ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 77 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1521 - 1540 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1521 | การบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. 2556 | นร | 11/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอย่างยั่งยืน ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ และเห็นชอบในหลักการการบูรณาการงบประมาณและการจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดสรรและตัดโอนงบประมาณลงสู่พื้นที่ให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และแจ้งศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศพส.)/สำนักงาน ป.ป.ส. ทราบด้วย ๑.๒ ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพิจารณานำงบประมาณที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ (ซึ่งรัฐบาลจัดสรรผ่านกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๓ ให้จังหวัดทุกจังหวัดพิจารณานำงบพัฒนาจังหวัดที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ มาใช้ในการสนับสนุนและเสริมการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ โดยเฉพาะการดำเนินโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน พื้นที่แพร่ระบาดทั่วประเทศ ๑.๔ ให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและกลไกเฉพาะที่จัดตั้งขึ้นจัดทำแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ปี ๒๕๕๖ โดยเฉพาะศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดจังหวัด (ศพส.จ.)/ศูนย์อำนวยการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดอำเภอ (ศพส.อ.) ให้กำหนดเป้าหมายในแต่ละแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัญหายาเสพติดให้แล้วเสร็จอย่างช้าภายในวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ และส่งให้ ศพส./สำนักงาน ป.ป.ส. ต่อไป ๑.๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพัฒนากระบวนการคัดกรองผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด และพัฒนาระบบการติดตามผู้ผ่านการบำบัดรักษาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อลดอัตราเสพซ้ำให้ได้ตามเป้าหมายที่กำหนด ๑.๖ ให้กระทรวงศึกษาธิการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการผลิตวิทยากรป้องกันฯ ให้ครบถ้วนตามเป้าหมาย ได้แก่ วิทยากรโครงการการให้การศึกษาเพื่อต่อต้านการใช้ยาเสพติดในสถานศึกษา (Drug Abuse Resistance Education : D.A.R.E) วิทยากรพระ วิทยากรครูทหาร วิทยากรตำรวจ วิทยากรที่เป็นครูในโรงเรียน และป้องกันเยาวชนก่อนวัยเสี่ยง (ระดับชั้น ป.๕-ป.๖) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ ๑.๗ ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกรมการพัฒนาชุมชนเป็นเจ้าภาพหลักในการป้องกันและแก้ไขปัญหากลุ่มเยาวชนนอกสถานศึกษา โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับ ศพส.จ./ศพส.อ. ๑.๘ ให้ ศพส.จ./ศพส.อ. ดำเนินการเร่งรัดปฏิบัติการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์เพื่อจูงใจให้ผู้เสพเข้าบำบัดโดยสมัครใจทั่วประเทศ โดยการจัดทำแผนพัฒนาระบบการบำบัดรักษาอย่างครบวงจร รวมทั้งการเร่งรัดการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ที่มีปัญหายาเสพติดรุนแรง ตามโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ปฏิบัติการปิดล้อม X-Ray เชิงรุก ๙๐ วัน ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินงานและการเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ โดยให้ ศพส. ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการในเรื่องข้อมูลของผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดรักษาให้มีความถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ทั้งนี้ ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินการในลักษณะบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานทั้งในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ต้องมีการพิจารณาแผนดำเนินงานอย่างรอบคอบเพื่อมิให้เกิดความซ้ำซ้อนในภารกิจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงาน และในการใช้จ่ายเงินงบประมาณ และกลุ่มเป้าหมาย การพิจารณาจัดกลุ่มเป้าหมายในการเข้าร่วมโครงการ “ชุมชนอุ่นใจได้ลูกหลานกลับคืน” ต้องมีการกำหนดขั้นตอนที่ชัดเจนและพิจารณาด้วยความละเอียดรอบคอบเพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่มีความสุ่มเสี่ยงกับยาเสพติดอย่างแท้จริง รวมทั้งการบูรณาการในเรื่องงบประมาณและแผนปฏิบัติการพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดควรมีการกำกับดูแลติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ต่อเนื่องและสม่ำเสมอ และมีการตรวจสอบการบริหารจัดการงบประมาณให้เกิดความโปร่งใส และประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เกิดความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้สามารถตอบสนองต่อวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดได้อย่างแท้จริง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับการจัดสรรงบประมาณด้านการบำบัดรักษาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดให้กับ ศพส.อ. ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น โรงเรียน วัด ชุมชน ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคลากรภายในหน่วยงานและภาคเอกชนถึงความสำคัญและจำเป็นของการให้โอกาสแก่ผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดที่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงานราชการ หรือลูกจ้าง ตลอดจนขอความร่วมมือกับภาคเอกชนในการรับบุคคลดังกล่าวเข้าทำงานหรือศึกษาต่อ เพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน รวมทั้งเสริมสร้างเจตคติที่ดีต่อผู้เสพ/ผู้ติดยาซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดว่าสามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างเป็นสุข |
|||||||||||||||||||||
1522 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา เรื่อง กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม | วธ | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของคณะกรรมาธิการการศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะ และวัฒนธรรม วุฒิสภา เรื่อง กฎบัตรประเทศไทยว่าด้วยการบริหารจัดการแหล่งมรดกวัฒนธรรม และผลการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมตามรายงานดังกล่าวในประเด็นเกี่ยวกับการควบคุมดูแลรักษาพื้นที่ มรดกทางวัฒนธรรม บทนิยามศัพท์ วัตถุประสงค์ของกฎบัตร แนวทางปฏิบัติ หลักการและเหตุผล หลักการในการอนุรักษ์ การบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และการบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกต ดังนี้
๑. เนื่องจากกฎบัตรฯ ไม่ใช่กฎหมาย ไม่มีผลบังคับใช้ แต่มีความสำคัญในการใช้เป็นแนวทางการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์มรดกวัฒนธรรมของชาติ ให้กับทุกภาคส่วน อย่างน้อยที่สุดหน่วยงานของรัฐควรใช้เป็นแนวทางในการอ้างอิงเพื่อประโยชน์ในการปกปักรักษามรดกวัฒนธรรมของชาติและสนับสนุนการดำเนินงานโดยภาคประชาชน ๒. รัฐควรเป็นผู้เปิดโอกาสและเผยแพร่ให้ภาคประชาชนเห็นความสำคัญและใช้แนวทางในกฎบัตรฯ ในการสืบสานมรดกวัฒนธรรม รวมถึงเป็นผู้นำสู่การปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ โดยวุฒิสภา เป็นผู้ประสานงาน ๓. รัฐควรสนับสนุนให้มีกองทุนเพื่อการบริหารจัดการมรดกวัฒนธรรมเพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินงานรักษามรดกวัฒนธรรมอย่างเป็นรูปธรรม เช่น Natioanl Trust ในอังกฤษ ๔. การนำแนวทางในกฎบัตรฯ ไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วนอย่างนัยสำคัญ และถือเป็นความสำคัญอันดับต้น ๆ ในการพัฒนาท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||
1523 | ร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... | นร09 | 04/12/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติยกเลิกกฎหมายบางฉบับที่หมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่น พ.ศ. .... ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎร ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติฯ มีสาระสำคัญคือ ให้ยกเลิกกฎหมายที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้บังคับอีกต่อไป จำนวน ๙ ฉบับ ดังนี้
๑. พระราชบัญญัติควบคุมและจัดการกิจการหรือทรัพย์สินของคนต่างด้าวบางจำพวกในภาวะคับขัน พุทธศักราช ๒๔๘๔ ๒. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. ๒๕๐๔ ๓. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๐๙ ๔. พระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๑๑ ๕. พระราชบัญญัติสถานสินเชื่อท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๑๘ ๖. พระราชบัญญัติการประกอบอาชีพงานก่อสร้าง พ.ศ. ๒๕๒๒ ๗. พระราชบัญญัติการประกอบอาชีพงานก่อสร้าง (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๒๔ ๘. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๔๕ ๙. ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๕๓ |
|||||||||||||||||||||
1524 | รายงานประจำปี 2554 พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี | ศธ | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ พร้อมรายงานของผู้สอบบัญชีและรายงานการเงิน ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การวิจัย พัฒนาและเผยแพร่หลักสูตร สื่อ อุปกรณ์และกระบวนการเรียนรู้ โดยดำเนินโครงการวิจัย พัฒนาหลักสูตร สื่อกระบวนการเรียนการสอนการวัดและประเมินผลให้ทันสมัยทัดเทียมนานาชาติ โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้ดิจิทัล ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และโครงการวิจัยติดตามประเมินผลเพื่อพัฒนาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีทั้งในประเทศและร่วมกับนานาชาติ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาศักยภาพครู เพื่อเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง และโครงการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ในโรงเรียนพระราชดำริและโรงเรียนในท้องถิ่นทุรกันดาร ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การประเมินมาตรฐานการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาและประเมินมาตรฐานครูบุคลากรทางการศึกษาและสถานศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี และโครงการพัฒนาเครื่องมือวัดและประเมินสัมฤทธิผลการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การสร้างความเข้าใจให้สาธารณชนตระหนักในความสำคัญของวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการสร้างเครือข่ายและแหล่งเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต และโครงการสร้างความตระหนักในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี ๒. การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างเต็มศักยภาพ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและส่งเสริมการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้ที่มีความรู้ความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ ๒, ๓ และ ๔ และโครงการจัดการแข่งขันคอมพิวเตอร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ ๒๓ ในปี ๒๕๕๔ ณ ประเทศไทย ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๖ การพัฒนาและส่งเสริมครูที่มีความสามารถพิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โดยดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ๓. การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ๓.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๗ การพัฒนาขีดความสามารถองค์กรให้มีศักยภาพสูง กำหนดเป้าหมายและทิศทางที่ชัดเจนด้วยความมั่นคง ต่อเนื่อง มีการประสานงานที่ดีตลอดเวลา รวมทั้งเตรียมความพร้อมให้มีบุคลากรที่มีศักยภาพสูง มีระบบงาน กระบวนการ และทรัพยากรทางการบริหารจัดการที่มีคุณภาพ ทันสมัย และใช้ปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๓.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๘ การพัฒนาและบริหารจัดการองค์ความรู้ โดยดำเนินโครงการพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างองค์กร ระบบงานและค่าตอบแทน โครงการเสริมสร้างบทบาทของ สสวท. ในการยกระดับคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี โครงการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร โครงการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อขยายขีดความสามารถการดำเนินภารกิจ โครงการพัฒนาและบริหารจัดการความรู้ และโครงการบริหารจัดการทรัพย์สินทางปัญญา ๔. ทิศทางและแผนการดำเนินงาน ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๔.๑ การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เน้นการบูรณาการแผนงาน และทรัพยากรกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ ๔.๒ การพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี อย่างเต็มตามศักยภาพ มุ่งเน้นการดำเนินกิจกรรมสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษอย่างต่อเนื่อง ๔.๓ การปรับปรุงกระบวนการจัดการบริหารภายในและความรู้สู่องค์กรคุณภาพสูง ปรับโครงสร้างองค์กรให้สามารถบริหารจัดการได้อย่างสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ ปรับโครงสร้างเงินเดือนเพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถและรักษาบุคลากรที่มีไว้กับองค์กร รวมทั้งพัฒนาและปรับปรุงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อขยายขีดความสามารถในการดำเนินภารกิจที่จะส่งผลต่อกระบวนการบริหารจัดการภายในที่มีประสิทธิภาพ ๕. งบแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ และ ๒๕๕๓ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้ว โดยผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันเดียวกันของแต่ละปีของ สสวท. ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญ ตามหลักการบัญชีที่กระทรวงการคลังกำหนด
|
|||||||||||||||||||||
1525 | การสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ | พม | 20/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบการสนับสนุนมาตรการผลักดันการจัดสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ ตามมติคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดย ๑.๑ ให้สำนักงบประมาณสนับสนุนงบประมาณสำหรับการก่อสร้างอาคารใหม่ของหน่วยงานหรืออาคารเก่าต้องปรับปรุง หรือจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคมเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้ของหน่วยงานราชการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง ขอมติคณะรัฐมนตรีให้หน่วยงานราชการสำรวจและจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงได้) โดยจัดสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ไม่น้อยกว่า ๕ ประเภท ได้แก่ ทางลาด ห้องน้ำ ที่จอดรถ ป้ายและสัญลักษณ์และบริการข้อมูลข่าวสาร ตามที่หน่วยงานขอรับการสนับสนุน ทั้งนี้ การประมาณการงบประมาณสำหรับการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบทั้ง ๕ ประเภท แห่งละ ๓๐๐,๐๐๐ บาท ๑.๒ ให้ทุกหน่วยงานกำหนดเป้าหมายการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) ๑.๓ ให้ทุกหน่วยงานรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน พร้อมทั้งชี้แจงเหตุผลความจำเป็นกรณีไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานกำหนดไว้ได้ โดยให้สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นผู้รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดเป้าหมาย แผนการดำเนินงาน และแผนการใช้จ่ายเงินในการจัดทำสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนพิการเพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) และเสนอแผนดังกล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นกรอบการจัดสรรงบประมาณประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานดังกล่าวรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรขยายนิยามของ “หน่วยงานราชการ” ให้หมายรวมถึงหน่วยงานภาครัฐอื่น ๆ ด้วย เช่น กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานที่เรียกชื่ออย่างอื่นซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากรม เป็นต้น เพื่อประโชนต่อคนพิการ และสนับสนุนงบประมาณสำหรับการจัดการสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการ ครบ ๕ ประเภท ให้ครอบคลุมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกประเภท รวมทั้งกำหนดเป้าหมายและรายงานผลการดำเนินงานทุกรอบ ๖ เดือน โดยดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1526 | ผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง - คงคา ครั้งที่ 6 | กต | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือแม่น้ำโขง-คงคา (Mekong-Ganga Cooperation : MGC) ครั้งที่ ๖ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๕ ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเข้าร่วมการประชุม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุม MGC ครั้งที่ ๖ ๑.๑ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์สิ่งทอดั้งเดิมของเอเชียที่กัมพูชา ซึ่งไทยยินดีที่จะให้การสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์และผู้เชี่ยวชาญในการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ ๑.๒ ที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าความร่วมมือในการอนุรักษ์แหล่งมรดกโลก อาทิ ปราสาทตาพรมในกัมพูชา วัดพูใน สปป.ลาว วัดอนันดาในเมียนมาร์ และปราสาทหมีเซินในเวียดนาม ๑.๓ ที่ประชุมยินดีที่อินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ด้านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นควรให้เชื่อมต่อเส้นทางไปยังกัมพูชา และ สปป.ลาว รวมทั้งการพัฒนาเส้นทางใหม่ อินเดีย-เมียนมาร์-สปป.ลาว-เวียดนาม-กัมพูชา ๑.๔ อินเดียจะจัดทำเอกสาร concept paper ในการจัดตั้งคณะทำงานสาขาใหม่ (สาธารณสุข และวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม) และเวียนให้ประเทศสมาชิกพิจารณาต่อไป ๑.๕ ที่ประชุมยินดีที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุม World Teak Conference ที่กรุงเทพฯ ในเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ และจัดฝึกอบรมด้าน Eco-tourism และ Community-based Tourism ให้กับประเทศสมาชิกในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑.๖ อินเดียประกาศให้เงินสนับสนุน จำนวน ๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับจัดตั้งทุน India-CLMV Quick Impact Projects Revolving Fund จำนวน ๒๐ โครงการ สำหรับประเทศ CLMV ๑.๗ อินเดียจะขยายระยะเวลาการให้ทุน Indian Council for Cultural Relations (ICCR) ไปถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๙ โดยที่ประชุมรับทราบความคืบหน้าการจัดตั้งศูนย์พัฒนาผู้ประกอบการ ศูนย์ฝึกอบรมภาษาอังกฤษ และศูนย์อบรมวิชาชีพในประเทศสมาชิกโดยการสนับสนุนของอินเดีย ๑.๘ ที่ประชุมให้มีการหารือจัดตั้งศูนย์รวบรวมเอกสารจดหมายเหตุของประเทศสมาชิกที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ๑.๙ สปป.ลาว จะเป็นประธานการประชุมรัฐมนตรี MGC ครั้งต่อไป ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างการประชุมรัฐมนตรี ASEAN-India และให้การหมุนเวียนตำแหน่งประธานเป็นไปตามอักษรชื่อประเทศ ๒. ประเด็นที่ไทยแจ้งที่ประชุม MGC ครั้งที่ ๖ ๒.๑ สนับสนุนบทบาทที่แข็งขันของอินเดียในกรอบนี้ และพร้อมร่วมมือกับอินเดียในการเร่งพัฒนาอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ๒.๒ ย้ำบทบาทไทยในฐานะประเทศนำสาขาการท่องเที่ยว และพร้อมสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ในทุกสาขาความร่วมมือของกรอบ MGC ๒.๓ สนับสนุนแนวคิดการเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค โดยเฉพาะการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกทวายในเมียนมาร์และการเชื่อมต่อจากทวายไปยังแหลมฉบังต่อไปยังกัมพูชาและเวียดนาม ตามแนว Southern Economic Corridor (SEC) รวมทั้งการเชื่อมจากทวายไปยังอินเดียผ่านท่าเรือเจนไน ๒.๔ ยินดีที่อินเดียจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ด้านการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม และเสนอให้มีการจัดการประชุมระดับรัฐมนตรีในเรื่องนี้ ๒.๕ เสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการพัฒนาถนนเชื่อมโยงไทย-เมียนมาร์-อินเดีย ในลักษณะเดียวกับการพัฒนา East-West Economic Corridor (EWEC)
|
|||||||||||||||||||||
1527 | การคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ | รง | 12/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบการดำเนินงานคุ้มครองประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงแรงงานได้ตั้งเป้าหมายการดำเนินงานให้แรงงานนอกระบบได้รับความคุ้มครองประกันสังคม ภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ จำนวน ๑.๒๐ ล้านคน โดยมอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมดำเนินการรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบเกิดความเข้าใจ และสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑.๒ ในการส่งเงินเข้ากองทุนประกันสังคม แรงงานนอกระบบที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ สามารถจ่ายเงินสมทบผ่านช่องทางต่าง ๆ ได้แก่ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานคร พื้นที่ ๑-๑๒ สำนักงานประกันสังคมจังหวัดและสาขา หักบัญชีเงินฝากของผู้ประกันตนผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และจ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส ห้างเทสโก้ โลตัส และไปรษณีย์ ๑.๓ การดำเนินงาน ณ วันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๕ มีแรงงานนอกระบบได้รับการประกันสังคม จำนวน ๑,๐๖๘,๘๓๙ คน หรือร้อยละ ๘๙.๐๗ ของเป้าหมาย โดยแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ จ่ายเงินสมทบเพื่อรับสิทธิประโยชน์ในทางเลือกที่ ๑ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๐๐ บาท ได้รับสิทธิ ๓ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ และตาย (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๕,๔๖๘ คน หรือร้อยละ ๐.๕๐ ของผลการดำเนินงาน และทางเลือกที่ ๒ อัตราเงินสมทบเดือนละ ๑๕๐ บาท ได้รับสิทธิ ๔ กรณีคือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และบำเหน็จชราภาพ (การรักษาพยาบาลใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) จำนวน ๑,๐๖๓,๓๗๑ คน หรือร้อยละ ๙๙.๕๐ ของผลการดำเนินงาน ๑.๔ การเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล ตามทางเลือกที่ ๑ และ ๒ นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ รวมระยะเวลา ๑๖ เดือน เบิกจ่ายแล้วเป็นจำนวน ๓๕๑,๒๗๖,๙๕๐ บาท ในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ คงเหลือเงินงบประมาณที่สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท โดยที่จำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉพาะในเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่ายเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน ๓๐,๕๗๔,๖๙๐ บาท และในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ มีการเบิกจ่าย จำนวน ๓๑,๑๐๒,๒๑๐ บาท หากใช้ข้อมูลในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๕ เป็นฐานในการประมาณการ คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายเงินอุดหนุนได้ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๕ บางส่วน ๑.๕ เนื่องจากกระทรวงแรงงานอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ในมาตรา ๔๐ เพื่อให้รัฐบาลสามารถจ่ายเงินสมทบร่วมกับผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ และคาดว่าเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติจัดสรรให้แก่กระทรวงแรงงานเบิกจ่ายเพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา ๔๐ มีจำนวนไม่เพียงพอ อาจจะส่งผลให้การดำเนินงานประกันสังคมแก่แรงงานนอกระบบไม่ต่อเนื่อง จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อสนับสนุนช่วยเหลือบรรเทาภาระของประชาชนไปพลางก่อน ๒. อนุมัติหลักการจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบที่สมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ จากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินไม่เกิน ๑๔๕,๕๓๔,๗๐๐ บาท เนื่องจากสำนักงานประกันสังคมมีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ เหลือจ่าย จำนวน ๑๑๗,๙๒๓,๐๕๐ บาท ซึ่งคาดว่าจะเพียงพอต่อการอุดหนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนแรงงานนอกระบบดังกล่าวไปจนถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ จึงเห็นสมควรให้สำนักงานประกันสังคมตรวจสอบและใช้จ่ายจากวงเงินดังกล่าวไปก่อน และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มเติม ก็ขอให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเป็นรายเดือนเพื่อขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ในส่วนค่าตอบแทนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และการประชาสัมพันธ์รณรงค์ให้แรงงานนอกระบบสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตน ตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ หากกระทรวงแรงงานไม่สามารถใช้จ่ายจากเงินกองทุนประกันสังคมได้ ให้หารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ๔. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเพิ่มช่องทางในการให้และรับบริการให้ครอบคลุมประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการคุ้มครองทางสังคมได้อย่างสะดวก รวดเร็วในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางการจ่ายเงินสมทบผ่านเครือข่ายการทำงานร่วมของภาคประชาชน องค์กรชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1528 | ขออนุมัติการดำเนินโครงการบำบัดน้ำเสียรวม พื้นที่เทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) ในการประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๕ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๕ (ฝ่ายการเกษตรและการท่องเที่ยว) เสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามมติคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๑.๑ เห็นชอบโครงการบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร โดยให้องค์การจัดการน้ำเสีย (อจน.) ลงทุนเฉพาะในระยะที่ ๑ วงเงินลงทุน ๒,๗๕๐.๖๓ ล้านบาทก่อน ส่วนการลงทุนในระยะที่ ๒ ซึ่งเป็นการผูกพันงบประมาณระยะยาวถึงปี พ.ศ. ๒๕๗๓ ควรประเมินผลการดำเนินการในระยะที่ ๑ รวมทั้งศึกษาทบทวนข้อสมมติต่าง ๆ ก่อนเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนต่อไป โดยให้ปรับลดระยะเวลาในการบริหารจัดการเดินระบบบำบัดจาก ๒๕ ปี เป็น ๑๕ ปี เพื่อเร่งถ่ายโอนภารกิจให้เทศบาลนครอ้อมน้อย ๑.๒ ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรสาคร และเทศบาลนครอ้อมน้อย ร่วมลงทุนในโครงการฯ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโครงการฯ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและสร้างความเป็นเจ้าของโครงการฯ โดยให้ อจน. เร่งเจรจาและจัดทำข้อตกลงเรื่องสัดส่วนการร่วมลงทุนกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาลนครอ้อมน้อยโดยเร็ว โดยเงินร่วมลงทุนดังกล่าว ให้หักจากเงินอุดหนุนประจำปีที่จัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทั้งสอง ๑.๓ ให้ อจน. เร่งประสานเทศบาลนครอ้อมน้อยให้มีการตราเทศบัญญัติในการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งให้แล้วเสร็จก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ รวมทั้งจัดทำข้อตกลงกับเทศบาลนครอ้อมน้อยให้รับภาระค่าบริการบำบัดน้ำเสียและค่าบริการระบายน้ำทิ้งส่วนที่ไม่สามารถจัดเก็บได้ตามเป้าหมาย โดยต้องมีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนพร้อมทั้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด ๑.๔ ให้ อจน เพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บรายได้จากการให้บริการจัดการน้ำเสียและเร่งสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนและโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่เพื่อลดการต่อต้านในการจัดเก็บค่าบริการและเพื่อลดภาระจากการพึ่งพาเงินงบประมาณแผ่นดิน และให้ อจน. จัดเตรียมแผนและดำเนินการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้ให้กับเทศบาลนครอ้อมน้อยในการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของเทศบาลนครอ้อมน้อยให้พร้อมรับถ่ายโอนภารกิจได้ภายในระยะเวลาของโครงการฯ ๑.๕ ให้ อจน. ร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด และกรมควบคุมมลพิษ ในการติดตามตรวจสอบและบังคับใช้พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ และพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ อย่างเคร่งครัด เพื่อควบคุมและป้องกันการลักลอบระบายมลพิษลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ และร่วมกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเพื่อขอความร่วมมือโรงงานอุตสาหกรรมในการจัดการน้ำเสียโรงงานและการชำระค่าบริการบำบัดน้ำเสีย ๒. เห็นควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุมัติโครงการ ให้เทศบาลนครอ้อมน้อยต้องรับผิดชอบในการสมทบเงินค่าใช้จ่ายในการเดินระบบและบำรุงรักษาระบบบำบัดน้ำเสีย หากการจัดเก็บค่าบริการบำบัดน้ำเสียจากโรงงานอุตสาหกรรมและชุมชนได้ไม่เพียงพอ รวมทั้งให้มีการตกลงในเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจนก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ ๓. สำหรับการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียในระยะที่ ๒ หรือระยะต่อไป ให้พิจารณาจากความต้องการและความจำเป็นโดยพิจารณาจากความรุนแรงของปัญหาหรือปริมาณน้ำเสียที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อยเพียงใด หากปริมาณน้ำเสียมีมากขึ้นจึงค่อยพิจารณาขยายระบบต่อไป โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องในการดำเนินการบำบัดน้ำเสียและระยะเวลาในการก่อสร้าง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดช่วงในการบำบัดน้ำเสีย |
|||||||||||||||||||||
1529 | การตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้ง | ทส | 06/11/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการตรวจติดตามสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขปัญหาภัยแล้งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงฯ โดยได้ดำเนินการตรวจเยี่ยมและให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ขาดแคลนน้ำดื่มสะอาด และพื้นที่ประสบภัยแล้ง โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้รับทราบแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและมอบหมายให้กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมทรัพยากรน้ำ บูรณาการร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย เพื่อแก้ไขปัญหาภัยแล้งต่อไป ดังนี้
๑. จังหวัดลพบุรีและสระบุรี ตรวจติดตามโครงการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาลเพื่อสนับสนุนระบบน้ำดื่มสะอาดให้กับโรงเรียนทั่วประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ณ โรงเรียนท่าวุ้งวิทยาคาร ตำบลท่าวุ้ง อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี และตรวจเยี่ยมพื้นที่ประสบปัญหาภัยแล้ง พร้อมปล่อยขบวนคาราวานรถเจาะน้ำบาดาล ส่งมอบบ่อน้ำบาดาลและระบบปรับปรุงคุณภาพน้ำภาคสนาม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลโคกใหญ่-หรเทพ อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ๒. จังหวัดกาฬสินธุ์ ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองคอนเตรียม หมู่ ๓, ๙ ตำบลหลักเหลี่ยม อำเภอนามน จังหวัดกาฬสินธุ์ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ๓. จังหวัดอุดรธานี ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านเชียงกรม หมู่ ๑๔ ตำบลนาม่วง อำเภอประจักษ์ศิลปาคม และบ้านหนองไผ่น้อย หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการสูบน้ำระยะไกลเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านหนองไผ่ หมู่ ๖ ตำบลหนองไผ่ อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พร้อมทั้งตรวจการสูบน้ำเพื่อแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ ตำบลสุมเส้า อำเภอเพ็ญ และบ้านหนองบุ่งหวาย หมู่ ๑๓ บ้านจอมตาลใต้ ตำบลจอมศรี อำเภอเพ็ญ จังหวัดอุดรธานี โดยกรมทรัพยากรน้ำ ๔. จังหวัดสกลนคร ตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านใต้ อำเภอสว่างแดนดิน และตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านดอนดู่ หมู่ ๓ ตำบลนาตงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล รวมทั้งตรวจการเจาะน้ำบาดาลและสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตร และช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง และนำรถผลิตน้ำดื่มสะอาดแจกจ่ายแก่ประชาชน ณ บ้านโพนแคใหญ่ หมู่ ๒ ตำบลนาดงวัฒนา อำเภอโพนนาแก้ว จังหวัดสกลนคร โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๕. จังหวัดบึงกาฬ ตรวจการสูบน้ำบาดาลเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ วัดสอนเจริญราษฎร์ หมู่ ๑ ตำบลนาสิงห์ อำเภอศรีวิไล จังหวัดบึงกาฬ โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๖. จังหวัดหนองคาย ตรวจการแก้ไขปัญหาแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง โดยจัดทำจุดจ่ายน้ำ และสาธิตการสูบน้ำระยะไกล ณ บ้านดงคำพี้ หมู่ ๗ ตำบลวัดหลวง อำเภอโพนพิสัย และจัดทำจุดจ่ายน้ำ และแจกจ่ายน้ำให้แก่ประชาชน ณ บ้านเบิด หมู่ ๖ ตำบลวัดธาตุ อำเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งตรวจการแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้ง ณ บ้านน้ำสวย หมู่ ๑๑ ตำบลสระไคร อำเภอสระไคร จังหวัดหนองคาย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย
|
|||||||||||||||||||||
1530 | ขอความเห็นชอบให้ข้าราชการลาเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2555 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ 28 กรกฎาคม 2555 | วธ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ให้ข้าราชการทุกประเภท (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ รวมถึงลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๕ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๕ เป็นระยะเวลา ๑๕ วัน (ตั้งแต่เตรียมการอุปสมบทถึงลาสิกขา) โดยไม่ถือเป็นวันลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการและได้รับเงินเดือนตามปกติ ๑.๒ การใช้สิทธิการลาเพื่อเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการฯ ให้สิทธิแก่ข้าราชการ (ยกเว้นข้าราชการการเมืองและข้าราชการส่วนท้องถิ่น) พนักงานราชการ ลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราวของส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และพนักงานรัฐวิสาหกิจที่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการมาแล้ว สามารถลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้ได้อีก สำหรับผู้ที่ไม่เคยลาอุปสมบทระหว่างรับราชการ หากได้ลาอุปสมบทเพื่อเฉลิมพระเกียรติตามมติคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้แล้ว ไม่มีผลกระทบสิทธิในการลาอุปสมบทในอนาคต ซึ่งเป็นการใช้สิทธิการลาอุปสมบทครั้งแรกตั้งแต่เริ่มราชการ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยยังคงได้สิทธิการลาอุปสมบทและยังคงได้สิทธิในการรับเงินเดือนตามปกติ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑.๓ การใช้สิทธิตามมติคณะรัฐมนตรี ผู้ลาจะต้องเข้าร่วมอุปสมบทในโครงการที่ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ หรือภาคเอกชนจัดขึ้นเป็นโครงการอย่างชัดเจน และเข้าร่วมอบรมตามหลักสูตรศาสนศึกษา สำหรับผู้บวชระยะสั้นตามที่กรมการศาสนาหรือคณะสงฆ์กำหนด ทั้งนี้ ให้ลาได้ตามระยะเวลาที่กำหนดของโครงการแต่ไม่เกิน ๑๕ วัน หากอุปสมบทเป็นเอกเทศโดยไม่ได้เข้าร่วมโครงการ จะไม่ได้รับสิทธิในการลาดังกล่าว ๒. หากมีส่วนราชการ หรือหน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกำหนดจัดโครงการอุปสมบท เนื่องในโอกาสมหามงคลดังกล่าว และมีความประสงค์ให้ข้าราชการเข้าร่วมอุปสมบท ระยะเวลา ๑๕ วัน แต่วันที่ดำเนินการไม่ตรงกัน ให้ได้รับสิทธิในการลาอุปสมบทโดยไม่ถือเป็นวันลาเช่นเดียวกันด้วย ตามความเห็นของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||
1531 | โครงการแนวร่วมดูแลคูคลอง "รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง" | นร04 | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการประชาสัมพันธ์โครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” ไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจนทั่วถึง และให้เพิ่มมหาวิทยาลัยมหิดลเป็นผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการ ตลอดจนการอบรมและสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ประชาชนเกี่ยวกับโครงการดังกล่าว ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เสนอ ๒. ขอความร่วมมือให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง รวมตลอดถึงภาคเอกชนและชุมชนต่าง ๆ ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการ “รวมแรงไทยรักษาน้ำใสทุกคูคลอง” โดยให้แต่ละหน่วยงานแจ้งผลการดำเนินการไปยังรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย) เพื่อรายงานคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ๓. ให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางการดำเนินโครงการนี้ไปปรับใช้กับการดูแลรักษาคูคลองต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยประสานงานและขอความร่วมมือให้กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนและร่วมดำเนินการให้บรรลุผลอย่างยั่งยืน ๔. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) รับไปดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสร้างจิตสำนึกความเป็นเจ้าของและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการดูแลรักษาคูคลองให้อยู่ในสภาพดี รวมทั้งสนับสนุนให้มีการตกแต่งคูคลองให้เรียบร้อยสวยงาม เพื่อประโยชน์ในการส่งเสริมการท่องเที่ยว
|
|||||||||||||||||||||
1532 | ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. ..... | พม | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้คงวัตถุประสงค์ของสำนักงานธนานุเคราะห์ในการดำเนินกิจการรับจำนำทรัพย์สิน และดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์เพื่อดูแลและช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อย และพิจารณารูปแบบที่เหมาะสมในการจัดตั้งสำนักงานธนานุเคราะห์ให้เป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรพิจารณาทบทวนความคุ้มค่าของการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการรับฝากทรัพย์ตามวัตถุประสงค์ของมาตรา ๗ เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวในปัจจุบันมีผลตอบแทนที่ไม่สูงมากนัก ในขณะที่สำนักงานธนานุเคราะห์อาจมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น และร่างมาตรา ๘(๖) การซื้อขายอนุพันธ์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้าตามกฎหมายว่าด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า รวมทั้งการก่อภาระหรือสิทธิอันเนื่องมาจากการซื้อขายอนุพันธ์ หรือเข้าผูกพันตามอนุพันธ์ หรือการซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการรับจำนำ สมควรได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีก่อนดำเนินการ นอกจากนี้ กรณีการขออนุญาตตั้งสถานธนานุเคราะห์ การย้ายสถานธนานุเคราะห์ การเรียกหรือรับดอกเบี้ย ข้อห้ามในการรับจำนำ หน้าที่ของผู้รับจำนำ หรือกรณีอื่นใดตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ยังคงต้องดำเนินการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติดังกล่าว เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เห็นควรพิจารณาถึงผลประกอบการที่ผ่านมาของสำนักงานธนานุเคราะห์ วัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ ส่วนแบ่งทางการตลาด และโอกาสในการสร้างมูลค่าของกิจการให้สูงขึ้น รวมทั้งประเมินภาระงบประมาณของรัฐที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นและความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งทางด้านการเงินและด้านเศรษฐกิจ รวมถึงปัจจัยผลกระทบต่อผู้ประกอบธุรกิจโรงรับจำนำและเกี่ยวเนื่องรายอื่น นอกจากนี้ การดำเนินกิจการของสำนักงานธนานุเคราะห์ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในลักษณะเดียวกันหรือใกล้เคียงกันของส่วนท้องถิ่นและภาคเอกชน และความเป็นไปได้ในการถ่ายโอนภารกิจดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
1533 | การส่งเสริมและสนับสนุนให้สหกรณ์เป็นวาระแห่งชาติในโอกาสทศวรรษครบ 100 ปี ของการสหกรณ์ไทย | กษ | 22/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงานตามข้อเสนอวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามยุทธศาสตร์และแนวทางในการดำเนินงาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สำหรับแนวทางในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ประกอบด้วย ๕ ยุทธศาสตร์ (๑๓ กลยุทธ์) สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างและพัฒนาการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในชาติ ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ ผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนในระบบการศึกษา และกลยุทธ์ที่ ๒ สร้างและผลักดันการจัดการเรียนรู้และทักษะการสหกรณ์สู่วิถีชีวิตประชาชนนอกระบบการศึกษา ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ สนับสนุนและพัฒนาการรวมกลุ่มของประชาชนด้วยวิธีการสหกรณ์ให้เป็นฐานรากสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ประกอบด้วย ๒ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ สร้างความเข้มแข็งให้กลุ่มเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนโดยใช้วิธีการสหกรณ์เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และกลยุทธ์ที่ ๒ ส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ใช้ระบบสหกรณ์เป็นกลไกในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ เพิ่มศักยภาพการเชื่อมโยงเครือข่ายระบบการผลิตการตลาดและการเงินของสหกรณ์ ประกอบด้วย ๓ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การสร้างเครือข่ายกลุ่มผู้ผลิตสินค้าคุณภาพเพื่อยกระดับสินค้าสหกรณ์ให้ได้มาตรฐาน กลยุทธ์ที่ ๒ การสร้างเครือข่ายการตลาดสินค้าสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๓ เชื่อมโยงเครือข่ายการเงินสหกรณ์ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ สนับสนุนแผนพัฒนาการสหกรณ์ให้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเข้มแข็งของขบวนการสหกรณ์ มี ๑ กลยุทธ์ คือ ผลักดันแผนพัฒนาการสหกรณ์สู่การปฏิบัติ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐ ขบวนการสหกรณ์ และปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการพัฒนา ประกอบด้วย ๔ กลยุทธ์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ ๑ การปฏิรูปโครงสร้างหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวกับงานส่งเสริมสหกรณ์ กลยุทธ์ที่ ๒ ปฏิรูปโครงสร้างสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย กลยุทธ์ที่ ๓ ปรับปรุงโครงสร้างชุมนุมสหกรณ์ และสหกรณ์ และกลยุทธ์ที่ ๔ ปรับปรุงกฎหมายสหกรณ์ให้เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาสหกรณ์ ภายใต้หลักการอุดมการณ์ และวิธีการสหกรณ์ให้เหมาะสมกับสหกรณ์แต่ละประเภท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์วาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมประเด็นการพัฒนา ให้สหกรณ์ดำเนินการได้อย่างเป็นมืออาชีพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ และยุทธศาสตร์ที่ ๕ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหน่วยงาน อำนาจหน้าที่ อัตรากำลัง รวมทั้งการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอน ข้อกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรร่วมกันจัดทำแผนปฏิบัติการตามยุทธศาสตร์ในวาระแห่งชาติด้านการสหกรณ์ที่มีรายละเอียดของแผนงาน/โครงการ งบประมาณ และหน่วยงานรับผิดชอบในแต่ละประเด็นยุทธศาสตร์อย่างชัดเจน และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้สหกรณ์ ชุมนุมสหกรณ์ และสันนิบาตสหกรณ์แห่งประเทศไทย รวมทั้งเครือข่ายการพัฒนาที่เกี่ยวข้องให้มีการดำเนินการที่เอื้อและส่งเสริมกันและกันอย่างมีเอกภาพ เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์แต่ละประเภทในทุกระดับ มีความเป็นอิสระ มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน และมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. สำหรับภาระค่าใช้จ่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับแผนการใช้จ่ายงบประมาณมาดำเนินการ ส่วนในปีต่อ ๆ ไป ให้เสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||
1534 | แผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ 1) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. 2555 - 2559 | ศธ | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การพัฒนาเด็กช่วงปฐมวัยเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายด้านสังคมและคุณภาพชีวิตของรัฐบาล ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งและต้องพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม โดยมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหลายด้านและเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายช่วงวัย ทั้งสตรี ผู้สูงอายุ ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหลายหน่วยงาน ดังนั้น เพื่อให้นโยบายดังกล่าวบรรลุตามวัตถุประสงค์และเพื่อให้มีการบูรณาการวิธีการทำงานร่วมกัน จะได้จัดให้มีการประชุมร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหารือในเรื่องดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานในการประชุมและให้ถือเป็นวาระแห่งชาติ และเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ๒. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์ชาติด้านเด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ตามนโยบายรัฐบาล ด้านเด็กปฐมวัย พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ชาติ ฯ ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๒.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เด็กทุกคนได้รับบริการในการพัฒนาเต็มศักยภาพ เป้าหมายคือ (๑) เด็กทุกคนในช่วงอายุแรกเกิดถึง ๕ ปี หรือก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับบริการด้านสุขภาพ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๒) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ร้อยละ ๙๐ มีพัฒนาการตามวัยในทุกด้าน ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ (๓) เด็กทุกคนในช่วงอายุ ๓ ปี ถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่มีความต้องการได้รับการพัฒนาในสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยในทุกรูปแบบ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๔) เด็กทุกคนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ เมื่ออายุครบ ๖ ปี ตามพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ไอโอดีนกับการพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) เด็กแรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑ ได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ (๒) หญิงตั้งครรภ์ทุกคนต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน และ (๓) หญิงที่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ทุกคนระยะ ๖ เดือนแรกต้องได้รับไอโอดีนในอาหารอย่างเพียงพอ และได้รับยาเม็ดเสริมไอโอดีน ๒.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การอบรมเลี้ยงดูเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ เด็กปฐมวัย (แรกเกิดถึงก่อนเข้าประถมศึกษาปีที่ ๑) ทุกคนได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างมีคุณภาพ เพื่อมีพัฒนาการดีอย่างรอบด้านและตามวัย ๒.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ กลไกการดำเนินงานพัฒนาเด็กปฐมวัย เป้าหมายคือ (๑) กำกับติดตามมาตรการที่แต่ละกระทรวงกำหนดเพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและมติของคณะกรรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติ (ก.พ.ป.) (๒) มีคณะกรรมการระดับจังหวัด ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ และ (๓) ระบบข้อมูลด้านเด็กปฐมวัย การสำรวจข้อมูล การวิจัยต่าง ๆ สามารถช่วยในการวางแผน และติดตามประเมินสถานการณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า แผนยุทธศาสตร์ ฯ ควรกำหนดกลยุทธ์การดำเนินการให้ชัดเจนในแต่ละยุทธศาสตร์ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีแนวทาง มาตรการหรือวิธีดำเนินการที่สำคัญ สำหรับเป็นกรอบในการจัดทำแผนงาน/โครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ให้บรรลุตามวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ และจัดทำแนวทางการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเกิดความชัดเจนในการดำเนินการ นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญกับมารดากลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาครรภ์แรก มารดาอายุน้อย มารดาเลี้ยงเดี่ยว และมารดาเร่ร่อน ในด้านการให้คำปรึกษาและการเตรียมพร้อมในการมีบุตร รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น องค์กรชุมชนและภาคเอกชนในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน ไปดำเนินการด้วย ๔. ให้นำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการและการพัฒนาศูนย์เด็กเล็กจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์เสนอต่อการประชุมที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการตามข้อ ๑ ด้วย |
|||||||||||||||||||||
1535 | ผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง | นร04 | 15/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอผลการประชุมหัวหน้าส่วนราชการระดับปลัดกระทรวง ซึ่งจัดขึ้นที่จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๕๕ เพื่อทบทวนผลการปฏิบัติงานในรอบปีที่ผ่านมาของรัฐบาลและหารือแนวทางที่จะดำเนินงานในระยะต่อไป ผลการประชุมสรุปได้ ดังนี้
๑. แนวทางการปฏิบัติงานของภาครัฐ ควรยึดหลักการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันระหว่างกระทรวงและหน่วยงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น โดยกำหนดยุทธศาสตร์ นโยบายและวาระสำคัญของรัฐบาลที่จะต้องบูรณาการร่วมกันให้ชัดเจน เพื่อนำผลที่ได้ไปใช้ในการจัดทำงบประมาณปี พ.ศ. ๒๕๕๗ ต่อไป ทั้งนี้ หัวหน้าส่วนราชการจะต้องเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนและเชื่อมโยงงานไปสู่การปฏิบัติทั้งในส่วนกลาง ภูมิภาค และท้องถิ่น รวมทั้งรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๒. ในด้านบุคลากรภาครัฐ ระบบราชการในปัจจุบันประสบปัญหาการขาดแคลนอัตรากำลังที่มีศักยภาพอยู่มาก ซึ่งได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาภาพรวมของบุคลากรภาครัฐ โดยรวบรวมความต้องการบุคลากรของทุกหน่วยงาน เพื่อจัดทำแผนบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งการวางระบบการคัดเลือก พัฒนา และรักษาบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้อยู่ในระบบราชการ เพื่อไม่ให้เกิดช่องว่างระหว่างบุคลากรรุ่นเก่าที่จะเกษียณอายุออกไปจำนวนมากและอาจขาดแคลนอัตรากำลังคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้ โดยให้สอดคล้องกับภาพรวมของประชากรไทยที่มีแนวโน้มจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากยิ่งขึ้น ๓. ในส่วนของกฎระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติราชการ ได้มอบหมายให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปพิจารณาปรับปรุงกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้ทันสมัย คล่องตัว และรองรับการบูรณาการการดำเนินงานร่วมกันในระหว่างหน่วยงานของรัฐให้มากยิ่งขึ้น
|
|||||||||||||||||||||
1536 | การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณและปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2557 | นร07 | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ๑.๑ การกำหนดแนวทางการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เพื่อให้การจัดทำงบประมาณสามารถขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาลได้อย่างต่อเนื่องและประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นดำเนินการ ดังนี้ ๑.๑.๑. ให้ความสำคัญกับการจัดทำงบประมาณในลักษณะบูรณาการ ทั้งมิตินโยบายสำคัญของรัฐบาลและมิติของพื้นที่เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัด และประสานสอดคล้องกัน โดยร่วมกันกำหนดเป้าหมายการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงาน เพื่อนำมาปรับปรุงวิธีการดำเนินงานให้เหมาะสมมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ๑.๑.๒ ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น จัดทำแผนความต้องการงบลงทุนเบื้องต้นประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ในขั้นตอนการวางแผนงบประมาณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการงบลงทุนให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยเพิ่มระยะเวลาการจัดทำและวิเคราะห์งบลงทุนในการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี ตามหลักเกณฑ์พิจารณาแผนความต้องการงบลงทุน ๑.๒ การกำหนดปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ เป็นการกำหนดแผนและขั้นตอนการปฏิบัติงานในการจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ ๒. ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) รับไปดำเนินการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ.ร. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์และนโยบายหลักที่สำคัญของรัฐบาล และการเชื่อมโยงกับจังหวัดและท้องถิ่น เช่น นโยบายด้านการเกษตร การพัฒนาสังคม การจ้างแรงงาน การส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) และการดำเนินการเพื่อรองรับการก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เป็นต้น เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ใช้เป็นกรอบในการจัดทำแผนการลงทุน แผนการใช้จ่าย และแผนอัตรากำลังของแต่ละหน่วยงาน โดยให้นำผลการบูรณาการดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||
1537 | (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. 2556-2558 (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. 2542 | สธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบ (ร่าง) แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๕๘ (แผนระยะสั้น) ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ แผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ ประกอบด้วยพื้นที่เขตอนุรักษ์ จำนวน ๕ แห่ง ได้แก่ ๑.๑.๑ พื้นที่เขตอนุรักษ์ป่าชุมชนบ้านทุ่งสูงในเขตป่าสงวนแห่งชาติเขาไม้แก้ว-ควนยิงวัว อำเภออ่าวลึก จังหวัดกระบี่ ๑.๑.๒ พื้นที่เขตอนุรักษ์พื้นที่ป่าภูคำบก อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ๑.๑.๓ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าดอยม่อนฤาษี ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าขุนแม่กวง ตำบลเทพเสด็จ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ๑.๑.๔ พื้นที่เขตอนุรักษ์ ป่าชุมชนขุนน้ำวอง ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่อิงฝั่งขวา บ้านม่วงยายเหนือ-ใต้ ตำบลม่วงยาย อำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย ๑.๑.๕ พื้นที่ป่าตำบลแม่ยวม ในเขตป่าสงวนแห่งชาติแม่ยวมฝั่งขวา อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ๑.๒ แผนงานและแนวทางดำเนินงาน ได้แก่ ๑.๒.๑ การเสริมสร้างความรู้ ความเข้าใจและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเงื่อนไขในการอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในพื้นที่เขตอนุรักษ์อย่างถูกต้อง ๑.๒.๒ การกำหนดวิธีการจัดการเฉพาะในพื้นที่ โดยประสานความร่วมมือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องและชุมชนเพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิด ๑.๒.๓ การสำรวจและศึกษาสมุนไพรแต่ละพื้นที่ เพื่อให้มีระบบฐานข้อมูล และนำไปสู่การจัดการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์อย่างเหมาะสม ๑.๒.๔ การกำกับติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินการตามแผนและกฎหมาย รวมทั้งรวบรวมรายชื่อสมุนไพรที่สำรวจพบในแต่ละพื้นที่ และจำแนกเป็น ๓ กลุ่ม ได้แก่ สมุนไพรที่มีค่าต่อการศึกษาหรือวิจัย สมุนไพรที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ สมุนไพรที่อาจจะสูญพันธุ์ ๑.๓ งบประมาณที่ใช้ตามแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ฯ จำนวน ๕ แห่ง รวมวงเงินทั้งสิ้น ๗,๙๘๐,๐๐๐ บาท ๒. สำหรับกรอบวงเงินเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๒,๙๐๐,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากเงินกองทุนภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ที่ได้จัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว จำนวน ๑๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ ให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกเสนอขอตั้งงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรเพิ่มพื้นที่การสำรวจในเขต ๓ จังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ได้แก่ จังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ การจัดทำแผนที่ภาพถ่ายและระบุขอบเขตที่ชัดเจนที่จะประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดสมุนไพร การตรวจสอบรายชื่อชนิดของสมุนไพรทั้งชื่อพื้นเมืองและชื่อวิทยาศาสตร์ให้ถูกต้องสมบูรณ์โดยระบุทั้งชื่อพื้นเมืองควบคู่ไปกับชื่อวิทยาศาสตร์ การติดตามผลในพื้นที่ที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองสมุนไพรและถิ่นกำเนิดของสมุนไพรเมื่อสิ้นสุดการดำเนินการตามแผนว่ามีชนิดและความหนาแน่นของสมุนไพรมากขึ้นหรือน้อยลงอย่างไร การวางแผนระยะยาวหลังจากที่โครงการสิ้นสุดจะให้หน่วยงาน/องค์กร/ชุมชนใด เป็นหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบต่อไป การคัดเลือกพื้นที่สำรวจและศึกษาวิจัยโดยนำหลักการจำแนกพื้นที่ตามลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่ป่าตามกฎหมายมาร่วมกำหนดพื้นที่เป้าหมาย การให้บุคลากรภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการศึกษาวิจัยเพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่ภาคการศึกษา รวมทั้งมีกลไกในการเพิ่มสมรรถนะและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่เครือข่ายภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีอยู่ให้สามารถร่วมกันวางแนวทางที่ชัดเจนเป็นรูปธรรมในการดำเนินงานตามแผนฯ นอกจากนี้ ควรเพิ่มแนวทางการส่งเสริมการใช้สมุนไพรที่เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มและสามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนและประเทศ และมีการรณรงค์เผยแพร่สรรพคุณของสมุนไพรไทยเพื่อนำไปสู่การคุ้มครองและการใช้ประโยชน์จากสมุนไพรอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
1538 | แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555 - 2559 | สธ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๑ พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๕๙ และเห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ทั้งนี้ แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ ประกอบด้วยยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพ ๕ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ๑.๑ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ เสริมสร้างความเข้มแข็งของภาคีสุขภาพในการสร้างสุขภาพ ตลอดจนการพึ่งพาตนเองด้านสุขภาพบนพื้นฐานภูมิปัญญาไทย เพื่อสร้างจิตสำนึกด้านสุขภาพให้สังคม ประชาชน มีความตื่นตัว และให้ความสำคัญในการดูแลรักษาสุขภาพให้เป็นวัฒนธรรมของประชาชน การได้มาซึ่งสุขภาวะที่ดี ประชาชนต้องร่วมสร้างบนพื้นฐานศักยภาพที่เพียงพอ และเพื่อเสริมสร้างการทำงานด้านสุขภาพระหว่างภาคีต่าง ๆ ให้เกิดผลดียิ่งขึ้น รวมถึงภาคีเครือข่ายสุขภาพระหว่างประเทศ รวมทั้งเพื่อให้ภูมิปัญญาไทยมีบทบาทและเป็นทางเลือกในระบบสุขภาพ ๑.๒ ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบเฝ้าระวัง เตือนภัย และการจัดการภัยพิบัติ อุบัติเหตุและภัยสุขภาพ เพื่อให้เกิดความพร้อมในการเตรียมการ มีระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยที่ทำให้ประชาชนวางใจ และเมื่อเกิดภัยพิบัติสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสม ทันการณ์ ๑.๓ ยุทธศาสตร์ที่ ๓ มุ่งเน้นการส่งเสริมสุขภาพ การป้องกัน ควบคุมโรค และคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อให้คนไทยแข็งแรงทั้งร่างกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพของประชาชนที่เป็นรากฐานของปัญหาภาระโรคที่สำคัญในปัจจุบัน และเพื่อให้มีการลงทุนและดำเนินกิจกรรมด้านการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคมากขึ้นในระดับที่เพียงพอ ๑.๔ ยุทธศาสตร์ที่ ๔ เสริมสร้างระบบบริการสุขภาพให้มีมาตรฐานในทุกระดับเพื่อตอบสนองต่อปัญหาสุขภาพในทุกกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาระบบส่งต่อที่ไร้รอยต่อ เพื่อสร้างระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพมาตรฐาน ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างทั่วถึง เป็นธรรม และเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้บริการมีความสุขและผู้รับบริการมีความพึงพอใจ ๑.๕ ยุทธศาสตร์ที่ ๕ สร้างกลไกกลางระดับชาติในการดูแลระบบบริการสุขภาพ และพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออภิบาลระบบสุขภาพอย่างมีธรรมาภิบาล เป็นเอกภาพ อันจะส่งผลให้มีความมั่นคง ยั่งยืนของระบบสุขภาพ และเพื่อกำหนดนโยบาย แนวทาง และพัฒนาสิ่งสนับสนุนระบบบริการที่เพียงพอ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขขอความร่วมมือภาคีเครือข่ายด้านสุขภาพใช้แผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติฯ เป็นกรอบชี้นำทิศทางการพัฒนาด้านสุขภาพของประเทศด้วย ๓. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการเร่งดำเนินการถ่ายโอนภารกิจและงบประมาณด้านการสร้างเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค การฟื้นฟูสภาพและการรักษาพยาบาลเบื้องต้นพร้อมสถานีอนามัย (โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล) ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขให้มีปริมาณเพียงพอและมีคุณภาพ โดยคำนึงถึงการกระจายของกำลังคนระหว่างพื้นที่ในเขตเมืองและเขตชนบทให้มีความสมดุล การจัดทำแผนในเชิงลึกสำหรับประเด็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยั่งยืนของระบบประกันสุขภาพของประเทศ การกระจายอำนาจทางด้านสาธารณสุข และการบริหารจัดการกำลังด้านสุขภาพ แทนการทำแผนในเชิงกว้างที่เน้นความครอบคลุมเป้าหมายทางด้านสุขภาพในทุกมิติ และการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายที่ต้องพิจารณาความจำกัดของทรัพยากร โดยคำนึงถึงผลกระทบจากทุกมาตรการในยุทธศาสตร์ต่อความยั่งยืนทางการเงินการคลังของสถานพยาบาล เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๔. เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ๔.๑ ให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษาภาพรวมอัตรากำลังทั้งระบบและการจัดทำข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาอัตรากำลังคนและการบริหารจัดการภารกิจด้านสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๕ (เรื่อง การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับอัตรากำลังใหม่ที่ได้รับอนุมัติในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔) ๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขวางยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานด้วยการเร่งพัฒนาศูนย์กลางบริการรักษาพยาบาลเฉพาะทางให้คลอบคลุมทุกภูมิภาคซึ่งประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากการได้รับบริการที่ทั่วถึงและมีมาตรฐานสูงในระดับสากลและเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เกิดธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์และสุขภาพ ซึ่งจะเป็นการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1539 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 22 เมษายน 2539 วันที่ 29 เมษายน 2540 วันที่ 25 กรกฎาคม 2543 และวันที่ 3 เมษายน 2544 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ | กษ | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๔๘ (เรื่อง ขอให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๔๐ วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ และวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๔๔ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ) โดยผลการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ กรมชลประทานได้ศึกษาโครงการตามหลักเกณฑ์การประเมินผลกระทบตามแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการพัฒนาแหล่งน้ำของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กันยายน ๒๕๕๑) โดยจำแนกเป็นกรณีที่มีโครงการ และไม่มีโครงการ รวมทั้งจัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๗ แผน และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม จำนวน ๑๕ แผน ๑.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้ดำเนินการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมโดยใช้กลไกการสร้างนักวิจัยท้องถิ่น (อาสาสมัครนักวิจัยท้องถิ่น) เพื่อเป็นเครื่องมือในการสนับสนุนและเสริมสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการสำรวจข้อมูลพื้นฐานของชุมชนและที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นและผลกระทบด้านสังคมที่เกิดจากการพัฒนาโครงการ โดยมีการจัดประชุมร่วมกับประชาชนในท้องถิ่นเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนและตามข้อเรียกร้องของสมัชชาคนจน ซึ่งชุมชนส่วนใหญ่ในพื้นที่โครงการร้อยละ ๘๕.๔๕ มีแนวโน้มให้การยอมรับต่อการพัฒนาโครงการโปร่งขุนเพชร ๑.๓ ผลการวิเคราะห์ด้านเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมทั้งโครงการตามผลการศึกษา ประกอบด้วย อัตราผลตอบแทนด้านเศรษฐกิจ (EIRR) เท่ากับ ๑๓.๕๖% มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) เท่ากับ ๖๔.๖๖ ล้านบาท อัตราระหว่างผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C Ratio) เท่ากับ ๑.๑๑ ๑.๔ ราคาค่าก่อสร้าง (เฉพาะเขื่อนหัวงานและอาคารประกอบโครงการโปร่งขุนเพชร) ๑.๔.๑ เดิมกรมชลประทานได้ทำสัญญาจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามวัฒนาวิศวก่อสร้าง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๘ วงเงินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๐๐.๒๒๔ ล้านบาท ปัจจุบันห้างฯ ขอยกเลิกสัญญาโดยแจ้งว่าไม่มีความประสงค์ที่จะดำเนินการก่อสร้างงานดังกล่าวโดยไม่เรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น และกรมชลประทานได้อนุมัติยกเลิกสัญญาดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๕๕ และได้คืนหนังสือค้ำประกันสัญญาให้แก่ห้างฯ ด้วยแล้ว ๑.๔.๒ ในการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและด้านสังคมโครงการโปร่งขุนเพชร ได้มีการทบทวนในเรื่องราคาค่าก่อสร้างฯ ของโครงการ แยกเป็น ๒ กรณี คือ กรณีปรับแก้ราคาตามอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) คิดเป็นเงิน ๓๑๙ ล้านบาท และกรณีใช้เงื่อนไขสัญญาแบบปรับราคาได้ (ค่า K) คิดเป็นเงิน ๓๔๓.๘๑๔ ล้านบาท ๑.๔.๓ ปัจจุบันกรมชลประทานได้พิจารณาปรับอัตราราคางานต่อหน่วย (Unit Cost) ให้เป็นปัจจุบัน โดยมีราคาค่าก่อสร้างทั้งสิ้น ๓๖๓,๘๓๒,๒๐๐ บาท ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน รับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณที่เห็นควรนำแผนปฏิบัติการป้องกันแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และแผนปฏิบัติการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เร่งทำความเข้าใจกับราษฎรที่ไม่เห็นด้วยกับการดำเนินโครงการเขื่อนโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ เนื่องจากราษฎรบางส่วนยังมีความรู้สึกผูกพันกับพื้นที่ทำกินเดิมและจะต้องลงทุนประกอบอาชีพในที่ทำกินใหม่ และตระเตรียมแนวทางมาตรการช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับผลกระทบซึ่งรวมถึงค่าชดเชยให้พร้อมเพื่อให้การพัฒนาโครงการฯ สามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็วและแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ รวมทั้งควรนำเรื่องการพัฒนาโครงการอ่างเก็บน้ำโปร่งขุนเพชร จังหวัดชัยภูมิ พร้อมรายละเอียดของโครงการและวงเงินการใช้จ่ายที่ขอรับการจัดสรรจากเงินกู้เพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๕ เสนอคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||
1540 | รายงานผลการดำเนินการ กรณีสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ให้ความเห็นและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี เรื่อง การจัดการปัญหา สารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก | สสป | 09/10/2555 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก (โรงพยาบาลรามาธิบดี) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประชาสัมพันธ์ กรมวิทยาศาสตร์บริการ สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ แผนงานพัฒนาวิทยาการและกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ประกอบการจำนวน ๔ แห่ง ได้แก่ บริษัท ดีเคเอสเอช (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เนเจอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด บริษัท มุ่งพัฒนา อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีเจ้นอินดัสทรีส์ (ประเทศไทย) จำกัด เรื่อง “การจัดการปัญหาสารบีพีเอในขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก” โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้
๑. ข้อเสนอต่อหน่วยงานภาครัฐ ๑.๑ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาออกประกาศตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ห้ามใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๒ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประกาศให้มีการแสดงฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า “ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ หรือประกาศให้ภาชนะบรรจุอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็กที่มีสารบีพีเอเป็นสินค้าที่ไม่ปลอดภัย ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๓ สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมออกมาตรฐานบังคับ (FOOD CONTRACT CONTAINER) สำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคปลอดภัยจากการใช้สารบีพีเอ ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๑.๔ กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์เผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจกับประชาชนเกี่ยวกับอันตรายของสารบีพีเอ เฝ้าระวังความเสี่ยงและการป้องกันความเสี่ยงในทารก เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ และหญิงให้นมบุตร โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ เช่น วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น เอกสารประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน ฯลฯ ๑.๕ หน่วยงานภาครัฐควรรณรงค์ส่งเสริมวัฒนธรรมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ เนื่องจากการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เป็นการส่งเสริมพัฒนาการและการเจริญเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ ๒. ความรับผิดชอบของผู้ประกอบการต่อสังคม ๒.๑ ยกเลิกการผลิตและจำหน่ายขวดนมและภาชนะบรรจุอาหารสำหรับเด็กที่มีสารบีพีเอ ๒.๒ ในระหว่างที่ยังไม่มีประกาศจากรัฐ ผู้ประกอบการสมัครใจดำเนินการปกป้องผู้บริโภค เช่น ไม่ใช้สารบีพีเอในภาชนะบรรจุอาหาร ติดฉลากคำเตือนบนภาชนะบรรจุอาหารทุกชนิดที่มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบ โดยระบุว่า” ภาชนะนี้มีสารบีพีเอเป็นส่วนประกอบอาจมีผลเสียต่อสุขภาพ” ๓. การสนับสนุนและติดตามการดำเนินงาน ๓.๑ หน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานวิชาการสนับสนุนการดำเนินงานของภาคประชาสังคมในการรณรงค์คุ้มครองความปลอดภัยของทารก เด็กเล็ก และผู้บริโภคจากสารบีพีเอ ๓.๒ สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติสนับสนุนการวิจัยเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคที่เกี่ยวกับอันตรายจากสารบีพีเอ ๓.๓ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประสานส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจัดทำรายงานผลการดำเนินงานความก้าวหน้าปัญหาอุปสรรค
|
.....