ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 5 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 81 - 100 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
81 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การศึกษาเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ กรณีศึกษาองค์ความรู้และแนวคิดจากประสบการณ์ของต่างประเทศ : สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐเกาหลี ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา | ศธ. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
การศึกษาเพื่อแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ
กรณีศึกษาองค์ความรู้และแนวคิดจากประสบการณ์ของต่างประเทศ : สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีและสาธารณรัฐเกาหลี
ของคณะกรรมาธิการการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำ วุฒิสภา
ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นชอบด้วยและมีความเห็นเพิ่มเติม เช่น
ควรปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับแนวทางการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education) และจัดทำแนวทางในการนำไปสู่การจัดการเรียนรู้โดยการส่งเสริมให้มีวิชาเพิ่มทักษะชีวิตเพื่อรองรับตลาดแรงงาน
รวมทั้งบูรณาการกิจกรรมการศึกษาเพื่อสร้างพลเมือง (Civic Education) สำหรับผู้เรียนในระบบและนอกระบบเพื่อไม่ให้เป็นภาระของสถานศึกษา
ครูผู้สอน และผู้เรียน ควรกระจายอำนาจการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ควรปรับวิธีการจัดสรรงบประมาณของโรงเรียนเพื่อให้มีงบประมาณที่เพียงพอในการจัดการศึกษา
และควรปรับโครงสร้างหลักสูตรและเวลาเรียนเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นได้
รวมถึงควรสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอน และอาจถ่ายโอนโรงเรียนขนาดเล็กให้อยู่ในการกำกับดูแลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อพัฒนาสถานศึกษานั้นต่อไป ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
82 | ขออนุมัติและขอรับการสนับสนุนงบประมาณโครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน (ภาคใต้) | พม. | 12/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการโครงการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน
(ภาคใต้) โดยมีกลุ่มเป้าหมาย ๑๔ จังหวัด ๑๕๑ อำเภอในภาคใต้
ผู้สูงอายุที่ได้รับการดูแลในชุมชนจำนวน ๑,๖๑๙,๕๒๙ คน วงเงินงบประมาณ ๑๖๓,๒๓๑,๐๐๐ บาท รวมทั้งขอให้พิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พศ. ๒๕๖๑
และมอบหมายรองนายกรัฐมนตรีที่กำกับแผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย
และหน่วยงานเจ้าภาพแผนงานบูรณาการดังกล่าวพิจารณาภาพรวมในการส่งเสริม
สนับสนุนบริบาล และคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน รวมทั้งพิจารณาอัตราค่าใช้จ่าย
กรอบระยะเวลาดำเนินโครงการ ตลอดจนพิจารณาขั้นตอน วิธีการ กลุ่มเป้าหมาย
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยคำนึงถึงภาระงบประมาณที่เกิดขึ้นเท่าที่จำเป็นและเหมาะสม
สอดคล้องกับสถานการณ์ของประเทศต่อไป ทั้งนี้
ในร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
กรมกิจการผู้สูงอายุได้รับการเสนอตั้งงบประมาณโครงการดังกล่าวไว้แล้ว จำนวน ๘,๘๕๐,๐๐๐ บาท ในลักษณะโครงการนำร่อง
จึงควรให้มีการติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงาน
หากมีความจำเป็นต้องดำเนินการในระยะต่อไป
ก็ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ ภายใต้แผนงานบูรณาการดังกล่าว
ตามภารกิจ ความจำเป็นและเหมาะสม เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้
ให้กระทวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ให้หน่วยงานดำเนินการปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
ควรพิจารณาบูรณาการความร่วมมือและการใช้จ่ายงบประมาณกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการส่งเสริมสนับสนุนการบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุซึ่งจะเกิดประโยชน์ให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
และจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณแผ่นดินมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ควรพิจารณาดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี
เมื่อวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๖๖ ที่ให้มีการพิจารณาภาพรวมในการส่งเสริม
สนับสนุนบริบาลและคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในชุมชน
โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ที่ได้มีการเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ในการดำเนินการด้วยแล้ว
เพื่อยกระดับการดูแลผู้สูงอายุในชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
83 | ขอรับจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินการแก้ไขปัญหาไฟป่า หมอกควัน และฝุ่นละออง PM2.5 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 | ทส. | 03/03/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
เป็นเงินทั้งสิ้น ๒๗๒,๖๕๕,๓๕๐ บาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน เพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ของกรมป่าไม้ เป็นเงิน
๑๐๙,๙๔๖,๖๕๐ บาท และของกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นเงิน ๑๖๒,๗๐๘,๗๐๐ บาท ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
(หนังสือสำนักงบประมาณ ด่วนที่สุด ที่ นร ๐๗๐๗/๓๕๗๕ ลงวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๗) โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอน
สำหรับค่าใช้จ่ายโครงการจัดหาระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อรับมือสถานการณ์ฝุ่นละออง
ขนาดไม่เกิน ๒.๕ ไมครอน ในพื้นที่ ๑๗ จังหวัดภาคเหนือ แบบครบวงจร เห็นควรให้กรมควบคุมมลพิษพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ครบถ้วน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไปโดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน
ความประหยัด ความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมพิจารณาดำเนินการเพิ่มเติม ดังนี้ ๒.๑ ให้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการกำกับติดตามการดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน
เพื่อลดฝุ่นละออง PM2.5 โดยการมีส่วนร่วมของชุมชน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ของกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ
หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง
การจ้างแรงงานในพื้นที่ การกำหนดจุดจัดตั้งและการปฏิบัติงานของจุดเฝ้าระวัง
และการดำเนินกิจกรรมป้องกันและแก้ไขปัญหาไฟป่า
เพื่อให้สามารถบรรลุตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการฯ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
รวมทั้งเพื่อป้องกันปัญหาข้อร้องเรียนการทุจริตอันอาจเกิดขึ้นในภายหลังด้วย ๒.๒
ให้นำเทคโนโลยีภาพถ่ายดาวเทียมของหน่วยงานของรัฐซึ่งมีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน
(update) อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงข้อมูลการเกิดจุดความร้อน (hotspots) ในอดีต มาใช้ประกอบการวิเคราะห์
เพื่อกำหนดจุดเฝ้าระวังไฟป่าให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง รวมทั้งจัดทีมระงับไฟป่าตามจุดที่มีความเสี่ยงสูง
เพื่อให้สามารถเข้าถึงพื้นที่ที่เกิดไฟป่าได้โดยเร็วที่สุด ๒.๓
ให้เพิ่มเติมตัวชี้วัดผลสัมฤทธิ์ (KPIs) ของโครงการฯ ให้เหมาะสม ชัดเจน และเป็นการดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้น เช่น
กำหนดให้จำนวนจุดความร้อน/ไฟป่าในพื้นที่โครงการฯ ลดลงมากกว่าร้อยละ ๕๐ เมื่อเทียบกับก่อนดำเนินโครงการฯ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
84 | รายงานผลการศึกษา เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร | สผ. | 27/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานผลการศึกษา
เรื่อง การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗
ของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ
๒.
มอบหมายให้สำนักงบประมาณเป็นหน่วยงานหลักรับรายงานพร้อมทั้งข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการดังกล่าว
ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม
แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
85 | การขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางสัญชาติคาซัคสถาน เป็นกรณีพิเศษและเป็นการชั่วคราว | กต. | 20/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบในหลักการในการกำหนดให้สาธารณรัฐคาซัคสถานเป็นรายชื่อประเทศ/ดินแดนในประกาศกระทรวงมหาดไทย
เรื่อง
กำหนดรายชื่อประเทศ/ดินแดนที่ผู้ถือหนังสือเดินทางหรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทาง
ซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยวเป็นกรณีพิเศษ และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน
โดยมีเงื่อนไขให้มีผลใช้บังคับชั่วคราวเพิ่มเติมตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม-๓๑ สิงหาคม
๒๕๖๗ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อมิติเศรษฐกิจและการต่างประเทศกับสาธารณรัฐคาซัคสถานในภาพรวม
โดยเฉพาะด้านความเชื่อมโยงระหว่างประชาชนสองฝ่ายที่เป็นรากฐานของความสัมพันธ์จนกว่าการจัดทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐคาซัคสถานเป็นการถาวรจะแล้วเสร็จ
ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. เห็นชอบหลักการร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง
กำหนดให้ผู้ถือหนังสือเดินทาง หรือเอกสารใช้แทนหนังสือเดินทางของสาธารณรัฐคาซัคสถานซึ่งเข้ามาในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราวเพื่อการท่องเที่ยว
ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา และให้อยู่ในราชอาณาจักรได้ไม่เกินสามสิบวัน
เป็นกรณีพิเศษ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยแก้ไขชื่อร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย
และความในร่างข้อ ๑ ให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรพิจารณาดำเนินมาตรการคัดกรองบุคคลอย่างเข้มงวด
ควบคู่กับการประสานและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างไทย คาซัคสถาน
เนื่องจากในห้วงที่ผ่านมา พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายและกลุ่มก่อการร้ายท้องถิ่นในภูมิภาคเอเชียกลาง
โดยเฉพาะทาจิกิสถานและคาซัคสถาน ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายสากล อาทิ
กลุ่ม ISIS ในซีเรีย
ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่กลุ่มก่อการร้าย/อาชญากรอาจแสวงประโยชน์จากการยกเว้นการตรวจลงตรา
โดยใช้ไทยเป็นทางผ่านหรือเป็นพื้นที่หลบซ่อน (safe heaven) ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
86 | ร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น พ.ศ. .... | สธ. | 06/02/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเลิกกฎกระทรวงกำหนดแบบบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข
และผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ.
๒๕๔๘ เพื่อปรับปรุงแก้ไขแบบบัตรและผู้มีอำนาจออกบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานท้องถิ่น
เจ้าพนักงานสาธารณสุข และผู้ที่ได้รับแต่งตั้งจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข
และกำหนดให้การออกบัตรประจำตัวเจ้าพนักงานดังกล่าวสามารถดำเนินการด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์
ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
และให้ดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
87 | ขออนุมัติตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 สำหรับรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ของกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมท่าอากาศยาน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ | คค. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงคมนาคม ในการดำเนินโครงการของกรมทางหลวง
กรมทางหลวงชนบท กรมท่อากาศยาน และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน ๔๒ โครงการ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๙๑,๖๕๓.๓๐๕๓ ล้านบาท (ระยะเวลาดำเนินการ
ปี ๒๕๖๘-๒๕๗๕ โดยมีวงเงินที่จะขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๘
จำนวน ๑๕,๖๒๗.๙๔๑๑ ล้านบาท และให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ เช่น ให้องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการและเสนอขออนุมัติตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง
โดยให้ความสำคัญกับการปรับปรุงแผนขับเคลื่อนกิจการเพื่อใช้ในการดำเนินงานตามแนวทางของแผนฟื้นฟูกิจการ
องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ให้เสร็จโดยเร็ว ให้กรมท่าอากาศยาน
พิจารณาปรับแผนการพัฒนาท่าอากาศยานชุมพรให้มีความสอดคล้องกับแผนการพัฒนาพื้นที่ในจังหวัดชุมพรและจังหวัดใกล้เคียง
รวมถึงประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดให้มีบริการขนส่งสาธารณะระหว่างท่าอากาศยานชุมพรกับแหล่งท่องเที่ยวพื้นที่เศรษฐกิจ
และแหล่งชุมชนที่สำคัญ
เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้บริการท่าอากาศยานชุมพรในปัจจุบัน ให้กรมทางหลวงประสานกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
กระทรวงการคลัง และองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องตามขั้นตอนต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
88 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 รายการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 30/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการการยื่นคำของบประมาณรายการผูกพันข้ามปีงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไป
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของกระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการจัดหาน้ำดิบเพื่อผลิตน้ำประปาที่โรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า
(จากแหล่งน้ำลำตะคองมายังโรงกรองน้ำบ้านมะขามเฒ่า) งบประมาณ ๑,๙๙๕.๔๓ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
ที่เห็นว่าควรดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ
และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า
ความประหยัด ภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย และให้กระทรวงมหาดไทย
โดยเทศบาลนครนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา ดำเนินการเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. มอบหมายให้สำนักงบประมาณนำคำของบประมาณฯ ตามข้อ
๑ ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เพื่อกลั่นกรองความจำเป็นเหมาะสมในภาพรวมของข้อเสนองบประมาณของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐในรายการงบลงทุนและรายการงบประมาณที่มีวงเงินตั้งแต่หนึ่งพันล้านบาทขึ้นไปทั้งหมด
ให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างรายได้และโอกาสให้แก่ประชาชน
การพัฒนารัฐบาลดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การให้บริการภาครัฐหรืออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและภาคธุรกิจ
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
และการเสริมสร้างศักยภาพของประเทศในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
แล้วให้สำนักงบประมาณนำผลการพิจารณาในภาพรวมทั้งหมดเสนอต่อคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอนและกรอบเวลาของปฏิทินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
89 | การส่งเสริมและสนับสนุนสินค้าของโครงการอันเนื่่องมาจากพระราชดำริและสินค้า OTOP | นร. | 23/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ตรวจราชการที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๗ และได้นำภาคธุรกิจเอกชนเยี่ยมชมการดำเนินโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง
ๆ เช่น โครงการศูนย์บริการการพัฒนาขยายพันธุ์ไม้ดอกไม้ผลบ้านไร่อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
รวมทั้งสินค้าชนิดต่าง ๆ จากโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่ภาคธุรกิจเอกชนจะได้ประสานความร่วมมือกับเกษตรกรและชุมชนในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน
ลดขั้นตอนการผลิตสินค้า
และเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายและการกระจายสินค้าให้แพร่หลายกว้างขวางมากยิ่งขึ้นทั้งในตลาดภายในประเทศและตลาดต่างประเทศ
ซึ่งจะส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มมูลค่าของสินค้าของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริให้สูงขึ้นได้
ซึ่งจะเป็นการพัฒนาและยกระดับสินค้าของท้องถิ่นและชุมชนต่าง ๆ
ของไทยในภาพรวมให้มีความยั่งยืนต่อไป ดังนั้น
จึงขอให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือ สนับสนุน
และส่งเสริมการดำเนินกิจการ
ตลอดจนการอุดหนุนสินค้าของโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
รวมถึงสินค้าจากโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ให้มากยิ่งขึ้นต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
90 | ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน (ระนอง ภูก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2567 | นร.11 สศช | 23/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
(ระนอง ภูเก็ต กระบี่ ตรัง พังงา และสตูล) เมื่อวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๖๗
ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และเห็นชอบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติชี้แจงเพิ่มเติมว่า
โดยที่โครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
ของจังหวัดกระบี่ เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี เริ่มตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๙-๒๕๗๐ ดังนั้น
จึงเห็นควรให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ ตามขั้นตอนต่อไป ๒. เห็นชอบในหลักการโครงการของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด
จำนวน ๑๓ โครงการ วงเงินรวม ๓๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
และให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไป ๓.
เห็นชอบในหลักการโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชน จำนวน ๕ โครงการ วงเงินรวม ๒๐๒,๐๙๙,๐๐๐ บาท [(๑)
โครงการปรับปรุงและยกระดับโครงสร้างพื้นฐานถนนท่องเที่ยวชุมชนเกาะยาวใหญ่ เพื่อส่งเสริมอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
อำเภอเกาะยาว จังหวัดพังงา (๒) โครงการวางท่อขยายเขตจำหน่ายน้ำ ถนนนาเกาะ-บางโจ
ตำบลศรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต (๓)
โครงการพัฒนาศูนย์เรียนรู้อนุรักษ์ฟื้นฟูพะยูนและสัตว์ทะเลหายากจังหวัดตรัง
ระยะที่ ๒ จังหวัดตรัง (๔) โครงการปรับปรุงท่าเรือระนอง-เกาะสอง
เพื่อการท่องเที่ยวและการสัญจร ตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดระนอง และ (๕)
โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีชุมชน จังหวัดสตูล]
โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณที่เกี่ยวข้องตามข้อ ๒
และ ๓
จัดทำรายละเอียดโครงการและประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อขอทำความตกลงกับสำนักงบประมาณตามระเบียบต่อไป
ในส่วนของโครงการยกระดับและพัฒนาศักยภาพระบบการแพทย์เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน
จังหวัดกระบี่ วงเงิน ๓๒๖,๐๐๐,๐๐๐ บาท
เป็นโครงการที่มีระยะเวลาดำเนินการเกินกว่า ๑ ปี
ให้หน่วยรับงบประมาณเจ้าของโครงการจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๔. ให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
พิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอของภาคเอกชนในส่วนที่เหลือเพื่อบรรจุไว้ในแผนการปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป ๕. เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔
ธันวาคม ๒๕๖๖ [เรื่อง
ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน
๑ (หนองบัวลำภู อุดรธานี เลย หนองคาย และบึงกาฬ) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๓ พฤศจิกายน
๒๕๖๖ และเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๖] โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำโครงการตามความจำเป็น
เหมาะสม และลำดับความสำคัญเร่งด่วนของแต่ละจังหวัด
เพื่อขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ภายในวงเงิน ๓๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
รวมทั้งให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดนำโครงการดังกล่าวบรรจุไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดและแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
91 | รายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 16/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานของคณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัด
(ก.ธ.จ.) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปได้ ดังนี้ ๑. ผลการดำเนินงานของ ก.ธ.จ. ทั้ง ๗๖ คณะ/จังหวัด ได้ติดตามสอดส่องการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
๒,๐๙๘
เรื่อง และมีข้อเสนอแนะ ๑,๕๗๖ ข้อ ใน ๔ เรื่อง ได้แก่ ๑)
แผนงาน/โครงการ ตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ๒)
แผนงาน/โครงการของส่วนราชการในจังหวัด ๓) แผนงาน/โครงการอื่น ๆ (เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
และรัฐวิสาหกิจ) และ ๔) เรื่องร้องเรียน ๒.
ปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญและแนวทางการแก้ไขของ ก.ธ.จ. เช่น ๑) การปฏิบัติหน้าที่ของ ก.ธ.จ. แต่ละคณะมีความแตกต่างกันทำให้มาตรฐานในการทำงานแตกต่างกัน
แนวทางการแก้ไข ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจะปรับปรุงคู่มือการปฏิบัติงานของ
ก.ธ.จ. ให้มีความเหมาะสมเป็นมาตรฐานเดียวกัน และ ๒) งบประมาณไม่เพียงพอกับการปฏิบัติงานของ
ก.ธ.จ. แนวทางการแก้ไข เช่น ให้ ก.ธ.จ. จัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณภายในกรอบวงเงินที่ได้รับจัดสรร
ปรับแผนการลงพื้นที่ และหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
92 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น วุฒิสภา | มท. | 16/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง
บทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของท้องถิ่น ของคณะกรรมาธิการการปกครองท้องถิ่น
วุฒิสภา ซึ่งได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยสรุปได้ว่า
ในส่วนปัญหาอุปสรรคของท้องถิ่นในการจัดการศึกษา พบว่าด้านบุคลากร กระทรวงมหาดไทยได้ดำเนินการกำหนดแผนการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและคัดเลือกในตำแหน่งที่มีความต้องการแล้ว
และด้านการบริหารจัดการ ปัจจุบันมีสถานศึกษาสามารถตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม
เช่น ค่าอุปกรณ์สำหรับผู้เรียนในการฝึกกีฬา ค่าประกันอุบัติเหตุ
เพื่อแก้ไขปัญหากระบวนการจัดซื้อจัดหาตามระเบียบที่ล่าช้าและมีความเหลื่อมล้ำได้อยู่แล้ว
ในส่วนข้อเสนอแนะสำหรับหน่วยงานและองค์กรภาครัฐ ในด้านนโยบาย กรมการปกครองส่วนท้องถิ่นได้สนับสนุนการดำเนินงานท้องถิ่นดิจิทัลผ่านความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย
เช่น สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ
อีกทั้งได้มีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อกำหนดให้บุคลากรทางการศึกษาร่วมเป็นคณะกรรมการในองค์กรบริหารงานส่วนท้องถิ่นเพื่อกำหนดแนวทางการสรรหาบุคลากร
ด้านบุคลากร ได้นำมาตรฐานหลักเกณฑ์และระเบียบที่ใช้กับบุคลากรของกระทรวงศึกษาธิการมาประยุกต์ใช้โดยอนุโลม
และได้ดำเนินการบรรจุแต่งตั้งข้าราชการเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแล้ว รวมทั้งได้ลงนามบันทึกความร่วมมือกับสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการเพื่อสนับสนุนและพัฒนาคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่แล้ว
และได้จัดงานมหกรรมการจัดการศึกษาท้องถิ่นในระดับประเทศ ด้านวัสดุ อุปกรณ์
เทคโนโลยีสารสนเทศ อาคารสถานที่ แหล่งเรียนรู้ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรมเห็นว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับพื้นที่ควรบูรณาการและสนับสนุนการจัดการเรียนการสอน
เช่น จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการการเรียนระบบคลังหน่วยกิตกับโรงเรียน
ด้านการบริหารจัดการ
ได้กำหนดแนวทางหรือระเบียบว่าด้วยการจัดจ้างบุคลากรเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ตามยุทธศาสตร์ชาติและแผนการศึกษาแห่งชาติแล้ว
และได้ร่วมกับองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อเปิดรับอาสาสมัครมาปฏิบัติหน้าที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่และครูในพื้นที่
ด้านงบประมาณ กระทรวงมหาดไทยได้ออกระเบียบให้สถานศึกษาในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีอำนาจในการบริหารงบประมาณตามการกิจแล้ว
ในส่วนของข้อเสนอแนะสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ออกแบบหลักสูตรที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมกับทุกภาคส่วนส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาออกแบบและพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ที่สอดคล้องกับปรัชญาและวัตถุประสงค์ของสถาบันและลักษณะสาขาวิชา
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
93 | รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในรูปแบบประชาสังคมระดับจังหวัด และเรื่อง กลไกการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ : กรณีสภาประชาสังคมไทย ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา | สว. | 09/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบรายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การศึกษาประวัติศาสตร์และพัฒนาการการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในรูปแบบประชาสังคมระดับจังหวัด
และเรื่องกลไกการมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศ : กรณีสภาประชาสังคมไทย
ของคณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ ๒.
มอบหมายให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
(สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น)
เป็นหน่วยงานหลักรับรายงานและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการดังกล่าว ไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงมหาดไทย (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ
สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และสร้างความสามัคคีปรองดอง
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าว
และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน
๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
94 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 | คค. | 09/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
เห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. .... ) ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก
พ.ศ. ๒๕๒๒ มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๒๔)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม
โดยแก้ไขเพิ่มเติมการกำหนดเอกสารและหลักฐานที่ใช้สำหรับการขอรับหรือขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง
เพื่อเป็นการลดภาระและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอรับหรือขอต่ออายุใบอนุญาตประกอบการขนส่ง
และกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการขอรับหรือขอต่อใบอนุญาตประกอบการขนส่งสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่งได้ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
95 | มาตรการส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย | กค. | 02/01/2567 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
พ.ศ. ๒๕๖๐ เพื่อปรับอัตราภาษีสำหรับกิจการบันเทิงหรือหย่อนใจ
และปรับโครงสร้างภาษีและอัตราภาษีสำหรับสินค้าสุรา และเห็นชอบในหลักการร่างประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากร ตามมาตรา ๑๒
แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ (ฉบับที่ ..) มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมประกาศกระทรวงการคลัง
เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ลงวันที่ ๒๘
ธันวาคม ๒๕๖๔ เพื่อปรับโครงสร้างภาษีศุลกากรสินค้าไวน์ให้สอดคล้องกับการปรับปรุงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตสำหรับกลุ่มสินค้าดังกล่าว
รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน
แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒.
รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการของกระทรวงการคลัง เรื่อง การปรับปรุงหลักเกณฑ์ การตรวจสินค้าเพื่อขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT Refund for Tourists) ของนักท่องเที่ยว
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและสำนักงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวข้อง
ที่เห็นว่าควรติดตามและประเมินผลการดำเนินงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่องเพื่อให้การอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง
และควรติดตามประเมินผลการดำเนินมาตรการดังกล่าวเพื่อประเมินความคุ้มค่าของมาตรการต่าง
ๆ ทั้งในมิติเศรษฐกิจและสังคม
โดยให้รายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีทราบเป็นระยะ นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง
และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาควรดำเนินการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ภาคประชาชนและภาคธุรกิจทราบเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากมาตรการดังกล่าวได้
และสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าว รวมถึงสถานการณ์
ความจำเป็น และประโยชน์ที่จะได้รับ ให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้
เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินการทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามประเมินผลสัมฤทธิ์ และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรการภาษีดังกล่าวเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการ
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ต่อไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
96 | การดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ. 2567 ให้แก่ประชาชน (กระทรวงพาณิชย์) | พณ. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการโครงการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ พ.ศ.
๒๕๖๗ ให้แก่ประชาชน (กระทรวงพาณิชย์) ดังนี้ ๑) เพิ่มอาชีพ ได้แก่ โครงการแฟรนไชส์สร้างอาชีพสำหรับผู้ประสงค์จะทำธุรกิจด้าน
Soft Power ธุรกิจแฟรนไชส์ และสินค้า
Gl ลดค่าแพคเกจแฟรนไชส์ให้สูงสุด ร้อยละ ๓๐ ๒) เพิ่มทักษะ
เช่น โครงการ “ติดปีกทางการค้าให้ผู้ประกอบการไทยด้วย Soft Power x ทรัพย์สินทางปัญญา” โดยการนำแนวคิด Soft Power มาปรับใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าและบริการ
๓) เพิ่มโอกาส เช่น จับคู่เจรจาธุรกิจการค้าออนไลน์กับผู้ซื้อศักยภาพในตลาดโลก
ให้ผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไป และ ๔) เพิ่มความสุข เช่น ดำเนินโครงการ “พาณิชย์ลดราคา
New Year Mega Sale 2024” โดยร่วมกับผู้จำหน่าย
ห้างสรรพสินค้า ห้างท้องถิ่น ร้านสะดวกซื้อ และธุรกิจแฟรนไชส์
ลดราคาสินค้าและค่าบริการ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
97 | การจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2567 | มท. | 26/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน
ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๗ ดังนี้ (๑) ด้านบำบัดทุกข์ เช่น โครงการลูกหนี้อุ่นใจ มหาดไทยช่วยไกล่เกลี่ย
โครงการมาตรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยสถานธนานุบาลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อลดการก่อหนี้นอกระบบ
และโครงการมหาดไทย เติมน้ำ เติมสุข บำบัดทุกข์ คลายแล้ง เป็นต้น (๒) ด้านบำรุงสุข
เช่น โครงการ OTOP Giftset : กระเช้าปีใหม่ คนไทยร้องว้าว โครงการปันรักษ์ ปันสุข จากศูนย์แบ่งปันเมล็ดพันธุ์ชุมชน และโครงการสร้างรายได้
กระจายโอกาส ให้ชุมชนและเกษตรกรกับองค์การตลาด กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
98 | รายงานผลการเดินทางเยือนนครเซี่ยงไฮ้ สาธารณรัฐประชาชนจีนของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ | พณ. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางเยือนนครเชี่ยงไฮ้
สาธารณรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรี
(นายภูมิธรรม เวชยชัย) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และคณะผู้บริหารระดับสูงกระทรวงพาณิชย์
ระหว่างวันที่ ๔-๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๖ โดยมีสาระสำคัญ เช่น (๑) การหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์จีน
(นายหวัง เหวินเทา) ในประเด็นการขอให้จีนเป็นเจ้าภาพจัดประชุม Joint Committee (JC เศรษฐกิจไทย-จีน) ครั้งที่
๗ เพิ่มโควตาการอนุญาตเข้าฉายภาพยนตร์จากต่างประเทศ และสนับสนุนการยกระดับความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนระดับมลฑล/ท้องถิ่น
(๒) การเข้าร่วมงาน CIIE ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ได้เข้าเยี่ยมชมในส่วนจัดแสดงสินค้าและส่วนนิทรรศการของผู้ประกอบการไทยที่เข้าร่วมงาน
(๓) การหารือกับกงสุลใหญ่ ณ นครเซี่ยงไฮ้ และภาคเอกชนไทยที่ดำเนินธุรกิจในจีน
ในประเด็นการสนับสนุนภาคเอกชนขยายตลาดในจีนและข้อเสนอของภาคเอกชนเพื่อการหารือในการประชุม
JC เศรษฐกิจไทย-จีน (๔) การหารือกับภาคเอกชนจีน
โดยหารือกับบริษัท SINOPEC บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของจีน
และสหพันธ์อุตสาหกรรมบริการเซี่ยงไฮ้ และบริษัทในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง (๕)
กระทรวงพาณิชย์เสนอแนวทางการดำเนินการ เช่น การประสานและติดตามการจัดประชุม JC
เศรษฐกิจไทย-จีน และการจัดทำ MOU ด้านการค้าและช่องทางกระจายสินค้า เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
99 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณการเช่าบ้านข้าราชการในต่างประเทศ | กต. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๗๑ เพื่อเช่าบ้านข้าราชการที่ไปประจำการในต่างประเทศ
งวดเดือนธันวาคม ๒๕๖๖ และอนุมัติการทำสัญญาที่มีระยะเวลาเกินกว่า ๑ ปีงบประมาณ
วงเงินงบประมาณ ๔๐๖,๑๕๓,๔๐๐ บาท หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน
ตามนัยมาตรา ๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ โดยใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน แผนงานบุคลากรภาครัฐ รายการบุคลากรภาครัฐ งบดำเนินงาน
ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ รายการค่าเช่าบ้านข้าราชการในต่างประเทศ จำนวน ๘๘,๔๘๓,๗๐๐ บาท ส่วนที่เหลือ จำนวน ๓๑๗,๖๖๙,๗๐๐ บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๘ พ.ศ. ๒๕๗๑
โดยให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้สอดคล้องกับวงเงินตามสัญญาตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
100 | ขออนุมัติก่อหนี้ผูกผันข้ามปีงบประมาณเพื่อเช่าอาคารสำหรับสถานเอกอัครราชทูต คณะผู้แทนไทยถาวรประจำอาเซียน และสถานกงสุลใหญ่ จำนวน 7 แห่ง และเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง จำนวน 2 คัน | กต. | 19/12/2566 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศทำสัญญาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗-พ.ศ. ๒๕๗๒
เพื่อเป็นค่าเช่าอาคารสถานเอกอัครราชทูตคณะผู้แทนถาวรไทยประจำอาเซียน
และสถานกงสุลใหญ่ และค่าเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่ง รวมทั้งสิ้น ๙ รายการ
วงเงินรวมทั้งสิ้น ๑๙๗,๖๗๙,๑๐๐ บาท
หรือไม่เกินวงเงินตามสกุลเงินท้องถิ่นสำหรับกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนตามนัยมาตรา
๔๒ ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ สำหรับค่าใช้จ่ายในการเช่าสำนักงานในต่างประเทศและการเช่ารถยนต์ประจำตำแหน่งที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๗ จำนวน ๒๘,๘๗๔,๑๐๐ บาท
ให้กระทรวงการต่างประเทศใช้จ่ายตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปี
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ ไปพลางก่อน และจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามขั้นตอนต่อไป
รวมถึงพิจารณาดำเนินการตามมติคระรัฐมนตรีเมื่อวัยที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๖ เรื่อง
การสนับสนุนการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle : EV) ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ตามความจำเป็นและเหมาะสมในโอกาสแรก ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|