ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 3 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 41 - 60 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
41 | มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี 2567/2568 และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง และฝนทิ้งช่วง ปี 2568 | นร.14 | 24/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. รับทราบมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี
๒๕๖๗/๒๕๖๘
และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง
และฝนทิ้งช่วง ปี ๒๕๖๘ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวแล้วรายงานให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติทราบต่อไป
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
๑.๑ มาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เป็นกรอบการดำเนินการให้หน่วยงานของรัฐอันได้รับการปรับปรุงมาจากการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำฤดูแล้ง
ปี ๒๕๖๖/๒๕๖๗
แต่การดำเนินการของมาตรการส่วนใหญ่ยังคงเดิมและปรับลดมาตรการที่มีความซ้ำซ้อนกัน
ยกเว้นมาตรการที่ ๒ ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่จากเดิม “ปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
เป็น
“สร้างความมั่นคงน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคและการเกษตรพร้อมปฏิบัติการเติมน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ”
และเพิ่มกลไกย่อยภายใต้มาตรการเพื่อให้สามารถรองรับพื้นที่ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากปีที่ผ่านมา
รวมทั้งนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้มาตรการมีประสิทธิภาพมากขึ้น
๑.๒ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงปี
๒๕๖๘ เป็นการกำหนดแนวทางให้หน่วยงานต่าง ๆ
เสนอโครงการช่วยเหลือประชาชนจากสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ
ที่มีความสอดคล้องกับมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงบประมาณ
โดยมีข้อกำหนดในการเสนอแผนงานโครงการ เช่น
ต้องเป็นแผนงานโครงการที่ในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลน้ำต้องระบุที่ตั้งพร้อมพิกัดของโครงการได้ชัดเจน
ต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาจังหวัดและแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ๒๐ ปี
เป็นต้น ๒. ให้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่และโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของกลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ตรงตามความต้องการและทันต่อสถานการณ์ รวมทั้งควรประสานส่วนราชการจังหวัดและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นให้เร่งรัดดำเนินการเตรียมแผนงานโครงการให้มีความพร้อมโดยเร็ว และควรเพิ่มช่องทางในการสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายและภาคส่วนต่าง ๆ ให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินมาตรการรองรับฤดูแล้ง ปี ๒๕๖๗/๒๕๖๘ เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการขับเคลื่อนมาตรการดังกล่าวให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
42 | รายงานกรณีที่หน่วยงานของรัฐยังมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องครบถ้วนตามหมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 (เรื่อง แนวทางในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น ศิลปะ และวัฒนธรรมของหน่วยงานของรัฐ) | สผผ. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
43 | ร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กค. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๓ โดยกำหนดให้ที่ดินที่เป็นที่ตั้งของโรงผลิตน้ำประปาและโรงผลิตน้ำประปา
รวมถึงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอื่นที่ใช้ประโยชน์เกี่ยวเนื่องกับการผลิตน้ำประปา
ได้รับลดภาษีในอัตราร้อยละ ๕๐ ของจำนวนภาษีที่จะต้องเสีย
และใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๘ เป็นต้นไป
เพื่อให้สอดคล้องกับกระบวนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) ที่ต้องเริ่มดำเนินการสำรวจที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.
๒๕๖๘ อันจะทำให้ อปท.
สามารถจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ และลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตน้ำประปาให้แก่กิจการผลิตน้ำประปาซึ่งเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
รวมถึงสถานการณ์ ความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับ
ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้อง ครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
44 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (พื้นที่สีเขียว) | กค. | 17/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(ฉบับที่..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ที่ดินซึ่งปกคลุมด้วยพืชพรรณเป็นองค์ประกอบหลัก
และมีประโยชน์เพื่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศการดำรงชีวิต หรือคุณภาพชีวิตของประชาชนที่ไม่มีการใช้หาผลประโยชน์
(เว้นแต่เป็นการขายหรือการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต ซึ่งได้รับการรับรองจากคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก)
ที่มีลักษณะ ดังนี้ ๑)
ได้รับการขึ้นทะเบียนโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) ตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกกำหนด
เฉพาะโครงการที่สอดคล้องกับระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ (T-VER
Methodology) ประเภทป่าไม้และพื้นที่สีเขียว ๒) เป็นป่าชายเลนตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งประกาศกำหนด ๓)
เป็นพื้นที่สีเขียวตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนด
เป็นทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ทั้งนี้ ให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๘ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. มอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเร่งรัดออกประกาศเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขการเป็นป่าชายเลนตามข้อ ๑๓ (ข) ของกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยร่างกฎกระทรวงกำหนดทรัพย์สินที่ได้รับยกเว้นจากการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อไป ๓. ให้กระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงบประมาณ เห็นควรที่กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาการกำหนดเงื่อนไขหลักเกณฑ์ภายหลังจากที่ร่างกฎกระทรวงดังกล่าวมีผลใช้บังคับ
เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒
โดยคำนึงถึงการทำประโยชน์ว่าเป็นไปตามสมควรแก่สภาพหรือไม่
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บและลดการเหลื่อมล้ำ
ตลอดจนการสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
45 | การกำหนด QR Code บนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดก่อสร้างของทางราชการ | กค. | 11/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบสั่งการให้หน่วยงานของรัฐนำ
QR Code ที่ดาวน์โหลดจากระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์
(e - GP) ไปใส่ในแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการตามแบบแผ่นป้ายของกรมโยธาธิการและผังเมือง
และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยนำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวไปใช้บังคับในการจ้างก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นด้วย
โดยอนุโลม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงคมนาคม เห็นว่าข้อความที่ปรากฏบนแผ่นป้าย ข้อความ
“กำลังก่อสร้างด้วยเงินภาษีอากรของประชาชน” ตามที่ปรากฏอยู่ด้านล่างของแผ่นป้ายฯ
ควรให้มีเนื้อหาที่สอดคล้องกับแหล่งที่มาของงบประมาณในการก่อสร้าง ข้อความ “งานก่อสร้าง”
เห็นควระบุ เป็นข้อความ “ชื่องาน”
เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนเหมาะสมตามแต่ละประเภทงาน และบนแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดควรมีการระบุผู้ควบคุมงานทั้งฝ่ายผู้ว่าจ้างและผู้รับจ้าง
รวมทั้งวัสดุที่ใช้ในการจัดทำโครงสร้างแผ่นป้ายฯ
ควรพิจารณาว่าสามารถใช้วัสดุอื่นนอกเหนือจากใช้ไม้อัดโครงเคร่าไม้
เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่งานก่อสร้าง
และวัสดุที่ใช้ให้มีความคงทนเหมาะสมระยะเวลางานก่อสร้าง เช่น ตัวเสาเสนอใช้เป็นโครงเหล็กแทนไม้
เนื่องจากมีความแข็งแรงกว่า และให้ภาพลักษณ์ที่ดีกว่าเสาไม้ เป็นต้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
46 | รายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 ณ วันสิ้นปีงบประมาณ 2567 | กค. | 03/12/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะ หนี้ภาครัฐ
และความเสี่ยงทางการคลัง ตามมาตรา ๗๖ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ ณ วันสิ้นปีงบประมาณ ๒๕๖๗ สรุปได้ ดังนี้ ๑) หนี้สาธารณะคงค้าง มีจำนวน
๑๑.๖๓ ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๖๓.๓๒ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าจำนวน ๐.๕๐
ล้านล้านบาท ๒) หนี้เงินกู้คงค้างของหน่วยงานของรัฐ ประกอบด้วย (๑) รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ที่ไม่เป็นรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ได้แก่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก
จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน)
มีจำนวนรวมทั้งสิ้น ๓๔,๙๑๓.๕๐ ล้านบาท (๒)
รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะที่ทำธุรกิจให้กู้ยืมเงิน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์
และธุรกิจประกันสินเชื่อที่กระทรวงการคลังไม่ได้ค้ำประกัน อาทิ บริษัท
บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ธนาคารอาคารสงเคราะห์
และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มีจำนวนรวมทั้งสิ้น ๐.๕๙
ล้านล้านบาท (๓) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีจำนวน ๐.๐๔ ล้านล้านบาท และ (๔)
ธนาคารแห่งประเทศไทย มีจำนวน ๔.๒๑ ล้านล้านบาท และ ๓) ความเสี่ยงทางการคลัง
พบว่าหนี้สาธารณะ จำนวน ๑๑.๖๓ ล้านล้านบาท โดยหนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๘.๙๕) เป็นหนี้ในประเทศ
และร้อยละ ๘๕.๘๖ ของหนี้สาธารณะเป็นหนี้ที่เป็นภาระต่องบประมาณโดยตรง และหนี้เงินกู้ของหน่วยงานของรัฐที่ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
ไม่มีผลกระทบต่อภาระทางการคลัง หรือเงินงบประมาณแผ่นดินในภาพรวม
เนื่องจากเป็นหน่วยงานที่มีสถานะการดำเนินงานที่มั่นคงและมีรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้เงินกู้เองได้
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
47 | การประชาสัมพันธ์การจัดงาน "เทศกาลผ้าไหมไทย (Silk Festival 2024) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" | นร. | 19/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า เนื่องด้วยกระทรวงมหาดไทยได้กำหนดจัดงาน
“เทศกาลผ้าไหมไทย (Silk Festival 2024) สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” ระหว่างวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน - ๒ ธันวาคม
๒๕๖๗ ณ ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด
จังหวัดนนทบุรี
เพื่อเผยแพร่ความงามและอัตลักษณ์ของท้องถิ่นผ่านงานฝีมือสร้างสรรค์ผืนผ้า ซึ่งจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจให้กับผลิตภัณฑ์ผ้าไทย
โดยในงานจะมีการนำผลงานผ้าและงานหัตถกรรมตามแนวพระดำริ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก”
ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา มาจัดแสดง
รวมทั้งจัดนิทรรศการผลงานหัตถกรรมและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกลุ่มผู้ผลิต และผู้ประกอบการ
OTOP ที่เข้าร่วมโครงการ “ผ้าไทยใส่ให้สนุก” ด้วย
จึงขอความร่วมมือให้ทุกกระทรวง ส่วนราชการ
และหน่วยงานของรัฐเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์เผยแพร่การจัดงานดังกล่าวให้ถูกต้อง ทั่วถึง
เพื่อเชิญชวนประชาชนผู้สนใจเข้าร่วมงานตามกำหนดวันดังกล่าวโดยพร้อมเพรียงกันต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
48 | ร่างกฎกระทรวงการมอบให้เอกชนดำเนินการแทนในภารกิจหรือกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | นร.01 | 19/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงการมอบให้เอกชนดำเนินการแทนในภารกิจหรือกิจการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเงื่อนไขในกรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) มอบหมายภารกิจหรือกิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ
อปท. ตามที่ได้รับการถ่ายโอนภารกิจตามแผนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ให้เอกชนดำเนินการแทนได้ เพื่อให้ อปท.
สามารถตอบสนองการจัดบริการสาธารณะให้กับประชาชนในท้องถิ่นได้อย่างสะดวก รวดเร็ว
มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น และคุ้มค่ามากขึ้น ตามที่คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
49 | โครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่ 2) | อว. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา (ระยะที่
๒) ภายในกรอบวงเงิน ๕๕,๐๘๗,๘๐๐ บาท ประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ - ๒๕๘๐ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการกองทุนการศึกษาระดับอุดมศึกษา
(ระยะที่ ๒) ซึ่งจะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ นั้น
เห็นควรให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
โดยสำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ดำเนินการตามวิธีการงบประมาณและขั้นตอนของกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ครบถ้วน รวมถึงการจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงาน ก.พ.
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
เช่น กระทรวงการคลัง เห็นควรให้ความสำคัญกับการควบคุม
และกำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่า |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
50 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่น พ.ศ. .... | มท. | 12/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่นเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดเก็บค่าธรรมเนียมในการใช้เขตทางหลวงท้องถิ่นตามประเภทของกิจกรรมให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสม
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนอีกครั้งหนึ่ง
โดยให้รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เห็นว่าการกำหนดให้ต้องชำระค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่น
สำหรับกรณีที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อประโยชน์สาธารณะ
หรือเพื่อให้บริการสาธารณะขั้นพื้นฐาน หรือในกรณีกิจกรรมของหน่วยงานของรัฐให้บริการสาธารณะอันเป็นประโยชน์แก่งานทางจะทำให้เกิดภาระค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการให้บริการของหน่วยงานของรัฐ
ไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่าการชำระค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดเก็บค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่นผ่านระบบออนไลน์ได้
เช่น ระบบสารสนเทศในการให้บริการประชาชน (Local Service)
เป็นต้น สำนักงบประมาณ เห็นว่าการกำหนดให้บรรดาค่าใช้เขตทางหลวงท้องถิ่นเป็นรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ยื่นคำขออนุญาต
ควรให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามกฎหมาย ระเบียบ และหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อนนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
51 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย พ.ศ. .... | มท. | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
โดยจะกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมให้แตกต่างกัน โดยคำนึงถึงปริมาณสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
ระยะเวลาการจัดเก็บ ลักษณะการเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
รวมทั้งต้นทุนและความคุ้มค่าในการจัดเก็บ ขน และกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
เพื่อให้การจัดเก็บค่าธรรมเนียมและยกเว้นค่าธรรมเนียมเกี่ยวกับการจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วนอีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับข้อสังเกตของนายกรัฐมนตรี
ที่เห็นควรใช้มาตรการอื่น ๆ เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะ เช่น ค่าธรรมเนียม
สำหรับขยะที่สามารถนำมาใช้ใหม่ควรกำหนดให้มีอัตราที่ต่ำกว่า
รวมทั้งรณรงค์และสร้างจิตสำนึกให้ประชาชนมีระบบการคัดแยกขยะตามครัวเรือนและที่อยู่อาศัย
และส่งเสริมให้เอกชนที่เข้ามารับงานเก็บขยะแทนราชการส่วนท้องถิ่น
ใช้เทคโนโลยีเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการประหยัดพลังงานหรือการใช้พลังงานสะอาด
ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลการออกข้อบัญญัติของราชการส่วนท้องถิ่น
โดยคำนึงถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนเป็นสำคัญซึ่งต้องไม่ซ้ำซ้อนและเป็นภาระแก่ประชาชนเกินสมควร
และมีความสอดคล้องกับกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
หนังสือรับรองการแจ้งและการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอย พ.ศ. ๒๕๕๙
ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ทั้งนี้
ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย เช่น กระทรวงสาธารณสุข เห็นควรมีแผนเตรียมการรองรับการขับเคลื่อนและสนับสนุนราชการส่วนท้องถิ่นในการดำเนินการเก็บ
ขน หรือกำจัดสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยให้ถูกต้องด้วยสุขลักษณะตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกำหนด
รวมถึงการสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
52 | ตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน (Joint KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | นร.12 | 05/11/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบตัวชี้วัดขับเคลื่อนการบูรณาการร่วมกัน
(Joint
KPIs) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามที่คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการเสนอ
ดังนี้
๑.๑ ประเด็นการจัดทำ Joint KPIs ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
ทั้ง ๖ ประเด็น ได้แก่ (๑) การบริหารจัดการและอนุรักษ์ฟื้นฟูน้ำทั้งระบบ (๒)
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (๓) รายได้จากการท่องเที่ยว (๔)
รายได้ของผู้ประกอบการ SMEs และ OTOP (๕)
การลดปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 และ (๖)
การยกระดับผลการประเมินสมรรถนะนักเรียนตามมาตรฐานสากล (Programme of
International Student Assessment : PISA) รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนเป้าหมาย
และมอบหมายให้ ก.พ.ร. พิจารณาการกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของ Joint
KPIs
๑.๒ ให้ ก.พ.ร. นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนส่วนราชการ จังหวัด
และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒
และที่แก้ไขเพิ่มเติม
รวมทั้งองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่ไม่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘
๑.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๔ ให้กรมบัญชีกลางนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และทุนหมุนเวียนอื่นภายใต้ระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๕ ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นนำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘
๑.๖ ให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม นำ Joint KPIs ไปขับเคลื่อนในมหาวิทยาลัย (ยกเว้นสถาบันวิทยาลัยชุมชน)
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ และมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐ
(ยกเว้นสถาบันการพยาบาลศรีสวรินทิรา และสภากาชาดไทย)
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
๑.๗
ให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะที่อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน
พ.ศ. ๒๕๕๘ และไม่อยู่ในระบบการประเมินของกรมบัญชีกลาง กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานอื่น ๆ นำ Joint
KPIs ไปขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน
และส่งผลการดำเนินงานหรือผลการประเมินให้สำนักงาน ก.พ.ร. ในสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.
๒๕๖๘ ๒. ให้คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น การจัดทำ Joint
KPIs ให้บรรลุเป้าหมาย
ควรกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดให้มีความสอดคล้องกับงบประมาณและสะท้อนกับภารกิจ
อำนาจหน้าที่ของหน่วยงานที่สามารถดำเนินการได้
เพื่อให้การขับเคลื่อนนโยบายสำคัญของรัฐบาล
และการบูรณาการการทำงานร่วมกันของส่วนราชการสามารถตอบสนองเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติและนโยบายของคณะรัฐมนตรีเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
53 | การประชาสัมพันธ์ เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย | นร.04 | 22/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นางสาวธีรรัตน์
สำเร็จวาณิชย์) ประธานคณะทำงานศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย วาตภัย
และดินโคลนถล่มส่วนหน้าในพื้นที่จังหวัดเชียงราย (ศปช. ส่วนหน้า) ได้รายงานความคืบหน้าในการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือหรือเยียวยาแก่ผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ดังกล่าว
ณ วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๗ ซึ่ง ศปช. ส่วนหน้าได้ดำเนินภารกิจต่าง ๆ
ตามที่ได้รับมอบหมายแล้วเสร็จ ครบถ้วนแล้ว
โดยได้ให้ความช่วยเหลือนำดินโคลนออกจากที่พักอาศัยของประชาชน จำนวน ๘๑๙ ครัวเรือน รวมทั้งการขนย้ายดินโคลนและทำความสะอาดถนนและพื้นที่สาธารณะต่าง
ๆ ที่ใช้ประโยชน์ร่วมกัน
ตลอดจนได้ดำเนินการเพื่อการป้องกันสาธารณภัยอันอาจจะเกิดขึ้นอีกในพื้นที่ดังกล่าวด้วยแล้ว
และกำหนดจะส่งคืนพื้นที่ในความรับผิดชอบแก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ ๒๘
ตุลาคม ๒๕๖๗ สำหรับการดำเนินการให้ความช่วยเหลือแก่ครัวเรือนที่ประสบภัยที่เหลืออยู่
จะเป็นการดำเนินการต่อไปในระยะที่ ๒
ซึ่งเป็นความรับผิดชอบของจังหวัดและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้อง นั้น
เพื่อสร้างการรับรู้ ความเข้าใจ
และการเข้าถึงการขอรับความช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยที่เกิดขึ้น
ให้ถูกต้อง ชัดเจน จึงขอให้ ศปช. (โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและโฆษก ศปช.)
กระทรวงมหาดไทย กรมประชาสัมพันธ์
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์
เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์อุทกภัย
การดำเนินการช่วยเหลือเยียวยาผู้ประสบอุทกภัยที่ได้ดำเนินการแล้วและที่จะดำเนินการต่อไป
ตลอดจนช่องทางการขอรับความช่วยเหลือเยียวยาในเรื่องต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ชัดเจน และทั่วถึง
โดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
54 | ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. .... | กค. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะว่าด้วยหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การกู้เงินขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
ให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐
และพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑
รวมทั้งปรับปรุงหลักเกณฑ์การบริหารหนี้ การกำกับดูแล และการรายงานข้อมูลหนี้ของ
อปท. เพื่อให้การใช้จ่ายเงินกู้ของ อปท.
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพภายใต้การกำกับดูแลที่เหมาะสม ตามที่คณะกรรมการนโยบายและกำกับการบริหารหนี้สาธารณะเสนอ
และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
55 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (1. นายขจร ศรีชวโนทัย ฯลฯ จำนวน 25 ราย) | มท. | 08/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ
สังกัดกระทรวงมหาดไทย ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๒๕ ราย
เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง และสับเปลี่ยนหมุนเวียน
ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ ๑. นายขจร ศรีชวโนทัย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)
สำนักงานปลัดกระทรวง ๒. นายสันติธร ยิ้มละมัย ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง (นักบริหาร ระดับสูง)
สำนักงานปลัดกระทรวง ๓. นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง
ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๔.นายสุพจน์ รอดเรือง ณ หนองคาย ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง
(ผู้ตรวจราชการกระทรวง ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๕. นายอดิเทพ กมลเวชช์ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง (ผู้ตรวจราชการกระทรวง
ระดับสูง) สำนักงานปลัดกระทรวง ๖. นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมการปกครอง ๗. นายภาสกร บุญญลักษม์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง)
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ๘. นายพงษ์นรา เย็นยิ่ง ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง) กรมโยธาธิการและผังเมือง ๙. นายนฤชา โฆษาศิวิไลซ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหาร ระดับสูง)
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ๑๐. นายอังกูร ศีลาเทวากูล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครองระดับสูง)
จังหวัดกระบี่ ๑๑. นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดฉะเชิงเทรา ๑๒. นายชรินทร์ ทองสุข ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดเชียงราย ๑๓. นายเกียรติศักดิ์ ตรงศิริ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด
(นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดนนทบุรี ๑๔. นายสมคิด จันทมฤก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดปทุมธานี ๑๕. นายวีระพันธ์ ดีอ่อน ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดปราจีนบุรี ๑๖.นายทวี เสริมภักดีกุล ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง) จังหวัดพิษณุโลก ๑๗. นายศรัณยู มีทองคำ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดเพชรบูรณ์ ๑๘. นายชุติเดช มีจันทร์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดลำปาง ๑๙. นายโชตินรินทร์ เกิดสม ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสงขลา ๒๐. นางนิศากร วิศิษฏ์สรอรรถ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง
ระดับสูง) จังหวัดสมุทรสงคราม ๒๑. นายนริศ นิรามัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสมุทรสาคร ๒๒. นายพิริยะ ฉันทดิลก ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสุพรรณบุรี ๒๓. นายชำนาญ ชื่นตา ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดสุรินทร์ ๒๔. นายราชันย์ ซุ้นหั้ว ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง ระดับสูง)
จังหวัดอุดรธานี ๒๕. ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด (นักปกครอง
ระดับสูง) จังหวัดอุบลราชธานี
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
56 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2567 | สคทช | 01/10/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
(คทช.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๐
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเสนอ โดยที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง
ๆ เช่น ๑. รับทราบผลการดำเนินงานของฝ่ายเลขานุการ คทช. และคณะอนุกรรมการภายใต้
คทช. เช่น (๑) ภาพรวมผลการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ปีงบประมาณ ๒๕๕๘ - ปัจจุบัน
มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน ๑,๕๘๒
พื้นที่ ใน ๗๒ จังหวัด เนื้อที่ ประมาณ ๕.๘๙ ล้านไร่
โดยได้จัดคนเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินแล้ว ๘๖,๑๘๘ ราย ๑๐๖,๓๐๒ แปลง เนื้อที่ ๕๘๗,๔๓๙ ไร่ (๒) การปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ
มาตราส่วน ๑ : ๔๐๐๐ (One Map) อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ โดยมอบหมายกรมแผนที่ทหาร
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบเป็นการเร่งด่วน
เพื่อเสนอ คทช. พิจารณาต่อไป ๒. เห็นชอบการขอผ่อนผันมติคณะรัฐมนตรี (๘ เมษายน ๒๕๔๖) เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตที่ดินของรัฐให้เข้าถึงสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานต่าง
ๆ ในพื้นที่นำร่องจังหวัดกาญจนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
57 | การขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 มาตรา 40 วรรคสาม และมาตรา 42 วรรคหนึ่ง สำหรับงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 | กก. | 24/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
(ททท.) ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๖๕๖๘ - พ.ศ. ๒๕๗๐
เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารสำนักงาน ค่าเช่ารถยนต์ ค่าเช่า ที่จอดรถยนต์
และค่าเช่าคลังเก็บวัสดุ รวมทั้งสิ้น ๒๐ รายการ วงเงินงบประมาณ ๒๑๔,๖๒๖,๙๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่น
สำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนได้
โดยให้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันงบประมาณรายจ่ายก่อนได้รับการจัดสรรงบประมาณ
เนื่องจากเป็นกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ตามนัยมาตรา ๔๐ วรรคสาม และมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
สำนักงบประมาณได้เสนอตั้งบประมาณรายจ่ายประจำปีรองรับไว้แล้วในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ สำหรับรายการค่าเช่าอาคารสำนักงาน ๑๑ แห่ง รายการค่าเช่ารถยนต์ ๖ คัน รายการค่าเช่าที่จอดรถยนต์
๒ แห่ง และรายการค่าเช่าคลังเก็บวัสดุ ๑ แห่ง ดังกล่าวข้างต้น ขอให้ ททท.
ใช้จ่ายตามรายการและวงเงินงบประมาณรายจ่ายของ ททท.
เมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘ ประกาศใช้บังคับ
ตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
แล้วแต่กรณี ส่วนค่าใช้จ่ายในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้ ททท.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับค่าเช่าที่จะต้องจ่ายจริงตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นควรกำกับ ดูแล ติดตาม และรายงานผลการดำเนินงานของ ททท. สำนักงานสาขาต่างประเทศอย่างเป็นระยะ
เพื่อประโยชน์ด้านความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณสำหรับการยกระดับการท่องเที่ยวไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการเดินทางในระดับสากล
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
58 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลา การลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
มีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะครบกำหนดวันที่ ๓๐
กันยายน ๒๕๖๗ ต่อไปอีก เป็นระยะเวลา ๑ ปี ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๗ ถึงวันที่
๓๐ กันยายน ๒๕๖๘ โดยยังคงจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ ๖.๓
(ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗ (รวมภาษีท้องถิ่น) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
ดังนี้ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เห็นควรพิจารณาทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ
ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลและขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
เพื่อลดข้อจำกัดทางการคลัง และรองรับความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเงินโลก
การเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น สำนักงบประมาณ เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
59 | โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ | กค. | 17/09/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปี ๒๕๖๗
ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ โดยมอบหมายกระทรวงการคลังเป็นผู้ดำเนินโครงการฯ
และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (เช่น
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมบังคับคดี
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา) ให้การสนับสนุนการดำเนินโครงการฯ
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการฯ
ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อเสนอแนะของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ธนาคารแห่งประเทศไทย และกรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
เช่น สำนักงบประมาณ เห็นควรให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมุ่งเน้นการกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ
รวมถึงรักษากรอบวินัยการเงินการคลังอย่างรอบคอบ เคร่งครัด
และจัดให้มีระบบการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานปัญหา อุปสรรคและแนวทางการแก้ไข
การดำเนินโครงการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เห็นว่าในส่วนของกลุ่มเป้าหมายคนพิการ ปี ๒๕๖๖
สำนักงานสถิติแห่งชาติมีการสำรวจความพิการ พบว่า มีผู้พิการ ๔.๑๙ ล้านคน
แต่มีคนพิการขึ้นทะเบียนและมีบัตรประจำตัวคนพิการเพียง ๒.๒ ล้านคน
เห็นควรให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาใช้โอกาสนี้ในการจัดทำบัตรประจำตัวคนพิการให้ครอบคลุมคนพิการทุกกลุ่ม
เพื่อป้องกันการตกหล่นในการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการที่พึงจะได้รับในระยะยาวต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินที่กลุ่มเป้าหมายได้รับตามโครงการฯ
และมอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กรมสรรพากร)
พิจารณาดำเนินการยกร่างกฎหมายและเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
60 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินกว่างบประมาณรายจ่ายที่ได้รับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | ดศ. | 27/08/2567 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ของกรมอุตุนิยมวิทยา จำนวน ๓,๘๔๖,๕๐๗.๓๑ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖
ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ
|