ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 76 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1501 - 1520 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1501 | การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางของทางราชการ | กค | 12/02/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) พร้อมด้วยปลัดกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลัง หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านรายจ่ายและหนี้สิน อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าหารือร่วมกันกับประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ มาตรา ๑๐๓/๗ วรรคหนึ่ง เมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๖ โดยที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่า การเปิดเผยราคากลางตามพระราชบัญญัติฯ มีเจตนารมณ์มุ่งเน้นให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลราคากลางและตรวจสอบได้เป็นสำคัญ หากเกิดกรณีการจัดหาพัสดุชนิดเดียวกันแต่ราคากลางที่เปิดเผยแตกต่างกันจะต้องพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แวดล้อมของการได้มาของราคากลางนั้น ซึ่งกระทรวงการคลังได้แจ้งเวียนให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติในการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการแล้ว สำหรับการเปิดเผยราคากลางของการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง เห็นควรให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาตามแนวทางการดำเนินการประกวดราคากลางและรายละเอียดการคำนวณราคากลางไว้ในระบบข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติกำหนด และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาต่อไป ๒. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถือปฏิบัติตามแนวทางการเปิดเผยราคากลางงานก่อสร้างของทางราชการ ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด และแนวทางการเปิดเผยราคากลางเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างประเภทอื่นที่มิใช่งานก่อสร้าง ตามมติที่ประชุมหารือระหว่างกระทรวงการคลังและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ หากหน่วยงานใดมีความพร้อมให้ดำเนินการได้ทันที ส่วนหน่วยงานใดที่ยังไม่มีความพร้อมให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน ๑๘๐ วันนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบเพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓/๘ วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓. ให้หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในการจัดทำหลักเกณฑ์การคำนวณราคากลางร่วมกับกระทรวงการคลังเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางยานอกบัญชียาหลักและเวชภัณฑ์ที่มิใช่ยา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ราคากลางการจ้างที่ปรึกษา และสำนักงบประมาณดำเนินการกำหนดราคามาตรฐานโดยให้ครอบคลุมรายการครุภัณฑ์ประเภทต่าง ๆ ทั้งนี้ ให้แจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนี้ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1502 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (จำนวน 23 ราย 1. นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ฯลฯ) | ศธ | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการในคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จำนวน ๒๓ คน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๙ มกราคม ๒๕๕๖) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ประธานกรรมการ (จำนวน ๑ คน เลือกจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ) นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล ประธานกรรมการการอาชีวศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิด้านธุรกิจและการบริการ และ ด้านอุตสาหกรรม ๒. กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ผู้แทนองค์กรเอกชน และผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (จำนวน ๖ คน) ๒.๑ นายถาวร ชลัษเฐียร กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) ๒.๒ นายอรรถการ ตฤษณารังสี กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย) ๒.๓ พลตรีหญิง กฤติยา บัวหลวงงาม กรรมการผู้แทนองค์กรเอกชน (คณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่งประเทศไทย) ๒.๔ นายสุนทร ทองใส กรรมการผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๒.๕ รองศาสตราจารย์มงคล มงคลวงศ์โรจน์ กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๒.๖ นายเกรียงไกร บุญเลิศอุทัย กรรมการผู้แทนองค์กรวิชาชีพ ๓. กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (จำนวน ๑๖ คน) ๓.๑ นายโกสินทร์ เกษทอง ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๒ นายจรูญ ชูลาภ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านอุตสาหกรรม ๓.๓ นายเฉลิมศักดิ์ นามเชียงใต้ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา ๓.๔ นายณัฐวุฒิ สกุลพานิช ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๕ นายประสาน ประวัติรุ่งเรือง ด้านการบริหารการอาชีวศึกษาของเอกชน ๓.๖ นายเร็วจริง รัตนวิชา ด้านธุรกิจและการบริการ ๓.๗ นายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ ด้านอุตสาหกรรม ๓.๘ นายวีระศักดิ์ วงษ์สมบัติ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเกษตรกรรมและการประมง ๓.๙ นางศรินทร์ทิพย์ แทนธานี ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๐ นางศรีวิการ์ เมฆธวัชชัยกุล ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน และ ด้านคหกรรม ๓.๑๑ นางศิริพรรณ ชุมนุม ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านศิลปหัตถกรรม ๓.๑๒ นายสมเกียรติ ชอบผล ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน และ ด้านการศึกษาพิเศษ ๓.๑๓ นายสมบูรณ์ ศรีพัฒนาวัฒน์ ด้านอุตสาหกรรม และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๔ นายเสนอ จันทรา ด้านการบริหารการอาชีวศึกษา และ ด้านเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคน ๓.๑๕ นายอินทร์ จันทร์เจริญ ด้านการบริหารการอาชีวศึกษาของเอกชน ๓.๑๖ นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ ด้านธุรกิจและการบริการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1503 | การประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ 1/2556 วันที่ 28 มกราคม 2556 | นร04 | 29/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการมอบนโยบายการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ประเทศ รวมทั้งชี้แจงแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้กับหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวงเพื่อนำไปปฏิบัติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ครั้งที่ ๑/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๖ ณ กระทรวงการต่างประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานต่าง ๆ จัดทำรายละเอียดวงเงินและคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศและนโยบายสำคัญของรัฐบาล ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ สัปดาห์ เพื่อนำเสนอรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัดพิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนส่งสำนักงบประมาณภายในวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ๒. กรณีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องและต้องมีการบูรณาการการดำเนินการของหลายหน่วยงานร่วมกัน เช่น เรื่องการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด เป็นต้น ให้มีการจัดตั้งคณะทำงานขึ้นเพื่อร่วมกันพิจารณาดำเนินการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป รวม ๘ คณะ ได้แก่ ๒.๑ คณะที่ ๑ คณะทำงานด้านการค้าชายแดนและความมั่นคง มีสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลัก จัดประชุมร่วมกับกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร) กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๒.๒ คณะที่ ๒ คณะทำงานด้านการท่องเที่ยวและบริการ วัฒนธรรม สินค้าท้องถิ่น (OTOP) กิจการสปา (spa) และสุขภาพ มีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นเจ้าภาพหลัก ๒.๓ คณะที่ ๓ คณะทำงานด้านการแพทย์ชั้นสูง (Medical Hub) มีกระทรวงสาธารณสุขเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ ๒.๔ คณะที่ ๔ คณะทำงานด้านความมั่นคงทางพลังงานและพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Energy) และสิ่งแวดล้อม มีกระทรวงพลังงานเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงอุตสาหกรรม ๒.๕ คณะที่ ๕ คณะทำงานด้านการปฏิรูปการศึกษา แรงงานและอาชีวศึกษาให้เป็นที่ยอมรับในระดับสากลและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ มีกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงแรงงาน ๒.๖ คณะที่ ๖ คณะทำงานด้านการแก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียมกันและความเหลื่อมล้ำทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีกระทรวงยุติธรรมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก ๒.๗ คณะที่ ๗ คณะทำงานด้านการบริหารจัดการข้อมูลและการบูรณาการองค์ความรู้ในภาคราชการทั้งที่เป็นองค์ความรู้ในประเทศและของต่างประเทศ มีสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับสำนักงาน ก.พ.ร. และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๒.๘ คณะที่ ๘ คณะทำงานกำหนดสิทธิประโยชน์และแรงจูงใจแก่นักลงทุน (Incentive Scheme) เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างประเทศมาลงทุนในประเทศไทย และให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งส่งเสริม SMEs ของไทยไปสู่อาเซียน มีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ๓. ให้ปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เป็นเจ้าภาพหลักในแต่ละเรื่องจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (scope) ในเรื่องที่รับผิดชอบดังกล่าว โดยให้คำนึงถึงการที่ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วย และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติภายในวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1504 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... | นร11 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. ให้รับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการปรับองค์ประกอบคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการดำเนินการ รวมทั้งความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องที่เห็นว่า การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ อาจมีปัญหาอุปสรรคของการดำเนินงานในทางปฏิบัติ เนื่องจากส่วนราชการต่าง ๆ ที่จะไปให้บริการภายในศูนย์การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จไม่สามารถดำเนินงานได้อย่างมีเอกภาพ ส่วนหน่วยงานที่ประสงค์จะรับผิดชอบเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษในขั้นตอนการจัดทำร่างแผนแม่บท ควรบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน ตลอดจนภาคีพัฒนาที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากร่างแผนแม่บทมีประเด็นรายละเอียดการดำเนินงานค่อนข้างมาก นอกจากนี้ นโยบายจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจะต้องได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จึงควรกำหนดให้มีผู้แทนจากคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณา ทั้งนี้ ให้แก้ไขคำนิยาม “เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ” ให้ครอบคลุมพื้นที่ที่ไม่ได้มีการค้าบริเวณพรมแดนด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เมื่อร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับแล้ว ให้นำเรื่องเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษแม่สอดมาพิจารณาดำเนินการเป็นลำดับแรก |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1505 | ผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 | นร11 | 21/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการที่มีความพร้อมและมีความจำเป็นเร่งด่วน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที ในกรอบวงเงิน ๑๐๐ ล้านบาท ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง ๑ รวม ๕ จังหวัด (จังหวัดพิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์ สุโขทัย อุตรดิตถ์) ได้แก่ ๑.๑ โครงการพัฒนาแหล่งน้ำแก้มลิงบึงบัว ระยะที่ ๑ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๒ โครงการปรับปรุงแหล่งท่องเที่ยวหนองน้ำมณีบรรพต ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของกลุ่มจังหวัด เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) บนเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๕.๐๐ ล้านบาท ๑.๓ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเครือข่ายคมนาคม ดำเนินการก่อสร้างขยายทางจราจรจาก ๒ ช่องจราจร เป็น ๔ ช่องจราจร พร้อมสิ่งอำนวยความปลอดภัย ทางหลวงหมายเลข ๑๐๒ ตอนควบคุม ๐๒๐๐ ตอน ห้วยช้าง-ศรีสัชนาลัย ระหว่าง กม. ๓๙+๐๕๐ - กม. ๓๙+๙๐๔ โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๒๐.๐๐ ล้านบาท ๑.๔ โครงการพัฒนาการเรียนการสอนและบริการวิชาการแก่ท้องถิ่นเชื่อมโยงยุทธศาสตร์ของจังหวัด โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๓.๖๖๕ ล้านบาท ๑.๕ โครงการปรับปรุงโครงข่ายคมนาคมของจังหวัดอุตรดิตถ์รองรับการค้าชายแดนภูดู่ และ AEC โดยสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน ๑๖.๓๒๕ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียด คำขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และจัดส่งให้สำนักงบประมาณโดยเร่งด่วน พร้อมทั้งให้รับความเห็นของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีไปดำเนินการต่อไป ๓. เห็นชอบตามความเห็นและข้อสั่งการเพิ่มเติมในพื้นที่ดูงานของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เห็นควรสนับสนุนการดำเนินโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประกอบอาคารส่งเสริมสุขภาพ และพักผู้ป่วยใน ๔ ชั้น โรงพยาบาลลับแล โดยให้ใช้จ่ายจากงบรายได้และปรับแผน ในวงเงิน ๑๒.๔๖๑๑ ล้านบาท และพื้นที่จังหวัดสุโขทัย ให้สำนักงานชลประทานเขตและชลประทานจังหวัดรับเรื่องโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำคลองแม่น้ำเก่า เชื่อมต่อคลองตาแดง อำเภอศรีนคร จังหวัดสุโขทัย ไปทำการศึกษาและพิจารณาดำเนินการ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่โดยด่วนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1506 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" | สสป | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. แนวคิดเกี่ยวกับการปฏิรูปการศึกษา เพื่อสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรจัดให้มีการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ โดยปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ รวมทั้งควรจัดทำแผนแม่บทการปฏิรูปการศึกษาของชาติ โดยกำหนดระยะเวลาไว้ ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี และควรออกเป็นพระราชบัญญัติเพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย ควรนำพุทธปรัชญาการศึกษา และน้อมนำพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทเกี่ยวกับการศึกษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาว่า "พระผู้ทรงเป็นครูของแผ่นดิน" มาประกอบการพิจารณาในการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ทั้งนี้ การปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องนำไปสู่การศึกษาที่มีคุณภาพ อย่างมีคุณค่า คุณประโยชน์ และคุณธรรม รวมทั้งสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมและของโลก ๒. การศึกษากับการพัฒนาคนที่พึงประสงค์ ได้แก่ รัฐบาลควรน้อมนำคุณธรรม ๔ ประการ ที่พระราชทานในวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕ และวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๙ รวมทั้งปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมากำหนดเป็นคุณธรรมประจำชาติ และคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ และการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่จะต้องปลูกฝังคนไทยให้มีคุณธรรมประจำชาติ หรือคุณลักษณะของไทยที่พึงประสงค์ตามที่กำหนด ๓. การศึกษากับการพัฒนาสังคมที่เข้มแข็ง ได้แก่ สถาบันการศึกษาจะต้องดำเนินการอบรมนักเรียน นักศึกษาให้เป็นผู้ที่พร้อมด้วยความเก่งและความดี ถือเป็นหน้าที่ในการช่วยพัฒนาชุมชนให้มีความเข้มแข็ง จัดทำโครงการและกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและการพัฒนาสังคม และส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน โดยมีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับวิทยาลัยชุมชนโดยเฉพาะ ๔. การศึกษากับการพัฒนาประเทศให้มั่นคง ได้แก่ การศึกษาจะต้องช่วยให้สถาบันหลักแห่งความมั่นคงของชาติ คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์พระประมุข ให้มีความมั่นคง การศึกษาจะต้องสร้าง "พลเมืองดี" ให้เป็นกำลังที่สำคัญชาติบ้านเมือง ๕. ศาสนากับการศึกษา ได้แก่ รัฐบาลจะต้องถือเป็นนโยบายที่จะให้คนไทยมีทั้งศาสนาและการศึกษาตามพระบรมราโขวาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ควรนำวิชาศีลธรรมและวิชาหน้าที่พลเมืองกลับคืนมา ให้ความสำคัญกับการสอนวิชาศีลธรรม และวิชาหน้าที่พลเมือง ควรให้การส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของโรงเรียนวิถีพุทธอย่างจริงจัง ทั้งในด้านงบประมาณ บุคลากร ขวัญและกำลังใจ รวมทั้งควรจัดสรรงบประมาณให้สถานศึกษาต่าง ๆ โดยเฉพาะโรงเรียนวิถีพุทธพระไตรปิฎกซึ่งเป็นคัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาไว้ประจำโรงเรียน ๖. การพัฒนาครูเพื่อให้ได้ครูที่พึงประสงค์ ได้แก่ ครูที่พึงประสงค์ คือ ครูที่ทำหน้าที่ของครูอย่างสมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นกัลยาณมิตรของศิษย์ รัฐบาลควรจัดให้มีการฝึกอบรมครูให้เป็นครูที่พึงประสงค์ มีจิตใจของการเป็นครู และควรจัดให้สถาบันผลิตครูใน ๕ ภูมิภาค และกรุงเทพมหานคร รวมเป็น ๖ สถาบัน แต่ละสถาบันสามารถรองรับนักศึกษาสถาบันละ ๒๐๐ คน ๗. การอาชีวศึกษากับค่านิยมของสังคม ได้แก่ เปลี่ยนค่านิยมของสังคมให้เข้าใจว่าการประกอบอาชีพสุจริตถือว่าเป็นพลเมืองที่มีเกียรติ มิใช่ผู้ได้รับปริญญาเท่านั้นจึงมีเกียรติหรือได้รับความสำเร็จและความสุขในชีวิต ควรจัดให้ผู้เรียนในสถานศึกษาด้านอาชีวศึกษาได้มีโอกาสฝึกงานในสถานประกอบการเพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในการทำงาน นอกเหนือจากความรู้ทางทฤษฎีที่ได้จากสถานศึกษา และควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสั่งสอนอบรมนักเรียนอาชีวศึกษาให้เป็นผู้มีความประพฤติดี มีพฤติกรรมที่สร้างสรรค์ เป็นผู้มีระเบียบวินัย มีจิตอาสาหรือจิตสาธารณะ พร้อมที่จะทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น สังคม และประเทศชาติ ๘. สถาบันการศึกษาเอกชน ได้แก่ รัฐบาลควรให้การส่งเสริมสนับสนุนสถาบันการศึกษาเอกชน ทั้งในด้านงบประมาณ และเงินอุดหนุน เพื่อให้ครูในสถาบันการศึกษาเอกชนมีเงินเดือนและสวัสดิการเท่าเทียมกับครูในสถาบันการศึกษาของรัฐ ๙. การบริหารจัดการการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ รัฐบาลควรระวังไม่ให้การเมืองเข้ามาทำลายประสิทธิภาพการบริหารจัดการการศึกษา ไม่ให้การศึกษาตกเป็นเครื่องมือของการเมือง ควรพิจารณาการปรับปรุงโครงสร้างของกระทรวงศึกษาธิการให้เหมาะสม รวมทั้งการฟื้นฟูกรมวิชาการให้กลับคืนมา ควรให้มีการกระจายอำนาจบริหารการศึกษาไปสู่ท้องถิ่น ควรส่งเสริมสนับสนุนการจัดตั้งและการดำเนินงานของวิทยาลัยชุมชน เนื่องจากการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ควรพิจารณาว่าจะรวมงานทั้ง ๓ ด้าน ให้อยู่ในกระทรวงเดียวกันหรือไม่ โดยใช้ชื่อกระทรวงศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และควรส่งเสริมและสนับสนุนศูนย์การศึกษาพิเศษเพื่อรองรับและส่งเสริมกลุ่มผู้ด้อยโอกาสหรือกลุ่มผู้พิการ ให้สามารถเข้าถึงระบบการศึกษาที่มีคุณภาพและมีทรัพยากรรองรับตามความต้องการของผู้เรียนได้อย่างเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1507 | การขออนุมัติจัดส่งเจ้าหน้าที่ไปปฏิบัติหน้าที่ที่ศูนย์อาเซียน - จีน ณ กรุงปักกิ่ง | กต | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศมอบหมายข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ของศูนย์อาเซียน-จีน (ASEAN-China Centre) ณ กรุงปักกิ่ง ช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ วาระ ๓ ปี โดยไม่ถือเป็นการลาไปปฏิบัติหน้าที่ในองค์การระหว่างประเทศ และให้ได้รับสิทธิในการเบิกค่าใช้จ่ายเทียบเท่ากับข้าราชการในระดับเดียวกันที่มีตำแหน่งหน้าที่ประจำอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินภารกิจดังกล่าวในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายที่ได้รับจัดสรร สำหรับปีงบประมาณต่อๆ ไป ให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ผู้ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ที่ศูนย์อาเซียน-จีน ควรเลือกสรรจากผู้ที่มีความรู้ความสามารถในด้านภาษาท้องถิ่นและมีความเชี่ยวชาญด้านสารสนเทศและประชาสัมพันธ์ ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1508 | คณะกรรมการชุดต่างๆ ที่แต่งตั้งโดยมติคณะรัฐมนตรี (จำนวน 6 คณะ) | กห | 15/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแต่งตั้งคณะกรรมการที่มีความสำคัญและจำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่ เพิ่มเติม จำนวน ๖ คณะ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ ดังนี้
๑. คณะกรรมการร่วมมือรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ๒. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา ๓. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-มาเลเซีย ๔. คณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโดนีเซีย ๕. คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค ไทย-พม่า ๖. คณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น ไทย-พม่า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1509 | สรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน | พณ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบสรุปผลการประชุมคณะทำงานส่งเสริมการสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน และการประชุมคณะทำงานย่อยแต่ละยุทธศาสตร์ ระหว่างวันที่ ๑๗ กันยายน-๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามสรุปผลการประชุมดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การวางกรอบยุทธศาสตร์การส่งเสริมการค้าและการลงทุนไปตลาดประเทศเพื่อนบ้านและการค้าชายแดน ๕ ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ระหว่างประเทศและนิคมอุตสาหกรรมในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนร่วมแม่สอด-เมียวดี ๑.๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การส่งเสริมการค้าการลงทุนกับประเทศเพื่อนบ้านในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยย้ายหรือขยายการลงทุนอุตสาหกรรมสิ่งทอและเสื้อผ้าไปขยายการลงทุนในราชอาณาจักรกัมพูชา ๑.๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ความมั่นคงทางอาหารที่ผลิตในประเทศหนึ่งและนำไปแปรรูปจำหน่ายอีกประเทศหนึ่ง (ข้าว มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย ปศุสัตว์ ไก่ หมู) แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการความร่วมมือสร้างความมั่นคงและความปลอดภัยด้านอาหารร่วมกัน เพื่อให้กลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นผู้ผลิตอาหารหลักเลี้ยงทวีปเอเชีย ๑.๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการท่องเที่ยว การบริการในประเทศเพื่อนบ้าน โดยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยไปลงทุนด้านโรงแรม โรงพยาบาล แผนปฏิบัติการนำร่อง โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค ๓ เส้นทาง ประกอบด้วย เส้นทางเชื่อมมรดกโลก : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางเชื่อมมรดกโลก-สุโขทัย-หลวงพระบาง-พุกาม-เสียมราฐ เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทางสามเหลี่ยมมรกต ไทย-ลาว-กัมพูชา และเส้นทาง ๕ เชียง : โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค เส้นทาง ๕ เชียง (เชียงตุง เชียงรุ้ง เชียงใหม่ เชียงราย เชียงของ) ๑.๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ TETRO (JETRO OF THAILAND) เพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับนักลงทุนไทยไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แผนปฏิบัติการนำร่อง ศึกษาโครงสร้างและการบริหารงานของ JETRO เพื่อจัดตั้ง TETRO ๑.๒ ประเด็นพิจารณาที่สำคัญ ๑.๒.๑ การอำนวยการความสะดวกทางการค้าไทย-เมียนมาร์ ๑.๒.๑.๑ ให้กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม เร่งดำเนินการซ่อมสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ (แม่สอด-เมียวดี) แห่งที่ ๑ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดสัญญาในเดือนเมษายน ๒๕๕๗ และให้เทศบาลนครแม่สอดพิจารณาลงทุนจัดสร้างสถานที่ขนถ่ายสินค้าบริเวณถนนที่จะเข้าสู่สะพานฯ แห่งที่ ๑ ๑.๒.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องในการเร่งก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาร์ แห่งที่ ๒ โดยเฉพาะการเชื่อมโยงการขนส่งทางถนนต่อไปถึงเมืองกอกะเร็กของเมียนมาร์อย่างเป็นระบบและครบวงจร ๑.๒.๑.๓ ให้กรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม เร่งพิจารณาดำเนินการขยายสนามบินแม่สอดให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเติบโตด้านการขนส่งและการท่องเที่ยว ๑.๒.๒ การพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนแม่สอด-เมียวดี ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเร่งการพิจารณาร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ. .... เพื่อนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป โดยสาระสำคัญของร่างระเบียบฯ คือ กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีหน้าที่ในการจัดทำแผนแม่บทและการกำหนดพื้นที่ที่เหมาะสมจะเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษทั้งส่วนกลางและภูมิภาค รวมทั้งพัฒนาระบบการให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จที่สอดคล้องกับระบบ ASEAN Single Window ๑.๒.๓ การส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนไทยในอุตสาหกรรม สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่ม รองเท้า ฯลฯ ย้ายฐานการผลิตไปราชอาณาจักรกัมพูชา ภาครัฐจะจัดคณะนำนักลงทุนไทยไปสำรวจพื้นที่และเจรจาขอการสนับสนุนจากราชอาณาจักรกัมพูชา ในนิคมอุตสาหกรรมโอเนียงและนิคมอุตสาหกรรมศรีโสภณ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๓ มกราคม ๒๕๕๖ ๑.๒.๔ การสนับสนุนการลงทุนด้านแหล่งกระจายสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ให้สำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน กระทรวงการคลัง เร่งรัดโครงการนำร่องในการจัดตั้ง Container Yard ณ ท่านาแล้ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างทางรถไฟท่านาแล้ง-เวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒.๕ การดำเนินงานตามความตกลงว่าด้วยการขนส่งข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง Cross Border Transport Agreement (GMS/CBTA) เพื่อส่งเสริมและอำนวยความสะดวกการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าทั้งข้ามแดนและผ่านแดน เร่งรัดกระทรวงคมนาคม และกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ผลักดันการออกกฎหมายที่ค้างอยู่ ๕ ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติอำนวยความสะดวกในการขนส่งข้ามพรมแดน พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนของทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรับขนคนโดยสารและสัมภาระทางถนนระหว่างประเทศ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (ในเรื่องเกี่ยวกับข้อบทว่าด้วยการผ่านแดน) และร่างพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ว่าด้วยการอนุตามความตกลง (CBTA) ซึ่งขณะนี้ทุกประเทศได้ให้สัตยาบันต่อภาคผนวกและพิธีสารครบทั้ง ๒๐ ฉบับ คงเหลือไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ที่ลงนามยังไม่สมบูรณ์ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในภูมิภาค จำนวน ๓ เส้นทาง จะต้องไม่ส่งผลกระทบต่อแหล่งท่องเที่ยว แหล่งโบราณสถานต่าง ๆ หรือกระทบต่อวิถีการดำเนินชีวิตของชุมชน และให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน หรือคนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในกระบวนการดำเนินการโครงการต่าง ๆ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1510 | รายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2554 | พม | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. ๒๕๕๔ ของคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. จำนวนประชากรผู้สูงวัย (อายุตั้งแต่ ๖๐ ปี ขึ้นไป) เพิ่มขึ้นจาก ๑.๒ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็น ๘.๕ ล้านคน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ประชากรผู้สูงอายุในวัยปลายที่มีอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้นกว่า ๖ เท่าตัว เป็นหญิงมากกว่าชายกว่าร้อยละ ๖๐ อายุคาดเฉลี่ยผู้หญิงอายุประมาณ ๗๘ ปี ผู้ชายอายุประมาณ ๗๑ ปี ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะอยู่ลำพังหรืออยู่กับคู่สมรสเพิ่มมากขึ้น ผู้สูงอายุชายมีอัตราการทำงานมากกว่าผู้สูงอายุหญิง ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่ในภาวะยากจนสูงกว่ากลุ่มอื่น ผู้สูงอายุในภาวะทุพพลภาพหรือไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานด้วยตนเองได้เพิ่มขึ้น ร้อยละ ๑๕ ของผู้สูงอายุตั้งแต่ ๘๐ ปีขึ้นไป และเพิ่มขึ้นกว่า ร้อยละ ๓๐ ของผู้สูงอายุที่มีอายุ ๙๐ ปีขึ้นไป ผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงเป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง อัมพฤกษ์/อัมพาต ไตวายเรื้อรัง เพิ่มขึ้น ทัศนคติของประชากรหนุ่มสาวและวัยแรงงานที่มีต่อผู้สูงอายุ มีทัศนคติเชิงบวกต่อผู้สูงอายุ ร้อยละ ๕๗ ๒. นโยบายของรัฐระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๕๔ ให้ความสำคัญกับสุขภาพของผู้สูงอายุเป็นลำดับต้น การรักษาแบบให้เปล่า เน้นการพัฒนาผู้สูงอายุในทุกมิติ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีบทบาทในการดูแล ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ เน้นการออม และการสร้างหลักประกันรายได้ อาทิ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ การส่งเสริมการทำงานให้เหมาะสมกับวัย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๐ (พ.ศ. ๒๕๕๐-๒๕๕๔) เน้นการเตรียมความพร้อมของคนและระบบตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง แผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕-๒๕๖๔) ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ ๑ ปี พ.ศ. ๒๕๕๒ เป็นแผนยุทธศาสตร์ โดยมุ่งเน้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแผนยุทธศาสตร์และแปลงแผนไปสู่การปฏิบัติในหน่วยงาน มีการกำหนดสิทธิสวัสดิการและการช่วยเหลือผู้สูงอายุในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับปี พ.ศ. ๒๕๔๐ และฉบับปี พ.ศ. ๒๕๕๐ และพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ และฉบับที่ ๒ แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๓. ระบบการดูแลสุขภาพและการสาธารณสุข แผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับที่ ๑-๔ (พ.ศ. ๒๕๐๔-๒๕๒๔) เน้นการขยายสถานบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน การผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้บริการสู่ชนบท ในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพผู้สูงอายุ (ปี พ.ศ. ๒๕๒๕-๒๕๔๕) มียุทธศาสตร์ที่สำคัญในการพัฒนาระบบให้บริการสุขภาพของสถานบริการทุกระดับ การพัฒนาศักยภาพกำลังคนด้านการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุ พยาบาลด้านผู้สูงอายุ และอาสาสมัครผู้ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน ยังคงมีความขาดแคลนบุคลากรรองรับการดูแลผู้สูงอายุ มีการสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ โดยระบบบำนาญภาครัฐ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนประกันสังคม เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มาตรการทางภาษีอากรให้แก่ผู้สูงอายุ มีการสร้างแรงจูงใจวัยทำงานเพื่อสร้างหลักประกันทางเศรษฐกิจยามชราภาพ ส่งเสริมการสร้างหลักประกันให้กับบุพการี ระบบบริการทางสังคมและสวัสดิการทางสังคม และในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติผู้สูงอายุมีผลบังคับใช้ พบว่าหน่วยงานภาครัฐและเอกชนให้บริการด้านสังคมและสวัสดิการแก่ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ระบบการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมของผู้สูงอายุและชุมชน มีศูนย์อเนกประสงค์สำหรับผู้สูงอายุในชุมชน อาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน การอำนวยความสะดวกในอาคาร สถานที่ และการจัดสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรสำหรับผู้สูงอายุ มีระบบบริการด้านที่อยู่อาศัย ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการซ่อมแซมบ้านของผู้สูงอายุ มีที่พักอาศัยรูปแบบคอนโดมิเนียม มีระบบการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของผู้สูงอายุ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้สูงอายุทางคดี คุ้มครองเป็นพยานในคดีอาญา ส่งเสริมคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังสูงอายุ มีบริการสาธารณะ ยกเว้นอัตราค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ อุทยานแห่งชาติ หรือลดหย่อนอัตราค่าบริการการขนส่งสาธารณะให้กับผู้สูงอายุ ๔. ภาคเอกชนมีบทบาทกับงานด้านผู้สูงอายุมากขึ้น การดำเนินงานด้านผู้สูงอายุในภาคเอกชน มีการจัดบริการทั้งที่ไม่แสวงหาผลกำไรและแสวงหากำไร และให้ความสนใจผู้สูงอายุในฐานะลูกค้ามากขึ้นในด้านการให้บริการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล สถานบริการกายภาพบำบัด การออกผลิตภัณฑ์เพื่อการออมเงินระยะยาวรูปแบบใหม่ ประกันชีวิตแบบบำนาญหรือแผนการออมทรัพย์สำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งสามารถนำมายกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1511 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว | ทก | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแหงชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1512 | การขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล | อื่นๆ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ และข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ตามนโยบายการบูรณาการระบบประกันสุขภาพของรัฐบาล ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ประธาน สปสช.) เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ สำหรับข้อเสนอของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธาน สปสช. มีดังนี้ ๑.๑ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจ ๑.๑.๑ เห็นชอบให้คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๓ (๑) แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๓ ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อปรับมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจให้รองรับการขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของพนักงานรัฐวิสาหกิจให้สามารถรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่ใดก็ได้ รวมทั้งสถานพยาบาลเอกชนนอกระบบของตน โดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๑.๒ เห็นชอบให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เพิ่มสิทธิการรักษาพยาบาลให้กับพนักงานตามนโยบายรัฐบาล ใช้สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นหน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาเจ็บป่วยฉุกเฉินและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) ตามนโยบายรัฐบาล โดย สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้หน่วยงานรัฐวิสาหกิจเร่งแก้ไขหลักเกณฑ์การเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินคืนให้ สปสช. ได้ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากรัฐวิสาหกิจให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๑.๒ กรณีขยายสิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินของข้าราชการ/พนักงานส่วนท้องถิ่น ๑.๒.๑ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๖ และมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๖๙ และมาตรา ๗๗ แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ มาตรา ๓๒ แห่งพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. ๒๔๙๕ มาตรา ๖ และมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๒๑ และมาตรา ๕ และมาตรา ๘๘ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ได้ออกระเบียบไว้ และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพิ่มสิทธิให้ข้าราชการและพนักงานส่วนท้องถิ่นได้สิทธิรับบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินจากสถานพยาบาลรัฐและเอกชนนอกระบบของตนโดยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าตามนโยบายรัฐบาล เช่นเดียวกับผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประกันสังคม และสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ ๑.๒.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น ซึ่งปลัดกระทรวงมหาดไทยได้ประกาศไว้ เพื่อให้เป็นไปตามข้อ ๕ แห่งระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๑ ให้รองรับการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินตามนโยบายรัฐบาล และแจ้งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้หน่วยงานกลางในการจัดการธุรกรรมการเบิกจ่ายค่ารักษาและระบบข้อมูลต่าง ๆ (Clearing House) โดยให้ สปสช. สำรองจ่ายเงินค่าบริการให้สถานพยาบาลไปก่อน และให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง รวมทั้งจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้สิทธิรักษาพยาบาลให้แก่ สปสช. เพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ๒. ให้ สปสช. รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการให้ อปท. จ่ายเงินคืนให้แก่ สปสช. ตามอัตราที่ตกลงกันภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง และการจัดส่งฐานข้อมูลของบุคคลในสังกัดที่ได้รับสิทธิรักษาพยาบาลเพื่อจัดทำฐานข้อมูลผู้มีสิทธิและให้มีการปรับปรุงต่อเนื่อง ควรมีการหารือร่วมกันระหว่าง สปสช. กระทรวงมหาดไทย และ อปท. ก่อนที่จะได้มีการดำเนินการ เนื่องจากอาจมีผลกระทบทั้งด้านงบประมาณและขั้นตอนการปฏิบัติได้ นอกจากนี้ ควรเร่งพัฒนากลไกสร้างแรงจูงใจในการเข้าร่วมโครงการของโรงพยาบาลเอกชน อาทิ มาตรการสร้างความเชื่อมั่นว่าสถานประกอบการภาคเอกชนจะได้รับเงินชดเชยในอัตราที่เหมาะสมกับโครงสร้างต้นทุนของการประกอบการ และการให้สิทธิในการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลแก่สถานประกอบการที่เข้าร่วมในโครงการซึ่งเป็นการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในรูปแบบหนึ่ง เป็นต้น เพื่อสร้างแรงจูงใจให้โรงพยาบาลเอกชนให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉิน โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องสำรองค่าใช้จ่ายล่วงหน้าอย่างแท้จริง และไม่เป็นภาระแก่โรงพยาบาลเอกชนที่เข้าร่วมโครงการ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อชี้แจงและทำความเข้าใจแก่ประชาชนเกี่ยวกับการเข้ารับบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉิน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1513 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. 2554 - 2559 ปีงบประมาณ 2555 | กษ | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๓ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การแข่งขันกล้วยไม้ไทยในตลาดโลก พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๕๙) ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ การดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ กรมส่งเสริมการเกษตรและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย แผนงานเพิ่มศักยภาพการแข่งขันด้านการตลาดส่งออก แผนงานส่งเสริมการผลิตกล้วยไม้คุณภาพ แผนงานพัฒนาและสร้างสรรค์นวัตกรรม แผนงานพัฒนาองค์กร และแผนงานส่งเสริมการใช้และสนับสนุนการส่งออก ๑.๒ ผลกระทบจากการดำเนินการ ๑.๒.๑ ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ตัดดอกของไทยในช่วงเดือนมกราคม-สิงหาคม ๒๕๕๕ ลดลงร้อยละ ๑๙.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๑๕,๓๕๐.๓๓ ตัน และ ๑๒,๓๘๑ ตัน ตามลำดับ) คิดเป็นมูลค่าลดลง ร้อยละ ๘.๓ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๑,๔๕๑.๖ ล้านบาท และ ๑,๓๓๑.๐ ล้านบาท ตามลำดับ) ปริมาณการส่งออกกล้วยไม้ต้นของไทยลดลง ร้อยละ ๙.๑ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปริมาณการส่งออก ๒๑.๙ ล้านต้น และ ๑๙.๙ ล้านต้น ตามลำดับ) แต่เมื่อคิดเป็นมูลค่าแล้วส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ ๓.๔ (ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ และปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มูลค่าการส่งออก ๓๗๑.๒ ล้านบาท และ ๓๘๓.๗ ล้านบาท ตามลำดับ) ๑.๒.๒ เกิดการดำเนินการแบบบูรณาการของหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอื่นที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน สมาคมต่าง ๆ และสหกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับกล้วยไม้ เพื่อร่วมกันพัฒนาและแก้ไขปัญหาทำให้การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒.๓ เกษตรกรมีการรวมกลุ่มกันเป็นสมาคม สหกรณ์ และคลัสเตอร์กล้วยไม้ ทำให้เกิดความเข้มแข็งในองค์กรเกษตรกร ๑.๒.๔ มีแผนยุทธศาสตร์ด้านการวิจัยกล้วยไม้ ๑.๒.๕ มีระบบเครือข่ายข้อมูลกล้วยไม้ (เว็บไซต์ Orchid Net) ๑ ระบบ ซึ่งจะพัฒนาไปสู่เว็บไซต์ระดับโลก (World Orchid Net) ในอนาคต ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ควรรายงานให้ทราบถึงสาเหตุของปัญหาที่พบและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นด้วย เช่น ควรระบุปัญหาอุปสรรคกรณีที่หน่วยงานไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ การส่งเสริมให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศกับต่างประเทศที่เป็นตลาดหลักทั้งในด้านการผลิต การบริหารจัดการ และการตลาด การส่งเสริมให้มีการจับคู่ทางธุรกิจระหว่างผู้ประกอบการไทยกับภาคเอกชนท้องถิ่นในตลาดใหม่ที่นิยมกล้วยไม้ไทย และเพิ่มการประชาสัมพันธ์จุดเด่นของกล้วยไม้ไทย การส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์การเรียนรู้และการประกวดกล้วยไม้นานาชาติ การเร่งสร้างความตระหนักรู้แก่เกษตรกรเรื่องการประกอบการตามมาตรฐานการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี และการทำเกษตรอย่างยั่งยืน การรณรงค์ส่งเสริมให้เกษตรกรเห็นความสำคัญและสนใจในมาตรการควบคุมคุณภาพปัจจัยการผลิต และนำมาตรฐานสินค้าเกษตรมาใช้อย่างจริงจัง เพื่อจูงใจให้เข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดีสำหรับพืช (Good Agricultural Practice ; GAP) การจัดทำโรดแมป (roadmap) และเป้าหมายรายทางของผลลัพธ์ที่จะเกิดในแต่ละช่วงเวลา การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อมูลสินค้ากล้วยไม้เชิงเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งและคู่ค้าเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน การขยายตลาดใหม่ ๆ ให้มากขึ้นเพื่อทดแทนตลาดส่งออกเดิมที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ การส่งเสริมให้มีตลาดกลางในการประมูลกล้วยไม้เพื่อพัฒนากลไกตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งการส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนใช้ดอกกล้วยไม้ของไทยอย่างแพร่หลายในการจัดงานและพิธีการต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1514 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร01 | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และให้ส่วนราชการให้ความสำคัญกับการเร่งรัดดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ให้มีผลเป็นที่ยุติด้วยความเป็นธรรมภายในระยะเวลาที่เหมาะสม โดยผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนฯ ๑.๑ สถิติการแจ้งเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ประชาชนแจ้งเรื่องร้องทุกข์ผ่านช่องทางต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๑๗,๑๖๒ ครั้ง โดยผ่านช่องทางสายด่วนของรัฐบาล ๑๑๑๑ มากที่สุด รองลงมาคือ ช่องทางตู้ ปณ. ๑๑๑๑/ไปรษณีย์/โทรสาร ช่องทางเว็บไซต์ (www.1111.go.th) และช่องทางจุดบริการประชาชน ๑๑๑๑ ตามลำดับ ส่วนจำนวนเรื่องร้องทุกข์จำแนกตามประเภท ประชาชนร้องทุกข์ในประเภทเรื่องต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๗๙,๗๒๒ เรื่อง โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์มากที่สุด ได้แก่ เรื่องขอให้ซ่อมแซมไฟฟ้ากับขยายและติดตั้งปรับปรุงระบบการจ่ายกระแสไฟฟ้า รองลงมาคือ การปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่และการอำนวยความสะดวกในการให้บริการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการแก้ไขปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญจากเสียง/กลิ่นเหม็น ตามลำดับ ๑.๒ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามหน่วยงาน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๓๓,๓๓๔ เรื่อง โดยหน่วยงานที่ได้รับการประสานงานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาคือ กระทรวงยุติธรรม และสำนักนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รองลงมาคือ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ตามลำดับ ๑.๓ จำนวนเรื่องร้องทุกข์และผลการดำเนินการจำแนกตามองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และจังหวัด ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ มีเรื่องร้องทุกข์ที่เกี่ยวข้องกับ อปท. และจังหวัดต่างๆ รวมทั้งสิ้น ๑๙,๘๔๔ เรื่อง โดยเรียงลำดับจาก อปท. และจังหวัดที่ได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์มากที่สุด ๓ ลำดับแรก ได้แก่ กรุงเทพมหานคร รองลงมาคือ จังหวัดปทุมธานี และนนทบุรี ตามลำดับ ๒. รับทราบข้อมูลการร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นจากประชาชนในประเด็นที่เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ พบว่า ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าวในจังหวัดที่มีพื้นที่ปลูกข้าวมาก ได้แก่ จังหวัดนครสวรรค์ สุโขทัย และพิษณุโลก ตามลำดับ โดยประเด็นเรื่องที่ประชาชนร้องทุกข์และเสนอข้อคิดเห็นมากที่สุด ได้แก่ ขอให้เร่งจ่ายเงินรับจำนำข้าว รองลงมาคือ ขอให้ตรวจสอบโรงสีที่เข้าร่วมโครงการ กับขอให้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ตามลำดับ และให้กระทรวงพาณิชย์ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักนำข้อมูลไปดำเนินการกำหนดนโยบาย แผนงาน และบูรณาการการทำงานระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาการดำเนินงานของโครงการรับจำนำข้าวต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1515 | (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ 9 จังหวัด ปี 2556 | ทส | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำ (ร่าง) มาตรการฯ ดังกล่าวไปปฏิบัติโดยใช้งบประมาณปกติของหน่วยงานต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ทั้งนี้ ให้ปรับข้อความในมาตรการฯ ให้มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลุมยิ่งขึ้น จากเดิม “ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” เป็น “ส่งเสริมให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ภาคเอกชน และภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหา ...” สำหรับสาระสำคัญของ (ร่าง) มาตรการฯ มีดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ เพื่อควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน โดยเน้นการดำเนินมาตรการควบคุมการเผาในพื้นที่ชุมชน พื้นที่เกษตร และพื้นที่ป่า เสริมสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์หมอกควันที่จะเกิดขึ้นในช่วงต้นปี ๒๕๕๖ ผลักดันความร่วมมือในการจัดการปัญหามลพิษหมอกควันข้ามแดนในภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งลดและควบคุมสถานการณ์หมอกควัน และป้องกันผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน ๑.๒ เป้าหมาย คุณภาพอากาศในบรรยากาศ (ฝุ่นละอองขนาดเล็ก : PM10) อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๐ ในช่วง ๘๐ วันอันตราย (๒๑ มกราคม ๒๕๕๖ ถึง ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖) ในพื้นที่เป้าหมาย ๙ จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แพร่ น่าน พะเยา แม่ฮ่องสอน และตาก ๑.๓ มาตรการหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด ตามหลักการ 2P2R [การป้องกัน (Prevention) การเตรียมพร้อม (Preparation) การรับมือ (Response) และการฟื้นฟู (Recovery)] ประกอบด้วย ๘ มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ ๑ ควบคุมการเผาช่วง “๘๐ วันอันตราย” มาตรการที่ ๒ ป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่าอย่างเข้มข้น มาตรการที่ ๓ สนับสนุน “ชุมชนมาตรฐาน หมู่บ้านปลอดการเผา” มาตรการที่ ๔ ส่งเสริมภาคเอกชนและภาคีเครือข่ายเข้าร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควัน มาตรการที่ ๕ สื่อสารประชาสัมพันธ์เชิงรุกสู่กลุ่มเป้าหมาย มาตรการที่ ๖ แจ้งเตือนสถานการณ์หมอกควัน มาตรการที่ ๗ ขยายความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และมาตรการที่ ๘ จัดตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือ ๙ จังหวัด (ศปม.) ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายปลอดประสพ สุรัสวดี) รับไปจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ (workshop) ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อบูรณาการการดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันภาคเหนือตอนบน ปี ๒๕๕๖ ให้เป็นเอกภาพ โดยให้ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการด้วย และให้มีกลไกการกำกับติดตามการดำเนินงานในลักษณะ single command รวมทั้งให้ใช้การบริหารจัดการเชิงพื้นที่ (area-approach) เป็นหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปกำกับติดตามให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับการบุกรุกและเผาป่า โดยให้ตำรวจท้องที่ประสานงานกับหน่วยงานของกระทรวงมหาดไทยและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิด ๔. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับไปประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อขอความร่วมมือในการป้องกันแก้ไขปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามแดน ๕. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาแนวทางการส่งเสริมการปลูกพืชเศรษฐกิจ (พืชล้มลุก) และการกำหนดพื้นที่เพาะปลูก (Zoning) พืชเศรษฐกิจให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาการบุกรุก แผ้วถางและเผาป่าเพื่อเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือภาคเอกชนและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินมาตรการงดรับซื้อผลิตผลทางการเกษตรที่เพาะปลูกในพื้นที่บุกรุกป่าด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1516 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสินามิ | สสป | 08/01/2556 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การบริหารจัดการระบบสัญญาณเตือนภัยจากภัยพิบัติสึนามิ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงบประมาณ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมสรรพากร กรมโยธาธิการและผังเมือง สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น ส่งเสริมสนับสนุนงานศึกษาวิจัยแบบจำลองสามมิติ เพื่อการเตือนภัยสึนามิ ให้ความสำคัญกับระบบการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับเรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติทั้งในประเทศและต่างประเทศ และจัดให้มีระบบสัญญาณเตือนภัยระดับชุมชมให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เสี่ยงภัย เป็นต้น ๑.๒ มาตรการด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ เช่น จัดให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับภัยพิบัติ ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารงาน ปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และจัดตั้งคณะกรรมการสหวิทยาการภัยพิบัติแห่งชาติ เพื่อทำหน้าที่วางแผนการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเกิดภัยพิบัติของประเทศ เป็นต้น ๑.๓ มาตรการด้านการศึกษาและสนับสนุน เช่น ส่งเสริมสนับสนุนองค์กรเครือข่ายภาคประชาชน ตัวแทนภาคประชาชนในชุมชนให้มีส่วนร่วมในการวางแผน การเตือนภัยการป้องกันภัย การบรรเทาสาธารณภัย การจัดการแผนการอพยพในชุมชนยามเกิดภัยพิบัติ บรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เรื่องภัยพิบัติทางธรรมชาติ การปฏิบัติตนหรือการอพยพเคลื่อนย้ายขณะเกิดภัย การช่วยเหลือตนเองเบื้องต้น ตลอดจนองค์ความรู้อื่น ๆ ไว้ในหลักสูตรการศึกษาภาคบังคับในทุกโรงเรียน ทุกชั้นเรียน และลงทุนสร้างระบบสัญญาณเตือนภัยสึนามิชั้นสูง เช่นเดียวกับประเทศที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เช่น ในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่มีการใช้เครื่องมือที่เป็นระบบการแจ้งเตือนภัยป้องกันแผ่นดินไหวและสึนามิ ที่สามารถแจ้งเตือนเหตุล่วงหน้าได้ถึง ๒-๓ สัปดาห์ นำมาปรับใช้กับประเทศไทย เป็นต้น ๒. ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเรื่อง การเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กรมประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. กรุงเทพมหานคร และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เห็นว่ารัฐบาลควรดำเนินการ สรุปได้ ดังนี้ ๒.๑ มาตรการด้านการประชาสัมพันธ์และกำหนดพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว เช่น ประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในทุกพื้นที่เสี่ยงภัยแผ่นดินไหว จัดทำคู่มือประชาชนเกี่ยวกับข้อควรปฏิบัติระหว่างเกิดและหลังเกิดแผ่นดินไหวแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย เร่งรัดจัดทำแผนที่เสี่ยงภัยการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยให้ครบถ้วนทุกพื้นที่และมีการปรับปรุงให้มีความทันสมัย พร้อมทั้งแจกจ่ายแก่ประชาชนในพื้นที่อย่างทั่วถึง จัดทำป้ายแจ้งให้นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่เดินทางเข้าเขตจังหวัดหรือบริเวณที่ใกล้รอยเลื่อน ได้รับทราบว่ากำลังอยู่ในบริเวณพื้นที่เสี่ยง และบรรจุหลักสูตรการเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติแผ่นดินไหว ภัยพิบัติทางธรรมชาติ ตลอดจนการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในทุกชั้นเรียน เป็นต้น ๒.๒ มาตรการด้านเทคโนโลยีระบบสัญญาณเตือนภัยและอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น จัดหาและพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ตรวจวัดแผ่นดินไหวและระบบสัญญาณเตือนภัยที่ใช้ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้มีความทันสมัย ปรับปรุงและพัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวให้มีความถูกต้อง แม่นยำ รวดเร็ว และครอบคลุมทั่วถึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดหาเครื่องมือตรวจวัดแผ่นดินไหวที่ทันสมัย ความเร็วสูงและมีความแม่นยำให้กับกรมอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ๒.๓ มาตรการด้านการบริหารจัดการ เช่น ปรับปรุงโครงสร้างขององค์กร หน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจเกี่ยวเนื่องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย วางแผนการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหวแห่งชาติเป็นการเฉพาะ ทั้งระยะสั้น ระยะยาว รวมถึงแผนย่อยระดับจังหวัดและท้องถิ่น มอบหมายหน่วยงานหลักเพียงหน่วยงานเดียวในการประชาสัมพันธ์หรือให้ข้อมูลที่แท้จริงกับประชาชนในขณะเกิดเหตุภัยพิบัติ และจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นการเฉพาะ เพื่อผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ให้เสมือนวิทยาลัยการอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น ๒.๔ มาตรการด้านกฎหมาย ระเบียบ และข้อบังคับ โดยมีมาตรการบังคับให้ผู้ประกอบการหรือเจ้าของสิ่งปลูกสร้างในเขตพื้นที่เสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติแผ่นดินไหว ที่ปลูกสร้างก่อนพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๕๐ มีผลบังคับใช้ควรปรับปรุงสิ่งปลูกสร้างให้สามารถรองรับต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้ ตามข้อกำหนดในพระราชบัญญัติฯ และมีมาตรการเพิ่มโทษเกี่ยวกับผู้ที่ให้ข่าวลือ การพูดในลักษณะที่ทำนายหรือคาดเดาเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติแผ่นดินไหว โดยไม่มีหลักฐานทางวิชาการมาประกอบหรือสนับสนุนในเรื่องนั้น ๆ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1517 | การลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญาลาว เรื่องความร่วมมือทรัพย์สินทางปัญญา | พณ | 25/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการลงนามในบันทึกความเข้าใจระหว่างกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงพาณิชย์ แห่งราชอาณาจักรไทย และกรมทรัพย์สินทางปัญญากระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เกี่ยวกับความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญา โดยให้อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญาเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ หลังจากได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ทั้งนี้ ผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ จะต้องได้รับหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศด้วย ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรกำหนดแนวทางการรณรงค์ สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการลงนามบันทึกความเข้าใจฯ ให้กับประชาชนได้รับทราบ โดยใช้สื่อในรูปแบบต่างๆ อันจะส่งผลให้ผู้ที่จะติดต่อทำธุรกิจการค้าระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวสามารถประกอบธุรกิจได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ ควรดำเนินการติดตามและประเมินผลความร่วมมือดังกล่าว เพื่อนำไปสู่การพิจารณาขยายขอบเขตความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญากับสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในมิติอื่นเพิ่มเติม รวมทั้งการขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. สำหรับการดำเนินความร่วมมือภายใต้บันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ของส่วนราชการอื่น เช่น ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านและภูมิปัญญาท้องถิ่น ของกระทรวงวัฒนธรรม ให้กระทรวงพาณิชย์ (กรมทรัพย์สินทางปัญญา) เชิญกระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมการดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1518 | แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 18/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๕ (เรื่อง การจัดงานหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ OTOP MIDYEAR 2012 สู่ประชาคมอาเซียน) ที่มอบหมายให้รัฐมนตรีและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบูรณาการการดำเนินการร่วมกันในการเพิ่มช่องทางการตลาดและการส่งออกผลิตภัณฑ์หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) จากระดับชุมชนไปสู่ตลาดทั่วโลก ตลอดจนขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ OTOP นั้น การจัดทำอาหารกล่องสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน “ชุดปิ่นโต” เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดหนึ่งที่ได้มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพ รูปแบบและบรรจุภัณฑ์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และสร้างแรงจูงใจแก่ผู้ซื้อสินค้ามากขึ้น โดยในส่วนของอาหารสำเร็จรูป ควรพิจารณานำอาหารที่ผู้ผลิตได้รับการยอมรับว่าผลิตอาหารที่มีรสชาติอร่อยเป็นต้นตำรับหรือเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่นมาดำเนินการและออกแบบบรรจุภัณฑ์ให้เหมาะสมสวยงาม สะดวกแก่การรับประทานระหว่างการเดินทางและเพิ่มช่องทางการจำหน่าย ณ สถานีรถไฟและบนรถไฟสายต่างๆ จึงขอให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการพัฒนาชุมชน) รับแนวทางดังกล่าวไปบูรณาการการปรับปรุงพัฒนาและสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ OTOP ชนิดต่างๆ ร่วมกับสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) [ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (Thailand Creative & Design Center : TCDC)] กระทรวงศึกษาธิการ (สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา) กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1519 | แนวทางการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพ | นร | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบข้อเสนอการจัดอัตรากำลังและการบริหารจัดการในภารกิจบริการด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จัดสรรอัตราข้าราชการเพิ่มใหม่ซึ่งรวมถึงพยาบาล และบุคลากรทางสาธารณสุขให้แก่กระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา โดยรวมกับอัตราว่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน จำนวน ๒,๐๔๘ อัตรา เป็นจำนวนทั้งสิ้นสำหรับกระทรวงสาธารณสุข ๗,๕๔๗ อัตรา และเพิ่มเติมอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ อีกจำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา รวมเป็นการบรรจุทั้งสิ้น ๑๐,๔๙๔ อัตรา โดยให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการให้ดำรงตำแหน่งในอัตราที่ได้รับอนุมัติ โดยยึดหลักคุณธรรมและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่ ก.พ. กำหนด ทั้งนี้ ให้ยกเลิกการยุบเลิกตำแหน่งเกษียณอายุราชการในสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓ และ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง โครงการผลิตพยาบาลวิชาชีพเพิ่มเพื่อแก้ปัญหาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้) และวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๕ (เรื่อง อนุมัติกำหนดตำแหน่งเพิ่มใหม่) ตามที่ประธานกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐเสนอ ๒. ส่วนงบประมาณในการดำเนินการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยงบประมาณที่จะใช้ในการรองรับการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๘,๔๔๖ อัตรา โดยการบรรจุข้าราชการเพิ่มใหม่ จำนวน ๕,๔๙๙ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๙ เดือน) และอัตราที่จะใช้บรรจุนักศึกษาวิชาแพทยศาสตร์ ทันตแพทยศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ที่จะสำเร็จการศึกษาในเดือนเมษายน ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๔๗ อัตรา เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๕๖ (ระยะเวลา ๖ เดือน) ประมาณการค่าใช้จ่ายงบประมาณ จำนวนทั้งสิ้น ๑,๑๓๒ ล้านบาท นั้น ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขเจียดจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ รายการผูกพันที่ดำเนินการล่าช้า/คาดว่าจะเบิกจ่ายไม่ทัน จำนวน ๖๐๐ ล้านบาท ส่วนที่เหลือให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๕๓๒ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นเจ้าภาพรวบรวมและศึกษาภาพรวมความต้องการอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบ ทั้งในส่วนราชการที่อยู่ภายใต้กำกับดูแลของฝ่ายบริหาร และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้รวบรวมเสนอรองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) กระทรวงกลาโหม กระทรวงศึกษาธิการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ให้รวบรวมเสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วส่งให้รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ และแก้ไขปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังของส่วนราชการทั้งระบบต่อไป โดยมีผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ ก.พ. อธิบดีกรมบัญชีกลาง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นคณะทำงาน โดยให้เลขาธิการ ก.พ. เป็นฝ่ายเลขานุการ และให้สำนักงาน ก.พ. เป็นเจ้าภาพเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึงองค์กรตามรัฐธรรมนูญ เช่น ศาล สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อมาประชุมปรึกษาร่วมกันก่อน แล้วจัดทำข้อมูลการวิเคราะห์อัตรากำลังในภาพรวมและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการโดยคำนึงถึงสัดส่วนให้เหมาะสมกับภารกิจของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงงบประมาณโดยรวมของประเทศด้วย ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จแล้วเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาภายในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๖ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||
1520 | รายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายบุญทรง เตริยาภิรมย์) และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนประเทศบาห์เรน คูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | พณ | 11/12/2555 | |||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน รัฐคูเวต และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ ๑๓-๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อสร้างความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือทางการค้า ตลอดจนสร้างความมั่นคงด้านอาหารในภูมิภาคตะวันออกกลาง ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การเดินทางเยือนราชอาณาจักรบาห์เรน ๑.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและพาณิชย์ของราชอาณาจักรบาห์เรน (H.E. Dr. Hassan A.Fakhro) โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันในการขยายและเพิ่มมูลค่าการค้าระหว่างกันให้มากขึ้น โดยแลกเปลี่ยนการจัดกิจกรรมระหว่างกัน เช่น In-store Promotion การจับคู่ธุรกิจ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และการจัด Thailand Trade Exhibition ๑.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานพิธีเปิดกิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) โดยมีนักธุรกิจราชอาณาจักรบาห์เรนและประเทศใกล้เคียงให้ความสนใจเข้าร่วมงานเจรจาจับคู่ทางธุรกิจกับนักธุรกิจไทยประมาณ ๙๐ ราย และภายในงานได้มีการจัดแสดงนิทรรศการ Thai Select ซึ่งเป็นที่สนใจแก่ผู้เข้าร่วมงาน สำหรับสินค้าที่ได้รับความสนใจจากผู้นำเข้าราชอาณาจักรบาห์เรน ได้แก่ อาหารทะเลสดแช่เย็นแช่แข็ง ซอส เครื่องปรุงรส และไก่สดแปรรูปแช่เย็นแช่แข็ง โดยมียอดสั่งซื้อทันที ๔๓๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๔ ล้านบาท) และยอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๑.๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๕๐ ล้านบาท) ๒. การเดินทางเยือนรัฐคูเวต ๒.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมคณะของนายกรัฐมนตรีในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดความร่วมมือเอเชีย (Asia Cooperation Dialogue : ACD) และการหารือทวิภาคี โดยไทยได้ใช้เวทีนี้ในการผลักดันการจัดตั้งสำนักงานเลขาธิการ ACD และการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีและระดับการประชุมสุดยอด ACD ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ รวมถึงการผลักดันการสร้างความเชื่อมโยงภูมิภาคอาเซียนกับตะวันออกกลาง เอเชียกลาง ซึ่งเป็นตลาดสำคัญ และการผลักดันความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ ความมั่นคงด้านอาหารและพลังงาน รวมถึงด้านคมนาคม โลจิสติกส์ และการสื่อสาร ๒.๒ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) ในรัฐคูเวต กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศและกรมการค้าต่างประเทศได้บูรณาการกับกระทรวงการต่างประเทศในการนำคณะนักธุรกิจไทยเดินทางไปร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจ และกระชับความสัมพันธ์ทางการค้า ณ หอการค้าและอุตสาหกรรมของรัฐคูเวต นอกจากนี้ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมการค้าต่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำนักธุรกิจสินค้าอาหารเข้าเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจรัฐคูเวต ซึ่งได้รับความสนใจจากนักธุรกิจรายใหญ่ของรัฐคูเวต โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหารและการรักษาพยาบาล คาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปีที่มูลค่า ๑๒๐ ล้านบาท ๒.๓ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้จัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์อาหารไทย โดยจัดให้มีการแสดงอาหาร เครื่องปรุงรส และการชิมอาหารไทย รวมถึง Thai Select Exhibition Corner ผู้เข้าชมนิทรรศการและร่วมงานสนใจเข้าร่วมชิมอาหารเป็นจำนวนมาก ๓. การเดินทางเยือนสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ๓.๑ กิจกรรมเจรจาจับคู่ทางธุรกิจ (Business Matching) นักธุรกิจสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ให้ความสนใจเข้าร่วมกิจกรรมเจรจาจับคู่ธุรกิจกับนักธุรกิจไทยอย่างมาก โดยมีผู้เข้าร่วมงาน จำนวน ๑๐๐ ราย ในด้านของผู้ประกอบการไทยได้เข้าพบและหารือกับอธิบดี เช่น บริษัท Al Maysaa ซึ่งเป็นร้านให้บริการนวดแผนไทยและสปาไทย รวมถึงจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้าสปา ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมพิเศษ Free Zone ในรัฐอัจมาน ซึ่งถือเป็นทำเลที่ดีเข้าถึงง่าย ไม่ต้องมีหุ้นส่วนเป็นชาวยูเออี และสามารถขอใบอนุญาตทำงานได้เป็นเวลา ๓ ปี นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยได้พบปะเจรจากับผู้นำเข้าซุปเปอร์มาเกตท้องถิ่น ธุรกิจร้านอาหารที่เกี่ยวข้อง และมียอดสั่งซื้อทันที ๕๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๖ ล้านบาท) และคาดว่าจะมียอดสั่งซื้อภายใน ๑ ปี มูลค่า ๔,๖๘๗,๕๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ ๑๕๐ ล้านบาท) โดยสินค้าที่ได้รับความนิยม ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋อง ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งและแปรรูป เป็นต้น ๓.๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้พบหารือประธานบริษัท Mahallati Jewellery Group (Mr. Abdul Karim Mahallati) ซึ่งเป็นบริษัทชาวอิหร่านผลิตและค้าอัญมณีและเครื่องประดับรายใหญ่ในดูไบ และมีชื่อในการผลิตเพชรและเครื่องประดับอัญมณี โดย Mr. Karim แจ้งว่าสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านมีความต้องการนำเข้าข้าวเป็นจำนวนมาก ไทยอาจขายข้าวผ่านดูไบ ซึ่งมีชาวอิหร่านเป็น Trader จัดตั้งบริษัทในดูไบเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ยังได้พบนายกสมาคมนักธุรกิจไทย-ดูไบ (คุณอัครวุฒิ ตั้งศิริกุศลวงศ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเวก้า อินเตอร์เทรด แอนด์ เอ็กซิบิชั่น จำกัด) เพื่อหารือเรื่องการจัดตั้ง Thailand Trade Mart เพื่อเป็นศูนย์รวบรวมสินค้าและการบริการของไทยในตะวันออกกลาง โดยภาครัฐผลักดันและสนับสนุนให้ภาคเอกชนสนใจร่วมกันลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ
|
.....