ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 2 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 21 - 40 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
21 | ผลการพิจารณาญัตติมาตรการป้องกัน ฟื้นฟู และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด | มท. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติมาตรการป้องกัน
ฟื้นฟู และเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด สรุปผลได้ว่า
กระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง)
ได้ดำเนินการกำหนดมาตรการเพื่อความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับดอกไม้เพลิงโดยตลอด
โดยซักซ้อมความเข้าใจในการพิจารณาออกใบอนุญาตให้สั่งดอกไม้เพลิงถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด
และจัดทำ “แนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับดอกไม้เพลิง ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐”
เพื่อให้นายทะเบียนท้องที่ได้ถือเป็นแนวทางปฏิบัติ เป็นต้น นอกจากนี้
ได้จัดประชุมทบทวนความเหมาะสมและกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการค้าและการผลิตดอกไม้เพลิง
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อทบทวนความเหมาะสมของประกาศกระทรวงกลาโหม
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง
หลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับ ดูแลการผลิต การค้า การครอบครอง
การขนส่งดอกไม้เพลิง และวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง พ.ศ. ๒๕๔๗
และกำหนดแนวทางร่วมกันระหว่างหน่วยงาน
รวมทั้งได้จัดทำรายงานผลการดำเนินการฟื้นฟูและเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โรงงานผลิตพลุและดอกไม้เพลิงระเบิด
โดยเป็นการประสานความร่วมมือทั้งในส่วนภาครัฐ ภาคประชาสังคม และภาคเอกชน
ตลอดจนได้มีการตรวจสอบสถานประกอบการที่เข้าข่ายเป็นผู้ผลิตดอกไม้เพลิงโดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
อาทิ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พร้อมรายงานผลการดำเนินการให้กรมการปกครองทราบ ตามที่กระทรวงมหาไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
22 | (ร่าง) ข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน | สกช. | 08/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอการเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยการบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำภาคเกษตรกรรมของเกษตรกรทั่วประเทศ
ซึ่งประกอบด้วย ๒ แนวทางหลัก ดังนี้ (๑)
การเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำในแหล่งน้ำนอกเขตชลประทาน
และการปรับปรุงแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทานร่วมกับการจัดทำธนาคารน้ำใต้ดิน
โดยมีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมพัฒนาที่ดิน)
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมทรัพยากรน้ำบาดาล) และกระทรวงมหาดไทย
(กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ
และ (๒) การทำฝายชะลอน้ำเพื่อกักเก็บน้ำและเพิ่มความชุ่มชื่น
และส่งเสริมการทำฝายแหล่งต้นน้ำเพื่อเป็นการเติมน้ำเข้าสู่ระบบธนาคารน้ำใต้ดินเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินให้เกิดความสมดุล
โดยมีกระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นและกรมโยธาธิการและผังเมือง)
และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (กรมป่าไม้) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ๒. มอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงมหาดไทยรับเรื่องดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เห็นว่า
ควรหารือการดำเนินงานร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำบาดาลในการคัดเลือกพื้นที่นำร่องเพื่อทดสอบประสิทธิภาพของแหล่งน้ำ
และมีการติดตามประเมินผลด้านวิชาการก่อนขยายผลขับเคลื่อนการดำเนินงานในภาพรวม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเห็นว่า
การทำฝายแหล่งต้นน้ำควรคำนึงถึงการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน
เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมบนแหล่งต้นน้ำในระยะยาว
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเห็นว่า
การจัดสรรงบประมาณเห็นควรให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒
รวมถึงกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอนอย่างเคร่งครัด
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
23 | รายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | นร.01 | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๐ ของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ มีสาระสำคัญครอบคลุมผลการดำเนินงานของ
๓ องค์กรสำคัญ ได้แก่ (๑) คณะอนุกรรมการต่าง ๆ
ที่แต่งตั้งโดยคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารฯ เช่น คณะอนุกรรมการพิจารณาส่งคำอุทธรณ์และดำเนินการเรื่องร้องเรียนได้รับเรื่องร้องเรียนการไม่ปฏิบัติตามมาตรา
๑๓ แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารฯ จำนวน ๗๐๖ เรื่อง และพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน
๔๙๙ เรื่อง (๒) คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร ได้ให้ผู้อุทธรณ์และผู้แทนหน่วยงานของรัฐเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วจัดทำคำวินิจฉัย
โดยพิจารณาแล้วเสร็จ จำนวน ๒๑๗ เรื่อง (จาก ๖๕๙ เรื่อง) และ (๓)
สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ เช่น
จัดตั้งศูนย์ข้อมูลข่าวสารของราชการ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ โดยมีหน่วยงานของรัฐในท้องถิ่นที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด
จำนวน ๖๗๐ หน่วยงาน จากกลุ่มเป้าหมาย ๑,๒๐๐ หน่วยงาน ตามที่คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
24 | โครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้ากรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 - 2572 | ศธ. | 01/04/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการขยายผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกุมารี “ครัวโรงเรียน สู่ ครัวบ้าน” (ทุนการศึกษา “วรเกษตรเมธี”) ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๗๒ รวมระยะเวลา ๕ ปีงบประมาณ ภายในกรอบวงเงิน ๒,๓๔๐,๐๐๐ บาท โดยค่าใช้จ่ายที่จะเริ่มดำเนินโครงการในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
ให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ โดยโอนงบประมาณรายจ่าย
โอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป
ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป โดยให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนจัดให้มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการดำเนินโครงการเป็นระยะ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ
รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ในการแนะแนวอาชีพที่เหมาะสมและการเรียนต่อในสาขาที่สอดคล้องกับความถนัดและเชื่อมโยงกับการพัฒนาในพื้นที่
และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญด้วย
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการ
(สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
รวมทั้งข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง
เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่ากระทรวงศึกษาธิการควรมีการพัฒนากระบวนการติดตามนักเรียนทุนที่อยู่ระหว่างรับทุนจากปัจจัยต่าง
ๆ เพื่อการคงอยู่ในระบบทุน อาทิ ความสามารถทางวิชาการ
แรงจูงใจในการศึกษาด้านการเกษตร และความตั้งใจที่จะกลับไปพัฒนาท้องถิ่น
รวมทั้งการมีกลไกการบริหารจัดการร่วมกับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ในด้านต่าง
ๆ อาทิ การจัดเก็บข้อมูล การกำกับติดตามผลการเรียน
การประเมินความคุ้มค่าการดำเนินโครงการ และการจัดทำข้อมูลประกอบการพิจารณากำหนดโควตาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างประชากรในพื้นที่
และความต้องการแรงงานในและนอกภาคเกษตรในอนาคต เพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
25 | ข้อเสนอเชิงนโยบาย "3 เร่ง 3 ลด 3 เพิ่ม" เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤตเป็นวาระแห่งชาติ | ศธ. | 27/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบข้อเสนอเชิงนโยบาย “๓ เร่ง
๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต และเห็นชอบข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
เป็นวาระแห่งชาติ รวมทั้งเห็นชอบให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่นของรัฐ หรือเอกชนที่มีสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยภายใต้การกำกับดูแลและรับผิดชอบ
หรือที่มีวัตถุประสงค์ในการจัดการศึกษาให้แก่เด็กปฐมวัย ร่วมกันขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบาย
“๓ เร่ง ๓ ลด ๓ เพิ่ม” เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ด้วยโครงการ/กิจกรรมของหน่วยงานอย่างจริงจัง ต่อเนื่อง และเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ตามที่คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยเสนอ ให้คณะกรรมการนโยบายการพัฒนา เด็กปฐมวัย
สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงมหาดไทย เห็นควรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อส่งเสริมพัฒนาการเด็กปฐมวัยในสภาวะวิกฤต
ซึ่งเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในการจัดการ ส่งเสริม
และสนับสนุนการจัดการศึกษา รวมทั้งการจัดการหรือสนับสนุนการดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
ตามมาตรา ๔๕ (๗ ตรี) แห่งพระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐
แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๖๒ มาตรา ๕๐ (๖) แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ.
๒๔๙๖ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๖๒ และมาตรา ๖๗ (๕)
แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง
(ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๖๒ กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเพิ่มข้อมูลการดูแลสุขภาพเด็กโดยใช้มาตรการ
ด้านสุขภาพ 4D ประกอบด้วย ๑) Diet : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีการเจริญเติบโตอย่างสมวัย
การรับประทานอาหารที่เหมาะสมตามวัย ๒) Development & Play : ได้แก่ การส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการสมวัยทั้ง ๕ ด้าน
โดยบูรณาการผ่านการเล่น ๓) Dental : ได้แก่ มีการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้อง
และ ๔) Disease : ได้แก่ ส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพที่ดีไม่เจ็บป่วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
26 | ผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป | ตช. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณาญัตติขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเพื่อส่งให้คณะรัฐมนตรีดำเนินการต่อไป
ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้พิจารณาแล้ว
ได้ให้ความสำคัญในประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจมาโดยตลอด
และเร่งติดตามแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้เห็นปรากฏตามรายงานของสื่อมวลชนเกี่ยวกับนายตำรวจระดับสูงให้ข้อมูลในลักษณะที่หากเปิดเผยจะก่อให้เกิดความเสียหาย
รวมถึงกรณีเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายราย ได้แก่ การยิงตำรวจเสียชีวิตที่สังกัดกองบังคับการตำรวจทางหลวงหรือคดีกำนันนก
ในส่วนของตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำสูงสุดขององค์กร เป็นตำแหน่งสำคัญที่จะต้องพิจารณาจากผู้มีความรู้ความสามารถและมีความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงที่จะขับเคลื่อนองค์กรไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยมิจำเป็นต้องพิจารณาจากผู้มีอาวุโสลำดับต้นเพียงอย่างเดียวในเรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทนจะให้ความสำคัญไปที่การปรับเงินเดือนของข้าราชการที่มีรายได้น้อยก่อน
และในกรณีการปฏิรูปองค์กรตำรวจ เนื่องจากพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติยังบังคับใช้ได้เพียงไม่นาน
ยังคงอยู่ในช่วงรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนสมบูรณ์เพื่อแก้ไขปัญหาการบริหารงานให้สามารถดำเนินงานได้ตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนรวมต่อไป
รวมทั้งการกำหนดกลไกการตรวจสอบ โดยสถานีตำรวจได้ออกระเบียบคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติว่าด้วยคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ
พ.ศ. ๒๕๔๙ ซึ่งส่งเสริมให้ท้องถิ่นหรือชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในกิจการของตำรวจในเรื่องรับข้อร้องเรียนหรือข้อเสนอแนะจากประชาชนถือได้ว่าเป็นการตรวจสอบอีกทางหนึ่ง
ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
27 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย ช่วงที่ 3 ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง | มท. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
ในวงเงิน ๘๗๕,๕๐๐,๐๐๐ บาท
สัดส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท และงบประมาณกรุงเทพมหานคร ร้อยละ ๕๐ เป็นเงิน ๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยในส่วนเงินอุดหนุนของรัฐบาล จำนวน
๔๓๗,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะดำเนินการโอนเงินจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผลผลิตการจัดบริการสาธารณะ
จากงบเงินอุดหนุนทั่วไป
รายการเงินอุดหนุนสำหรับชดเชยรายได้ไห้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับผลกระทบจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อไปตั้งจ่ายในรายการโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกาย
ช่วงที่ ๓ ก่อสร้างทางยกระดับและถนนฝั่งพระนคร จากแม่น้ำเจ้าพระยาถึงแยกสะพานแดง
จำนวน ๔๙,๐๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ
จำนวน ๓๘๘,๗๕๐,๐๐๐ บาท จะขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๐ ต่อไป ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาอย่างเคร่งครัด ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นควรให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดกรุงเทพมหานครให้ดำเนินการโครงการก่อสร้างช่วงที่ ๑ และช่วงที่ ๒
ให้แล้วเสร็จตามแผนงาน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
28 | ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | พม. | 18/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว (ฉบับที่
..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงหลักเกณฑ์และระยะเวลาการร้องทุกข์การออกคำสั่งกำหนดมาตรการหรือวิธีการบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
การดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และการดำเนินการในชั้นศาล
รวมทั้งกำหนดมาตรการเพิ่มเติมเพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพผู้ที่จะถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวและป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน โดยให้รับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
และสำนักงานอัยการสูงสุดไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา
ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เช่น สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เห็นควรกำหนดคำนิยาม
คำว่า “ผู้บริหารท้องถิ่น” “พนักงานเจ้าหน้าที่” และ “พนักงานสอบสวน” ให้ชัดเจน และครอบคลุมถึงกำนัน
ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการตีความในทางปฏิบัติ สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นควรกำหนดนิยามลักษณะความผิดคุกคามทางเพศไว้ชัดเจนต่างหาก
หรือหากมีการระบุบัญญัติการคุกคามทางเพศไว้แล้วในกฎหมายอื่น
ร่างกฎหมายนี้ก็ควรบัญญัติอ้างอิงไว้ด้วย
และนิยามดังกล่าวควรให้มีขอบข่ายไปถึงการกระทำที่อาจถึงแก่ชีวิตด้วย ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง
กรอบระยะเวลา
และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ๓.
ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสำนักงานอัยการสูงสุดไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เห็นควรต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในหลายประเด็น
เนื่องจากปัจจุบัน (ตุลาคม ๒๕๖๗)
ได้มีกฎหมายหลายฉบับซึ่งมีลักษณะพิเศษไม่ได้เป็นกฎหมายสบัญญัติ หรือ วิธีสบัญญัติ
อย่างชัดเจน กฎหมายที่มีโทษทางอาญามีลักษณะประนีประนอมและคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เสียหาย
และไม่ได้ลงโทษทางอาญากับผู้ต้องหาเฉกเช่น กฎหมายที่มีโทษทางอาญาเดิม
มุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ต้องหา
และวางแนวทางในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์มากกว่า ดังนั้น ในการพิจารณาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายก็ไม่สามารถนำเอากฎหมายฉบับเดียวมาเปลี่ยนแปลงแนวทางปฏิบัติทางอาญาได้
จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบในทุกด้าน เป็นต้น สำนักงานอัยการสูงสุด เห็นว่าในนิยามความรุนแรงในครอบครัว
ควรให้มีขอบข่ายไปถึงการกระทำที่อาจถึงแก่ชีวิตด้วย และในร่างมาตรา ๓ (๔)
บุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยและอยู่ในครอบครัวเดียวกันถูกกระทำความรุนแรงนั้นอาจเป็นความรุนแรงที่กระทำต่อการดำรงชีวิตหรือเศรษฐกิจ
เช่น การงดจ่ายเงินสำหรับค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเพื่อการดำรงชีวิต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
29 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... | มท. | 11/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม
ในท้องที่ตำบลลานสะแก ตำบลก้ามปู ตำบลปะหลาน และตำบลเมืองเสือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม
โดยส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนพยัคฆภูมิพิสัยให้เป็นศูนย์กลางบริหาร การปกครอง
การเศรษฐกิจ การบริหารสังคม และการคมนาคมขนส่ง ส่งเสริม สนับสนุน
และอนุรักษ์เกษตรกรรมบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ เพื่อเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ
อนุรักษ์พื้นที่ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และเอกลักษณ์วัฒนธรรม และส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พื้นที่โล่งริมแหล่งน้ำและคูเมืองโบราณที่สำคัญของเมือง
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการผังเมือง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และกระทรวงอุตสาหกรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ย่านชุมชนพยัคฆภูมิพิสัย
ควรคำนึงถึงความสอดคล้องและส่งเสริมการอนุรักษ์
รักษาอัตลักษณ์ของย่านชุมชนเก่าให้คงอยู่ กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่ากิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
ซึ่งให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อการพิจารณาอนุญาตและควบคุมสถานประกอบกิจการ
โดยการพิจารณาอนุญาตกิจการจึงต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำรงชีวิตที่ปกติสุขของประชาชน |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
30 | ขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อดำเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025 | กก. | 03/03/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน ๑๕๓,๐๓๔,๗๐๐ บาท
เพื่อดำเนินโครงการ Maha Songkran World Water Festival 2025
ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๑๓/๓๐๕๔ ลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดประกอบ เพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณากำหนดกลไกในการขับเคลื่อนโครงการให้บรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยคำนึงถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ที่จะได้รับ
ตลอดจนสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
31 | การเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดสงขลา | นร.04 | 18/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า จังหวัดสงขลามีศักยภาพสูงด้านการท่องเที่ยว
รวมถึงการท่องเที่ยวด้วยเรือสำราญ (Cruise) ด้วย จึงขอมอบหมายการดำเนินการ ดังนี้ ๑.
ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการก่อสร้างท่าเทียบเรือสำราญที่มีมาตรฐานรองรับการท่องเที่ยวทางทะเล
เพื่อเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจจากการนำเรือสำราญและนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มมากขึ้น ๒.
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาประสานการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
ในพื้นที่เพื่อส่งเสริมและพัฒนาพื้นที่และท้องถิ่นต่าง ๆ
ของจังหวัดสงขลาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ น่าดึงดูดใจของนักท่องเที่ยว
และสามารถยกระดับไปสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลกได้ต่อไป ทั้งนี้ มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาเป็นเจ้าภาพและเป็นศูนย์กลางการประสานการดำเนินงานดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
32 | ลายผ้าพระราชทาน "ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์" | นร. | 11/02/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ได้ทรงออกแบบผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์”
และได้พระราชทานผ้าลายดังกล่าวแก่ช่างทอผ้าและช่างหัตถกรรมไทย เพื่อนำไปถักทอผืนผ้าและสร้างสรรค์งานหัตถกรรมต่อไป
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนให้รัฐมนตรีทุกท่าน ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ
และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงานแต่งกายด้วยผ้าลายพระราชทาน
“ผ้าลายสิริราชพัสตราภรณ์” ในวาระและโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม ทั้งนี้
ขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐดำเนินการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับผ้าลายพระราชทานดังกล่าวให้แพร่หลาย
รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการตัดเย็บตามแบบลายผ้า
ตลอดจนส่งเสริมให้มีการศึกษาต่อยอดงานหัตถกรรมในเรื่องนี้เพื่อส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นให้ขยายตัวมากยิ่งขึ้นต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
33 | ผลการพิจารณารายงานผลการศึกษา เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร | สงป. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานผลการศึกษา
เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของคณะกรรมาธิการการศึกษาจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งสำนักงบประมาณได้พิจารณาข้อสังเกตร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
สรุปได้ ดังนี้ (๑) การพิจารณาปรับปรุงกฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการงบประมาณ
เนื่องจากความล่าช้าของงบประมาณประจำปี
กฎหมายและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการงบประมาณในปัจจุบันสามารถรองรับให้มีการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณที่ล่วงไปแล้ว
ไปพลางก่อนได้ (๒) การทบทวนแผนและเป้าหมายระดับชาติ
รวมทั้งตัวชี้วัดเพื่อให้สามารถบรรลุผลได้จริง
ปัจจุบันสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติได้ดำเนินการปรับปรุงแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติเพื่อให้สามารถสะท้อนการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
(๓) การปรับปรุงกรอบอัตรากำลังบุคลากรภาครัฐ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการพิจารณาจัดสรรงบประมาณตามแผนงานบุคลากรภาครัฐแก่หน่วยรับงบประมาณ
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่าและการเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งนี้
อาจมีกลไกการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ
(๔) การเพิ่มรายได้ภาครัฐใหม่และการพิจารณาเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษี
การจัดโครงการรับชำระค่าภาษีอากรเพิ่ม ณ จุดเดียว (One Stop Service) สำหรับผู้ประกอบการที่เสียภาษีอากรสำหรับการนำเข้าของ
หรือส่งของออกไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน
ให้สามารถดำเนินการชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนได้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม
๒๕๖๔-๓๐ กันยายน ๒๕๖๙ เป็นระยะเวลา ๕ ปี และ (๕) การให้ความสำคัญกับงบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ให้ความสำคัญกับการถ่ายโอนภารกิจและเพิ่มงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
โดยพิจารณาอยู่บนพื้นฐานของความเหมาะสมและความแตกต่างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละรูปแบบ
รวมถึงได้มีการจัดทำแบบเรียนออนไลน์เกี่ยวกับการจัดทำคำของบประมาณเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในทุกรายการ
ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
34 | โครงการสถาบันการแพทย์ศิริราชระดับนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล | อว. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงิน
ตั้งแต่ ๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม โครงการสถาบันการแพทย์ศิริราชระดับนานาชาติ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
มหาวิทยาลัยมหิดล (ปีงบประมาณ ๖๕๖๙ - ๒๕๗๔) มูลค่า ๑๖,๙๖๐,๕๙๔,๓๐๐ บาท และสนับสนุนโครงการให้แล้วเสร็จ โดยขออนุมัติจากเงินงบประมาณ
ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๙ - ๒๕๗๔ จำนวน ๑๑,๐๔๘,๓๒๙,๑๒๐ บาท และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๕,๙๑๒,๒๖๕,๑๘๐ บาท
เป็นงบลงทุนค่าก่อสร้าง ครุภัณฑ์การแพทย์ และงบบุคลากร (หมวดเงินเดือน)
โดยเป็นลักษณะเงินอุดหนุน ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงพลังงาน กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เห็นว่าต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเสนอในขั้นขออนุญาตก่อสร้าง
หรือหากใช้วิธีการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
โดยไม่ยื่นขอรับใบอนุญาต ให้เสนอในขั้นการแจ้งต่อเจ้าพนักงานท้องถิ่นแล้วแต่กรณี
และจะต้องจัดกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนตามประกาศสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เรื่อง
แนวทางการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม
พ.ศ. ๒๕๖๖ ด้วย กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรเพิ่มเติมข้อมูลการเปิดบริการในแต่ละปีงบประมาณ
แผนการสรรหาบุคลากรวิชาชีพเฉพาะตามการจัดระบบบริการ
และแผนอัตรากำลังจำแนกตามแผนกที่เปิดบริการให้ชัดเจน
โดยคำนึงถึงหลักความประหยัดและความคุ้มค่าในด้านทรัพยากรประเทศ
ภาระผูกพันในการจัดสรรงบประมาณด้านบุคลากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคต |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
35 | โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต | อว. | 28/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่
๑,๐๐๐ ล้านบาทขึ้นไป ตามนัยมาตรา ๒๖
แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม โครงการโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ภูเก็ต (พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒)
ในวงเงินงบประมาณ ๓,๑๔๐,๓๑๓,๐๐๐ บาท ระยะเวลาดำเนินการ ๔ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๙ - ๒๕๗๒) ทั้งนี้
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรคำนึงถึงความประหยัด
ความคุ้มค่า ประโยชน์ที่จะได้รับ ประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
โดยพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของโครงการให้เหมาะสมกับความจำเป็นเร่งด่วน
ศักยภาพในการดำเนินการ พันธกิจของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ตลอดจนสถานะการเงินการคลังของประเทศ รวมทั้งให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม จัดทำแผนการดำเนินการด้านบุคลากร
และยืนยันความพร้อมของโครงการดังกล่าว โดยมีรายละเอียดแบบรูปรายการ
ประมาณการค่าก่อสร้าง สถานที่/พื้นที่พร้อมที่จะดำเนินการ
โดยให้ความสำคัญกับประโยชน์ที่ประเทศชาติและประชาชนจะได้รับ รวมถึงความครอบคลุมและชัดเจนเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และเป้าหมายการให้บริการผู้ป่วยกลุ่มผู้มีสิทธิในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ผู้มีสิทธิในระบบประกันสังคม
และผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลสวัสดิการข้าราชการได้เข้าถึงการบริการที่มีมาตรฐานและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ตลอดจนความสอดคล้องกับมติคณะรัฐมนตรี สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรมีการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
และพิจารณาความเป็นไปได้ของการร่วมลงทุนจากภาคส่วนต่าง ๆ
ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจเวลเนสอันดามัน (Andaman
Wellness Economic Corridor) อาทิ หน่วยงานท้องถิ่นและภาคเอกชนที่มีศักยภาพให้เข้ามาร่วมลงทุน
เนื่องด้วยโครงการมีเป้าหมายในการสร้างรายได้จากบริการนักท่องเที่ยวต่างชาติระดับสูงร่วมด้วย
ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐให้สามารถนำเงินไปลงทุนพัฒนาหน่วยบริการสาธารณสุขอื่นได้เพิ่มขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
36 | ร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนย่านดินแดง–อิปัน–สินปุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | มท. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
การให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนย่านดินแดง - อิปัน - สินปุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลอิปัน
และตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท
ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินการคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค
บริการสาธารณะและสภาพแวดล้อม
เพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ซึ่งมีนโยบายและมาตรการเพื่อจัดระบบการใช้ประโยชน์ที่ดิน โครงข่ายคมนาคมขนส่งและบริการสาธารณะให้มีประสิทธิภาพ
สามารถรองรับและสอดคล้องกับการขยายตัวของชุมชนในอนาคต
รวมทั้งส่งเสริมและพัฒนาเศรษฐกิจ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงอุตสาหกรรม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป เช่น กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
เห็นว่าหากมีความประสงค์จะใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่า ต้องดำเนินการขออนุญาตให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ระเบียบ มติคณะรัฐมนตรี ตลอดจนนโยบายที่เกี่ยวข้อง กระทรวงสาธารณสุข
เห็นว่าเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ต้องควบคุม กำกับ ดูแล สถานประกอบกิจการตามที่ราชการส่วนท้องถิ่นได้ตราข้อบัญญัติท้องถิ่นให้กิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพเป็นกิจการที่ต้องควบคุมในเขตพื้นที่รับผิดชอบของราชการส่วนท้องถิ่นนั้น
เพื่อป้องกันผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
37 | ร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... | มท. | 13/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการถอนสภาพที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ในท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ บางส่วน เนื้อที่ประมาณ ๘
ไร่ ๓๔ ตารางวา
เพื่อให้กรมที่ดินใช้เป็นที่ตั้งอาคารสำนักงานที่ดินจังหวัดชัยภูมิแห่งใหม่ ตามที่กระมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
38 | ขออนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ กรณีการเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูต และทำเนียบเอกอัครราชทูต จำนวน 3 แห่ง | กต. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเพิ่มวงเงินงบประมาณรายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณดังกล่าว
ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
โครงการสนับสนุนการขับเคลื่อนการต่างประเทศอย่างมีเอกภาพและบูรณาการ เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารที่ทำการสถานเอกอัครราชทูตและทำเนียบเอกอัครราชทูต
รวมทั้งสิ้น ๓ รายการ จากวงเงินรวมจำนวน ๓๘,๑๖๓,๘๐๐ บาท
เป็นภายในกรอบวงเงินรวมจำนวน ๔๓,๒๕๕,๗๐๐
บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ (หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๖/๑๓๓๘
ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๗)
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
39 | มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) | นร. | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติ
(๒๙ ตุลาคม ๖๕๖๗) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์
กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หารือร่วมกันเพื่อกำหนดมาตรการต่าง ๆ
ในการป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ในพื้นที่ต่าง
ๆ ของประเทศให้เหมาะสมและครบถ้วนทั้งที่เป็นปัญหามลพิษจากการเผาตอซังและพืชไร่ในภาคการเกษตร
ควันและไอเสียของยานพาหนะที่ปล่อยควันดำเกินค่ามาตรฐาน และฝุ่นควันจากภาคอุตสาหกรรม
และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการตามมาตรการต่าง ๆ
ตามหน้าที่และอำนาจให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว นั้น ในขณะนี้
ประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูหนาวและปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 เริ่มรุนแรงขึ้นและภาพถ่ายดาวเทียมยังแสดงให้เห็นว่าในบางจังหวัดมีจุดความร้อน
(Hotspot) เพิ่มมากขึ้นด้วย จึงขอมอบหมายให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ เพิ่มเติม ดังนี้ ๑. มาตรการเกี่ยวกับพืชผลทางการเกษตร ๑.๑
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งกำหนดมาตรการเพิ่มเติม
เพื่อให้ผู้ประกอบการอ้อยและน้ำตาลทรายงดการรับซื้ออ้อยไฟไหม้อย่างเด็ดขาด ๑.๒ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติอย่างเคร่งครัด
และเข้มงวดกับผู้เผาป่า ตอซังข้าว ข้าวโพด อ้อย และพืชอื่น ๆ
รวมทั้งให้มีการประกาศกำหนดเขตควบคุมมลพิษให้ชัดเจนและเหมาะสม
โดยขอให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วด้วย ๑.๓
ให้กระทรวงพาณิชย์ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าเกษตรที่มีกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการเผาอย่างเด็ดขาด ๑.๔ ให้กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย
หน่วยงานความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงการคลัง (กรมศุลกากร)
รวมกันดำเนินการตรวจสอบและจับกุมการลักลอบน้ำเข้าพืชผลทางการเกษตรที่เกี่ยวข้องกับการเผา
ตามแนวชายแดนทุกด้านของประเทศอย่างเข้มงวด ๒. มาตรการลดมลพิษทางอากาศ (ฝุ่นละออง PM2.5) ๒.๑
ให้กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการตรวจสอบ ตรวจจับ และระงับการใช้ยานพาหนะที่ปล่อยควันดำจากท่อไอเสียเกินมาตรฐานอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถกระบะ รถโดยสารสาธารณะ รถบรรทุกขนาดใหญ่
รวมทั้งรถโดยสารประจำทางทั้งที่เป็นของหน่วยงานของรัฐและรถร่วมบริการ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
40 | การขอขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร-UNDP (Bangkok-UNDP Regional Innovation Center: RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (Thailand Policy Lab: TPLab) | นร.11 สศช | 07/01/2568 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติขยายระยะเวลาดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development
Programme : UNDP) ในการดำเนินงานศูนย์นวัตกรรมระดับภูมิภาค กรุงเทพมหานคร - UNDP (Bangkok - UNDP Regional Innovation Center :
RIC) หรือห้องปฏิบัติการนโยบายประเทศไทย (TPLab) (โครงการความร่วมมือ RIC) นับแต่วันสิ้นสุดความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ
UNDP ในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย
ในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ เป็นวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
ภายใต้กรอบวงเงินโครงการความร่วมมือ RIC ที่ได้รับอนุมัติไว้เดิม
และเห็นชอบร่างพิธีสารเพื่อแก้ไขความตกลงความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐบาลไทยกับ UNDPในการดำเนินงานศูนย์ RIC ในประเทศไทย โดยให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามในร่างพิธีสารฯ
ของฝ่ายไทย พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full
Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างพิธีสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง
การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ)
|