ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 77 จากทั้งหมด 199 หน้า แสดงรายการที่ 1521 - 1540 จากข้อมูลทั้งหมด 3975 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1521 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 12/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครองประกันสังคม ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒๐ ล้านคน โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเกิดความเข้าใจ และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑.๒ ในการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ สามารถจ่ายเงินสมทบผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๑-๑๒ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หักบัญชีเงินฝากของผู้ประกันตนผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ห้างเทสโก้ โลตัส และไปรษณีย์ ๑.๓ การดำเนินงาน ณ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ มีแรงงานนอกระบบได้รับการประกันสังคม จำนวน ๑,๐๖๘,๘๓๙ คน หรือร้อยละ ๘๙.๐๗ ของเป้าหมาย โดยแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ จ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทางเลือกที่ ๑ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๐๐ บาท ได้รับสิทธิ ๓ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และตาย (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๕,๔๖๘ คน หรือร้อยละ ๐.๕๐ ของผลการดำเนินงาน และทางเลือกที่ ๒ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิ ๔ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และบำเหน็จชราภาพ (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๑,๐๖๓,๓๗๑ คน หรือร้อยละ ๙๙.๕๐ ของผลการดำเนินงาน ๑.๔ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล ตามทางเลือกที่ ๑ และ ๒ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๑๖ เดือน เบิกจ่ายแล้วเป็นจำนวน ๓๕๑,๒๗๖,๙๕๐ บาท ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คงเหลือเงินงบประมาณที่สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท โดยที่จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน ๓๐,๕๗๔,๖๙๐ บาท และในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓๑,๑๐๒,๒๑๐ บาท หากใช้ข้อมูลในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นฐานในการประมาณการ คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บางส่วน ๑.๕ เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในมาตรา ๔๐ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายเงินสมทบร่วมกับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และคาดว่าเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้แก่กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้การดำเนินงานประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบไม่ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนไปพลางก่อน ๒. อนุมัติหลักการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๔๕,๕๓๔,๗๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลือจ่าย จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงเห็นสมควรให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบและใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าวไปก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในส่วนค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ หากกระทรวงแรงงานไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคมได้ ให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มช่องทางในการให้และรับบริการให้ครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวก รวดเร็วในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินสมทบผ่านเครือข่ายการทำงานร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1522 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
||||||||||||||||||
1523 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
||||||||||||||||||
1524 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 | วธ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเพื่อเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. หากมีส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดจัดโครงการอุปสมบท เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และมีความประสงค์ให้ข้าราชการเข้าร่วมอุปสมบท ระยะเวลา ๑๕ วัน แต่วันที่ดำเนินการไม่ตรงกัน ให้ได้รับสิทธิในการลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาเช่นเดียวกันด้วย ตามความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ |
||||||||||||||||||
1525 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
||||||||||||||||||
1526 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. ..... | พม | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้คงวัตถุประสงค์ของสำนักงานธนานุเคราะห์ในการดำเนินกิจการรับจำนำทรัพย์สิน และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความคุ้มค่าของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์ตามวัตถุประสงค์ของมาตรา ๗ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันมีผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่สำนักงานธนานุเคราะห์อาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และร่างมาตรา ๘(๖) การซื้อขายอนุพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งการก่อภาระหรือสิทธิอันเนื่องมาจากการซื้อขายอนุพันธ์ หรือเข้าผูกพันตามอนุพันธ์ หรือการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรับจำนำ สมควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ กรณีการขออนุญาตตั้งสถานธนานุเคราะห์ การย้ายสถานธนานุเคราะห์ การเรียกหรือรับดอกเบี้ย ข้อห้ามในการรับจำนำ หน้าที่ของผู้รับจำนำ หรือกรณีอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาของสำนักงานธนานุเคราะห์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแบ่งทางการตลาด และโอกาสในการสร้างมูลค่าของกิจการให้สูงขึ้น รวมทั้งประเมินภาระงบประมาณของรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางด้านการเงินและด้านเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำและเกี่ยวเนื่องรายอื่น นอกจากนี้ การดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันของส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน และความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1527 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||
1528 | แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555 - 2559 | ศธ | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งและต้องพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายด้านและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายช่วงวัย ทั้งสตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพื่อให้มีการบูรณาการวิธีการทำงานร่วมกัน จะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เด็กทุกคนได้รับบริการในการพัฒนาเต็มศักยภาพ เป้าหมายคือ (๑) เด็กทุกคนในช่วงอายุแรกเกิดถึง ๕ ปี หรือก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับบริการด้านสุขภาพ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ร้อยละ ๙๐ มีพัฒนาการตามวัยในทุกด้าน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๓) เด็กทุกคนในช่วงอายุ ๓ ปี ถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีความต้องการได้รับการพัฒนาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกรูปแบบ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) เด็กทุกคนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ไอโอดีนกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ (๒) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน และ (๓) หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนระยะ ๖ เดือนแรกต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ เด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ทุกคนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีพัฒนาการดีอย่างรอบด้านและตามวัย ๒.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กลไกการดำเนินงานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) กำกับติดตามมาตรการที่แต่ละกระทรวงกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและมติของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) (๒) มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ระบบข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย การสำรวจข้อมูล การวิจัยต่าง ๆ สามารถช่วยในการวางแผน และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ ฯ ควรกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการให้ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทาง มาตรการหรือวิธีดำเนินการที่สำคัญ สำหรับเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ และจัดทำแนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมารดากลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาครรภ์แรก มารดาอายุน้อย มารดาเลี้ยงเดี่ยว และมารดาเร่ร่อน ในด้านการให้คำปรึกษาและการเตรียมพร้อมในการมีบุตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนและภาคเอกชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปดำเนินการด้วย ๔. ให้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เสนอต่อการประชุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามข้อ ๑ ด้วย |
||||||||||||||||||
1529 | ผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง | นร04 | 15/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลและหารือแนวทางที่จะดำเนินงานในระยะต่อไป ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการปฏิบัติงานของภาครัฐ ควรยึดหลักการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและวาระสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องบูรณาการร่วมกันให้ชัดเจน เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงงานไปสู่การปฏิบัติทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รวมทั้งรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ในด้านบุคลากรภาครัฐ ระบบราชการในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังที่มีศักยภาพอยู่มาก ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาภาพรวมของบุคลากรภาครัฐ โดยรวบรวมความต้องการบุคลากรของทุกหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งการวางระบบการคัดเลือก พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างบุคลากรรุ่นเก่าที่จะเกษียณอายุออกไปจำนวนมากและอาจขาดแคลนอัตรากำลังคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ โดยให้สอดคล้องกับภาพรวมของประชากรไทยที่มีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น ๓. ในส่วนของกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติราชการ ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัย คล่องตัว และรองรับการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในระหว่างหน่วยงานของรัฐให้มากยิ่งขึ้น
|
||||||||||||||||||
1530 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑. ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเพิ่มระยะเวลาการจัดทำและวิเคราะห์งบลงทุนในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ๑.๒ การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นการกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิบัติงานในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายหลักที่สำคัญของรัฐบาล และการเชื่อมโยงกับจังหวัดและท้องถิ่น เช่น นโยบายด้านการเกษตร การพัฒนาสังคม การจ้างแรงงาน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และการดำเนินการเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการลงทุน แผนการใช้จ่าย และแผนอัตรากำลังของแต่ละหน่วยงาน โดยให้นำผลการบูรณาการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||
1531 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑.๑.๑ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาไม้แก้ว-ควนยิงวัว อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ๑.๑.๒ พื้นที่เขตอนุรักษ์พื้นที่ป่าภูคำบก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๑.๓ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าดอยม่อนฤาษี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๑.๔ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าชุมชนขุนน้ำวอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงฝั่งขวา บ้านม่วงยายเหนือ-ใต้ ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ๑.๑.๕ พื้นที่ป่าตำบลแม่ยวม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑.๒ แผนงานและแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ ๑.๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ๑.๒.๒ การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด ๑.๒.๓ การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ๑.๒.๔ การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๓ งบประมาณที่ใช้ตามแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ จำนวน ๕ แห่ง รวมวงเงินทั้งสิ้น ๗,๙๘๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายและระบุขอบเขตที่ชัดเจนที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดสมุนไพร การตรวจสอบรายชื่อชนิดของสมุนไพรทั้งชื่อพื้นเมืองและชื่อวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้องสมบูรณ์โดยระบุทั้งชื่อพื้นเมืองควบคู่ไปกับชื่อวิทยาศาสตร์ การติดตามผลในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนว่ามีชนิดและความหนาแน่นของสมุนไพรมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร การวางแผนระยะยาวหลังจากที่โครงการสิ้นสุดจะให้หน่วยงาน/องค์กร/ชุมชนใด เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบต่อไป การคัดเลือกพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัยโดยนำหลักการจำแนกพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าตามกฎหมายมาร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมาย การให้บุคลากรภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่ภาคการศึกษา รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มสมรรถนะและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้สามารถร่วมกันวางแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามแผนฯ นอกจากนี้ ควรเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการใช้สมุนไพรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ และมีการรณรงค์เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรไทยเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1532 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
||||||||||||||||||
1533 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 เมษายน 2540 วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 เมษายน 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ) โดยผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมชลประทานได้ศึกษาโครงการตามหลักเกณฑ์การประเมินผลกระทบตามแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กันยายน ๒๕๕๑) โดยจำแนกเป็นกรณีที่มีโครงการ และไม่มีโครงการ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗ แผน และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๕ แผน ๑.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้ดำเนินการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกการสร้างนักวิจัยท้องถิ่น (อาสาสมัครนักวิจัยท้องถิ่น) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชนและที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นและผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ โดยมีการจัดประชุมร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่ในพื้นที่โครงการร้อยละ ๘๕.๔๕ มีแนวโน้มให้การยอมรับต่อการพัฒนาโครงการโปร่งขุนเพชร ๑.๓ ผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งโครงการตามผลการศึกษา ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ ๑๓.๕๖% มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ ๖๔.๖๖ ล้านบาท อัตราระหว่างผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ ๑.๑๑ ๑.๔ ราคาค่าก่อสร้าง (เฉพาะเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบโครงการโปร่งขุนเพชร) ๑.๔.๑ เดิมกรมชลประทานได้ทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามวัฒนาวิศวก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๐๐.๒๒๔ ล้านบาท ปัจจุบันห้างฯ ขอยกเลิกสัญญาโดยแจ้งว่าไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการก่อสร้างงานดังกล่าวโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น และกรมชลประทานได้อนุมัติยกเลิกสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และได้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญาให้แก่ห้างฯ ด้วยแล้ว ๑.๔.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้มีการทบทวนในเรื่องราคาค่าก่อสร้างฯ ของโครงการ แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีปรับแก้ราคาตามอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) คิดเป็นเงิน ๓๑๙ ล้านบาท และกรณีใช้เงื่อนไขสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) คิดเป็นเงิน ๓๔๓.๘๑๔ ล้านบาท ๑.๔.๓ ปัจจุบันกรมชลประทานได้พิจารณาปรับอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) ให้เป็นปัจจุบัน โดยมีราคาค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๖๓,๘๓๒,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เร่งทำความเข้าใจกับราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากราษฎรบางส่วนยังมีความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทำกินเดิมและจะต้องลงทุนประกอบอาชีพในที่ทำกินใหม่ และตระเตรียมแนวทางมาตรการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงค่าชดเชยให้พร้อมเพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งควรนำเรื่องการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ พร้อมรายละเอียดของโครงการและวงเงินการใช้จ่ายที่ขอรับการจัดสรรจากเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||
1534 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดการปัญหา สารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สสป | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (โรงพยาบาลรามาธิบดี) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แผนงานพัฒนาวิทยาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการจำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรื่อง “การจัดการปัญหาสารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศให้มีการแสดงฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า “ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือประกาศให้ภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีสารบีพีเอเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาตรฐานบังคับ (FOOD CONTRACT CONTAINER) สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการใช้สารบีพีเอ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารบีพีเอ เฝ้าระวังความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงในทารก เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ฯลฯ ๑.๕ หน่วยงานภาครัฐควรรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ๒. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคม ๒.๑ ยกเลิกการผลิตและจำหน่ายขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับเด็กที่มีสารบีพีเอ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการสมัครใจดำเนินการปกป้องผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหาร ติดฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า” ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ๓. การสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน ๓.๑ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานวิชาการสนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภคจากสารบีพีเอ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุนการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวกับอันตรายจากสารบีพีเอ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรค
|
||||||||||||||||||
1535 | รายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบรายงานการเงินรวมภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และเห็นชอบข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินรวมภาครัฐ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยในส่วนของข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ ให้ผู้บริหารที่กำกับดูแลหน่วยงานทุกกลุ่มพิจารณาให้ความสำคัญการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินให้ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนของรายงานการเงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และกองทุนและเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ หากเป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงที่อาจประสบอุทกภัย ให้กำหนดมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการจัดทำบัญชีและรายงานการเงินที่อาจล่าช้าให้เป็นปัจจุบันโดยเร็ว ๑.๒ การพิจารณาตั้งหน่วยงานรับงบประมาณระดับกรมเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องให้ความสำคัญในการบริหาร งาน เงิน และบุคลากรให้เหมาะสม โดยสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนควรพิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัดที่ต้องปฏิบัติงานด้านการเงินและบัญชีของหน่วยงานตนเองของจังหวัด และของกลุ่มจังหวัดในฐานะเป็นหน่วยรับงบประมาณ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นส่วนราชการระดับกรมให้สอดคล้องกับภารกิจและงบประมาณที่ได้รับ ๑.๓ ให้ผู้บริหารหน่วยพิจารณากำหนดนโยบายการบริหารจัดการเกี่ยวกับรายได้และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม และพิจารณาทบทวนการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปอย่างประหยัดและคุ้มค่า เพื่อให้ผลการดำเนินงานของหน่วยงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๔ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นควรกำกับดูแลเร่งรัดให้ อปท. ใช้จ่ายเงินในการดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ และนโยบายของรัฐบาลให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างรวดเร็วและทั่วถึง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเงินของ อปท. และควรมีนโยบายให้ อปท. ใช้จ่ายเงินของท้องถิ่นสมทบกับรัฐบาลกลางในการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบภัยพิบัติต่าง ๆ ในท้องถิ่นเพื่อลดภาระทางด้านงบประมาณของแผ่นดิน ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งเผยแพร่ข้อเสนอแนะเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ เพื่อให้การจัดทำบัญชีและรายงานการเงินของกลุ่มต่าง ๆ ถูกต้อง ครบถ้วน สมบูรณ์ และน่าเชื่อถือ สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการบริหารจัดการสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่ายของแผ่นดิน รวมทั้งการวิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจเชิงนโยบายด้านการเงินการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับกรณีรายงานการเงินรวมของรัฐบาลกลางและหน่วยงานภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ในส่วนของค่าใช้จ่ายบุคลากร ควรนำค่าใช้จ่ายที่จ่ายให้แก่บุคลากรที่แทรกอยู่ในค่าใช้จ่ายอื่น มาเป็นค่าใช้จ่ายบุคลากรเพื่อให้ครอบคลุมค่าใช้จ่ายบุคลากรทั้งหมด และมีผลต่อการคำนวณต้นทุนการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐ ส่วนกรณีเสนอแนะให้สำนักงาน ก.พ. พิจารณาจัดสรรอัตรากำลังเพิ่มเติมให้สำนักงานจังหวัด เห็นควรให้ อ.ก.พ. กระทรวงมหาดไทยพิจารณาปรับเกลี่ยอัตรากำลังให้สอดคล้องกับภารกิจหรือปรับปรุงการกำหนดตำแหน่งที่มีอยู่ให้เป็นตำแหน่งนักวิชาการการเงินและบัญชีหรือเจ้าพนักงานการเงินและบัญชีเพื่อปฏิบัติงานดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) ประสานงานกับคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อพิจารณาแนวทางส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ต่าง ๆ จัดหาและพัฒนาบุคลากรของ อปท. แต่ละแห่งให้มีความรู้ความสามารถด้านการเงินและบัญชีมากยิ่งขึ้น และสามารถจัดทำข้อมูลและรายงานการเงินที่เกี่ยวข้องของ อปท. ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยให้รายงานการเงินรวมภาครัฐมีความสมบูรณ์ครบถ้วนต่อไป |
||||||||||||||||||
1536 | ขออนุมัติขยายเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี 2549 - 2553 | ศธ | 09/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ๙ แห่ง ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล พระนคร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล กรุงเทพ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รัตนโกสินทร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล สุวรรณภูมิ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ตะวันออก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล อีสาน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ล้านนา และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ศรีวิชัย ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการยุทธศาสตร์การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓ ออกไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๙ และให้ความสำคัญกับการพัฒนาอาจารย์ระดับปริญญาโท และปริญญาเอกให้บรรลุตามเป้าหมายเป็นอันดับแรก พร้อมทั้งพัฒนาทักษะด้านภาษาต่างประเทศของอาจารย์ เพื่อการเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ด้วย สำหรับงบประมาณส่วนที่เหลือจากกรอบวงเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๗ (เรื่อง ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ปี ๒๕๔๙-๒๕๕๓) จำนวน ๑,๔๙๒.๑๖๕๐ ล้านบาท ให้มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลขอตั้งงบประมาณประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรตั้งเป้าหมายการผลิตบัณฑิตที่มุ่งเน้นให้มีการจัดสหกิจศึกษาในทุกสาขาวิชาเพิ่มขึ้น โดยเน้นในสาขาที่ประเทศมีความขาดแคลนเป็นพิเศษ อาทิ อุตสาหกรรมอาหาร ยานยนต์ แฟชั่น และซอฟต์แวร์ รวมทั้งการสร้างสรรค์ผลงานวิจัยหรือการเคลื่อนย้ายบุคลากรวิจัยของมหาวิทยาลัยไปปฏิบัติงานในบริษัทเอกชน เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการทำงานกับภาคอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด ตลอดจนการให้บริการทางวิชาการที่สนับสนุนความต้องการของชุมชนหรือท้องถิ่นเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ควรจัดทำแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายในแต่ละปีจนสิ้นสุดโครงการให้ชัดเจน ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนดและกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนที่ยังเหลืออีก ๑,๔๙๙,๔๐๓,๘๐๐ บาท และให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถานประกอบการและชุมชน โดยเฉพาะสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และส่งเสริมการพัฒนางานวิจัยร่วมกัน เพื่อให้การพัฒนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลบรรลุผลตามเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1537 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ และการเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ | พณ | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กรมส่งเสริมการส่งออกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙ รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ จำนวน ๒ แห่ง และค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศ จำนวน ๑๑ ราย ในวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๔๑,๐๑๙,๐๐๐ บาท โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒๒,๗๕๓,๘๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๑๘,๒๖๕,๒๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นของแต่ละแห่งกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินที่เห็นว่า กระทรวงพาณิชย์ชอบที่จะเบิกจ่ายค่าเช่าอาคารที่ทำการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศได้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการบริหารงานของส่วนราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๔๙ สำหรับค่าเช่าบ้านพักข้าราชการประจำในต่างประเทศให้เบิกจ่ายตามระเบียบของทางราชการ ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1538 | ขอความเห็นชอบ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ "รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน" ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2556 - 2559) | กษ | 02/10/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการ (ร่าง) แผนแม่บทโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๙) และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานโครงการ “รักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน” จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้กรอบแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ กรอบการพัฒนาในช่วงแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ เพื่อสนองพระราชดำริสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะพื้นที่ป่าต้นน้ำและพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนตามแนวทางการอยู่ร่วมกันของคนกับป่า และเพื่อพัฒนาคนในพื้นที่ลุ่มน้ำ มุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุลกับการอนุรักษ์ ตามแนวพระราชดำริการพัฒนาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๑.๒ ประเด็นการพัฒนา ๑.๒.๑ จัดตั้งถิ่นฐานถาวรในพื้นที่ลุ่มน้ำตามแนวพระราชดำริ สร้างความเข้มแข็งของชุมชน เสริมสร้างการเรียนรู้ และพัฒนาส่งเสริมอาชีพ ๑.๒.๒ บริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม น้ำ ดิน และป่า ในลักษณะองค์รวม มุ่งพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำและสนับสนุนความมั่นคงด้านอาหาร ๑.๒.๓ สร้างความมั่นคงในการดำเนินชีวิตของประชาชน สร้างโอกาสการเข้าถึงบริการ และใช้ประโยชน์จากธรรมชาติ และสร้างความมั่นคงในอาชีพ ๑.๒.๔ เตรียมความพร้อมรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ๑.๓ ยุทธศาสตร์การพัฒนา ๑.๓.๑ การพัฒนาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๑.๓.๒ การพัฒนาและส่งเสริมอาชีพเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ ๑.๓.๓ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน ๑.๓.๔ การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ๑.๔ องค์กรบริหารงาน ๑.๔.๑ ระดับนโยบาย ได้แก่ คณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการ ที่ปรึกษาโครงการพระราชดำริ สำนักราชเลขาธิการ (พลเอก นิพนธ์ ภารัญนิตย์) เป็นรองประธานกรรมการ และมีรองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ที่ได้รับมอบหมาย) เป็นกรรมการและเลขานุการ ๑.๔.๒ ระดับบริหารและอำนวยการ ได้แก่ คณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธาน มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นกรรมการ เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย กรมชลประทาน กรมพัฒนาที่ดิน กรมส่งเสริมการเกษตร กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ โดยมีหัวหน้าศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นกรรมการและเลขานุการ ทั้งนี้ โดยมีศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นศูนย์กลางการดำเนินงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๑.๔.๓ ระดับปฏิบัติ ได้แก่ คณะทำงานโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน จังหวัด...... รับผิดชอบดำเนินงานในระดับจังหวัดแต่ละจังหวัด โดยมีเกษตรและสหกรณ์จังหวัดและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายในแต่ละจังหวัดร่วมเป็นฝ่ายเลขานุการคณะทำงานฯ และเป็นแกนกลางดำเนินงานระดับจังหวัด ๒. ให้ประธานกรรมการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูงหรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการอำนวยการโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน และให้ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) หรือผู้แทน ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการบริหารและกำกับดูแลโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ๓. สำหรับการดำเนินการตามแผนแม่บทโครงการรักษ์น้ำเพื่อพระแม่ของแผ่นดิน ให้รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) รับไปพิจารณาในคณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษามหาราชินีเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ ร่วมกับคณะกรรมการและหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาในรายละเอียดและค่าใช้จ่ายของโครงการต่าง ๆ และบูรณาการการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการปลูกป่าของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นระบบ มีเอกภาพ และไม่เกิดความซ้ำซ้อน และดำเนินการต่อไปได้ ๔. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ในระดับนโยบาย/ระดับบริหารและอำนวยการ ควรมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมบริหารจัดการและผลักดันการดำเนินงานตามแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ ให้ครอบคลุมประเด็นทั้งด้านสุขภาพอนามัย ด้านการศึกษาในท้องถิ่นทุรกันดาร และการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และควรมีกลไกทำงานเชิงรุก ประสานและบูรณาการร่วมกับแผนแม่บท/แผนปฏิบัติการ/กิจกรรมในพื้นที่เป้าหมายที่หน่วยงานทั้งภายในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อดำเนินการให้บรรลุตามเป้าหมายของแผนแม่บทฯ ระยะที่ ๒ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับการถ่ายทอดข้อมูลและความรู้ในการประกอบอาชีพให้กับเกษตรกรเพื่อสร้างศักยภาพในการพึ่งพาตนเอง และพัฒนาผู้นำกลุ่มและเครือข่ายการผลิตให้มีความเข้มแข็ง สามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับหน่วยงานรัฐในกระบวนการผลิตที่สอดคล้องกับสภาพนิเวศน์บนพื้นที่สูง ส่งเสริมและสนับสนุนการทำเกษตรอินทรีย์ในพื้นที่บริเวณต้นน้ำเพื่อแก้ปัญหาดินขาดอินทรีย์วัตถุและป้องกันการปนเปื้อนสารเคมีไปยังปลายน้ำ และการนำวัตถุดิบที่เหลือใช้จากการเกษตรมาผลิตพลังงานทดแทนสำหรับใช้ในระดับครัวเรือนและชุมชน รวมทั้งควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้ชุมชนท้องถิ่นสามารถมีส่วนร่วมในการดำเนินการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับภาครัฐมากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของกระทรวงพลังงานให้เน้นการส่งเสริมการปลูกป่าที่เป็นพืชพลังงานทดแทน ๕. ให้คณะกรรมการโครงการประชาอาสาปลูกป่า ๘๐๐ ล้านกล้า ๘๐ พรรษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงข้อมูลการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในความรับผิดชอบกับคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาดำเนินโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ กบอ. ให้เหมาะสมสอดคล้องกันต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1539 | ร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน | ทส | 25/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบต่อร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน (Bangkok Resolution on ASEAN Environmental Cooperation) มีสาระสำคัญคือ เป็นการประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันเพื่อจัดการกับความท้าทายจากปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มลพิษจากหมอกควันข้ามแดน และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดยประเทศสมาชิกอาเซียนจะร่วมกันดำเนินการตามพันธสัญญาอาเซียนอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความสำเร็จตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (MDGs) ตลอดจนผลจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Rio+20) รวมถึงกระตุ้นให้มีความพยายามอย่างจริงจังที่จะปกป้อง อนุรักษ์และใช้ความหลากหลายทางชีวภาพของอาเซียนอย่างยั่งยืน โดยดำเนินตามแผนกลยุทธ์เพื่อการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพสำหรับปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๖๓ และเป้าหมายไอจิว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนส่งเสริมการจัดการทรัพยากรน้ำอย่างยั่งยืน และเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันให้มากขึ้นเพื่อป้องกันไฟป่าและลดมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน โดยการเฝ้าระวังและการดำเนินกิจกรรมป้องกันอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเสริมสร้างความร่วมมือในการฟื้นฟูสภาพป่าและลดการตัดไม้ทำลายป่า เพื่อป้องกันความสูญเสียทางความหลากหลายทางชีวภาพและเพิ่มแหล่งกักเก็บคาร์บอนในภูมิภาค ๑.๒ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองร่างข้อมติกรุงเทพฯ ว่าด้วยความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อมอาเซียน กับรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ ๑๒ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของไทย ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดำเนินการไปได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการให้ประเทศสมาชิกเร่งรัดกระบวนการให้สัตยาบันต่อพิธีสารนาโงย่าว่าด้วยการเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์ที่เกิดจากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียมและยุติธรรม และพิธีสารเสริมนาโงย่าว่าด้วยการรับผิดและการชดใช้ด้านความปลอดภัยทางชีวภาพ นั้น เนื่องจากการเข้าร่วมในพิธีสารดังกล่าวจะทำให้ประเทศอื่นเข้าถึงทรัพยากรและภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าว จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมและพัฒนาศักยภาพภายในประเทศให้เข้มแข็งทั้งด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี การพัฒนากฎระเบียบและมาตรการที่มีประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบและกำกับติดตามเงื่อนไขการแบ่งปันผลประโยชน์ รวมทั้งสร้างความเข้าใจและความพร้อมให้กับชุมชนท้องถิ่นต่อกระบวนการและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และจัดให้มีการฟังความคิดเห็นของประชาชน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีการให้สัตยาบันต่อพิธีสารดังกล่าวต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1540 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... | ศธ | 18/09/2555 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงว่าด้วยสิทธิขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในศูนย์การเรียน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้องค์กรชุมชนและองค์กรเอกชนอาจจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบการศึกษานอกระบบหรือการศึกษาตามอัธยาศัยได้ตามที่กำหนด ๒. กำหนดแบบคำขอ การยื่นคำขอ และแผนการจัดการศึกษาและการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแผนการจัดการศึกษาในการจัดตั้งศูนย์การเรียนขององค์กรชุมชนและองค์กรเอกชน ๓. กำหนดให้คุณสมบัติของผู้เรียนในศูนย์การเรียนขององค์กรเอกชนที่เป็นนิติบุคคลซึ่งไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทยเป็นไปตามที่กำหนด ๔. กำหนดให้ข้อกำหนดเกี่ยวกับคณะกรรมการศูนย์การเรียนเป็นไปตามที่กำหนด และกำหนดหน้าที่ของคณะกรรมการศูนย์การเรียน ๕. กำหนดหลักเกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู้และการออกหลักฐานทางการศึกษา ๖. กำหนดให้ศูนย์การเรียนอาจได้รับสิทธิประโยชน์ด้านเงินอุดหนุนจากรัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือองค์กรเอกชนอื่นสำหรับการจัดการศึกษา ๗. กำหนดหลักเกณฑ์การเลิกศูนย์การเรียน และการเรียกเงินอุดหนุนคืน
|
.....