทุนในธุรกิจด้านกีฬา การพัฒนาการกีฬาและนันทนาการอย่างครอบคลุมต่อเนื่อง การพัฒนาการบริหารจัดการกีฬาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นโดยการให้องค์ความรู้ด้านการกีฬาและส่งเสริมให้มีอาสาสมัครการกีฬาระดับตำบล การจัดให้มีผู้นำกิจกรรมการออกกำลังกายในท้องถิ่นชุมชนเพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชน องค์กร ชุมชน และเครือข่ายการกีฬา พร้อมให้องค์ความรู้ด้านการเล่นกีฬา การดูกีฬา และการสร้างวัฒนธรรมการเล่นกีฬาที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต การจัดให้มีมหาวิทยาลัยกีฬาแห่งชาติกระจายตัวไปทุกภูมิภาคเพื่อรองรับการขยายตัวด้านการกีฬาและนันทนาการของชาติ รวมทั้งจัดให้มีศูนย์กีฬานันทนาการอย่างครบวงจรทั่วทุกภูมิภาค
|
||||||||||||||||||||||||
1600 | ความก้าวหน้าของการดำเนินงานตามแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น | นร | 05/06/2555 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานตามแผนงานเชิงรุกของรัฐบาลในการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้แจ้งส่วนราชการและจังหวัดจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ โดยคัดเลือกกระบวนงานหลักที่วิเคราะห์แล้วเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงในการเกิดการทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะกระบวนงานที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการต่อประชาชนโดยตรง หรือมีผลกระทบต่อสิทธิของประชาชน หรือก่อให้เกิดส่วนได้ส่วนเสียต่อความเป็นอยู่ของประชาชนสูง มาปรับปรุงหรือพัฒนาให้เกิดความโปร่งใสควบคู่ไปกับการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ จะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรีที่กำกับดูแล รวมทั้งผ่านการกลั่นกรองโดยคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อให้ความเห็นชอบและสนับสนุนทรัพยากร ๒. การตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ จำนวน ๒ คณะ ประกอบด้วย คณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทำหน้าที่ให้ความเห็นต่อข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ของส่วนราชการและจังหวัด โดยพิจารณาจากความเหมาะสมของกระบวนงานที่เลือกและแนวทางแก้ไขปัญหาที่วางไว้ เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ พิจารณาให้ความเห็นชอบ และคณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ทำหน้าที่พิจารณาให้ความเห็นชอบข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ของส่วนราชการและจังหวัด ตลอดจนติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ทั้งนี้ สำนักงาน ก.พ.ร. จะนำรายชื่อคณะกรรมการทั้ง ๒ คณะดังกล่าว เสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาลงนามแต่งตั้งต่อไป ๓. สำนักงาน ก.พ.ร. ได้จัดช่องทางให้คำปรึกษาแก่ส่วนราชการและจังหวัดผ่านระบบให้คำปรึกษาออนไลน์และคลินิกให้คำปรึกษา ตั้งแต่วันที่ ๒๓ พฤษภาคม - ๗ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยมีผลการคัดเลือกกระบวนงานที่ส่วนราชการจะนำไปจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ในเบื้องต้น ณ วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ ทั้งนี้ ยังมีอีกหลายส่วนราชการที่จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อส่งข้อมูลเบื้องต้นให้คณะกรรมการกลั่นกรองข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ภายในวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๕ สำหรับข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงฯ ฉบับสมบูรณ์จะต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีที่กำกับดูแล โดยมีกำหนดส่งภายในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ ๔. ตามที่นายกรัฐมนตรีได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น (Anti- Corruption War Room) เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ โดยมีช่องทางให้ประชาชนสามารถร้องเรียนเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นผ่านสายด่วนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) หมายเลข ๑๒๐๖ โดยผลการดำเนินการ ณ วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งสิ้น ๒๘๕ เรื่อง ซึ่งมีประเด็นการร้องทุกข์ ร้องเรียน หรือกล่าวโทษที่สำคัญ คือ การทุจริตเกี่ยวกับการเลือกตั้ง การทุจริตของข้าราชการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การทุจริตของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ การบรรจุแต่งตั้งไม่โปร่งใส การจ่ายเงินเยียวยาให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม การแจ้งเบาะแสยาเสพติด การแจ้งเบาะแสการฮั้วประมูล การเรียกรับ - เก็บส่วยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการร้องเรียนการสอบบรรจุแข่งขัน
|
.....