ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 111 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 2201 - 2220 จากข้อมูลทั้งหมด 3983 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 2201 | ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น พ.ศ. 2550 | ทก | 06/11/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับผล
สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น พ.ศ. 2550 ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ สรุป ได้ดังนี้ ผลการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สินค้าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น 71.1% ระบุว่าใช้ และ 28.9% ระบุว่าไม่ใช้ โดยในกลุ่มที่ใช้ส่วนใหญ่ระบุประเภทสินค้าที่ใช้มากที่สุด คือ อาหารแปรรูปต่าง ๆ เช่น น้ำพริก กล้วย ตาก เป็นต้น ส่วนผลการสำรวจการผลิตสินค้าและการจัดกิจกรรม/โครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและ ท้องถิ่น 35.9% ระบุว่าในชุมชน/หมู่บ้านไม่มีการผลิตสินค้า ฯ และ 35.3% ระบุว่ามีการผลิตสินค้า ฯ โดยประชา ชนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม ฯ แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินการของชุมชน/หมู่บ้าน ดังนี้ เรื่องความร่วมมือ ของคนในชุมชน (86.3%) การนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้พัฒนาสินค้า (84.6%) การนำวัตถุดิบ/ทรัพยากรในท้อง ถิ่นมาใช้ในการผลิต (80.9%) และการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิต การบริหารจัดการ (56.0%) สำหรับผลการ สำรวจปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินการ ประชาชนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรม ฯ ระบุว่ามีปัญหา 81.8% และไม่มี ปัญหา 13.3% โดยกลุ่มที่มีปัญหา/อุปสรรค ระบุว่ามีปัญหาเกี่ยวกับแหล่งเงินทุน 58.3% ตลาดจำหน่ายสินค้า 45.7% และขาดความรู้/เทคนิคในการผลิต 31.6% เป็นต้น ด้านผลการสำรวจเกี่ยวกับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้า ที่รัฐ/หน่วยงานต่าง ๆ 85.3% ระบุว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐให้ความช่วยเหลือ และ 4.3% ระบุว่าไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐให้ความ ช่วยเหลือ สำหรับความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่น (OTOP) ในด้านคุณภาพของผลิตภัณฑ์ 65.6% ระบุว่าผลิตภัณฑ์ชุมชนและท้องถิ่นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน ในขณะที่ 34.4% ระบุว่ายังไม่ได้มาตรฐาน และในด้านรูปแบบบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ ฯ 83.0% ระบุว่ารูปแบบบรรจุภัณฑ์มีการพัฒนา และ 6.0% ระบุว่า ไม่มีการพัฒนา นอกจากนี้ ยังได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของโครงการ ฯ ความช่วยเหลือจากรัฐบาล ในการพัฒนาคุณภาพ/มาตรฐานสินค้าเพื่อการส่งออก และความพึงพอใจต่อผลการดำเนินงานโครงการ ฯ รวม ทั้งข้อเสนอแนะของประชาชนที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมว่า ควรจัดหาแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ จัดหา วิทยากรของรัฐมาให้ความรู้ คำแนะนำในการพัฒนาฝีมือและทักษะในการผลิต และจัดหาตลาดจำหน่ายสินค้าภาย ในประเทศ/ภายนอกประเทศ/ส่งเสริมการส่งออกให้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2202 | (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี 2551 - 2554 | ทส | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ (ร่าง)
แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. 2551-2554 เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติในการป้อง กัน ควบคุม และแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าให้มีประสิทธิภาพ สามารถนำไปใช้ให้บังเกิดผลในทางปฏิบัติจริง ประกอบด้วย (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่า ปี พ.ศ. 2551-2554 จำนวน 44 โครงการ และ (ร่าง) แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาหมอกควันและไฟป่าในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน ปี พ.ศ. 2551- 2554 จำนวน 307 โครงการ โดยให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรสร้างความ ชัดเจน หรือเพิ่มมาตรการในด้านการประสานงานกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นแหล่งกำเนิดไฟป่าในการสร้างความ ร่วมมือกันในการป้องกันและควบคุมไฟป่าเข้าไว้ด้วย และให้หารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและส่วน ท้องถิ่นถึงความเป็นไปได้ของการจัดสรรงบปกติของแต่ละหน่วยงานเพื่อการนี้ รวมทั้งหารือกับสำนักงบประมาณ ในการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับปี พ.ศ. 2551 และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็น หน่วยงานหลักรวบรวมผลการดำเนินงาน ตลอดจนติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติ การ ฯ ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น และทั้งในระดับมาตรการ จังหวัด และโครงการ และ นำเสนอให้คณะรัฐมนตรีทราบภายในระยะ 6 เดือนตลอดช่วงการดำเนินการตาม (ร่าง) แผนปฏิบัติการ ฯ เป็น ต้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณเพื่อดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ให้ใช้จ่ายจากงบ ประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ที่กระทรวงและจังหวัดได้รับการจัดสรรไว้แล้ว ส่วนงบประมาณ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2552-2554 ให้เสนอคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2203 | ขอความเห็นชอบร่างยุทธศาสตร์การพัฒนาการเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจ จังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2551 - 2554) | กษ | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอร่างยุทธศาสตร์การพัฒนา
การเกษตรในเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (พ.ศ. 2551-2554) เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนิน งานพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นรูปธรรมและสอดคล้องกับสภาพปัญหา ชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมของประชา ชนในพื้นที่ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การสร้างความเข้มแข็งให้กับเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร โดยสร้างกลุ่ม เครือข่ายในการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตรที่เข้มแข็งและเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ให้เกิดขึ้นทุกตำบล (236) ตำบล เกษตรกรประกอบอาชีพและดำรงชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง (350,000 ครัวเรือน) ยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนา และฟื้นฟูอาชีพภาคเกษตรให้สอดคล้องกับศักยภาพและพื้นที่ โดยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมสาขาเกษตร เป็น 100,000 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2554 จากเดิม 89,761 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2548 จากแหล่งผลิตการเกษตรที่ส่งเสริมให้เกิดขึ้น ใหม่ และพัฒนาปรับปรุงคุณภาพแหล่งผลิตการเกษตรที่มีอยู่เดิม ยุทธศาสตร์ที่ 3 การบริหารจัดการทรัพยากรการ เกษตรและสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน โดยเพิ่มพื้นที่ที่มีศักยภาพในการทำการเกษตรมากขึ้นอย่างน้อย 3,000,000 ไร่ (75,000 ไร่/ปี) ด้วยการอนุรักษ์ดินและน้ำ เพิ่มผลผลิตสัตว์น้ำด้วยการสร้างแหล่งปะการังเทียมอย่างน้อย 30 แห่ง /ปี และส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรการเกษตรในรูปของชุมชนอย่างน้อยอำเภอละ 3 กลุ่ม และยุทธศาสตร์ที่ 4 การเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการองค์กรให้เข้มแข็ง โดยสร้างเครือข่ายการปฏิบัติ งานของเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อย่างน้อยตำบลละ 3 คน รวมทั้งสิ้น 1,000 คน สามารถเชื่อมโยงกับ ปราชญ์ชาวบ้าน หรือผู้นำในท้องถิ่นได้ทุกตำบล และสร้างแหล่งรวบรวมข้อมูลข่าวสารด้านการเกษตรในชุมชนอย่าง น้อยตำบลละ 1 แห่ง รวมทั้งสิ้น 326 แห่ง โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำแผนงาน/โครงการภายใต้ กรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงานต่อไป รวมทั้งให้ความสำคัญต่อการติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานในแต่ละปีอย่างจริงจัง และใช้เป็นข้อมูลเพื่อประกอบการพิจารณาปรับแผนการดำเนินงาน ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสถานการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2204 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร พ.ศ. .... | นร | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต
ที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างและขยายทางหลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพง เพชร พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างและขยายทาง หลวงท้องถิ่น สายเชื่อมระหว่างถนนประดิพัทธ์กับถนนกำแพงเพชร ในท้องที่แขวงสามเสนใน เขตพญาไท และแขวง จตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร และให้นำขึ้นทูลเกล้า ฯ ถวาย เพื่อประกาศใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2205 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยบูรพา พ.ศ. .... | สว | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้ รับทราบตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการ
สภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย บูรพา พ.ศ. .... ซึ่งคณะกรรมการวิสามัญ ฯ เห็นสมควรปรับปรุงการศึกษาระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม โดยการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาต้องคำนึงถึงความเป็นอิสระ ความ เป็นเลิศทางวิชาการ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และร่างพระราช บัญญัติมหาวิทยาลัย สำหรับค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงการศึกษาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่กำหนดในข้อบังคับของมหาวิทยาลัย และกระบวนการพิจารณากำหนดอัตราที่เรียกเก็บเงิน โดยเปิดโอกาสให้ ตัวแทนนิสิต และสภาคณาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการเสนอความเห็นต่อสภามหาวิทยาลัยด้วย ส่วนการสรรหา กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิอาจจะพิจารณาคัดเลือกจากผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ด้วยก็ได้ โดยผู้ได้รับการสรรหาจะต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถเพียงพอที่เข้ามาเป็น กรรมการดังกล่าว ซึ่งมิใช่เป็นการแต่งตั้งโดยพิจารณาจากตำแหน่งบริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งเป็นหลัก และเห็นชอบให้นำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติที่คณะกรรมาธิการวิสามัญ ฯ แก้ไขเป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อ่ไป ทั้งนี้ มอบให้กระทรวง ศึกษาธิการรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการไปพิจารณา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2206 | รายงานการติดตามผลการบูรณาการและการนำไปสู่การปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลด้านสังคม | พม | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการติดตามผลการบูรณาการและการนำไปสู่การปฏิบัติตาม
นโยบายรัฐบาลด้านสังคมของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สรุปสาระสำคัญดังนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้จัดทำแผนงาน/โครงการ ที่ได้บูรณาการร่วมกันตามนโยบายรัฐบาลด้านสังคม ในด้านการส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความ สมานฉันท์ของคนในชาติ การจัดทำแผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันอย่างสมานฉันท์ และการสร้าง ความเข้มแข็งของทุกชุมชน ท้องถิ่นและประชาสังคม ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลไปสู่การปฏิบัติ รวม 12 หน่วยงาน จำนวน 9 แผนงาน 86 โครงการ รวมงบประมาณที่ได้รับจัดสรร ปี 2550 เป็นเงิน 4,372,120,620 บาท และงบประมาณที่เบิกจ่ายไปแล้วเป็นเงิน 510,035,457.74 บาท
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2207 | ร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. .... | กษ | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ....
โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำร่างพระราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาศึกษาข้อมูลและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจ เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป โดยรับความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีที่ให้พิจารณากำหนดเนื้อหาสาระของร่างพระราชบัญญัติ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องให้มีความสอดคล้องกับ ร่างพระราชบัญญัติการเลี้ยงสัตว์และการใช้สัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. .... ของสำนักงานคณะกรรมการวิจัย แห่งชาติซึ่งอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศ เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นและเป็นผลเสียแก่ ประเทศ ซึ่งอาจเป็นเหตุให้ถูกยกเป็นข้ออ้างในการกีดกันทางการค้า และมีผลกระทบต่อการส่งสินค้าเนื้อสัตว์ไปสู่ ตลาดโลกหรือไม่ เพียงใด รวมทั้งควรกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานในคณะกรรมการป้องกันการทารุณ กรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ประจำจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเป็นรองประธาน และควรให้องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและสนับสนุนงานตามวัตถุประสงค์ของร่างพระราชบัญญัติฯ นอกจาก นี้ ร่างมาตรา 25 ซึ่งกำหนดให้การกระทำตามที่กำหนดเป็นการทารุณกรรมสัตว์อาจมีส่วนใดส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับ พระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ในการให้สัตว์ต่อสู่หรือแข่งกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา แข่งม้า เป็น ต้น ซึ่งมีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรักษาการตามกฎหมาย จึงควรให้กระทรวงมหาดไทยดูแลรับผิดชอบงาน ด้านนี้ตามเดิม ไปพิจารณาด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2208 | แผนแม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต | นร | 30/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอแผน
แม่บทการบริหารจัดการขยะมูลฝอย จังหวัดภูเก็ต เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และส่วนท้องถิ่น ในการบริหารจัดการลด คัดแยก และการนำขยะมูล ฝอยกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบการจัดการขยะมูลฝอย การปรับปรุงแก้ไขระเบียบให้เอื้อต่อ การดำเนินงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการส่งเสริมบทบาทการมีส่วนร่วมของชุมชน ผู้ประกอบการ และ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีแผนงาน/โครงการที่สำคัญ 2 แผนงาน 19 โครงการ งบประมาณรวม 1,232.1 ล้านบาท และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับความเห็นของส่วนราชการ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการเร่งด่วนจำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการลดและต้องแยกขยะมูลฝอยจากแหล่งกำเนิด วงเงิน 6.4 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงบ่อฝังกลบขยะมูล ฝอยบ่อที่ 4 และฟื้นฟูบ่อฝังกลบบ่อที่ 5 วงเงิน 55 ล้านบาท และจะต้องมีการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะ สมโครงการก่อสร้างระบบกำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 วงเงิน 12 ล้านบาท นั้น ให้กระทรวงมหาดไท ย (จังหวัดภูเก็ต) ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงมหาดไทย (จังหวัดภูเก็ต) กระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติมด้วยว่า ในการรณรงค์ ปลูกจิตสำนึกเยาวชนและชุมชนทั้งในระดับครัวเรือน สถานประกอบการ และอุตสาหกรรม ในพื้นที่ให้มีส่วนร่วมใน การดูแลรักษาความสะอาดและสภาพแวดล้อมในพื้นที่ ควรดำเนินการในลักษณะของการประสานความร่วมมือในทุก ภาคส่วนให้มีความตระหนักและรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการขยะมูลฝอยอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสนับสนุนด้านเทค นิควิชาการ และแนวทางการลดขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิด โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องขอความร่วมมือให้อาสาสมัคร สาธารณสุขหมู่บ้าน และอาสาสมัครพิทักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหมู่บ้านเป็นแกนนำในการดำเนินการ ด้วย และให้จังหวัดภูเก็ต (องค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต) เร่งรัดการดำเนินการเก็บภาษีท้องถิ่น เช่น ภาษีอากร ที่เก็บจากสถานบริการและโรงแรมในท้องถิ่น เป็นต้น เพื่อให้มีเงินรายได้รองรับการดำเนินการบริหารจัดการขยะ มูลฝอยได้อย่างเพียงพอ ส่วนการดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างระบบ กำจัดขยะมูลฝอยชุมชน ชุดที่ 2 ให้กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาตินำผลการวิจัยที่ได้มีศึกษาในเรื่องที่เกี่ยวข้องไว้แล้วมาพิจารณาใช้ประโยชน์และประกอบการดำเนินการ เพื่อ ลดความซ้ำซ้อนและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2209 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... | พม | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอร่าง
ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน พ.ศ. .... เพื่อส่งเสริมให้ชุมชนและประชาชนได้มีการ รวมตัวในรูปแบบสภาองค์กรชุมชนเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน และเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วน ร่วมในการพัฒนาทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า ร่างระเบียบฉบับนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ และการปฏิบัติงานขององค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่น และแนวทางการพัฒนาท้องถิ่นในด้านต่าง ๆ จึงสมควรรับฟังความเห็นของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้ แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อประกอบการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และให้รับความเห็น ในบางประเด็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงมหาดไทยเกี่ยวกับการจัดตั้งสภาองค์กรชุมชน ตามร่างระเบียบ ฯ จะก่อให้เกิดความสับสนและความขัดแย้งในพื้นที่เนื่องจากไม่กำหนดองค์ประกอบขององค์กรชุมชน ที่ยื่นคำขอจดแจ้งการจัดตั้ง และในการจัดทำข้อบังคับการดำเนินงานก็ให้เป็นไปตามความต้องการขององค์กรชุมชน แต่ละแห่งโดยไม่มีกรอบแนวทางปฏิบัติและมาตรการกำกับดูแลให้เป็นมาตรฐานเดียวกันแต่อย่างใด ส่วนอำนาจหน้า ที่ของคณะกรรมการส่งเสริมสภาองค์กรชุมชน ที่กำหนดให้ประสานงานและบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหนุนเสริมการพัฒนา ของสภาชุมชน รวมทั้งการติดตามผล นั้น อาจขัดต่อแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่น ดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับเป็นการทั่วไป โดยได้กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐมีอำนาจ หน้าที่ในการบริหารงานในพื้นที่ไว้แล้ว เป็นต้น ไปพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2210 | ขอความเห็นชอบสนับสนุนการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) | กก | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดการ
แข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) และหากกรุงเทพมหานครได้รับการยืนยันจาก คณะกรรมการโอลิมปิคสากล (IOC) ให้เป็นเมืองที่เสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาเยาวชนโอลิมปิคฤดูร้อน ครั้งที่ 1 ปี 2010 (พ.ศ. 2553) แล้ว ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และกรุงเทพมหานคร จัดทำรายละเอียด กรอบวงเงินงบประมาณที่จะใช้ในการจัดการแข่งขันเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไปอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กรุงเทพ มหานครรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรศึกษาวิเคราะห์ ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการเป็นเจ้าภาพ พร้อมทั้งจัดทำแผนการดำเนินการที่ชัดเจนเป็นระบบครอบคลุมตั้งแต่ ขั้นการเตรียมการ ขั้นการดำเนินการแข่งขัน รวมทั้งมีการพิจารณาการจัดสรรผลประโยชน์ และการดำเนินการภาย หลังการแข่งขันแล้วเสร็จ และกำหนดบทบาทความรับผิดชอบในการดำเนินการเป็นเจ้าภาพภายใต้ความร่วมมือของ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรุงเทพมหานคร และการกีฬาแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นเจ้าภาพหลักและร่วมรับ ภาระค่าใช้จ่าย โดยเตรียมการจัดทำรายละเอียดแผนงบประมาณค่าใช้จ่ายให้ชัดเจนและเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจเอก ชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการดำเนินการด้วย และความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่ให้กรุงเทพมหานครมีส่วนร่วมใน การรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการแข่งขัน โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนงบประมาณกับกรุงเทพมหานครในสัด ส่วนไม่เกินร้อยละ 60 ของวงเงินค่าใช้จ่ายที่จะดำเนินการ โดยให้กรุงเทพมหานครขอรับการสนับสนุนงบประมาณ ตามความจำเป็นเป็นปี ๆ ไป ในสัดส่วนเงินอุดหนุนจากรัฐบาลที่จัดสรรให้กรุงเทพมหานคร ตามมติคณะกรรมการ การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2211 | การปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่ายนมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) | กษ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการปรับเพิ่มราคากลางการจำหน่าย
นมพร้อมดื่มในโครงการอาหารเสริม (นม) ตั้งแต่ภาคเรียนที่ 2/2550 ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 เพิ่มขึ้น สำหรับ นมพาสเจอร์ไรส์ถุงละ 45 สตางค์ และนมยู. เอช. ที. กล่อง/ซองละ 58 สตางค์ ดังนี้ นมพาสเจอร์ไรส์ ชนิดถุง จาก เดิมถุงละ 4.69 บาท ปรับเพิ่มเป็นราคาถุงละ 5.14 บาท นมยู.เอช.ที. ชนิดกล่อง จากเดิมกล่องละ 5.94 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคากล่องละ 6.52 บาท และ นมยู.เอช.ที. ชนิดซองกระดาษหรือพลาสติก จากเดิมซองละ 5.84 บาท ปรับ เพิ่มเป็นราคาซองละ 6.42 บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ บริหารโครงการอาหารเสริม (นมโรงเรียน) ในคณะกรรมการนโยบายพัฒนาโคนมและผลิตภัณฑ์ ให้แล้วเสร็จโดย เร็ว เพื่อจะได้เกิดความชัดเจนในการบริหารจัดการอาหารเสริม (นม) อย่างเป็นระบบและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิด ขึ้น และให้กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) รับไปประสานขอความร่วมมือองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นให้การสนับสนุนการจัดซื้อนมพร้อมดื่มให้ได้ครบตามเป้าหมายของโครงการด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2212 | แต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา | ศธ | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งกรรมการในคณะกรรมการสภาการ
ศึกษา ประกอบด้วย ผู้แทนองค์กรเอกชน ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนองค์กรวิชาชีพ พระภิกษุซึ่ง เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ ผู้แทนคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรศาสนาอื่น และกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวนทั้งสิ้น 41 คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (22 ตุลาคม 2550) เป็นต้นไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2213 | การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ของรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ณ จังหวัดพิษณุโลก | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) รายงานผลการเดินทาง
ไปกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในพื้นที่เขตตรวจราชการที่ 2 ณ จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2550 โดยผลการติดตามการบูรณาการแผนงาน/โครงการ งบประมาณระหว่างกระทรวงและจังหวัด พบว่า จังหวัดพิษณุโลก ได้มีการบูรณาการแผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2551 ในเบื้องต้นไปแล้ว โดยใช้ตำบลเป็นหน่วยงานหลักในการ บูรณาการร่วมกันระหว่างส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน และได้เตรียมการบูรณาการ แผนงานและงบประมาณปี พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วนผลการติดตามการดำเนินงานช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรณีฝนตก หนักช่วงวันที่ 4-5 ตุลาคม 2550 พบว่า จังหวัดพิษณุโลกมีระบบการแจ้งเตือนที่มีความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างชุมชน และผู้นำในท้องถิ่นสามารถแจ้งเตือนภัยให้ประชาชนทราบล่วงหน้าอย่างทั่วถึง ส่งผลให้ประชาชนมีเวลาในการเตรียม ตัว ในการนี้ รองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) ได้มอบนโยบายเกี่ยวกับการบูรณาการงบประมาณใน ปี พ.ศ. 2551 โดยให้จังหวัดเตรียมความพร้อม โดยเน้นการผสมผสานเชื่อมโยงการทำงานระหว่างส่วนราชการในภูมิ ภาค องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งให้ดำเนินการในลักษณะคู่ขนานไปกับการดำเนินการของราชการส่วนกลางเพื่อให้มิติเวลามีความสัมพันธ์สอด คล้องกัน สำหรับการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย มอบให้ชุมชนและผู้นำท้องถิ่นร่วมมือกันพัฒนาระบบเตือนภัย และ เตรียมความพร้อมในการช่วยเหลือและป้องกันภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2214 | รายงานผลการจัดสัมมนา "รัฐบาลพบสื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานผลการจัดสัมมนา "รัฐบาล
พบสื่อท้องถิ่น" ครั้งที่ 4 ซึ่งสำนักโฆษกและกรมประชาสัมพันธ์จัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2550 ณ จังหวัดอุบลราช ธานี โดยมีรองนายกรัฐมนตรี (นายไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม) เป็นประธานการสัมมนา มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สื่อมวล ชนท้องถิ่นในเขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างได้รับทราบผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขตาม แนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และชี้แจงทำความเข้าใจนโยบายการบริหารงานของรัฐบาลในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการ แสดงความคิดเห็นและซักถามปัญหาของสื่อมวลชนท้องถิ่นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุข และปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยว ข้องกับประชาชนในพื้นที่ อาทิ ตัวชี้วัดโครงการอยู่ดีมีสุขคืออะไร การจัดสรรงบประมาณตามโครงการอยู่ดีมีสุขโดย ใช้ขนาดหมู่บ้านเป็นมาตรฐานทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหมู่บ้านขนาดใหญ่ และหมู่บ้านขนาดเล็ก รวมไปถึงการนำยุทธศาสตร์อยู่ดีมีสุขตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาสู่การเรียนการสอนในระบบการศึกษาได้ อย่างไร ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนในจังหวัดอุบลราชธานี นโยบายการแก้ปัญหาน้ำในระยะยาว ความเป็นไป ได้ที่จะให้จังหวัดและส่วนราชการในจังหวัดเพิ่มตัวชี้วัดด้านการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ปัญหา เขื่อนปากมูล และความชัดเจนโครงการสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 จังหวัดนครพนม เป็นต้น โดยมอบหมาย ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นปัญหาที่สื่อท้องถิ่นภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่างได้นำเสนอในการสัมมนาไป พิจารณาดำเนินการให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน พร้อมแจ้งผลการดำเนินงานให้ประชาชนได้รับทราบด้วย รวมทั้ง มอบหมายให้กระทรวงต่าง ๆ ประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารการดำเนินงานของรัฐบาลให้สื่อมวลชนและ ประชาชนได้รับทราบอย่างถูกต้อง ชัดเจนและทั่วถึงต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2215 | รายงานการตรวจสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 | นร | 22/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (รองศาสตราจารย์ธีรภัทร์ เสรีรัง
สรรค์) รายงานผลการตรวจสถานการณ์อุทกภัยในเขตตรวจราชการที่ 4 (นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา และอ่างทอง) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2550 และเขตตรวจราชการที่ 5 (ชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี และสระบุรี) เมื่อวัน ที่ 19 ตุลาคม 2550 โดยภาพรวมผลการตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยจังหวัดในเขตตรวจราชการที่ 4 และ 5 ได้มีการเตรียมรับสถานการณ์ โดยจัดตั้งศูนย์อำนวยการเฉพาะกิจป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยระดับจังหวัด และ ศูนย์เตือนภัยทั้งระดับจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมทั้งจัดเตรียมกระสอบทราย ติดตั้งเครื่อง สูบน้ำพร้อมให้การช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนหากเกิดอุทกภัย เป็นต้น และจากการตรวจติดตามสถานการณ์ อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดดังกล่าว สถานการณ์น้ำไม่รุนแรงเหมือนปี พ.ศ. 2549 เนื่องจากปริมาณน้ำทางเหนือมีแนว โน้มลดลง พร้อมกันนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะโดยสรุปดังนี้ การแก้ไขปัญหาระยะสั้นหรือระยะยาว ให้จังหวัดสำรวจแหล่ง น้ำที่ตื้นเขิน เพื่อขุดลอก กำจัดสิ่งกีดขวางการไหลของน้ำเพื่อเร่งระบายไปยังที่รับน้ำได้อย่างรวดเร็ว ส่วนการช่วย เหลือตามระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน ให้จังหวัด เร่งสำรวจความเสียหาย และดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับเงินช่วยเหลือโดยเร็ว สำหรับ การแก้ไขปัญหาระยะยาว หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ควรมีการบูรณาการแผนการช่วยเหลืออย่างเป็นระบบโดยมีข้อมูลเป็นปริมาณน้ำสูงสุดในปีที่ผ่าน ๆ มา ความจุของ เขื่อนต่าง ๆ ที่สามารถรองรับน้ำได้ และสำรวจพื้นที่ที่มีความเหมาะสมเพื่อพัฒนาเป็นแก้มลิง หรือก้างปลาไว้รองรับ น้ำเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2216 | โครงการก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย | มท | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) รับเรื่อง โครง
การก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและบรรเทาสาธารณภัย ไปพิจารณาทบทวนในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เกิด ความชัดเจนถูกต้องและเหมาะสมตามความจำเป็น และประหยัด รวมไปถึงประเด็นความซ้ำซ้อนและการใช้ประโยชน์ วิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีอยู่เดิมให้เต็มประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องก่อสร้างสถาบันการดับเพลิงและ บรรเทาสาธารณภัยขึ้นใหม่ และประเด็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์และการดำเนินงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นที่ต้องรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของส่วนราชการที่ เกี่ยวข้อง อาทิ ความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และใช้เงินงบ ประมาณจำนวนมาก และยังขาดความชัดเจนเกี่ยวกับแผนปฏิบัติงาน แผนการใช้จ่ายเงินและการจัดทำรูปแบบการ บริหารจัดการโครงการ รวมทั้งขาดการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างไรก็ดีการจัดตั้งสถาบันดังกล่าว ยังมีความจำเป็นต่อประโยชน์ในด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงเห็นควรลดขนาดของโครงการพร้อมทั้ง จัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานที่ชัดเจนและสอดคล้องกับความพร้อมของ ปภ. และนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ พิจารณาต่อไป และความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้การ สนับสนุนโครงการดังกล่าวตามขอบข่าย (TOR) ที่ได้ปรับปรุงใหม่ของกระทรวงมหาดไทย แต่โดยที่ภารกิจด้านการ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นภารกิจที่ต้องถ่ายโอนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกรูปแบบตาม พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 ควรคำนึง ถึงการส่งเสริมสนับสนุนให้ อปท. ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฝึกอบรม การเตรียมความพร้อม และ การจัดองค์ความรู้ เพื่อรองรับการถ่ายโอนภารกิจด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และการจัดการภัยพิบัติ ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาทบทวน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2217 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... | พณ | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอร่างพระราชบัญญัติการประกอบ
ธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... ที่ตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ จัดระเบียบการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือ ค้าส่งบางประเภท เพื่อให้การประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งทุกประเภทดำรงอยู่ได้ตามสภาพเศรษฐกิจการค้าและ สภาพแวดล้อมในแต่ละท้องถิ่น รวมทั้งให้มีมาตรการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่งรายย่อยดั้งเดิม และ ให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2218 | สรุปผลการดำเนินภารกิจตามนโยบายทางสังคม | พม | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลผลการดำเนินภารกิจตามนโยบายทางสังคมของกระทรวงการ
พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งจัดให้มีคณะทำงานติดตามความก้าวหน้าภารกิจของนโยบาย โดยมีนักวิชา การในพื้นที่เข้ามาร่วมติดตามความก้าวหน้า สรุปได้ดังนี้ นโยบายส่งเสริมความรัก ความสามัคคี ความสมานฉันท์ ของคนในชาติ อาทิ ให้มีการขับเคลื่อนเวทีประชาธิปไตยโดยชุมชนทั่วประเทศ ระหว่างเดือนพฤษภาคม-เดือนสิงหา คม 2550 โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและวิทยากรกระบวนการภาคประชาชน ช่วยทำให้ประชาชนมี ความเข้าใจความหมายของคำว่าประชาธิปไตย เป็นต้น นโยบายสร้างความเข้มแข็งของทุกชุมชน ท้องถิ่นและประชา สังคม อาทิ จัดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวนกว่า 4 พันแห่ง มีการจัดเก็บข้อมูลผู้ยากลำบากอย่าง ทั่วถึง ถูกต้อง และเป็นระบบมากขึ้น พร้อมทั้งนำข้อมูลดังกล่าวมาดำเนินการช่วยเหลือผู้ยากลำบาก เป็นต้น และ นโยบายการจัดทำแผนปฏิรูปสังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน อาทิ จัดให้มีการพัฒนาระบบสวัสดิการท้องถิ่น ซึ่งทำให้ ผู้บริหาร อปท. และทีมงานมีความรู้ความเข้าใจการจัดสวัสดิการสังคมแก่ผู้ขาดโอกาส และทำให้ อปท. มีรูปแบบและ วิธีการช่วยเหลือประชาชนที่หลากหลายและมีความเหมาะสมกับพื้นที่มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2219 | ผลงาน 1 ปี เพื่อสังคมไทยเป็นสังคมที่ดีงามและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) | พม | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอข้อมูลของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เกี่ยว
กับผลงาน 1 ปี เพื่อสังคมเป็นสังคมที่ดีงามและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยผลการดำเนินงานตลอดระยะเวลา 1 ปี (ตุลาคม 2549 - กันยายน 2550) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ได้ร่วมกับภาคีเครือข่าย ทุกภาคส่วนของสังคมร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์สังคมแห่งชาติ ได้แก่ ยุทธศาสตร์สังคมไม่ ทอดทิ้งกัน ยุทธศาสตร์สังคมเข้มแข็ง และยุทธศาสตร์สังคมคุณธรรม เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่เป้าหมายการเป็น สังคมที่ดีงามและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน โดยมีกิจกรรมหลักที่สำคัญ อาทิ การระดมพลังสังคมเพื่อช่วยเหลือดูแลผู้ ด้อยโอกาสและผู้ยากลำบาก การสร้างความสมานฉันท์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การสร้างความเข้มแข็งของ ชุมชนท้องถิ่น การสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มเป้าหมายและสถาบันครอบครัว การป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้า มนุษย์ โครงการสนับสนุนการป้องกันและลดความรุนแรงในสังคมไทย โครงการเวทีประชาธิปไตยเพื่อความมั่นคง ของมนุษย์ โครงการส่งเสริมการทำความดี รวมทั้งการผลักดันกฎหมายและกลไกเชิงโครงสร้าง เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
| 2220 | การแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง | พณ | 16/10/2550 | ||||||||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานสรุปผลการแก้ไขปัญหาธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง โดย
กระทรวงพาณิชย์ได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ร้องเรียนทุกกลุ่ม และประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวง มหาดไทย และจังหวัดที่มีการร้องเรียนเพื่อบรรเทาปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับร้านค้าปลีกดั้งเดิม พร้อมทั้งเร่ง รัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกการค้าส่ง พ.ศ. .... นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงมหาดไทย กับกลุ่มผู้ประกอบการค้าปลีกค้าส่งไทย ได้ทำบันทึกข้อตกลงร่วมกันให้มีคณะทำงานเพื่อตรวจ สอบการก่อสร้างและการอนุญาตก่อสร้างอาคารประกอบกิจการค้าปลีกค้าส่งขนาดใหญ่ หากตรวจพบว่า ไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมาย ก็จะสั่งการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกคำสั่งให้ระงับการก่อสร้าง รวมทั้งได้ดำเนินการส่งเสริม และสนับสนุนในการเชื่อมโยงเครือข่ายธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง เพื่อเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุน และมีแนวทางที่จะร่วมมือกับ เอกชนในการจัดตั้งองค์กรที่เป็นแกนกลางเพื่อเร่งส่งเสริมให้มีการเชื่อมโยงหรือข่ายโชวห่วยในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
.....
