ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 74 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1461 - 1480 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1461 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางบรรเทาแก้ไขผลกระทบของคำสั่ง กสทช. ต่อการดำเนินงาน ด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง" | สสป | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรศาสนา และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางบรรเทาแก้ไขผลกระทบของคำสั่ง กสทช. ต่อการดำเนินงานด้านวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง" สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐบาลควรประสานงานกับ กสทช. ให้การดำเนินการอำนาจหน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง กสทช. ต้องดำเนินการให้สอดคล้องกับนโยบายที่คณะรัฐมนตรีแถลงไว้ต่อรัฐสภา ตามที่บัญญัติไว้ในหมวด ๗ ความสัมพันธ์กับรัฐบาลและรัฐสภา มาตรา ๗๔ ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๒. ในการดำเนินการให้เป็นไปตามคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภา วันอังคารที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยสื่อวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ซึ่งวัด มูลนิธิ และสมาคมทางพระพุทธศาสนาโดยการอุปถัมภ์ของชาวพุทธทั่วประเทศได้ดำเนินการจัดตั้งและดำเนินการมาเป็นเวลาร่วมสิบปี กสทช. จึงควรต้องแยกสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์กลุ่มนี้เป็นกลุ่มเฉพาะที่ กสทช. พึงสนับสนุนและผ่อนปรนให้ดำเนินการได้ตามเดิมต่อไป ทั้งนี้ ให้การสนับสนุนและผ่อนปรนครอบคลุมถึงสถานีวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ที่เป็นการเผยแพร่ศาสนานั้น ๆ อย่างแท้จริง ไม่มีการโฆษณาแอบแฝง ของอีก ๔ ศาสนาที่ทางราชการรับรอง ได้แก่ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และศาสนาซิกข์ ๓. กสทช. ควรต้องปรับปรุงแก้ไขประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์การขออนุญาตทดลองประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือออกประกาศใหม่เพิ่มเติม โดยยกเว้นให้สถานีวิทยุกระจายเสียงทางพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ที่มีอยู่แล้วสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ตามเดิม โดยไม่ต้องถูกลิดรอนลดทอนอุปกรณ์และประสิทธิภาพในการกระจายเสียงและศาสนาอื่น ๆ ที่ทางราชการรับรอง ๔. ประสาน กสทช. ให้การจัดสรรวิทยุโทรทัศน์ในระบบดิจิทัลงวดแรกจำนวน ๔๘ ช่อง มีช่องเฉพาะทางศาสนาอย่างน้อย ๑ ช่อง โดยแบ่งเวลาในการออกอากาศให้แก่แต่ละศาสนาใน ๕ ศาสนาที่ทางราชการรับรอง ตามสัดส่วนของประชากรทั่วประเทศที่นับถือศาสนานั้น และในระยะต่อไป เมื่อ กสทช. มีการจัดสรรวิทยุโทรทัศน์ดิจิทัลเพิ่มจำนวนช่องขึ้น ก็พึงต้องมีช่องเฉพาะทางศาสนาเพิ่มขึ้นด้วยตามอัตราส่วนอย่างเหมาะสม ๕. ดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่ล้าสมัยซึ่งไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เช่น พระราชบัญญัติวิทยุคมนาคม พ.ศ. ๒๔๙๘ เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
1462 | ร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... | นร09 | 30/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเลิกกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ สำนักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. กำหนดภารกิจและอำนาจหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ๓. กำหนดให้ส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ประกอบด้วย สำนักงานเลขาธิการ กองกฎหมายและระเบียบราชการ กองกิจการองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐรูปแบบอื่น กองติดตามและประเมินผลการพัฒนาระบบราชการ กองบริหารการเปลี่ยนแปลงและนวัตกรรม กองเผยแพร่และสนับสนุนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบราชการ กองพัฒนาระบบราชการ ๑ กองพัฒนาระบบราชการ ๒ กองพัฒนาระเบียบราชการส่วนภูมิภาคและความสัมพันธ์กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และกองส่งเสริมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ ๔. กำหนดให้มีกลุ่มตรวจสอบภายใน กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร และศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการทุจริต ในสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||
1463 | ร่างแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. 2556 - พ.ศ. 2561) | นร12 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ในการประชุมครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ ที่เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) และให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนำแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-พ.ศ. ๒๕๖๑) ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินภารกิจของหน่วยงานต่อไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยแบ่งประเด็นยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบราชการไทยได้เป็น ๗ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การสร้างความเป็นเลิศในการให้บริการประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบการให้บริการประชาชน เสริมสร้างวัฒนธรรมการให้บริการที่เป็นเลิศ และพัฒนาระบบการจัดการข้อร้องเรียนและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาหน่วยงานของรัฐให้มีขีดสมรรถนะสูง พัฒนาระบบบริหารจัดการกำลังคนและพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ เพิ่มผลิตภาพในการปฏิบัติราชการ โดยการลดต้นทุนและส่งเสริมนวัตกรรม และสร้างความรับผิดชอบต่อสังคมและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐให้เกิดประโยชน์สูงสุด ประกอบด้วยกลยุทธ์การบริหารสินทรัพย์ของภาครัฐอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ คุ้มค่า และสะท้อนต้นทุนที่แท้จริงของภาครัฐ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การวางระบบการบริหารงานราชการแบบบูรณาการ ประกอบด้วยกลยุทธ์การออกแบบและพัฒนาระบบการบริหารงานแบบบูรณาการ และปรับปรุงความสัมพันธ์และประสานความร่วมมือระหว่างราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การส่งเสริมระบบการบริหารกิจการบ้านเมืองแบบร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ประกอบด้วยกลยุทธ์การทบทวนภารกิจและอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐให้เหมาะสม ถ่ายโอนภารกิจงานและกิจกรรมที่ภาครัฐไม่จำเป็นต้องปฏิบัติเองให้ภาคส่วนต่าง ๆ และส่งเสริมการบริหารราชการระบบเปิดและการสร้างเครือข่าย ๑.๖ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การยกระดับความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาในการบริหารราชการแผ่นดิน ประกอบด้วยกลยุทธ์การส่งเสริมและวางกลไกสร้างความโปร่งใสในการปฏิบัติราชการ ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และมาตรการในการต่อต้านคอร์รัปชัน ๑.๗ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การสร้างความพร้อมของระบบราชการไทยเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ประกอบด้วยกลยุทธ์การพัฒนาระบบบริหารงานของหน่วยงานที่มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และเสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อยกระดับธรรมาภิบาลในภาครัฐของประเทศสมาชิกอาเซียน ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีที่เห็นควรมีแผนในด้านการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนบุคลากรภาครัฐและภาคเอกชน (Talent mobility) ซึ่งสามารถเชื่อมโยงได้ทั้งสองทางจากภาครัฐไปสู่ภาคเอกชนและจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐ ควรมีการฝึกอบรมบุคลากรในสายงานประเภทบริหารและสายงานประเภทวิชาการให้มีความรู้ความเข้าใจในงานของอีกสายงานด้วย ควรมีแผนในด้านการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐเพื่อทดแทนบุคลากรที่จะพ้นไปจากระบบราชการในอนาคต ทั้งจำนวนกำลังคนและสมรรถนะที่ต้องการ เช่น แผนการสืบทอดตำแหน่ง (Succession plan) และความก้าวหน้าในอาชีพ (Career path) เป็นต้น รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการนำวิธีการบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ หรือรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) และการนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเข้ามาใช้ในการให้บริการประชาชน (e-service) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการ |
|||||||||||||||||||||
1464 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ 1 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 | นร01 | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในไตรมาสที่ ๑ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ประชาชนแจ้งเรื่องผ่านช่องทางการร้องทุกข์ ๑๑๑๑ [๔ ช่องทาง ได้แก่ ช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ ช่องทางตู้ ปณ.๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑] รวมทั้งสิ้น ๒๖,๘๗๕ ครั้ง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ เหตุเดือดร้อนรำคาญ และการแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐกรณีคัดค้านเนื้อหาของร่างกฎหมายที่แก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้ดำรงตำแหน่งคราวละ ๕ ปี ตามลำดับ ๒. หน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ รองลงมาคือ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ตามลำดับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๓. จำนวนเรื่องร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเรียงตามลำดับประเภทเรื่องที่มีการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ๑๐ ลำดับแรก ได้แก่ สาธารณูปโภค ๓,๒๕๓ เรื่อง สังคมเสื่อมโทรม ๒,๒๕๔ เรื่อง การแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายและโครงการของรัฐ ๒,๒๐๘ เรื่อง สวัสดิการสงเคราะห์ ๘๘๘ เรื่อง การกล่าวโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต ๘๑๙ เรื่อง ร้องเรียนการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๘๑๙ เรื่อง การประพฤติตนไม่เหมาะสมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๗๘๐ เรื่อง การใช้อำนาจของหน่วยงานของรัฐ ๖๓๙ เรื่อง การพนัน ๕๓๔ เรื่อง และการเกษตร ๔๕๕ เรื่อง |
|||||||||||||||||||||
1465 | การแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (จำนวน 17 คน 1. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ฯลฯ) | ศธ | 23/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน ๑๗ คน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๓ เมษายน ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. นายสุรัฐ ศิลปอนันต์ ประธานกรรมการ ๒. นายแสวง บุญมากาศ กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน ๓. นายนุชากร มาศฉมาดล กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๔. นายสรัลชา ศรีชลวัฒนา กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๕. นายมีชัย วีระไวทยะ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๖. นายวินัย รอดจ่าย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๗. นายสมยศ มีเทศน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๘. นายสมหมาย ปาริจฉัตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๙. นายสุนันท์ เทพศรี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๐. นายชลอ กองสุทธิ์ใจ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๑. นายปราโมทย์ แก้วสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๒. นายสุกรี เจริญสุข กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๓. นายอาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๔. นางบุญศรี พานะจิตต์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๕. นายพงษ์ศักดิ์ ยิ่งชนม์เจริญ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๖. นายวุฒิสาร ตันไชย กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๑๗. พระพรหมดิลก กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
|||||||||||||||||||||
1466 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... | อก | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ เปลี่ยนแปลงสภาพสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ในท้องที่ตำบลคลองตำหรุ อำเภอเมืองชลบุรี และตำบลบ้านเก่า อำเภอพานทอง จังหวัดชลบุรี ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ดำเนินการครบถ้วนตามเงื่อนไขที่กำหนดตามมาตรา ๓๖/๑ แห่งพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๐ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าว เป็นการนำพื้นที่ซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไปใช้เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ร่วมกับภาคเอกชน จึงควรเป็นไปตามข้อตกลงยินยอมในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ประชาชน และหน่วยงานผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ โดยมีการพิจารณาหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงมหาดไทยกำหนดเป็นหลักการในเบื้องต้น ขณะที่การพิจารณาในรายละเอียดอื่น ๆ อาทิ ราคาประเมินที่ดิน ควรมีความสอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามราคาตลาดในปัจจุบัน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1467 | การจัดทำสัญญาเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต | พณ | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๖๑ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครโตรอนโต วงเงินทั้งสิ้น ๙,๙๑๘,๐๐๐ บาท หรือเท่ากับ ๓๔๒,๐๐๐ ดอลลาร์แคนาดา คิดอัตราแลกเปลี่ยน ๑ ดอลลาร์แคนาดา เท่ากับ ๒๙ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๘,๕๐๐ ดอลลาร์แคนาดา หรือเท่ากับ ๘๒๖,๕๐๐ บาท ส่วนงบประมาณที่เหลือให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๑ ตามความจำเป็นต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. การเบิกจ่ายเงินเพื่อการดังกล่าวให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง |
|||||||||||||||||||||
1468 | รายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ และจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 10 - 11 มีนาคม 2556 | พน | 09/04/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการตรวจติดตามการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิและจังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ ๑๐-๑๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดชัยภูมิ ๑.๑ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของจังหวัดชัยภูมิตั้งอยู่ตอนบนสุดของที่ราบสูงโคราช ทำให้ลักษณะภูมิประเทศร้อยละห้าสิบเป็นที่ราบสูง อีกร้อยละห้าสิบประกอบด้วยป่าไม้และภูเขา เมื่อฝนตกลงมาจึงไหลลงสู่ที่ต่ำอย่างรวดเร็ว ประกอบกับการกักเก็บน้ำของแหล่งกักเก็บที่มียังไม่เต็มศักยภาพ ทำให้แหล่งกักเก็บน้ำแห้งขอดในฤดูแล้ง และนับตั้งแต่ปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นต้นมาเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง เป็นเหตุให้พืชผลทางเกษตรได้รับความเสียหายเป็นวงกว้าง จังหวัดจึงได้ประกาศภัยพิบัติทั้ง ๑๖ อำเภอ ๑.๒ การแก้ไขปัญหา ในเบื้องต้นจังหวัดได้อนุมัติงบประมาณให้ความช่วยเหลือไปแล้ว ๓๖,๕๘๓,๖๗๖ บาท โดยการจัดหาวัสดุทำฝายกระสอบทรายเพื่อชะลอน้ำ จำนวน ๒๖๔ แห่ง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ๑๓ แห่ง ขุดลอกเปิดทางน้ำเข้าพื้นที่การเกษตร ๓๗ แห่ง ฝึกอบรมอาชีพระยะสั้น ๘ แห่ง นอกจากนี้ จังหวัดยังมีความประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อนของราษฎรอีก คือ ระยะแรก เพื่อจัดทำโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๔๑ โครงการ วงเงิน ๒๒๗ ล้านบาท โครงการบ่อน้ำบาดาล ๒๒๕ บ่อ วงเงิน ๒๒.๙๕ ล้านบาท จัดหาเครื่องสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว ๕๐ เครื่อง วงเงิน ๒๗ ล้านบาท จัดหารถบรรทุกน้ำ ๑๖ คัน วงเงิน ๒.๓ ล้านบาท และจัดหาถังน้ำกลาง ๒,๗๑๒ ถัง วงเงิน ๓๘ ล้านบาท สำหรับระยะกลางและระยะยาว จะดำเนินโครงการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำ ๑๑ โครงการ ๒. จังหวัดบุรีรัมย์ ๒.๑ จังหวัดบุรีรัมย์เป็นจังหวัดที่ประสบกับภาวะความแห้งแล้งเป็นประจำทุกปี เนื่องจากในพื้นที่ของจังหวัดจะมีปริมาณฝนตกค่อนข้างน้อย ทำให้แหล่งน้ำที่มีทั้งแหล่งน้ำหลักและแหล่งน้ำขนาดเล็กไม่สามารถเก็บกักน้ำไว้ใช้ได้ตลอดฤดูกาล เป็นเหตุให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ขาดแคลนน้ำในการอุปโภค บริโภค และทำให้พืชเศรษฐกิจหลักของจังหวัดได้ผลผลิตไม่เต็มที่ โดยเกิดภัยแล้งใน ๒๓ อำเภอ ๑๗๗ ตำบล ๒,๑๑๕ หมู่บ้าน ความเสียหายด้านเกษตร คิดเป็นพื้นที่จำนวน ๑๖๓,๕๒๘ ไร่ ๒.๒ การแก้ไขปัญหา จังหวัดได้ให้รถบรรทุกน้ำที่มีกระจายอยู่ตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และส่วนราชการต่าง ๆ บรรทุกน้ำไปแจกจ่ายให้ประชาชนตามหมู่บ้านต่าง ๆ และได้รับการสนับสนุนรถสูบส่งน้ำระยะไกลจากศูนย์ฯ เขต ๕ นครราชสีมา ดำเนินการสูบน้ำจากแหล่งน้ำไปยังสระน้ำประปาหมู่บ้านที่แห้งขอด และกำลังเร่งดำเนินการซ่อมเป่าล้างบ่อบาดาลและซ่อมประปาหมู่บ้านที่ชำรุดให้ใช้งานได้ โดยจังหวัดได้ใช้เงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยแล้งไปแล้ว เป็นเงิน ๑๐,๙๓๙,๕๕๒ บาท รวมทั้งประสงค์ขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติม คือ จัดหาถังน้ำกลางหมู่บ้าน ขนาด ๒,๐๐๐ ลิตร จำนวน ๓,๙๐๐ ถัง วงเงิน ๕๔.๖ ล้านบาท รถบรรทุกน้ำ ๒๐ คัน รวมค่าบริหารจัดการ วงเงิน ๒.๑๙๒ ล้านบาท รถส่งสูบน้ำระยะไกล ๒ คัน วงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท และดำเนินโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ ๑๑๔ โครงการ วงเงิน ๓๑๓.๘ ล้านบาท
|
|||||||||||||||||||||
1469 | การติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ในส่วนของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2556 | นร | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการติดตามงานตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านสังคมและคุณภาพชีวิต ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศันสนีย์ นาคพงศ์) เสนอ โดยมีหน่วยงานเจ้าภาพหลักรายงานผลการดำเนินการตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ดังนี้
๑. ส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน (ตั้งแต่วันที่ ๑-๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖) ๑.๑ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ได้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องงานสนับสนุนการบริหารจัดการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานประชาสัมพันธ์กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานพัฒนาระบบสารสนเทศของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี งานยุทธศาสตร์และพัฒนาศักยภาพกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ๑.๒ กองทุนตั้งตัวได้ กระทรวงศึกษาธิการได้ดำเนินการแต่งตั้งผู้อำนวยการกองทุนตั้งตัวได้ ตั้งแต่วันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และอยู่ระหว่างการจัดทำประกาศ เรื่อง หลักเกณฑ์ที่สถาบันการศึกษาขอจัดตั้งเป็น ABI (Authorized Business Incubator) และประกาศคุณสมบัติของผู้มีสิทธิขอรับการสนับสนุนเงินประกอบธุรกิจเริ่มต้นจากกองทุนตั้งตัวได้ ๒. พัฒนาระบบประกันสุขภาพ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข ๒.๑ การสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า มีการจัดทำข้อตกลงเพื่อให้บุคคลผู้มีสิทธิตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้สิทธิรับบริการสาธารณสุขตามพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๖ ๒.๒ การสร้างความมั่นคงทางการเงินการคลังของหน่วยบริการ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนินการติดตามกำกับและตรวจสอบหน่วยบริการที่มีภาวะวิกฤตทางการเงิน พัฒนาการจัดทำต้นทุนหน่วยบริการ และพัฒนาเกณฑ์การประเมินประสิทธิภาพการบริหารการเงินการคลัง ๓. จัดหาเครื่องคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตให้แก่โรงเรียน ๓.๑ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร แจ้งว่าอยู่ระหว่างส่งเรื่องคืนให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาทบทวน TOR ใหม่ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แจ้งว่ามีหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณในการจัดซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์พกพา (แท็บเล็ต) จำนวน ๑๐ หน่วยงาน รวม ๑,๘๐๓,๓๓๗ เครื่อง วงเงิน ๕,๐๙๒,๑๗๙,๐๐๐ บาท คาดว่าจะทำสัญญาได้ภายในวันที่ ๙-๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน แจ้งว่าขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการร่วมกับเขตพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาการส่งมอบแท็บเล็ตให้แก่โรงเรียนไม่เพียงพอ โดยนำเครื่องจากเขตพื้นที่ที่เหลือไปจัดสรรให้แก่นักเรียนที่มีเครื่องไม่เพียงพอและกำลังดำเนินการจัดทำหนังสือไปยังผู้อำนวยการเขตพื้นที่ที่มีเครื่องเหลือในภาคใต้ให้จัดส่งแท็บเล็ตที่เหลือไปยังเขตพื้นที่ใกล้เคียงทางไปรษณีย์
|
|||||||||||||||||||||
1470 | ผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ 2555 (1 ตุลาคม 2554 - 30 กันยายน 2555) | สธ | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการดำเนินงานการสร้างหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ (๑ ตุลาคม ๒๕๕๔-๓๐ กันยายน ๒๕๕๕) ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้รายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ความครอบคลุมการมีหลักประกันสุขภาพ ในปีงบประมาณ ๒๕๕๕ ประชากรผู้มีสิทธิประกันสุขภาพทั้งประเทศ จำนวน ๖๔.๕๙ ล้านคน มีผู้มาลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๔.๕๓ ล้านคน โดยมีประชากรที่ยังไม่ลงทะเบียนสิทธิ จำนวน ๖๕,๑๑๓ คน ประชากรสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔๘.๖๒ ล้านคน ลงทะเบียนกับหน่วยบริการของรัฐ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๙๐.๑๗ มีหน่วยบริการคู่สัญญา ๘๕๕ แห่ง รัฐนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ร้อยละ ๕.๐๘ แห่ง หน่วยบริการคู่สัญญา ๘๓ แห่ง และเอกชน ร้อยละ ๔.๗๕ หน่วยบริการคู่สัญญา ๒๒๗ แห่ง ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่เป็นคลินิกชุมชนอบอุ่น ร้อยละ ๘๑.๓๐ ๒. การเข้าถึงบริการ โดยการใช้บริการทางการแพทย์เฉพาะผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกอบด้วย การใช้บริการผู้ป่วยนอก จำนวน ๑๖๓.๘๒ ล้านครั้ง อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๓.๓๗ ครั้ง/คน/ปี การใช้บริการผู้ป่วยใน จำนวน ๕.๖๐ ล้านครั้ง/๒๓.๐๙ ล้านวัน อัตราการใช้บริการต่อประชากรฯ เท่ากับ ๐.๑๑๕ ครั้ง/คน/ปี ผู้รับบริการอุบัติเหตุฉุกเฉินและค่าใช้จ่ายสูง จำนวน ๒,๒๑๕,๐๗๙ ราย และ ๓๘๘,๔๙๓ ราย การฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์ มีคนพิการในระบบหลักประกันฯ จดทะเบียน ๑,๐๗๔,๖๐๗ คน ได้รับบริการฟื้นฟูฯ ๔๑๐,๗๗๓ คน/๑,๔๔๙,๗๖๗ ครั้ง และได้รับการสนับสนุนอุปกรณ์ฯ ๔๕,๕๓๑ คน/๔๗,๘๓๙ ชิ้น การเข้าถึงยา มีผู้ป่วยเข้าถึงยาบัญชี จ (๒) เป็นรายการยาจำเป็นที่มีราคาสูงมาก จำนวน ๘,๓๗๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๕๔.๗๘ (เป้าหมาย ๕,๙๘๘ คน) เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖๕.๕๓ จากปีที่ผ่านมา เป็นต้น ๓. การควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุข หน่วยบริการที่ได้รับการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน Hospital Accreditation (HA) จำนวน ๑,๐๓๘ แห่ง ได้รับการรับรองคุณภาพ HA ร้อยละ ๓๘.๑๕ รับรองคุณภาพชั้น ๒ ร้อยละ ๔๕.๕๗ ๔. การคุ้มครองสิทธิ การให้บริการประชาชนเพื่อช่วยเหลือผู้มีสิทธิและผู้ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพฯ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องสอบถามข้อมูล ร้อยละ ๙๘.๒๗ เรื่องร้องเรียนได้รับการตอบสนองภายใน ๓๐ วันทำการ ร้อยละ ๙๗.๐๔ และเรื่องร้องทุกข์ดำเนินการแล้วเสร็จ ร้อยละ ๙๖.๙๕ ประสานหาเตียงผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉิน ๔,๕๓๘ ราย จ่ายชดเชยกรณีผู้รับบริการได้รับความเสียหายจากการใช้บริการฯ (ตามมาตรา ๔๑) จำนวน ๘๓๔ ราย เป็นเงิน ๙๘.๕๘ ล้านบาท ด้านผู้ให้บริการได้รับชดเชย จำนวน ๕๑๑ ราย เป็นเงิน ๔.๕๐ ล้านบาท ๕. การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภาคี ด้านเครือข่ายองค์กรประชาชน มีหน่วยรับเรื่องร้องเรียนอื่นที่เป็นอิสระจากผู้ถูกร้องเรียน ๔๓ แห่ง รับเรื่องร้องเรียน ๔๖๓ เรื่อง/เครือข่ายองค์กรคนพิการ ด้านการสนับสนุนการมีส่วนร่วมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีพื้นที่ดำเนินการ ๗,๗๑๘ แห่ง (ร้อยละ ๙๙.๒๕) ครอบคลุมประชากร ๕๖.๖๖ ล้านคน ด้านองค์กรวิชาชีพร่วมมือกับชมรมผู้บริหารการพยาบาล มีหน่วยบริการเข้าร่วมกิจกรรมมิตรภาพบำบัดมากกว่า ๓๕๐ แห่ง และร่วมมือกับสมาคมพยาบาลโรคหัวใจและทรวงอกพัฒนาหน่วยบริการตติยภูมิ ๕๕ แห่ง ๖. การบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีการเบิกจ่ายงบกองทุนฯ รวม ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๒,๖๖๙ บาท (ร้อยละ ๙๙.๙๙ จากงบประมาณที่ได้รับ ๑๐๗,๘๑๔,๑๑๕,๔๐๐ บาท) ๗. โครงการริเริ่มหรือพัฒนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้าและปัญหาอุปสรรค สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้พัฒนาโครงการที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนในการเข้าถึงบริการได้ทั่วถึงเท่าเทียมมากขึ้น เช่น เพิ่มคุณภาพของระบบ “๓๐ บาทรักษาทุกโรค” การบูรณาการระบบบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน การปรับแก้หลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการจ่ายเงินชดเชยเบื้องต้นตามมาตรา ๔๑ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||
1471 | แผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร12 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด ๗๖ จังหวัด แผนปฏิบัติราชการประจำปีของกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด และคำของบประมาณของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามมติคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (ก.น.จ.) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณกลุ่มจังหวัด ๑๘ กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓๐๐ โครงการ รวม ๘,๗๙๔,๔๖๖,๘๕๗ บาท และโครงการที่สมควรได้รับการสนับสนุน เป็นงบประมาณจังหวัด ๗๖ จังหวัด จำนวน ๒,๒๙๒ โครงการ รวม ๒๒,๒๔๐,๒๗๑,๙๗๒ บาท ทั้งนี้ กรณีที่มีการพิจารณาต้นทุนต่อหน่วยของโครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วยังมีงบประมาณเหลืออยู่ ให้นำโครงการที่ไม่ได้รับการจัดสรรมาพิจารณาสนับสนุนเพิ่มเติมตามลำดับความสำคัญหรือที่สำรองไว้ในกรณีที่มีการแปรญัตติงบประมาณเพิ่มเติม สำหรับโครงการที่ดำเนินการโดยกระทรวง ทบวง กรม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐ หรือเอกชนตามที่ปรากฏในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้จังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดประสานขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง ตามที่เลขาธิการ ก.พ.ร. กรรมการและเลขานุการ ก.น.จ. เสนอ
|
|||||||||||||||||||||
1472 | การดำเนินการเกี่ยวกับหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี | นร04 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินเการกี่ยวกับกรณีที่ประชาชนและองค์กรต่าง ๆ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนที่ยื่นกราบเรียนนายกรัฐมนตรี ระหว่างการปฏิบัติราชการ ณ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดปราจีนบุรี เมื่อวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. สรุปประเด็นหนังสือร้องเรียนร้องทุกข์ และเห็นควรดำเนินการ ๑.๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนการพัฒนาจังหวัดปราจีนบุรี กรณีพัฒนาเส้นทางรถยนต์ เส้นทางรถไฟเป็นรางคู่ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมพิจารณาดำเนินการ กรณีสนับสนุนให้จังหวัดปราจีนบุรีเป็นเขตอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมการทำน้ำหอมระเหยจากต้นกฤษณาเป็นอุตสาหกรรมขนาดย่อม มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ กรณีร้องขอให้รักษาผังเมืองรวมที่กำหนดให้พื้นที่ตำบลบางเดชะ อำเภอเมือง เป็นพื้นที่สีขาวแทยงเขียว (พื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม) มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรีพิจารณาดำเนินการ ๑.๒ เรื่องขอให้ทบทวนการเปิดด่านถาวรบ้านหนองเอี่ยน จังหวัดสระแก้ว-สตึงบท จังหวัดบนเตียเมียนเจย โดยเสนอขอให้พิจารณาเปิดด่านถาวรบ้านเขาดิน อำเภอคลองหาด จังหวัดสระแก้ว และเรื่องขอให้พิจารณาพื้นที่ในเขตตำบลบ้านไร่เป็นสถานที่จัดตั้ง “สถานีขนถ่ายสินค้าโลจิสติกส์” มอบให้เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ ๑.๓ เรื่องขอให้ปรับปรุงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๓ การยกเลิกคำสั่งส่วนแบ่งรางวัลนำจับความผิดพระราชบัญญัติจราจร และการติดตามเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการ ๑.๔ เรื่องขอให้ปราบปรามยาเสพติดในจังหวัดปราจีนบุรี และขอให้ช่วยเหลือกลุ่มผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย มอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) พิจารณาดำเนินการ ๑.๕ เรื่องขอให้แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือกและโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๖ เรื่องขอให้ตรวจสอบและแก้ไขปัญหาของเกษตรกรไร่อ้อยรายย่อยจากการใช้หลักเกณฑ์ของภาครัฐเกี่ยวกับการจัดตั้งโรงงานน้ำตาลแห่งใหม่ จังหวัดสระแก้ว มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการ ๑.๗ เรื่องขอให้ติดตามการแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาของสหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ และเครือข่ายที่ดินแนวใหม่ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเองแห่งชาติ มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาดำเนินการ ๑.๘ เรื่องขอให้ตรวจสอบการขายสินค้าของร้านค้าในโครงการบัตรเครดิตเกษตรกร มอบให้ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรพิจารณาดำเนินการ ๑.๙ เรื่องขอให้ผลักดันโครงการผันน้ำจากเขื่อนพระปรงไปอ่างเก็บน้ำเขื่อนห้วยยาง และโครงการเก็บน้ำห้วยลำสะโตน จังหวัดสระแก้ว มอบให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยพิจารณาดำเนินการ ๑.๑๐ เรื่องขอให้ช่วยเหลือจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรที่ไร้ที่ทำกิน มอบให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาดำเนินการ ๑.๑๑ เรื่องขอรับการสนับสนุนงบประมาณพัฒนาท้องถิ่นและติดตามโครงการพัฒนาในพื้นที่จังหวัดสระแก้ว ขอให้ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณตลาดโรงเกลือ ตรวจสอบการประมูลการจัดให้เช่าที่ดินเพื่อก่อสร้างอาคารค้าขายบริเวณตลาดโรงเกลือ และชาวต่างด้าวเปิดร้านปิดทางเดินเข้าออกบ้าน ขอให้ตรวจสอบแก้ไขปัญหากรณีแนวเขตที่ดินของราษฎรกับสนามบินอรัญประเทศ และเรื่องขอให้ผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามายึดครองพื้นที่ทำกิน มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้วพิจารณาดำเนินการ ๒. ส่งเรื่องทั้งหมดให้ศูนย์บริการประชาชน (๑๑๑๑) สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับหน่วยปฏิบัติ และนำเข้าระบบรับเรื่องร้องเรียนนายกรัฐมนตรีเพื่อการติดตามเรื่อง
|
|||||||||||||||||||||
1473 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 2/2556 | นร11 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ ๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๕๖ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา และเห็นชอบตามมติที่ประชุมฯ โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ รวมทั้งรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๑.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว โดยให้มีการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยพิจารณาข้อเสนอการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบ้านป่าไร่ จังหวัดสระแก้ว เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาดังกล่าวด้วย ๑.๑.๒ ขอรับการสนับสนุนโครงการ Eco Industrial Town จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปพิจารณาจัดตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษารูปแบบการจัดทำเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในพื้นที่อุตสาหกรรมเดิม (จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด) โดยให้คำนึงถึงการจำกัดการพิจารณาอนุญาตตั้งโรงงานในพื้นที่อย่างเข้มงวด สำหรับพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ (จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดปราจีนบุรี) ให้พิจารณาจัดทำแผนการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเข้าสู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๓ ขอให้เร่งรัดโครงการย้ายตลาดสะพานปลากรุงเทพ (ยานนาวา) ไปตั้งที่ปากน้ำสมุทรปราการ ภายในปี ๒๕๕๖ โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) เป็นที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมความจำเป็น และความเป็นไปได้ในการพัฒนาสะพานปลาในภาพรวมทั้งหมด รวมถึงการย้ายหรือพัฒนาสะพานปลากรุงเทพ และพิจารณาใช้ประโยชน์จากสะพานปลาจังหวัดสมุทรปราการทั้งระบบเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๑.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย โดยให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทราร่วมกับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สำนักงานสหกรณ์จังหวัดฉะเชิงเทรา และมหาวิทยาลัยราชภัฏราชนครินทร์ จังหวัดฉะเชิงเทรา รับไปศึกษาโครงการจัดตั้งสถาบันมะม่วงแห่งประเทศไทย ๑.๒ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ จำนวน ๕ เรื่อง โดยให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการ ได้แก่ ๑.๒.๑ ขอให้เร่งรัดโครงการพัฒนาโครงข่ายทางถนนเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยการขยายช่องจราจร และขอการสนับสนุนการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทาง เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ โดยรับข้อเสนอการพัฒนาปรับปรุงโครงข่ายทางถนนในพื้นที่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวม ๗ เส้นทางให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายในปี ๒๕๕๘ ไปจัดลำดับความสำคัญของโครงการและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป รวมทั้งประสานกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับแนวทางการพัฒนาเส้นทางถนนสายรองซึ่งอยู่ในความดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้สามารถรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวทั้งภายในจังหวัดและจังหวัดใกล้เคียงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถบรรเทาปัญหาการจราจรในพื้นที่ รวมทั้งช่วยอำนวยความสะดวกด้านการเดินทางแก่ประชาชนและการขนส่งสินค้า ๑.๒.๒ ขอให้เร่งรัดโครงการขยายเส้นทาง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ "หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา" จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร โดยรับข้อเสนอการเร่งรัดโครงการขยายเส้นทางทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑๙ “หนองชะอม จังหวัดปราจีนบุรี-พนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา” จาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร ไปพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการ และขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒.๓ ขอรับการสนับสนุนการศึกษาการแก้ไขปัญหาการจราจรสู่จังหวัดนครนายก และภาคตะวันออก โดยรับข้อเสนอการก่อสร้างทางยกระดับบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๕ “รังสิต-นครนายก” ไปประกอบการศึกษาความเหมาะสมและขอรับการจัดสรรงบประมาณประจำปีตามขั้นตอน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณาความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อประชาชน และทัศนียภาพในพื้นที่ รวมทั้งการคาดการณ์ปริมาณจราจรในอนาคตในกรณีที่มีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเต็มรูปแบบในพื้นที่ ๑.๒.๔ ขอรับการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปประกอบการพิจารณาศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนโครงการศึกษาแนวทางการขยายเส้นทางไปยังด่านคลองลึก จังหวัดสระแก้ว โดยพิจารณาให้สอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาจุดผ่านแดนบริเวณบ้านหนองเอี่ยน ๑.๒.๕ ขอรับการสนับสนุนโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรลจากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ โดยเร่งประสานกระทรวงมหาดไทยเพื่อให้ผลการศึกษาความเหมาะสมของการสนับสนุนของโครงการเชื่อมต่อรถไฟฟ้าโมโนเรล จากสถานีรถไฟฟ้าบางปู-แอร์พอร์ตลิงค์ สุวรรณภูมิ มีความสอดคล้องกับแนวทางพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๓ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๑ เรื่อง คือ ขอให้เร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) โดยให้คณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเร่งรัดการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนบน (ปากน้ำบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา-สมุทรปราการ) รวมทั้งดำเนินการศึกษาการบริหารจัดการน้ำภาคตะวันออกทั้งระบบ และเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๑.๔ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการสุขภาพ จำนวน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑.๔.๑ ขอรับการสนับสนุนโครงการพัฒนาพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยว "ขุนด่านแลนด์" (ถนน-สะพาน-ภูมิทัศน์) จังหวัดนครนายก โดยให้จังหวัดนครนายกร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องศึกษาความเหมาะสมรูปแบบการพัฒนาพื้นที่และการปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก โดยศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบของโครงการด้านเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนการบริหารจัดการโครงการและหน่วยงานรับผิดชอบให้ชัดเจน รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงานและโครงการเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๒ ขอให้เร่งรัดการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี โดยให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เพื่อพิจารณาแผนพัฒนาการท่องเที่ยวของไทยให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคเอกชนและท้องถิ่น และบูรณาการแผนงาน/โครงการ รวมทั้งจัดลำดับความสำคัญของการพัฒนาพื้นที่บริเวณอ่างเก็บน้ำทับลาน จังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ๑.๔.๓ ขอให้แยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวออกจากด่านการค้า โดยให้กระทรวงคมนาคมรับข้อเสนอของภาคเอกชนไปศึกษาในรายละเอียดการแยกช่องทางการผ่านด่านชายแดนของนักท่องเที่ยวที่ด่านคลองลึก โดยให้คำนึงถึงการจัดระเบียบในด่านคลองลึกทั้งในส่วนของการค้าและการท่องเที่ยวให้เป็นระบบ รวมทั้งให้นำแนวทางการพัฒนายกระดับจุดผ่านแดนบ้านหนองเอี่ยนประกอบการพิจารณาด้วย ๑.๔.๔ ขอให้พัฒนาเส้นทางช่องบะระแนะ หรือช่องตากิ่ว ซึ่งอยู่ติดชายแดนกัมพูชา โดยให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมหารือกับฝ่ายกัมพูชา ภายใต้คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ในการพิจารณายกระดับจุดผ่อนปรนทางการค้าที่มีอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ๒ แห่ง เพื่อให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรเพิ่ม คือ บ้านเขาดิน-กิโลเมตรที่ ๑๓ ของพระตะบอง หรือจุดหนองปรือ-พนมมาลัย จังหวัดบันเตียเมียนเจย ๑.๕ เรื่องอื่นๆ จำนวน ๓ เรื่อง ได้แก่ ๑.๕.๑ การอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวของท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต โดยให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดดำเนินการเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวโดยเร็ว ๑.๕.๒ กฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) โดยให้กระทรวงการคลังร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๑.๕.๓ การเร่งรัดการออกกฎหมายเพื่อรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ๒. ในส่วนของการเร่งรัดการออกกฎหมายรับรองผู้ประกอบการเดินเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ให้คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวีรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยให้เชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เข้าร่วมการพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1474 | ข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม 5 จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ 30 - 31 มีนาคม 2556 | นร11 | 31/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง (จังหวัดฉะเชิงเทรา สมุทรปราการ นครนายก สระแก้ว และปราจีนบุรี) รวม ๕ จังหวัด ในการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดฉะเชิงเทรา วันที่ ๓๐-๓๑ มีนาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันที จำนวน ๑๗ โครงการ วงเงินรวม ๕๒๒.๘๕ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำรายละเอียดทำขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดส่งให้สำนักงบประมาณภายใน ๒ สัปดาห์ เพื่อสำนักงบประมาณพิจารณาวงเงินงบประมาณที่เหมาะสม โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นต่อไป ๑.๒ ในกรณีโครงการใดที่หน่วยงานท้องถิ่นต้องรับผิดชอบการบริหารจัดการและดูแลบำรุงรักษาภายหลังจากก่อสร้างโครงการแล้วเสร็จ ให้จังหวัดประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน ก่อนขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณต่อไป ๑.๓ เห็นชอบในหลักการของกรอบข้อเสนอแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนกลาง รวม ๕ จังหวัด จำนวน ๒๐๓ โครงการ วงเงินรวม ๙๑,๗๑๔.๗๘ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานรับผิดชอบรับไปพิจารณาศึกษาความเหมาะสมและจัดทำรายละเอียดแผนงาน/โครงการ รวมทั้งดำเนินการตามขั้นตอนของระเบียบ กฎหมายที่เกี่ยวข้องแล้วแต่กรณี เพื่อให้สำนักงบประมาณใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาจัดสรรงบประมาณประจำปีตามลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการตามขั้นตอน ๑.๔ สำหรับโครงการที่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จำนวน ๖๘ โครงการ วงเงิน ๗๒๔,๒๒๙,๕๘๐.๐๐ บาท ของจังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์และบริหารทรัพยากรน้ำ ลุ่มน้ำตะวันออก ๙ จังหวัด นั้น เห็นควรให้นำเสนอคณะอนุกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย เพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ในส่วนของแผนงาน/โครงการที่มีความพร้อมและสามารถดำเนินการได้ทันทีนั้น ให้รวมโครงการเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่บริเวณเขื่อนขุนด่านปราการชลให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนครนายก ในวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ไว้ด้วย และให้จังหวัดนครนายกดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการในภาพรวมอย่างเป็นระบบ โดยบูรณาการข้อเสนอของภาคเอกชนไว้ในรายงานการศึกษาดังกล่าว และนำเสนอโครงการเพื่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||
1475 | การทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๖ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติปฏิบัติหน้าที่อื่นตามมาตรา ๑๘ (๑๔) แห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ ในการควบคุมดูแลสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ให้ปฏิบัติหน้าที่อื่น ได้แก่ การทำหน้าที่หน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ตามนโยบายการบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล เพื่อบริหารการเรียกเก็บค่าบริการสาธารณสุข (Claim center) ของสถานพยาบาลต่าง ๆ ที่ให้บริการผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการและบุคคลในครอบครัว และผู้ประกันตน รวมทั้งข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ โดยอาศัยอำนาจแห่งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๒๖ (๑๔) ๑.๒ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และกระทรวงแรงงานโดยคณะกรรมการประกันสังคม ให้ความร่วมมือ และให้ สปสช. ทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) ของสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการให้กับกรมบัญชีกลางและสิทธิประโยชน์ด้านการรักษาพยาบาลของผู้ประกันตนให้สำนักงานประกันสังคม ๑.๓ เห็นชอบให้มีกลไกคณะทำงานเพื่อผลักดันการพัฒนาระบบอย่างมีส่วนร่วมของกองทุนประกันสุขภาพทั้งสามระบบ ได้แก่ ระบบประกันสังคม ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า โดยให้รองปลัดกระทรวงการคลังท่านหนึ่งเป็นประธาน และให้มีหัวหน้าหรือผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ รวมถึงการร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่าง สปสช. กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง และสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน รวมทั้งหน่วยงานรัฐอื่น ๆ ที่สมัครใจ เพื่อผลักดันการดำเนินงานให้เป็นรูปธรรม ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๗ เป็นต้นไป โดยมีระยะเตรียมการในปี ๒๕๕๖ ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ด้านระบบข้อมูล และการประสานงาน การกำหนดสิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม กองทุนสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ และกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า กลไกการจ่ายเงิน และอัตราการชดเชยตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติแต่ละกองทุนกำหนด การสื่อสารทำความเข้าใจกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนให้ได้รับทราบข้อเท็จจริง ประโยชน์ และผลกระทบของการทำหน้าที่เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายและระบบข้อมูลบริการสาธารณสุข (National Clearing House) รวมทั้งเห็นควรมีระบบตรวจสอบการดำเนินงานที่ชัดเจนและเป็นกลางเพื่อควบคุมแนวทางการจัดสรรทรัพยากรทั้งในเชิงประสิทธิภาพและความเป็นธรรมให้กับผู้ที่อยู่ภายใต้แต่ละกองทุน และหาข้อตกลงเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงานให้เป็นที่ยุติ ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1476 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม" | สสป | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง แนวทางการส่งเสริมเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขานุการวุฒิสภา สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นควรให้รัฐบาลดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านอุปกรณ์ เครื่องมือ และเทคโนโลยี ได้แก่ ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรมให้มากขึ้น โดยการจัดตั้ง "ศูนย์ข้อมูลกลาง" ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ พร้อมทั้งจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง ส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการวิจัยและพัฒนาด้านโปรแกรมประยุกต์ (Application) มาใช้ในการแปลสัญญาณภาพ กำหนดมาตราส่วนของแผนที่ภาพถ่ายดาวเทียม ให้เป็นมาตรฐานกลาง มีศูนย์การฝึกอบรมความรู้ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และจัดส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงใหม่ของประเทศไทยในระบบ Passive sensor แทนดาวเทียมไทยโชต ซึ่งจะหมดอายุทางเทคโนโลยี ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ กำหนดให้ทุกหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับด้านการเกษตรใช้ข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเทคโนโลยีจาก "ศูนย์ข้อมูลกลาง" เพื่อการพัฒนาด้านเกษตรกรรม นำแผนที่ภาษี (แผนที่สำหรับใช้ประเมินภาษีที่ดิน) ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีมาตรฐานมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาด้านเกษตรกรรม ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ สร้างแรงจูงใจ และให้ผลตอบแทนแก่เกษตรกรในการนำข้อมูลเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาการเกษตรกรรม เป็นต้น ๓. ด้านบุคลากร ได้แก่ พัฒนาผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวกับการพัฒนาด้านการเกษตร ให้มีความรู้ความเข้าใจและให้ความสำคัญในการใช้ข้อมูลทางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ จัดหาบุคลากรเพิ่มเติมทั้งบุคลากรใหม่และบุคลากรที่เกษียณอายุราชการที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการเกษตรให้เพียงพอและเหมาะสม ส่งเสริมให้มีหลักสูตรเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศในระดับมหาวิทยาลัย และจัดตั้งสถาบันเฉพาะด้าน เพื่อผลิตบุคลากรด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศให้ตรงกับสิ่งที่ขาดแคลน ๔. ด้านงบประมาณ ได้แก่ จัดตั้งศูนย์ข้อมูลกลางด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านเกษตรกรรม เพื่อการส่งดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Passive sensor ดวงที่ ๒ ของประเทศทดแทนดาวเทียวไทยโชต เพื่อการจัดซื้อข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรระบบ Active sensor และโปรแกรมสำเร็จรูปซอฟต์แวร์ (Application) ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และเพิ่มค่าตอบแทนหรือสร้างแรงจูงใจพิเศษแก่เจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพที่ขาดแคลนด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เป็นต้น ๕. ด้านกฎหมาย ได้แก่ กำหนดมาตรการป้องกันหรือลงโทษผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และส่งเสริมการจดลิขสิทธิ์ด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศเพื่อพัฒนาด้านการเกษตรกรรม
|
|||||||||||||||||||||
1477 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามอินทรา 14 พ.ศ. .... | มท | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามอินทรา ๑๔ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อขยายทางหลวงท้องถิ่น สายซอยรามอินทรา ๑๔ ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน และแขวงจรเข้บัว แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอนได้อีกสามปี ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
1478 | รายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ณ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดตาก | นร01 | 26/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค และการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และคณะ ณ จังหวัดสุโขทัย เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ และจังหวัดตาก เมื่อวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จังหวัดสุโขทัย ๑.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๑,๙๙๐ ครัวเรือน จำนวน ๑๗๗,๗๙๔ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดมอบอำนาจให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๒ ล้านบาท ช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๑.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวนเงินทั้งสิ้น ๑๒๖,๐๔๙,๓๗๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๑.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามข้อเท็จจริงในพื้นที่ หมู่ที่ ๔ ตำบลคลองกระจง และหมู่ที่ ๑๐ ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จากสภาพข้อเท็จจริงจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เตรียมความพร้อมในการแก้ไขปัญหาให้แก่ราษฎรในทุก ๆ ด้านแล้ว ๒. จังหวัดตาก ๒.๑ ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวม ๙ อำเภอ ราษฎรได้รับความเดือดร้อน จำนวน ๕๕,๖๕๘ ครัวเรือน จำนวน ๑๖๘,๕๘๗ คน ในการให้ความช่วยเหลือ จังหวัดได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้งระดับจังหวัด อำเภอ และท้องถิ่น โดยประชาสัมพันธ์ให้ราษฎรได้ทราบและเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์ และจังหวัดได้จัดสรรเงินให้อำเภอ จำนวนอำเภอละ ๓ ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือราษฎรที่ประสบภัยแล้งเป็นกรณีเร่งด่วน ๒.๒ จังหวัดได้เสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อขอขยายวงเงินทดรองราชการ จำนวน ๙ อำเภอ จำนวน ๕๗ โครงการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙๖,๖๗๕,๕๑๕ บาท เพื่อให้ความช่วยเหลือราษฎรผู้ประสบภัยแล้ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อนำเสนอกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพิจารณาเพื่อนำเสนอกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง พิจารณาอนุมัติ ๒.๓ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายวราเทพ รัตนากร) ได้นำมาตรการดำเนินการแก้ไขปัญหาภัยแล้งแจ้งแก่ผู้ว่าราชการจังหวัด หน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้นำชุมชนได้รับทราบเกี่ยวกับมาตรการที่รัฐบาลได้กำหนดในช่วง ๙๐ วัน ระวังอันตรายด้านภัยแล้ง ในระหว่างวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และได้เดินทางไปตรวจสภาพพื้นที่สะพานมิตรภาพไทย-พม่า ตรวจสภาพเศรษฐกิจและการค้าชายแดนอำเภอแม่สอด โดยตรวจเยี่ยมและพบปะประชาชนในบริเวณตลาดริมเมย รวมทั้งติดตามการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในการขยายพื้นที่ริมสะพานครอบคลุมพื้นที่ริมแม่น้ำเพื่อก่อสร้างเป็นลานจอดรถ และการเตรียมการก่อสร้างอาคารศูนย์รวมบริการ One Stop Service ในการรวมส่วนราชการที่ให้บริการในพื้นที่ชายแดน เช่น ด่านศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมืองให้อยู่ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน นอกจากนี้ ได้ติดตามการเตรียมความพร้อมในการขยายท่าอากาศยานแม่สอดด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1479 | แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. 2553 - 2557 "บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย" | มท | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามที่คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติบทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยเป็นบทเพิ่มเติมในแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อบูรณาการแผนงานและการปฏิบัติการของหน่วยงานของรัฐในการบริหารจัดการน้ำ โดยมีองค์กรรับผิดชอบในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อให้การกำหนดแนวทางการทำงาน การสั่งการ และการแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว มีความสอดคล้องกับเอกภาพเดียวกันในการอำนวยการ ๑.๑.๒ การจัดตั้งองค์กรปฏิบัติ ได้แก่ องค์กรปฏิบัติที่รับผิดชอบการปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยมีการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๑.๓ การเชื่อมโยงกลไกการจัดการสาธารณภัย ขององค์กรภายใต้พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ กับองค์กรบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ คณะกรรมการนโยบายน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ๑.๑.๔ ขั้นตอนการปฏิบัติ เพื่อเป็นกรอบและแนวทางในการปฏิบัติงานขององค์กรปฏิบัติต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ตามระดับความรุนแรงของภัยที่เกิดขึ้น ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวง กรม องค์กรและหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ จังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคส่วนอื่น ๆ ถือปฏิบัติตามแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓-๒๕๕๗ “บทว่าด้วยการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย” อีกบทหนึ่ง ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนในการกำกับการเลื่อนระดับความรุนแรงของภัยพิบัติและแก้ปัญหาความสับสนของประชาชนเกี่ยวกับการกำหนดหน่วยงานที่รับผิดชอบในการเตือนภัย รวมทั้งวิธีการลดความรุนแรงและบรรเทาผลกระทบและความสูญเสียที่จะเกิดโดยการบริหารจัดการน้ำและการลดความเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1480 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองในหัวเมืองภูมิภาค กรณีหาดใหญ่" | สสป | 19/03/2556 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ผังเมืองในหัวเมืองภูมิภาค กรณีหาดใหญ่" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย ๔ ด้าน สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการบริหารจัดการเมือง ได้แก่ การใช้แผนปฏิบัติการระดับท้องถิ่น (Local Agenda) มาใช้ในการพัฒนาชุมชน พิจารณาผังเมืองหาดใหญ่ร่วมกับผังเมืองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่าง ๆ และเมืองสงขลา โดยให้คำนึงถึงเอกลักษณ์ อัตตลักษณ์ของเมืองหาดใหญ่ ขยายเขตผังเมืองรวมหาดใหญ่ และกำหนดแผนการจัดทำผังเมืองรวม ก่อนที่จะหมดอายุการใช้บังคับ ๒. ด้านการบริหารจัดการอุทกภัย ได้แก่ จัดการศึกษาการป้องกันอุทกภัยอย่างถาวรในระยะยาว และดำเนินการกำหนดพื้นที่แนวน้ำหลากและพัฒนาแนวน้ำหลาก โดยขุดเป็นคลองที่ระบายน้ำลงทะเลได้รวดเร็วขึ้น ปรับปรุงขุดลอกระบบคลองให้ระบายน้ำได้สะดวก เพิ่มปริมาตรทางระบายน้ำในลุ่มน้ำคลองอู่ตะเภา ด้วยการทำเขื่อนและขุดคลอง ปรับถนนในส่วนที่ตัดขวางทางน้ำให้มีช่องระบายน้ำเพิ่มขึ้นและให้มีถนนที่สามารถทำหน้าที่เป็นคันป้องกันน้ำท่วมได้ เพิ่มจำนวนและขนาดบานระบายน้ำ (Flash Valve) ในคลองระบายน้ำที่ ๑ กำหนดให้มีพื้นที่เสี่ยงภัยน้ำท่วมและป้องกันน้ำท่วม และมาตรการป้องกันน้ำท่วม ปรับวิถีชีวิตของชุมชนในพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากให้อยู่อาศัยในกรณีน้ำท่วมได้ดีขึ้น และเพิ่มขีดความสามารถในการรับมืออุทกภัยในระดับชุมชน ๓. ด้านการจราจร ได้แก่ กำหนดมาตรการเข้าออกของรถขนาดใหญ่ในพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ ตามความเหมาะสม พัฒนาพื้นที่ว่างกลางเมืองเป็นที่จอดรถ ตามช่วงเวลาที่เหมาะสม กำหนดให้ถนนบางสายไม่ให้มีที่จอดรถข้างทาง โดยให้ถนนนิพัทธ์อุทิศ ๑-๓ เป็นถนนนำร่อง เพิ่มบริการขนส่งมวลชนสาธารณะ เพิ่มช่องทางจราจร จัดให้มีทางด่วนเฉพาะ (แบบเก็บค่าบริการ) จากด่านสะเดาเข้าเมืองหาดใหญ่ และจัดพื้นที่เพื่อรองรับการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง จากหนองคาย-กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ ตามที่รัฐบาลมีนโยบายอยู่ ๔. ด้านการพัฒนาพื้นที่ ได้แก่ ปรับลดพื้นที่เขตปลอดภัยทางทหารตามความเหมาะสม พัฒนาพื้นที่ทหารและรอบมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์เป็นพื้นที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ พัฒนาพื้นที่ตำบลควนลัง เพื่อรองรับการพัฒนาเป็นมหานครหาดใหญ่ และใช้วิธีเวนคืนหรือจัดรูปที่ดินเพื่อตัดถนนสายใหม่ผ่านที่ดินที่ถูกปิดล้อม เพื่อเพิ่มพื้นที่พัฒนาใหม่ ๆ ลดปัญหาการจราจร และลดปัญหาอาชญากรรม ฯลฯ
|
.....