ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 72 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1421 - 1440 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1421 | รายงานผลการเดินทางไปราชการต่างประเทศของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ | กษ | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) เพื่อเข้าร่วมการประชุมสมัชชาองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO-Food and Agriculture Organization of the United Nations) สมัยที่ ๓๘ (FAO Conference 38 Session) และเข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger ณ สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ ๑๖-๒๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. เมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๖ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรีในฐานะตัวแทนของประเทศไทยให้เข้ารับรางวัล Recognizing notable and outstanding progress in fighting hunger จากผู้อำนวยการใหญ่ FAO ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้กับประเทศที่ประสบความสำเร็จในการดำเนินการลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหาร โดยประเทศไทยสามารถลดจำนวนประชากรได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในการประชุมสุดยอดอาหารโลก ปี ๑๙๙๖ (World Food Summit) และลดสัดส่วนของประชากรตามเป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals : MDGs) คือ ลดจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรผู้ขาดสารอาหารในประเทศ ซึ่งประเทศไทยสามารถดำเนินการสำเร็จในปี ๒๕๕๕ ถือว่าสำเร็จก่อนล่วงหน้า ๓ ปี ๒. การเข้าร่วมการประชุมสมัชชา FAO สมัยที่ ๓๘ วันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๒.๑ ที่ประชุมฯ ได้แสดงความยินดีกับสมาชิกใหม่อีก ๓ ประเทศ ได้แก่ ประเทศเนการาบรูไนดารุสซาลาม สาธารณรัฐสิงคโปร์ และสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน ทำให้ FAO มีสมาชิกทั้งหมด ๑๙๗ ประเทศ ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ภายใต้หัวข้อ Sustainable food system, Food Security and Nutrition โดยกล่าวว่า ประเทศไทยได้ให้ความสำคัญในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ และได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการอาหาร เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินงานในด้านความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการของประเทศไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยได้มีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวใน ๒ แนวทาง คือ การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจการเกษตรและโครงการเกษตรกรปราดเปรื่อง (Smart Famer) และเกษตรกรรุ่นใหม่ (Young Smart Famer) และการพัฒนาด้านการเกษตรในชนบท โดยได้น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาเป็นแนวทางในการพัฒนา ๒.๒ ที่ประชุมฯ เห็นชอบแผนงานและงบประมาณระหว่างปี ๒๐๑๔-๒๐๑๕ โดยเพิ่มค่าสมาชิกเป็นจำนวน ๑,๐๒๘ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒.๒ ในสองปี ซึ่งประเทศไทยจะต้องจ่ายค่าสมาชิกเพิ่มเติมอีกจำนวนประมาณ ๑,๒๑๗,๘๔๗ ดอลลาร์สหรัฐต่อปี ทั้งนี้ การเพิ่มค่าสมาชิกดังกล่าวจะสามารถดำเนินการตามกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินงาน (Strategic Framework) โดยจะเน้น (๑) ขจัดความอดอยากหิวโหย ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการขาดแคลนสารอาหาร (๒) เพิ่มและปรับปรุงข้อกำหนดของสินค้าและการบริการด้านการเกษตร ป่าไม้ และประมงอย่างยั่งยืน (๓) ลดความยากจนในชนบท (๔) เน้นระบบด้านการเกษตรและอาหารสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ระดับชาติ และนานาชาติ และ (๕) เพิ่มความยืดหยุ่นสำหรับการใช้ชีวิตในยามวิกฤต ๒.๓ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวสุนทรพจน์ในวาระการประชุมวันดินโลกและปีดินสากล เมื่อวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยกล่าวว่า ดินเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหารของโลก ในส่วนของประเทศไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงสนพระทัยและทรงค้นคว้าศึกษาแนวทางในการดูแลและแก้ไขปัญหาของดิน โดยทรงมีกระแสพระราชดำริให้ตั้งศูนย์ศึกษา เพื่อศึกษาลักษณะของดินและแนะแนวทางในการแก้ไขปัญหา และการนำหญ้าแฝกมาใช้ในการป้องกันการกัดเซาะพังทลายของดิน นอกจากนี้ ได้ให้ประเทศสมาชิก FAO ร่วมกันรณรงค์ให้ความสำคัญของดินในวันดินโลกซึ่งตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี เนื่องจากเป็นวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และร่วมกันรณรงค์ในปี ๒๕๕๘ ซึ่งเป็นปีดินสากล โดยขอให้ FAO สนับสนุนการรณรงค์เรื่องทรัพยากรดินและนำเรื่องนี้ไปบรรจุในวาระการประชุมของสหประชาชาติเพื่อประกาศให้มีการดำเนินการต่อไป ซึ่งที่ประชุมให้ความเห็นชอบในวาระนี้แล้ว ๓. การประชุมทวิภาคี ๓.๑ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการวางแผนแห่งราชอาณาจักรบาห์เรนได้เข้าพบหารือความร่วมมือด้านการเกษตรกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ทั้งสองฝ่ายได้มีการหารือเพื่อติดตามความก้าวหน้าในการจัดทำบันทึกความเข้าใจด้านการเกษตร และหวังว่าจะได้มีการลงนามโดยเร็ว ทั้งนี้ ได้กล่าวว่าบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จะเป็นกลไกที่สำคัญในการหารือร่วมกัน ๓.๒ ผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้เข้าหารือกับรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๖ โดยผู้อำนวยการใหญ่ FAO ได้กล่าวชื่นชมประเทศไทยในการเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชียในการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาด้านการเกษตรและมีการดำเนินโครงการที่รับผิดชอบต่อประเทศเพื่อนบ้านด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการควบคุมโรคระบาดสัตว์ ได้แก่ โรคไข้หวัดนก ส่วนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายยุคล ลิ้มแหลมทอง) ได้กล่าวขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมาและเห็นว่าการสนับสนุนเพื่อกระจายการพัฒนาการเกษตรซึ่งรวมถึงการควบคุมโรคระบาดจะเป็นการยกระดับการพัฒนาในภูมิภาคด้วย จึงขอให้ FAO ให้การสนับสนุนเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง และได้ขอบคุณ FAO ที่ให้การสนับสนุนการให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีเป็นวันดินโลก และปี ๒๕๕๘ เป็นปีดินสากล รวมทั้งให้มีการจัดเจ้าหน้าที่ของไทย และ FAO ร่วมหารือกันเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมล่วงหน้าต่อไป
|
||||||||||||||||||
1422 | มติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ครั้งที่ 5/2556 | กค | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ เกี่ยวกับการกำหนดระยะเวลาการก่อหนี้ให้แก่หน่วยงานที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนผันโครงการภายใต้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ที่ไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. รายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๑.๑ รายการที่ประกวดราคาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้งแต่ยังไม่ได้ผู้รับจ้างทำให้ต้องดำเนินการประกวดราคาใหม่ หรือบางส่วนอยู่ระหว่างขออนุมัติคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) เพื่อจัดซื้อจัดจ้างวิธีอื่น จำนวน ๓๘๕ รายการ จำนวนเงิน ๕,๐๘๕.๒๙ ล้านบาท ๑.๒ โครงการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วต้องเสนอสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนลงนามในสัญญา จำนวน ๒๖๑ รายการ จำนวนเงิน ๔,๖๗๖.๒๕ ล้านบาท ๑.๓ รายการที่อยู่ระหว่างปรับปรุง TOR (ข้อกำหนดของผู้ว่าจ้าง) หรือแก้ไขแบบรูปรายการก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน ๓๓ รายการ จำนวนเงิน ๔,๕๓๐.๒๓ ล้านบาท ๑.๔ รายการที่ได้ดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่งบประมาณไม่เพียงพอ และอยู่ระหว่างการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณ เปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการ และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ จำนวน ๑๐๗ รายการ จำนวนเงิน ๘๑๐.๓๓ ล้านบาท ๑.๕ รายการที่ได้ผลการจัดซื้อจัดจ้างแล้วแต่ต้องรอผลจากผู้มีอำนาจอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างตามระเบียบพัสดุ จำนวน ๑,๒๓๗ รายการ เป็นเงิน ๓๑,๓๙๒.๓๕ ล้านบาท ที่กรมบัญชีกลางอนุมัติไปแล้วให้ก่อหนี้ภายในวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ให้ขยายระยะเวลาเป็นวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ จำนวน ๔๕๑ รายการ จำนวนเงิน ๑๖,๒๙๐.๒๕ ล้านบาท ๒. รายการที่ขอผ่อนผันตามเหลักเกณฑ์รายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ขยายเวลาถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๖ และรายการที่ขอผ่อนผันตามหลักเกณฑ์รายการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณแล้วแต่ยังไม่เริ่มดำเนินการ รายการที่อยู่ระหว่างดำเนินการจัดซื้อจัดจ้าง รายการที่จัดสรรต่อไปให้หน่วยงานอื่น/หน่วยงานอื่นเบิกจ่ายแทนกัน และรายการกรณีอื่น ๆ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ยกเว้นรายการต่อไปนี้ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ประกอบด้วย ๒.๑ เงินอุดหนุนสำหรับพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีเร่งด่วน จำนวน ๑๘,๕๐๖.๐๙ ล้านบาท ๒.๒ งบจังหวัด/กลุ่มจังหวัด จำนวน ๓,๒๖๓.๘๕ ล้านบาท ๒.๓ โครงการที่ดำเนินการเพื่อประโยชน์สาธารณชนในวงกว้างมอบให้สำนักงบประมาณพิจารณาโครงการดังกล่าว ๓. หน่วยงานที่ไม่แจ้งขอผ่อนผันการก่อหนี้รายจ่ายลงทุน จำนวน ๑๒ หน่วยงาน ได้แก่ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยศิลปากร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ สถาบันการบินพลเรือน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ และจังหวัดเพชรบูรณ์ ให้ขยายระยะเวลาถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ๔. คณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐจะไม่มีการพิจารณาผ่อนผันอีก เมื่อพ้นระยะเวลาผ่อนผันข้างต้น หากหน่วยงานมีความจำเป็นต้องใช้งบประมาณรายจ่ายลงทุน ให้ดำเนินการขอช่องทางอื่นต่อไป ๕. หน่วยงานต้องดำเนินการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายลงทุนภายใน ๑ เดือน หลังจากเวลาที่กำหนดผ่อนผันให้ก่อหนี้ดังกล่าวข้างต้น และเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖ สำหรับรายการที่ดำเนินการเอง (ไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง) ให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๖
|
||||||||||||||||||
1423 | การปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี | นร04 | 09/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๑๕๙/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ยกเลิกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๓๓๖/๒๕๕๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๕ คณะ ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๕ โดยจัดทำเป็นคำสั่งใหม่ ๒. กำหนดให้มีคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี รวม ๓ คณะ ประกอบด้วย ๒.๑ คณะที่ ๑ ฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม รวมทั้งด้านการเงิน การคลัง การภาษีอากร สถาบันการเงิน การลงทุน การผลิต การหารายได้เข้าประเทศ การนำเข้าและส่งออกสินค้า นโยบายรัฐวิสาหกิจ และการพลังงาน รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจในภาพรวมอื่น เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง โครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) ตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ และเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือเรื่องที่มีผลกระทบด้านการท่องเที่ยวและกีฬา การเกษตร การคมนาคม หรือเรื่องที่มีผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐาน การสงวน อนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การจัดการและการใช้ประโยชน์ที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีและการสื่อสาร การพลังงาน วิทยาศาสตร์ และการอุตสาหกรรม ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและผู้ประกอบการเนื่องจากภาวะเงินเฟ้อและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง การยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนโดยเพิ่มกำลังซื้อภายในประเทศ สร้างสมดุลและความเข้มแข็งอย่างมีคุณภาพให้แก่ระบบเศรษฐกิจมหภาค การปรับลดภาษีเงินได้นิติบุคคล การส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุน การยกระดับราคาสินค้าเกษตรและให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่งเงินทุน การเร่งเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศ และการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน ๒.๒ คณะที่ ๒ ฝ่ายสังคมและกฎหมาย โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านสังคม ด้านแรงงาน ด้านวัฒนธรรม ด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข ด้านกฎหมาย การพัฒนาสังคม การพัฒนาองค์กร ชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิต รวมทั้งการบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐ และการคุ้มครองผู้บริโภค ก่อนที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนางานศิลปหัตถกรรมและผลิตภัณฑ์ชุมชนเพื่อการสร้างเอกลักษณ์และการผลิตสินค้าในท้องถิ่น การพัฒนาระบบประกันสุขภาพ และการเร่งรัดและผลักดันการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ๒.๓ คณะที่ ๓ ฝ่ายความมั่นคงและต่างประเทศ โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก ประชา พรหมนอก) เป็นประธานกรรมการ มีอำนาจหน้าที่พิจารณากลั่นกรองเรื่องสำคัญในปัญหาที่เกี่ยวพันหรือมีผลกระทบต่อด้านความมั่นคง การทหาร การป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม การป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด การป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน การต่างประเทศ แรงงานต่างด้าว กระบวนการยุติธรรม การพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับศาล องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรอื่นตามรัฐธรรมนูญ โดยดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วน ได้แก่ การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตย การเร่งนำสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในภาครัฐอย่างจริงจัง การกำหนดให้การแก้ไขและป้องกันปัญหายาเสพติดเป็น “วาระแห่งชาติ” และการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและนานาประเทศ
|
||||||||||||||||||
1424 | ผลการพิจารณาคำร้องที่ขอให้เสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย | สม | 02/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ตามมติคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กระทรวงกลาโหม ควรมีการระบุรายละเอียดข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเบี้ยหวัด พ.ศ. ๒๔๙๕ ข้อ ๘ (๓) และข้อ ๑๐ ในเอกสารการขอรับเงินเบี้ยหวัด เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ข้าราชการทหารที่ลาออกได้รับทราบข้อบังคับดังกล่าวถึงกรณีการงดเบี้ยหวัด และหน้าที่ของข้าราชการที่ลาออกต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัด และต้องแจ้งให้ส่วนราชการเดิมที่เบิกจ่ายเบี้ยหวัดของตนทราบ ทั้งนี้ เพื่อมิให้เกิดการเบิกจ่ายที่ซ้ำซ้อนและมีการเรียกเก็บเงินคืนย้อนหลัง อันเนื่องมาจากส่วนราชการเดิมได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน ๑.๒ กระทรวงมหาดไทย ควรมีการสำรวจข้อมูลและรายละเอียดของข้าราชการที่ได้รับผลกระทบจากพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๔๓ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการศึกษาข้อมูลตามที่คณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ก.บ.ท.) ในการประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ได้มีมติให้จัดทำรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการว่าจ้างศึกษาในการพิจารณาทบทวนพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้ข้าราชการส่วนท้องถิ่นได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือน และข้าราชการประเภทอื่น รวมทั้งมิให้เกิดการลักลั่นและเกิดความไม่เป็นธรรมกับข้าราชการไทยในภาพรวมทั้งระบบต่อไป ๑.๓ กรมบัญชีกลาง ควรพิจารณาหามาตรการในการป้องกันปัญหากรณีการเบิกจ่ายเงินเบี้ยหวัด บำนาญ เงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัด (ช.ค.บ.) และการเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิของผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวตามพระราชกฤษฎีกาเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล พ.ศ. ๒๕๕๓ โดยการพัฒนาระบบเทคโนโลยีให้มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบข้อมูลของทหารซึ่งได้รับเบี้ยหวัด และได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกรม กอง กระทรวง ที่บรรจุใหม่ จะต้องไม่ใช้สิทธิในการเบิกจ่ายเงินที่ซ้ำซ้อนกัน และควรมีการจัดทำฐานข้อมูลรวมทั้งเชื่อมโยงข้อมูลร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานต่อไป ๒. ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมายของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไปประกอบการพิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงาน โดยอยู่ในกรอบของกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. เนื่องจากความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขที่ได้ดำเนินการเกี่ยวกับสวัสดิการการรักษาพยาบาลของข้าราชการส่วนท้องถิ่นแล้ว มีรายละเอียดและข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการปฏิบัติ แนวทางการดำเนินการในการประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการจัดตั้งกองทุนสวัสดิการที่เกี่ยวข้อง จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขรับไปประสานงานกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดของการดำเนินการดังกล่าว แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||
1425 | แผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล | คค | 02/07/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๑๒/๒๕๕๖ เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง) ประธานกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๓ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) เสนอ ดังนี้
๑. รับทราบแผนแม่บทสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยแผนแม่บทฯ จัดทำขึ้นเพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เพื่อแก้ไขปัญหาจราจร และเพื่อให้การเดินทางระหว่างพื้นที่สองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยามีความสะดวกมากขึ้น โดยเป็นแผนการดำเนินงานเพื่อพัฒนาโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ในช่วงระยะเวลา ๒๐ ปี จาก พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๗๔ ประกอบด้วย แผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีแรก (ปัจจุบัน-พ.ศ. ๒๕๖๔) จำนวน ๙ โครงการ งบประมาณดำเนินงาน ๔๘,๙๕๐ ล้านบาท ได้แก่ โครงการสะพานเกียกกาย โครงการสะพานพระราม ๒ โครงการสะพานสมุทรปราการ โครงการสะพานปทุมธานี ๓ โครงการสะพานลาดหญ้า-มหาพฤฒาราม โครงการสะพานสามโคก โครงการสะพานท่าน้ำนนท์ โครงการสะพานถนนจันทน์-เจริญนคร และโครงการสะพานราชวงศ์-ดินแดง และแผนดำเนินงานระยะ ๑๐ ปีหลัง (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๔) ได้แก่ โครงการสะพานสนามบินน้ำ งบประมาณดำเนินงาน ๑,๕๘๐ ล้านบาท ๒. ให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินงานอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะประเด็นเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม การรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมทั้งการเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการโครงการด้วย สำหรับประเด็นความเห็นประกอบด้วย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบตรวจสอบกับประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดของโครงการหรือกิจการซึ่งต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และหลักเกณฑ์ วิธีการ ระเบียบปฏิบัติ และแนวทางการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลงวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๕ ว่าเข้าข่ายจะต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ลำดับที่ ๒๐ ทางหลวงหรือถนน ซึ่งหมายความว่าด้วยทางหลวงหรือไม่ โดยเฉพาะลำดับที่ ๒๐.๗ พื้นที่ที่ตั้งอยู่ใกล้โบราณสถาน แหล่งโบราณคดี แหล่งประวัติศาสตร์ หรืออุทยานประวัติศาสตร์ตามกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในระยะทาง ๒ กิโลเมตร และอาจต้องมีการรับฟังความเห็นจากประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ และควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในแผนแม่บทฯ พร้อมทั้งมีการศึกษาติดตามข้อมูลที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในการจัดทำแผนให้เป็นปัจจุบันเสมอ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้มีความสอดคล้องและทันต่อสถานการณ์ด้านการคมนาคมและการขนส่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงเวลา รวมทั้งให้หน่วยงานเจ้าของโครงการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและการจัดทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญกับการบูรณาการแผนงาน/โครงการในพื้นที่ร่วมกัน เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนตามแนวสายทาง และเพื่อให้การลงทุนของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยการออกแบบสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของสะพานควรพิจารณาให้มีความสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และมีเอกลักษณ์ เพื่อให้สามารถพัฒนาโดยรอบโครงการเป็นแหล่งท่องเที่ยวหรือพื้นที่สันทนาการของประชาชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ตลอดจนการกำหนดรูปแบบทางวิศวกรรมของสะพานที่จะช่วยลดการกีดขวางลำน้ำเพื่อสนับสนุนการขนส่งทางน้ำภายในประเทศ |
||||||||||||||||||
1426 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ที่จังหวัดชุมพร | อก | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ (เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคใต้ และข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำ) และวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา ตามคำขอที่ ๒/๒๕๕๑ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ และปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๒ อย่างเคร่งครัด รวมทั้งนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างของห้างหุ้นส่วนจำกัด เจริญผลการศิลา คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ ๒/๒๕๕๑ ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการให้ต่ออายุประทานบัตรเหมืองแร่ พร้อมทั้งเห็นควรให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมติดตามตรวจสอบและควบคุมการนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ไปปฏิบัติ และการดำเนินงานของกองทุนฯ รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน โดยให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนร่วมในการติดตามตรวจสอบและบริหารจัดการกองทุนฯ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1427 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอาน และบ้านพักกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ | กต | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้กระทรวงการต่างประเทศก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอาน และบ้านพักกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้องและครบถ้วน ตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้
๑. รายการค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานกงสุลใหญ่ ณ นครซีอาน วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๑๐,๘๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่น กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๗,๒๐๐,๐๐๐ บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๙ จำนวน ๓,๖๐๐,๐๐๐ บาท ๒. รายการค่าเช่าบ้านพักกงสุลใหญ่ ณ เมืองดูไบ วงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าทั้งสิ้น ๑๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินผูกพันตลอดระยะเวลาสัญญาเช่าตามสกุลเงินท้องถิ่นกรณีมีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๖๐ |
||||||||||||||||||
1428 | ผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ 7 แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) เมื่อวันที่ ๒๕ เมษายน ๒๕๕๖ ณ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน บรูไนดารุสซาลาม และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุม ตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) ในฐานะรัฐมนตรีประจำกรอบแผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (IMT-GT) เสนอ โดยสาระสำคัญของการประชุมครั้งนี้ ที่ประชุมได้เห็นชอบเรื่องสำคัญต่าง ๆ เช่น รายงานความก้าวหน้าการดำเนินการแผนงาน IMT-GT ระหว่างปี ๒๕๕๕-๒๕๕๖ ที่เสนอโดยผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีกรอบแผนงาน IMT-GT ของมาเลเซีย ข้อเสนอแนวทางการดำเนินการที่จะสั่งการและเห็นชอบโดยผู้นำ รวมทั้งเห็นชอบแถลงการณ์ร่วมของการประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๗ แผนงาน IMT-GT (The Seventh IMT-GT Summit Joint Statement) นอกจากนี้ ยังมีประเด็นหารือและข้อสั่งการเพิ่มเติมต่อรายงานของรัฐมนตรีกรอบแผนงาน IMT-GT โดยในส่วนของนายกรัฐมนตรีไทยได้เสนอประเด็น ดังนี้
๑. เน้นย้ำว่าความก้าวหน้าการดำเนินการโครงการเร่งด่วนเพื่อความเชื่อมโยงในอนุภูมิภาค IMT-GT ได้ช่วยเสริมสร้างความใกล้ชิดระหว่าง IMT-GT และอาเซียน รวมทั้งเสริมสร้างความเชื่อมโยงในอาเซียนเองและความเชื่อมโยงกับภายนอก ๒. เน้นย้ำความสำคัญของการเสริมสร้างบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในการเป็นแกนกลางเชื่อมโยงระหว่างรัฐบาลส่วนกลางและองค์กรส่วนท้องถิ่น สภาธุรกิจและภาคีการพัฒนาอื่น ๆ ของ IMT-GT รวมทั้งบทบาทของมุขมนตรีและผู้ว่าราชการจังหวัดในการเป็นผู้เสนอโครงการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการบูรณาการเชื่อมโยงเศรษฐกิจข้ามแดน ๓. สนับสนุนการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมด้านการเชื่อมโยงทางบก เช่น การบูรณาการการพัฒนาระหว่างด่านสะเดาแห่งใหม่กับด่านบูกิตกายูฮิตัมแห่งใหม่ ด่านบ้านประกอบ-ด่านโกตาปุตรา ด่านและสะพานแห่งใหม่ที่ตากใบ-ตุมปัต สะพานสุไหงโกลก-รันเตาปันยังแห่งที่สอง การเชื่อมโยงทางการขนส่งทางทะเลระหว่างระนอง-ภูเก็ต-กระบี่-ตรัง-ปีนัง-ปอร์ตกลาง-อาเจห์-เบลาวัน การเชื่อมโยงทางอากาศทั้งโดยสายการบินแห่งชาติและสายการบินเอกชน โดยส่งเสริมการใช้ประโยชน์เสรีภาพที่ห้า โดยอินโดนีเซียและมาเลเซียในการบินในจุดบินในประเทศไทยมากขึ้น ๔. เสนอให้ขยายการเชื่อมโยงสายการผลิตเพื่อเพิ่มมูลค่าในระหว่างอนุภูมิภาค ทั้งการเชื่อมโยงบริเวณชายแดน ณ เขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการเสริมสร้างความเชื่อมโยงตอนใน เช่น โครงการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช การเชื่อมโยงเมืองยางระหว่างไทยและมาเลเซีย ๕. เน้นย้ำถึงศักยภาพในการเชื่อมโยงด้านการท่องเที่ยวเส้นทางใหม่ ๆ ที่มีสาระเชื่อมโยงกัน (Thematic Routes) เช่น เชื่อมโยงทางวัฒนธรรม วัฒนธรรมภาษา ประวัติศาสตร์ และแสดงความผูกพันในการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาล ซึ่งสนับสนุนโดยการใช้เทคโนโลยีระดับสูงด้านมาตรฐานฮาลาลและการตรวจสอบย้อนหลัง การส่งเสริมตราผลิตภัณฑ์ฮาลาล IMT-GT และการส่งเสริมด้านการตลาดโดยงานนิทรรศการระหว่างประเทศ การสร้างความเชื่อมโยงสายการผลิตเพื่อมูลค่าด้านฮาลาล การส่งเสริมให้ภาคเอกชนร่วมเป็นหุ้นส่วนธุรกิจ ร่วมลงทุนและร่วมผลิต ๖. เน้นย้ำความสำคัญของการใช้แนวทางใหม่ ๆ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันของผลิตผลเกษตรและเกษตรแปรรูป โดยเฉพาะยางและปาล์มน้ำมัน ในตลาดระหว่างประเทศ โดยใช้ความร่วมมือด้านการยกระดับและควบคุมคุณภาพสินค้า รวมทั้งเปิดโอกาสการเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบเกษตรในอนุภูมิภาคเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ๗. สนับสนุนการจัดตั้งศูนย์ประสานความร่วมมืออนุภูมิภาคแผนงาน IMT-GT (Draft Establishment Agreement of Centre for Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : CIMT) อย่างเป็นทางการ เพื่อให้มีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวกและประสานการนำข้อริเริ่มและโครงการต่าง ๆ สู่การปฏิบัติ โดยไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการภายในแล้วเสร็จเพื่อให้สามารถลงนามความตกลงว่าด้วยการจัดตั้งศูนย์ CIMT แล้ว และหวังที่จะได้รับการสนับสนุนต่อผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้อำนวยการศูนย์ CIMT จากไทย ๘. ชื่นชมต่อการสนับสนุนทางวิชาการโดยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank : ADB) โดยเฉพาะในโครงการโดดเด่น (Signature Projects) เช่น ข้อริเริ่มเมืองสีเขียว การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน การจัดทำฐานข้อมูลด้านการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว และหวังในความสนับสนุนจาก ADB ในการเสริมสร้างสมรรถนะของศูนย์ CIMT และให้ความช่วยเหลือต่อ IMT-GT ด้านอื่น ๆ ต่อไป โดยเฉพาะในด้านความสัมพันธ์ที่เป็นรูปธรรมกับพันธมิตรการพัฒนา ได้แก่ ญี่ปุ่น องค์กรวิชาการ ได้แก่ สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจสำหรับอาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) และพันธมิตรการพัฒนาใหม่ ได้แก่ ภูมิภาคเอเชียใต้และแปซิฟิก ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาโดยที่ประชุมระดับผู้นำ ครั้งที่ ๖ โดยขอมอบหมายให้ศูนย์ CIMT สำรวจแนวทางความร่วมมือที่มีศักยภาพกับทั้งพันธมิตรการพัฒนาในปัจจุบันและที่มีศักยภาพในอนาคต |
||||||||||||||||||
1429 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน 2 ทศวรรษหน้า (พ.ศ. 2556 - 2575) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" | สสป | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง" และรับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติร่วมกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพลังงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม กระทรวงแรงงาน กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยในส่วนความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ เพื่อพิจารณากำหนดเป็นแนวนโยบายที่นำไปสู่การพัฒนาประเทศ สรุปได้ ดังนี้
๑. การกำหนดกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้า (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ที่ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการขับเคลื่อนให้บังเกิดผลเป็นรูปธรรมในทุกภาคส่วนและทุกระดับ ยึดแนวคิดการพัฒนาแบบบูรณาการที่เป็นองค์รวม โดยมี “คนและชุมชนท้องถิ่นเป็นศูนย์กลางการพัฒนา” มีการเชื่อมโยงทุกมิติ การพัฒนา ทั้งมิติด้านคน สังคม เศรษฐกิจ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม การเมือง การปกครอง รวมทั้งให้ความสำคัญกับธรรมาภิบาลและการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ ๒. การบริหารจัดการยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติ ประกอบด้วย การกำหนดให้ยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ เป็นวาระแห่งชาติ การบูรณาการการทำงานร่วมกันอย่างเป็นองค์รวม โดยปฏิรูปโครงสร้างภาษีของประเทศ จัดสรรงบประมาณแบบบูรณาการให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศไทยใน ๒ ทศวรรษหน้าฯ และกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นอย่างจริงจัง ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน และภาคประชาสังคมในการบริหารจัดการยุทธศาสตร์ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางเผยแพร่การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ประเทศ (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕) ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นสื่อกลางในการสะท้อนความต้องการของประชาชน รวมทั้งติดตามและประเมินผลความสำเร็จของการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (พ.ศ. ๒๕๕๖-๒๕๗๕)ฯ อย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ๓. การดำเนินงานของหน่วยงานภายใต้ยุทธศาสตร์ของสภาที่ปรึกษาฯ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การพัฒนาด้วยหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การสร้างสังคมเข้มแข็ง อยู่เย็นเป็นสุข มีวิถีประชาธิปไตย ใช้หลักธรรมาภิบาลสู่สังคมสีเขียว ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนาเศรษฐกิจสู่การเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ยุทธศาสตร์ที่ ๔ การจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และยุทธศาสตร์ที่ ๕ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมสีเขียว
|
||||||||||||||||||
1430 | แผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค สาขาเชียงใหม่ ปี 2556 - 2570 | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการแผนการลงทุนหลักเพื่อพัฒนาระบบประปา การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) สาขาเชียงใหม่ ปี ๒๕๕๖-๒๕๗๐ วงเงินลงทุนรวม ๒,๒๕๗.๓๒๕ ล้านบาท โดยใช้จากเงินกู้ภายในประเทศ ทั้งนี้ การลงทุนโครงการแต่ละระยะภายใต้แผนการลงทุนหลักดังกล่าว ให้ กปภ. นำเสนอโครงการแต่ละระยะให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ ปี ๒๕๕๖ วงเงินลงทุน ๑,๓๙๐.๖๗๐ ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) โดยให้ กปภ. กู้เงินภายในประเทศ (พันธบัตร) ทั้งหมด ๒. ในส่วนของโครงการปรับปรุงขยาย กปภ. สาขาเชียงใหม่ ระยะที่ ๑ กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงิน ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดย กปภ. รับความเห็นของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการฯ ให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การจัดหาแหล่งน้ำดิบเพื่อใช้ในระบบผลิตน้ำประปาควรประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคมตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) และการเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนซึ่งจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างทั่วถึง การปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการประปาส่วนภูมิภาค พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๙ การเร่งดำเนินการลดอัตราน้ำสูญเสียของประปาเชียงใหม่และกำกับดูแลการดำเนินงานของผู้รับจ้างให้เป็นไปตามเป้าหมาย การประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมที่กำหนด การให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand Side Management) การถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านน้ำประปาให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การติดตามการจัดทำแผนงานและประสานงานกับกรมชลประทานในการจัดสรรน้ำจากการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และพิจารณาทางเลือกแหล่งน้ำดิบอื่นในการรองรับความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนติดตามสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำและปัจจัยสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดทำแผนการลงทุนโครงการในช่วงต่อไป นอกจากนี้ ให้ กปภ. ประสานความร่วมมือกับองค์การจัดการน้ำเสีย และเทศบาลนครเชียงใหม่ เพื่อบูรณาการแผนการบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียรวมเทศบาลนครเชียงใหม่ให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับปริมาณน้ำเสียที่เกิดจากการใช้น้ำประปาจากโครงการดังกล่าวเข้าสู่ระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียของเทศบาลนครเชียงใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1431 | แผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี 2556 - 2559 ของการประปาส่วนภูมิภาค | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบในหลักการกรอบแผนการลงทุนหลัก โครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖-๒๕๕๙ (แผนแม่บทการให้บริการน้ำประปา) ของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ในส่วนที่เป็นโครงการใหม่ จำนวน ๙๒ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๔๒,๔๐๒.๙๐๔ ล้านบาท ๑.๒ อนุมัติให้ กปภ. ดำเนินโครงการเพื่อการพัฒนาปี ๒๕๕๖ ในส่วนของโครงการใหม่ จำนวน ๗ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๓,๓๑๕.๐๑๙ ล้านบาท (ไม่รวม VAT) ประกอบด้วย ๑.๒.๑ โครงการที่ขอรับเงินงบประมาณประจำปีจากภาครัฐ ร้อยละ ๗๕ และเงินรายได้สมทบ ร้อยละ ๒๕ จำนวน ๔ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๒,๐๘๖.๐๕๓ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาสีคิ้ว วงเงินลงทุน ๕๘๗.๔๑๑ ล้านบาท กปภ. สาขาระยอง วงเงินลงทุน ๗๑๒.๑๘๐ ล้านบาท กปภ. สาขาลำปาง วงเงินลงทุน ๖๒๒.๑๘๗ ล้านบาท และ กปภ. สาขาศรีราชา วงเงินลงทุน ๑๖๔.๒๗๕ ล้านบาท ๑.๒.๒ โครงการที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุนรวม ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท ได้แก่ กปภ. สาขาอุบลราชธานี วงเงินลงทุน ๖๗๓.๔๙๗ ล้านบาท กปภ. สาขาสุรินทร์ วงเงินลงทุน ๓๙๔.๖๗๔ ล้านบาท และ กปภ. สาขาพัทยา (มาบยางพร-ปลวกแดง) วงเงินลงทุน ๑๖๐.๗๙๕ ล้านบาท ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างที่ใช้เงินกู้ภายในประเทศ จำนวน ๓ โครงการ วงเงินลงทุน ๑,๒๒๘.๙๖๖ ล้านบาท กระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันการกู้เงินดังกล่าว ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย และ กปภ. รับความเห็นและข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการบูรณาการการดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับระบบการบริหารจัดการน้ำในภาพรวมทั้งระบบของคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย การประสานเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง การบริหารจัดการระบบประปาควรคำนึงถึงการลดความเหลื่อมล้ำเพื่อสร้างโอกาสความเสมอภาคและเท่าเทียมกันทางสังคม (Inclusive Growth) ตามยุทธศาสตร์ประเทศไทย (Country Strategy) การเพิ่มบทบาทให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุน แนวทางการจัดการน้ำประปาอย่างมีระบบเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกันอย่างทั่วถึงและเพียงพอ การจัดทำแผนแม่บทการจัดหาและพัฒนาแหล่งน้ำให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการเพื่อรองรับการขาดแคลนแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตน้ำประปาอย่างยั่งยืนและการจัดทำแผนแม่บทการลดน้ำสูญเสียให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการแรงดันน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการประปาและการบริหารต้นทุนการผลิต การจัดโครงสร้างทางการเงินให้มีอัตราหนี้สินต่อทุนของโครงการในระดับที่เหมาะสม และให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงในการบริหารจัดการหนี้ของ กปภ. ในอนาคต การพิจารณาจัดสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนหรือแนวทางการจัดการน้ำเสียชุมชนที่มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ การดำเนินการเตรียมความพร้อมทางด้านที่ดิน กระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง และการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการและค่าใช้จ่ายในการผลิตควบคู่กับการเพิ่มรายได้จากการให้บริการให้เป็นไปตามเป้าหมายและการกำหนดอัตราค่าบริการที่เหมาะสม การดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดในแผนยุทธศาสตร์องค์กรให้เกิดประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการจ่ายน้ำให้กับประชาชนได้อย่างเพียงพอตลอดเวลา และลดต้นทุนการผลิตที่สูญเปล่า การจัดเตรียมแผนเพิ่มศักยภาพการจัดการน้ำเสียของท้องถิ่น โดยผ่านการถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยี เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ทั้งด้านเทคนิควิชาการและการเงินในเชิงเศรษฐกิจ ตลอดจนให้ความสำคัญในการจัดการด้านอุปสงค์ (Demand side management) โดยประชาสัมพันธ์และรณรงค์ให้มีการใช้น้ำอย่างประหยัดทั้งในภาคครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||
1432 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล 5 (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... | มท | 25/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนสุขาภิบาล ๕ (ถนนรัตนโกสินทร์สมโภช) กับถนนนิมิตใหม่ ในท้องที่แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน แขวงออเงิน เขตสายไหม และแขวงสามวาตะวันตก แขวงสามวาตะวันออก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย ที่เห็นควรให้กรุงเทพมหานครจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบโครงข่ายขนส่งและจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พร้อมทั้งจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการภายใต้ความรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครให้สอดคล้องกับขีดความสามารถทางด้านงบประมาณของกรุงเทพมหานครและรัฐบาล และเนื่องจากแนวเขตที่ดินที่จะเวนคืนบางส่วนอยู่สองฝั่งของคลองสามวาตะวันตกซึ่งเป็นคลองระบายน้ำหลักของพื้นที่โดยรอบ ดังนั้น ในการออกแบบและก่อสร้างทางหลวงท้องถิ่นจะต้องไม่กระทบต่อการระบายน้ำและเขตคลอง หากจะต้องมีการปรับปรุงหรือการขยายขนาดคลองในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1433 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติ) | กค | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... สาระสำคัญคือกำหนดยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่บุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้เท่าจำนวนเงินอุดหนุนหรือเงินอื่นอันมีลักษณะทำนองเดียวกันที่ได้รับจากรัฐบาล ซึ่งจ่ายตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อให้นำไปลงทุนในการป้องกันอุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่นที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้ สำหรับการลงทุนดังกล่าวตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ชุมชน และบุคคลธรรมดาและบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษี เป็นต้น รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรประสานความร่วมมือในการวางแผน เตรียมการ จัดทำแนวปฏิบัติและข้อตกลงร่วมกันเพื่อส่งเสริมและเตรียมความพร้อมให้ชุมชนหรือส่วนราชการได้ใช้ประโยชน์จากการลงทุนในการป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||
1434 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาทองวิเชียร ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๕๖๑๕/๑๕๔๑๑) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าวตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1435 | สรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคง ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2556 ของกระทรวงคมนาคม | คค | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานตามแผนอำนวยความสะดวก ปลอดภัยและมั่นคงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การให้บริการและอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ๑.๑ การจัดบริการขนส่งสาธารณะ หน่วยงานที่รับผิดชอบการให้บริการขนส่งสาธารณะได้เพิ่มจำนวนยานพาหนะ เที่ยววิ่งรถ และเที่ยวบินเสริมพิเศษ เพื่อรองรับปริมาณการเดินทางตลอดเทศกาลสงกรานต์ โดยมีประชาชนใช้บริการทั้งสิ้นจำนวน ๓,๑๗๑,๑๕๘ คน ซึ่งเพียงพอกับความต้องการของประชาชนที่รับบริการ ๑.๒ การอำนวยความสะดวกด้านโครงข่ายถนน ได้ยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางและลดปัญหาการจราจรติดขัดบริเวณหน้าด่านเก็บเงินในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมีรถผ่านทาง จำนวน ๓,๖๕๘,๘๑๕ คัน คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้นประมาณ ๑๒๓,๗๙๐,๓๓๖ บาท ประกอบด้วย การยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข ๗ (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) และหมายเลข ๙ (วงแหวนกาญจนาภิเษก ด้านตะวันออก) ตั้งแต่เวลา ๑๖.๐๐ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ และยกเว้นการจัดเก็บค่าธรรมเนียมผ่านทางบนทางด่วนบูรพาวิถี ตั้งแต่เวลา ๐๐.๐๑ น. ของวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๖ ถึงเวลา ๒๔.๐๐ น. ของวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๖ ๑.๓ การอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลจราจร ได้รายงานผลการปฏิบัติงานผ่านระบบของศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงคมนาคม (MOTOC) ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยครอบคลุมการให้บริการระบบบริหารจัดการอุบัติเหตุด้านการขนส่ง (TRAMS) แก่หน่วยงาน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และอำนวยความสะดวกในการจัดทำรายงานและการวิเคราะห์ข้อมูลอุบัติเหตุประจำวัน ทั้งในภาพรวมของกระทรวงคมนาคม ระดับกรม และระดับหน่วยงานในส่วนภูมิภาค ๒. การดำเนินงานด้านความมั่นคง ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความมั่นคง โดยวางระบบป้องกันพื้นที่ในความรับผิดชอบ เช่น การติดตามสถานการณ์ข่าวสารข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคง และการแจ้งเตือนการก่อเหตุ ดำเนินการให้มีการจัดเวรยาม และเฝ้าระวังสังเกตการณ์ เป็นต้น ๓. การดำเนินงานด้านความปลอดภัย ได้ดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อผู้ขับขี่ ผู้โดยสาร ยานพาหนะ และถนน ประกอบด้วย ๔ มาตรการ คือ มาตรการด้านการบริหารจัดการ มาตรการด้านถนนปลอดภัย มาตรการยานพาหนะปลอดภัย และมาตรการผู้ใช้รถใช้ถนนปลอดภัย ๔. สถิติอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๖ ระหว่างวันที่ ๑๑-๑๗ เมษายน ๒๕๕๖ เปรียบเทียบกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ ๒๕๕๕ มีจำนวนครั้งของการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน ๑,๑๐๔ ครั้ง เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒.๒๐ ผู้เสียชีวิต จำนวน ๒๒๑ คน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง และจำนวนผู้บาดเจ็บ จำนวน ๑,๓๖๒ คน เพิ่มขึ้นร้อยละ ๒๒.๔๘ โดยมูลเหตุสันนิษฐานของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน ๓ ลำดับแรก คือ ขับรถเร็วเกินกำหนด คนหรือรถตัดหน้ากระชั้นชิด และเมาสุรา ประเภทของยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุ ๓ ลำดับแรก คือ รถปิคอัพบรรทุก ๔ ล้อ รถยนต์นั่งส่วนบุคคล/รถยนต์นั่งสาธารณะ และรถจักรยานยนต์ สำหรับอุบัติเหตุทางราง มีจำนวน ๖ ครั้ง ทางน้ำและทางอากาศ (ไม่มี) ๕. แนวทางการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น ได้กำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาเพื่อป้องกันและลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่ อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นบนถนน มอบให้กรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทศึกษาและพิจารณาหาแนวทางในการควบคุมความเร็วบนทางหลวงและทางหลวงชนบทให้เพิ่มมากขึ้น และร่วมมือกับหน่วยงานส่วนท้องถิ่นในการรณรงค์ป้องกันอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่องไม่เฉพาะในช่วงเทศกาลเท่านั้น ส่วนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากรถโดยสารสาธารณะ มอบให้กรมการขนส่งทางบกเร่งศึกษาและพิจารณาขยายผลการดำเนินการควบคุมความเร็วของรถโดยสารสาธารณะ โดยการใช้เทคโนโลยี RFID อย่างจริงจังและต่อเนื่อง นอกจากนี้ ได้มีการเสริมสร้างวัฒนธรรมด้านความปลอดภัยทางถนน (Safety Culture) เพื่อให้ผู้ขับขี่มีจิตสำนึกด้านความปลอดภัยและมีวินัยจราจร รวมทั้งให้ผู้ใช้รถใช้ถนนตระหนักถึงความสูญเสียทั้งทางด้านร่างกายและทรัพย์สิน
|
||||||||||||||||||
1436 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของห้างหุ้นส่วนจำกัด พลัดแอกอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตามคำขอที่ ๑/๒๕๕๑ (ประทานบัตรที่ ๒๘๖๐๘/๑๕๓๖๐) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับการต่ออายุประทานบัตรแล้ว ให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่เสนอไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการต่ออายุประทานบัตร ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง และแรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีส่วนในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1437 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๕/๒๕๔๖ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ตั้งโครงการและพื้นที่ใกล้เคียงซึ่งอาจได้รับผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อมและสุขอนามัยของประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและมลพิษตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนมา ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1438 | แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหาร และบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด | นร12 | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ ๑๐๗/๒๕๕๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อศึกษาทบทวนความเหมาะสมของค่าตอบแทนของผู้บริหารและบุคลากรในหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งหมด ลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๕๖ เป็นต้นไป ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ โดยมีองค์ประกอบของคณะกรรมการฯ และอำนาจหน้าที่ ดังนี้
๑. องค์ประกอบของคณะกรรมการฯ ประกอบด้วย รองนายกรัฐมนตรี (นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา) เป็นประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล) เป็นรองประธานกรรมการ คนที่ ๑ และคนที่ ๒ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐและภาคเอกชน ผู้แทนจากหน่วยงานกลาง เป็นกรรมการ โดยมีเลขาธิการ ก.พ. เป็นกรรมการและเลขานุการ และอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ ๒. ให้คณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ศึกษาและวิเคราะห์เปรียบเทียบเกี่ยวกับอัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม จัดทำข้อเสนอการปรับปรุงอัตราค่าตอบแทนขั้นสูงและขั้นต่ำของผู้บริหารและบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวม รวมทั้งศึกษาวิเคราะห์อัตราค่าตอบแทนของหน่วยงานภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบในเชิงเปรียบเทียบกับภาวะการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและภาคเอกชน โดยให้ดำเนินการครอบคลุมส่วนราชการในราชการบริหารส่วนกลาง ส่วนราชการในราชการบริหารส่วนภูมิภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายบริหาร หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายนิติบัญญัติ หน่วยงานอื่นของรัฐในสังกัดฝ่ายตุลาการ และองค์กรตามรัฐธรรมนูญ
|
||||||||||||||||||
1439 | ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (เพื่อทำปูนขาว) | อก | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้ผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ ๑ บีเอ็ม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๓๓ (เรื่อง การอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้) และวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ [เรื่อง มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก และการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่น ๆ (ลุ่มน้ำชายแดน)] เพื่อทำเหมืองแร่หินอ่อนและหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่อทำปูนขาว) ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ตามคำขอที่ ๑/๒๕๔๙ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นว่ากระทรวงอุตสาหกรรมควรพิจารณาดำเนินการตามระเบียบ/ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ หลังจากได้รับประทานบัตรแล้วให้ผู้ถือประทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และจะต้องปฏิบัติตามข้อเสนอแนะมาตรการใช้ที่ดินในเขตลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๘ โดยเคร่งครัด รวมทั้งควรนำมาตรการป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมไปกำหนดเป็นเงื่อนไขในการอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ทั้งนี้ ก่อนการอนุญาตสัมปทาน ให้กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และผู้แทนชุมชนในพื้นที่ดังกล่าว ตรวจสอบการฟื้นฟูสภาพพื้นที่ที่ผ่านการทำเหมือง ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน และเนื่องจากการทำเหมืองหินเป็นกิจกรรมที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งมลพิษทางเสียง มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละออง แรงสั่นสะเทือน จึงเห็นควรให้เพิ่มวงเงินกองทุนฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของพื้นที่ทำเหมืองและกองทุนเฝ้าระวังสุขภาพและการพัฒนาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการทำเหมือง โดยกำหนดอัตราส่วนให้เหมาะสมกับผลประโยชน์ตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ได้รับ รวมทั้งให้ชุมชน โรงเรียน วัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการกองทุนนี้ร่วมกัน และเพื่อมิให้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ตั้งโครงการควรให้ผู้ที่ได้รับสัมปทานบัตรดำเนินการตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่กำหนดไว้ตามรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นซึ่งเป็นที่ตั้งโครงการ และพื้นที่ใกล้เคียงเข้ามามีส่วนร่วมติดตาม และตรวจสอบการดำเนินงานของบริษัท หินอ่อน จำกัด อย่างต่อเนื่องตามอำนาจหน้าที่ที่ได้รับการถ่ายโอนจากส่วนราชการ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย |
||||||||||||||||||
1440 | เร่งรัดการควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี 2556 | สธ | 18/06/2556 | |||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติเร่งรัดการควบคุมและป้องกันการระบาดใหญ่ของไข้เลือดออก ปี ๒๕๕๖ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้
๑. ให้กระทรวงมหาดไทยกำชับให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้นำทุกท้องถิ่นผู้นำชุมชนรับผิดชอบระดมสรรพกำลัง ในการทำให้ประชาชนทุกคนลุกขึ้นมากำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำทุกบ้านอย่างต่อเนื่องจนถึงเดือนสิงหาคม ในพื้นที่รับผิดชอบ ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการกำชับให้ผู้บริหารโรงเรียนทั้งภาครัฐและเอกชนทุกแห่งกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารทุกสัปดาห์และเฝ้าระวังเด็กป่วยหากสงสัยไข้เลือดออกให้ประสานผู้เกี่ยวข้องเพื่อควบคุมโรคให้ทันเวลา ๓. ให้กระทรวงคมนาคมขอความร่วมมือไปยังทุกสถานประกอบการให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคาร และที่พักทุกสัปดาห์ ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาขอความร่วมมือเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทเอาใจใส่ให้มีการกำจัดกวาดล้างทำลายลูกน้ำในทุกอาคารและบริเวณโดยรอบของโรงแรม ๕. ให้กรมประชาสัมพันธ์สนับสนุนให้มีการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทางในการให้ความรู้แก่ประชาชนในการดูแลบ้านเรือนและอาคารค้าขายไม่ให้มีลูกน้ำในภาชนะต่าง ๆ ๖. ให้ทุกกระทรวงรับผิดชอบการดำเนินงานตามบริบทของตนเอง
|
.....