ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 1 - 20 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
1 | การให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ | นร. | 30/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการ
ณ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๖๘ เพื่อตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ซึ่งในเบื้องต้นได้สั่งการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ความช่วยเหลือเป็นค่าครองชีพแก่ครอบครัวผู้ประสบภัยเป็นกรณีพิเศษ
นั้น
เพื่อให้การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในภาพรวมเป็นไปอย่างถูกต้อง
รวดเร็ว มีประสิทธิภาพเป็นเอกภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน
และครอบคลุมครบถ้วนทุกมิติทั้งในระยะสั้นและระยะยาว จึงขอมอบหมายการดำเนินการ
ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทย
(กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เร่งสั่งการไปยังจังหวัด อำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องทุกแห่งเพื่อตรวจสอบและขึ้นทะเบียนผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติในพื้นที่รับผิดชอบให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน
เพื่อให้สามารถดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยดังกล่าวได้อย่างรวดเร็ว
ทั่วถึง และไม่เกิดความซ้ำซ้อนกันต่อไป ๒. ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐส่งเรื่องมาตรการหรือแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ
(ตามข้อ ๑) ไปยังศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.)
โดยด่วน เพื่อรวบรวมและพิจารณากลั่นกรองในภาพรวมให้ถูกต้อง เหมาะสม และครบถ้วนก่อนนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีต่อไป ๓. ให้ ศชภ.
จัดทำข้อเสนอมาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียสละพื้นที่ในกรรมสิทธิ์ของตนหรือที่ตนครอบครองทำประโยชน์เพื่อใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในช่วงฤดูน้ำหลาก/น้ำท่วมเป็นประจำทุกปี
ขึ้นเป็นการเฉพาะ ให้ชัดเจนและเหมาะสมเพื่อใช้เป็นกรอบหลักเกณฑ์ในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ประชาชนกลุ่มนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เท่าทันต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละปี โดยมิต้องนำเรื่องเสนอขอความเห็นชอบ/อนุมัติเป็นรายกรณี
ๆ ในแต่ละปีเดิมอีก
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
2 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 09/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับการขายสินค้า
การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณีตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
(ฉบับที่ ๖๔๖) พ.ศ. ๒๕๖๐
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ๗๙๐) พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ โดยยังคงจัดเก็บ ในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น)
หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ต่อไปอีกเป็นระยะเวลา ๑ ปี โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ๑
ตุลาคม ๒๕๖๘ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ เนื่องจากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี
๒๕๖๘ ยังมีข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงจากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่เพิ่มขึ้น
ประกอบกับอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและการปรับตัวลดลงของอัตราดอกเบี้ย
รวมทั้งผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา
ตลอดจนยังมีความผันผวนของระบบเศรษฐกิจการค้าโลก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรพิจารณากำหนดแผนการทยอยการปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้มีความชัดเจน
โดยอาจเริ่มจากการปรับเพิ่มแบบเฉพาะรายกลุ่มสินค้าในช่วงเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว
ควบคู่ไปกับการกำหนดแนวทางการเพิ่มศักยภาพทางการคลัง (fiscal consolidation) อย่างเป็นรูปธรรม
โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายภาครัฐ
เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลังและเตรียมพื้นที่ทางการคลังไว้สำหรับรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยและการเปลี่ยนแปลงของของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
3 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) | มท. | 02/09/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณทั้งสิ้น
๑,๖๗๔,๗๓๐,๑๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน
ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม
(นม) ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร
เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุดที่ นร ๐๗๑๔/๗๘๗๘ ลงวันที่ ๕
สิงหาคม ๒๕๖๘)
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณให้ทันภายในปีงบประมาณ
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงมหาดไทยควรเร่งรัดดำเนินการตามแผนบริหารจัดการโครงการให้อยู่ในกรอบระยะเวลาการภาคเรียนที่
๑ ประจำปีการศึกษา ๒๕๖๘ ซึ่งจะสิ้นสุดในห้วงเดือนกันยายนนี้ เพื่อให้นักเรียนกลุ่มเป้าหมายได้รับการสนับสนุนอาหารกลางวันและอาหารเสริม
(นม) อย่างครบถ้วนโดยคำนึงถึงการตรวจสอบข้อมูลจำนวนนักเรียนให้ถูกต้องเป็นปัจจุบัน
ตลอดจนการใช้งบประมาณอย่างรัดกุมและมีประสิทธิภาพ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
4 | ร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ | อว. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม
ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ
และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ
โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการยกระดับความร่วมมือด้านการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมระหว่างกัน
ตลอดจนเพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในสาขาและมิติที่สอดคล้องกับความสนใจและประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย
โดยมีสาขาความร่วมมือ เช่น ธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ กฎหมาย สุขภาพ ชีววิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์ สภาพทางภูมิอากาศ และสิ่งแวดล้อม มีขอบเขตความร่วมมือ เช่น
ส่งเสริมโอกาสการวิจัยและนวัตกรรมร่วมเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก
ส่งเสริมความเป็นเลิศในด้านการเรียนการสอนและการประเมินผลผ่านการแลกเปลี่ยน
การให้ความช่วยเหลือ และการสนับสนุนที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) และให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ที่เห็นว่าหากกลุ่มนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากครอบครัวผู้มีรายได้น้อยได้รับการพิจารณาทุนการศึกษา
ทุนการวิจัย หรือทุนแลกเปลี่ยนประเภทต่าง ๆ จะยิ่งเป็นการสนับสนุนและสร้างโอกาสแห่งความเท่าเทียมด้านการศึกษาอย่างแท้จริง
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
5 | มาตรการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน | รง. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวที่มีสถานะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
และอนุมัติในหลักการร่างประกาศของกระทรวงมหาดไทย จำนวน ๑ ฉบับ รวมถึงให้ความเห็นชอบในหลักการร่างประกาศของกระทรวงแรงงาน
จำนวน ๑ ฉบับ รวม ๒ ฉบับ เพื่อบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวตามแนวทางการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย และให้กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้นายจ้าง/ผู้ประกอบการ
แรงงานต่างด้าว และผู้ที่เกี่ยวข้องรับทราบข้อมูลการดำเนินการดังกล่าวอย่างทั่วถึง
ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. เห็นชอบ ๒.๑
ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... ๒.๒
ร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การอนุญาตให้คนต่างด้าวทำงานในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ สำหรับคนต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา ลาว
เมียนมา และเวียดนาม ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ .... รวม ๒ ฉบับ
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓.
ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าการนำคนต่างด้าวสัญชาติอื่น
ๆ เข้ามาทำงานในประเทศไทย เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน อาทิ
คนต่างด้าวสัญชาติศรีลังกา เนปาล บังกลาเทศ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ให้กระทรวงแรงงานหารือหน่วยงานด้านความมั่นคงอย่างรอบด้าน
ทั้งในมิติความมั่นคงและมิติเศรษฐกิจ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรมีการกำหนดแนวทางที่ชัดเจนในการป้องกันการสวมสิทธิ์อันไม่พึงประสงค์และพัฒนาระบบการตรวจสอบก่อนอนุญาตให้เข้ามาทำงานในประเทศอย่างเคร่งครัด
รวมทั้งควรมีมาตรการรองรับแรงงานให้สามารถปรับตัวในการทำงานได้ในประเทศไทยอย่างไม่เกิดปัญหา
อาทิ การสนับสนุนให้นายจ้างมีมาตรการช่วยเหลือด้านภาษา
การอบรมเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของแรงงาน กฎหมาย วัฒนธรรมท้องถิ่น
และบรรทัดฐานทางสังคมที่ควรทราบ และควรมีการพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการแรงงานต่างชาติอย่างเป็นระบบ
เพื่อรองรับการขาดแคลนแรงงานในระยะยาว ๔.
ให้กระทรวงแรงงานและกระทรวงสาธารณสุขร่วมกันเร่งรัดแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากำหนดแนวทางการดำเนินการตรวจสุขภาพ
และการประกันสุขภาพ รวมทั้งอัตราค่าประกันสุขภาพ สิทธิประโยชน์และความคุ้มครองของแรงงานต่างด้าว
ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กรกฎาคม ๒๕๖๘ (เรื่อง
การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมาซึ่งได้รับการขยายระยะเวลาการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘ อยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวและทำงานต่อไป) โดยเร็ว
และให้รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข ที่เห็นควรดำเนินการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพเช่นเดียวกับมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๒ กรกฎาคม ๒๕๖๘ เรื่อง แนวทางการผ่อนผันให้แรงงานสัญชาติกัมพูชาเข้ามาทำงานบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา โดยขอรับการตรวจโรคต้องห้ามตามกฎกระทรวงว่าด้วยการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของคนต่างด้าวที่จะขอรับใบอนุญาตทำงาน
ณ สถานพยาบาลของรัฐ และประกันสุขภาพตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขว่าด้วยการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว
ที่มีอายุความคุ้มครองไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ขออนุญาตทำงาน สำหรับคนต่างด้าว ซึ่งทำงานในกิจการหรือเป็นลูกจ้างซึ่งไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม
เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
6 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีศึกษา การจัดงานประเพณี | ปช. | 19/08/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกรณีศึกษา
การจัดงานประเพณี รวม ๓ ประเด็น ดังนี้ (๑)
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดซื้อจัดจ้างโดยมิชอบ (๒)
ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการรายได้จากการจัดงาน และ (๓) ข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาการใช้พื้นที่สาธารณประโยชน์จัดงานโดยไม่ขออนุญาตให้ถูกต้อง
ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
7 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต หนังสือรับรองการแจ้ง และการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สธ. | 29/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย (ฉบับที่ ..)
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาตและการให้บริการในการจัดการมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนให้เหมาะสมและสอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินเก็บ
ขน และกำจัดมูลฝอยที่เป็นพิษหรืออันตรายจากชุมชนของราชการส่วนท้องถิ่น ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
8 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ฯลฯ จำนวน 4 ราย) | มท. | 08/07/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงมหาดไทย
ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๔ ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการปกครอง ๔. ร้อยตำรวจโท ภพชนก ชลานุเคราะห์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
9 | รายงานประจำปี พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ก.ก.ถ. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗
ของคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มีสาระสำคัญ
เช่น ๑) จัดทำร่างแผนการกระจายอำนาจให้แก่อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๑ และร่างแผนปฏิบัติการกำหนดขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่
อปท. (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๖๗ - ๒๕๗๑ ๒) ถ่ายโอนภารกิจสถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ
๖๐ พรรษา นวมินทราชินี/โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ให้แก่องค์การบริหารส่วนจังหวัด
(อบจ.) ทั่วประเทศในปีงบประมาณ ๒๕๖๗ จำนวน ๔,๑๙๔ แห่ง ๓)
ออกประกาศกำหนดหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนทั่วไปให้แก่ อปท. ปีงบประมาณ ๒๕๖๗
จำนวน ๑๙๘,๒๔๗.๒๔ ล้านบาท และ ๔) มอบรางวัล อปท. ที่มีการบริหารจัดการที่ดี
ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๗ จำนวน ๖๕ รางวัล (แบ่งเป็น ประเภทดีเลิศ จำนวน ๓ รางวัล
ประเภทโดดเด่นและประเภททั่วไป จำนวน ๖๒ รางวัล) ตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
10 | รายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติเรื่อง การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม | นร14 | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแนวทางการดำเนินงานข้อคิดเห็นและข้อสังเกตญัตติเรื่อง
การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาและลุ่มน้ำทะเลสาบอื่น ๆ
อย่างยั่งยืนของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ได้รับข้อมูลผลการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปผลการพิจารณาได้
เช่น ๑) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติจัดประชุมเชิงวิชาการเพื่อให้ความรู้และสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเขตลุ่มน้ำ
ทบทวนแผนแม่บทลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ร่วมส่งเสริมสนับสนุนในการดำเนินงานขององค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระดับชุมชน
๒) กรมชลประทานถ่ายโอนภารกิจต่าง ๆ ที่อยู่ในเขตลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลาให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและจัดตั้งเครือข่ายองค์กรผู้ใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา
รวมถึงติดตามและเฝ้าระวังการบริหารจัดการน้ำไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลาและการระบายน้ำสู่อ่าวไทยอย่างสม่ำเสมอ
๓) กรมประมงมีมาตรการในการดำเนินการเก็บกู้เครื่องมือประมงที่เสื่อมสภาพ
หมดอายุการใช้งานขึ้นจากทะเลสาบ และ ๔)
องค์การกำจัดน้ำเสียดำเนินการประสานงานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินงานโครงการเพิ่มประสิทธิภาพระบบรวบรวมน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียเทศบาลนครสงขลา
เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำเสียไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา เป็นต้น ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
11 | (ร่าง) แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ 1 (พ.ศ. 2561-2580) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566-2570) | ลคสช. | 24/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบต่อ (ร่าง)
แผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๖๖ -
๒๕๗๐) และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พศ. ๒๕๖๑ - ๒๕๘๐) ระยะที่ ๒
(พ.ศ.๒๕๖๖ - ๒๕๗๐) ไปดำเนินการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของประชาชนคนไทยในทุกระดับ
โดยร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตดังกล่าว ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑
ส่งเสริมและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตลอดช่วงชีวิต
ยุทธศาสตร์ที่ ๒ พัฒนาระบบบริการสุขภาพจิตและจิตเวช ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ขับคลื่อนและผลักดันมาตรการทางกฎหมาย
สังคม และสวัสดิการ และยุทธศาสตร์ที่ ๔ พัฒนาวิชาการและกลไกการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
ตามที่คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติเสนอ ให้คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทย
สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
เห็นว่าการพัฒนาระบบบริการด้านสุขภาพจิตและจิตเวช
ควรเน้นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยเฉพาะทรัพยากรด้านข้อมูลให้อยู่บนระบบคลาวด์ที่ได้มาตรฐานความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าควรส่งเสริมและสนับสนุนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านสุขภาพจิต
และควรให้การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวกับการดูแลงานด้านสุขภาพจิต สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญกับการบูรณาการฐานข้อมูลสุขภาพจิตระดับชาติที่ครอบคลุมผลการดำเนินงานและปัจจัยที่กระทบต่อสุขภาพจิตของคนไทย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
12 | การเสนอตัวขอเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ในประเทศไทย ประจำปี 2571 - 2575 (5 ปี) | กก. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการจัดการแข่งขันรถยนต์ Formula One ในประเทศไทย
และผลการศึกษารายละเอียดด้านสนามแข่งขันที่เหมาะสมและการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ๒. เห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโครงการจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลก
รายการ FIA FORMULA ONE WORLD CHAMPIONSHIP ประจำปี
๒๕๗๑ - ๒๕๗๕ (๕ ปี) สำหรับกรอบวงเงินงบประมาณค่าใช้จ่ายในการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันดังกล่าว
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณต่อไป ๓. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญกับการศึกษารายละเอียดของข้อจำกัดและข้อกำหนดต่าง ๆ ตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น
ข้อจำกัดของผังเมือง การประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม
การบริหารจัดการจราจร ความพร้อมของเมืองเจ้าภาพ รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดเผยและโปร่งใส
เพื่อให้การดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถยนต์ชิงแชมป์โลกดังกล่าวข้างต้นอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลต่าง
ๆ ที่เกี่ยวข้องที่ถูกต้อง ครบถ้วน รอบด้าน
และลดความเสี่ยงในการเกิดข้อขัดแย้งในระยะยาว ๔. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
(การกีฬาแห่งประเทศไทย) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นว่าหากจำเป็นต้องขอรับการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
ก็ให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงคำนึงถึงสถานะของกองทุนฯ ด้วย และให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการใช้จ่ายงบประมาณจากทุกแหล่งเงินให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
รวมทั้งควรมีมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของชุมชนท้องถิ่น
และประเมินผลการจัดการแข่งขันดังกล่าวทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เกิดผลเป็นรูปธรรม
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามขั้นตอนและเป็นไปตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
13 | การเตรียมการรองรับสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา | นร. | 17/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดสุรินทร์เมื่อวันที่
๑๑ มิถุนายน ๒๕๖๘ เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย - กัมพูชา
และได้รับฟังข้อเสนอแนะจากผู้ว่าราชการจังหวัดในพื้นที่ชายแดนดังกล่าว ได้แก่
จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ
รวมทั้งการรายงานสถานการณ์จากหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ (กองทัพภาคที่ ๒)
ตลอดจนปัญหาต่าง ๆ และแนวทางการแก้ไข ดังนั้น
เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในทุกมิติทั้งด้านความมั่นคงและการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
ดังนี้ ๑.๑
จัดทำหรือซ่อมแซมสถานที่หลบภัยเพื่อป้องกันอันตรายในพื้นที่ต่าง ๆ ครอบคลุมพื้นที่
๗ จังหวัดชายแดน ได้แก่ จังหวัดสุรินทร์ อุบลราชธานี สระแก้ว บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ
จันทบุรี และตราด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ให้เหมาะสมและเพียงพอ โดยจะต้องมีโครงสร้างของสถานที่หลบภัยที่มั่นคง
แข็งแรง และพร้อมใช้งานได้ทันทีเมื่อเกิดภัยขึ้น ๑.๒
จัดเตรียมแผนและกำลังพลในการปกป้องดูแลพื้นที่ส่วนหลังเพิ่มเติมจากพื้นที่ในความรับผิดชอบของกองกำลังส่วนหน้าของหน่วยงานความมั่นคง
เพื่อปกป้องดูแลและสร้างความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ โดยให้กำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) หน่วยงานในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่เชิงกลยุทธ์และการข่าว รวมทั้งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดที่เกี่ยวข้องบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงอย่างใกล้ชิดด้วย ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยให้แก่นักเรียน
นักศึกษา และประชาชนในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อความไม่ปลอดภัย
รวมทั้งพิจารณาความเหมาะสมในการปรับหลักสูตรการศึกษา
โดยเพิ่มเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้สถานที่หลบภัยที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นการปลูกฝังและสร้างการตระหนักรู้
รวมทั้งเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ๓.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานความมั่นคงเร่งจัดทำเส้นทางตรวจการณ์และยุทธวิธีในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
เพื่ออำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้
การดำเนินการในข้างต้นเป็นการเตรียมความพร้อมในการรับมือต่อสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย
- กัมพูชา ที่อาจจะเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลขอให้ความมั่นใจกับประชาชนว่ารัฐบาลจะเร่งแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าวให้คลี่คลายลงโดยเร็วที่สุดและจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์ปะทะรุนแรงในพื้นที่แต่ประการใด
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
14 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... | พม. | 10/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ ทั้งฉบับที่ใช้บังคับมาเป็นเวลานาน
และปรับปรุงเป็นฉบับใหม่ เพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานศาลยุติธรรม
สำนักงานอัยการสูงสุด กรุงเทพมหานคร
และคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ดังนี้ กระทรวงมหาดไทย เห็นว่าเกี่ยวกับการแต่งตั้งพนักงานคุ้มครองเด็กที่กำหนดให้รัฐมนตรีและองค์การบริหารส่วนจังหวัดอาจแต่งตั้งพนักงานคุ้มครองเด็กได้
ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอาจแต่งตั้งผู้ช่วยพนักงานคุ้มครองเด็กตามมาตรา
๒๙ และ ๓๐ ซึ่งไม่สอดคล้องกับมาตรา ๑๘ (๔) ประกอบมาตรา ๓๑
ที่กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นส่งเสริมให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและต้องจัดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในจำนวนที่เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่
ซึ่งอาจทำให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติได้ กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
มีหน้าที่และอำนาจในการตรวจค้น ยึด อายัดบารากู่ บารากู่ไฟฟ้าหรือบุหรี่ไฟฟ้า
หรือยาเสพติดอื่นใดที่นักเรียนและนักศึกษานำมาหรือพกติดตัวไป
เพื่อนำส่งเจ้าพนักงานตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องไว้ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก
พ.ศ. .... มาตรา ๘๕ และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษาเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา
เพื่อเป็นการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่พนักงานส่งเสริมความประพฤตินักเรียนและนักศึกษา
ไว้ในร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. .... มาตรา ๘๕ วรรคสอง เป็นต้น ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน
ก.พ.ร. สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานอัยการสูงสุด และกรุงเทพมหานครไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย สำนักงาน ก.พ. เห็นว่าการกำหนดให้มีพนักงานคุ้มครองเด็กในจำนวนที่เหมาะสมตามที่ระบุในร่างมาตรา ๓๑ นั้น
หน่วยงานของรัฐและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรคำนึงถึงหลักการและแนวทางการบริหารจัดการอัตรากำลังตามที่คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ
กำหนดไว้ในมาตรการบริหารจัดการกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. ๒๕๖๖ - ๖๕๗๐)
ที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๖ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าการจัดให้มีอาสาสมัครคอยช่วยเหลือดูแลเด็กในครอบครัวในพื้นที่
ควรบูรณาการเชื่อมโยงการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ องค์กรเอกชน และมูลนิธิต่าง
ๆ ที่มีอาสาสมัครประเภทต่าง ๆ ในพื้นที่อยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
15 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร | ทส. | 04/06/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของสภาผู้แทนราษฎร
ในเรื่องการเร่งดำเนินการจัดการประชากรลิง จัดหาสถานที่เพื่อดูแลลิง
เพื่อให้การแก้ปัญหามีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน
โดยมีการบริหารจัดการอาหารเหลือจากตลาดเพื่อนำมาให้ลิง ลดปัญหาลิงรบกวนประชาชน และจัดสถานที่เพื่อสร้างสถานที่ดูแลลิงรบกวนประชาชนในพื้นที่
รวมถึงได้แจ้งเวียนประกาศคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เรื่อง
การกำหนดกิจการอื่นใดที่เป็นผลประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นที่เป็นหน้าที่และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
: ด้านการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อนต่อประชาชน
ลงวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๖๗ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง
แต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๖๒ (ฉบับที่
๒) พ.ศ. ๒๕๖๗ เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการแก้ไขปัญหาสัตว์ป่าที่ก่อให้เกิดผลกระทบหรือสร้างความเดือดร้อน
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
16 | รายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | สผผ. | 20/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ซึ่งมีสาระสำคัญครอบคลุมการดำเนินงานเกี่ยวกับการรับเรื่องร้องเรียน การพิจารณาตรวจสอบ
แสวงหาข้อเท็จจริงจนมีคำวินิจฉัย หรือมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้มีการปรับปรุงกฎหมาย
กฎ หรือคำสั่ง หรือขั้นตอนใด ๆ ที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือไม่เป็นธรรมแก่ประชาชน
โดยมีผลการดำเนินงาน เช่น ๑) ประเด็นเรื่องร้องเรียน ๕,๓๑๖ เรื่อง ได้แก่ เรื่องร้องเรียนเรื่องที่ดำเนินการแล้วเสร็จ
๓,๑๙๙ เรื่อง เรื่องร้องเรียนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ๒,๑๑๗ เรื่อง และ ๒) การตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ เช่น
ปัญหาการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคา แนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น
ศิลปะและวัฒนธรรมของหน่วยงานของรัฐ เป็นต้น ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
17 | แนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (Outstanding Development Opportunity Scholarship: ODOS) | นร.10 | 13/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการดำเนินการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
(Outstanding Development
Opportunity Scholarship : ODOS) เพื่อให้นักเรียนซึ่งขาดแคลนโอกาส
มีผลการเรียนดี มีความประพฤติดี มีศักยภาพ ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีคุณภาพและมีศักดิ์ศรี
รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนซึ่งขาดแคลนโอกาส
ให้เข้าถึงการศึกษาและพัฒนาทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้อย่างมีคุณภาพ และปลูกฝังทัศนคติให้แก่เด็กและเยาวชนของประเทศในการพัฒนาตนเองอย่างมีเป้าหมายและต่อเนื่อง
ตามที่คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศเสนอ ให้คณะกรรมการอำนวยการโครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงาน ก.พ. รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ
และสำนักงบประมาณ
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงศึกษาธิการ เห็นควรให้มีการกำหนดแนวทางแผนรองรับภายหลังสำเร็จการศึกษาของผู้รับทุนที่มีความชัดเจนและรัดกุม
โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผู้รับทุนในการสนับสนุนเป็นกำลังสำคัญของภาครัฐและภาคเอกชน
ให้มีความสอดคล้องตามความต้องการท้องถิ่นและทิศทางการพัฒนาประเทศในระยะยาวต่อไป สำนักงบประมาณ เห็นควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์การดำเนินโครงการดังกล่าวในทุกปีการศึกษา เพื่อให้ทราบปัญหาอุปสรรคและนำผลการติดตามประเมินผลดังกล่าวมาใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานโครงการและจัดสรรงบประมาณในระยะต่อไปด้วย โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและประหยัด การพิจารณาเป้าหมาย ประสิทธิภาพ ผลสัมฤทธิ์ และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากการดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นสำคัญ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||
18 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เพื่อปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน ประเภทน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล | กค. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขบัญชีท้ายกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ๔๑)
พ.ศ. ๒๕๖๘ โดยปรับขึ้นอัตราภาษีสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน
ประเภทน้ำมันเบนซินและดีเซล ๑ บาทต่อลิตร
เพื่อส่งผลให้รัฐมีรายได้เพิ่มขึ้นอันจะทำให้ฐานะการคลังมีความมั่นคงและรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน
สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อให้มีการปรับลดเงินนำส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเท่ากับภาษีสรรพสามิตและภาษีเพื่อราชการส่วนท้องถิ่นที่เพิ่มขึ้น
เพื่อไม่ให้การปรับขึ้นอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลในครั้งนี้มีผลกระทบต่อราคาขายปลีกของน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซล ๓.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาระยะเวลาการดำเนินการบังคับใช้กฎกระทรวงในเรื่องนี้ให้มีความเหมาะสม
โดยมิให้ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลของประชาชน และรับความเห็นของกระทรวงพลังงานและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นว่าหากเกิดสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันเบนซินและน้ำมันดีเซลจนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงขาดสภาพคล่อง
ให้กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพสามิต พิจารณาปรับลดอัตราภาษีและน้ำมันดีเซลลง
เพื่อรักษาระดับราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในกรณีที่เกิดวิกฤตการณ์ด้านราคาน้ำมันเชื้อเพลิงด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
19 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 | มท. | 06/05/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ.
....) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๑ (พ.ศ. ๒๕๒๘) และยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘)
ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒
เพื่อให้การติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ใช่อาคารอยู่อาศัยไม่เป็นการดัดแปลงอาคารที่ต้องยื่นขออนุญาตดัดแปลงอาคาร
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงพลังงานและกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงพลังงาน เห็นควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
มีการตัดข้อความ “โดยต้องมีผลการตรวจสอบความมั่นคงแข็งแรงที่กระทำและรับรองโดยวิศวกรโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิศวกรว่าสามารถติดตั้งได้อย่างปลอดภัยและแจ้งให้พนักงานท้องถิ่นทราบก่อนดำเนินการ”
ออก จากกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๕ (พ.ศ. ๒๕๕๘) ซึ่งความปลอดภัยในการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนอาคารเป็นสิ่งสำคัญ
ควรให้มีการตรวจสอบความแข็งแรงหรือต้องติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้หรือผ่านการอบรมแล้ว
รวมทั้งควรคำนึงถึงการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ที่อาจส่งผลกระทบกับอาคารข้างเคียง
เช่น แสงอาทิตย์ความร้อน เป็นต้น
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน เห็นว่าการปรับปรุงข้อกำหนดสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารที่ไม่ถือเป็นการดัดแปลงอาคารให้ครอบคลุมอาคารประเภทอื่น
ๆ
จะเป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้าและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามนโยบายของกระทรวงพลังงาน
ควรมีการกำหนดแนวทางสำหรับการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์ของระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาให้มีความชัดเจน
เพื่อป้องกันการตีความที่คลาดเคลื่อน
และควรมีมาตรการการบริหารจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์
เพื่อลดการสร้างมลพิษสู่สิ่งแวดล้อม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||
20 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... | ทส. | 22/04/2568 | ||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม
ค่าภาคหลวง และค่าบำรุงป่า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๑๒๒๑ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗
เพื่อปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียม ค่าภาคหลวงและค่าบำรุงป่า
ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ และเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้รับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ไปประกอบการพิจารณาด้วย
แล้วดำเนินการต่อไปได้ เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เห็นว่าการคิดคำนวณค่าธรรมเนียมควรเพิ่มความชัดเจนการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับภาคประชาชนโดยเฉพาะ
และควรประชาสัมพันธ์หรือรวบรวมความคิดเห็นจากภาคประชาชนโดยแท้จริงให้ได้มากที่สุด กระทรวงพาณิชย์
เห็นว่าชุมชนท้องถิ่นควรมีส่วนร่วมในการกำหนดค่าธรรมเนียมเพื่อให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจของชุมชนท้องถิ่นไม่ได้รับผลกระทบ
และให้ความสำคัญต่อการสื่อสารเกี่ยวกับการใช้ค่าธรรมเนียมเหล่านี้
เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย
มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรให้กรมป่าไม้ประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและประชาชนได้รับทราบถึงข้อมูลข่าวสาร
รายละเอียด ข้อกำหนดในการจัดเก็บ ค่าธรรมเนียม ตลอดจนการลดและการยกเว้นค่าธรรมเนียมแก่กลุ่มบุคคลประเภทต่าง
ๆ เพื่อการเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ป่าไม้ต่อไป |