ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 7 จากทั้งหมด 200 หน้า แสดงรายการที่ 121 - 140 จากข้อมูลทั้งหมด 3982 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
121 | ขออนุมัติเพิ่มกรอบวงเงินและขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ รายการโครงการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง และค่าจ้างควบคุมงานโครงการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง | กค. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติการเพิ่มกรอบวงเงินตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ได้แก่
โครงการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง แขวงพญาไท เขตพญาไท
กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ จำนวน ๗๘,๐๖๒,๙๐๐ บาท จากวงเงินตามสัญญา จำนวน ๙๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงิน ๑,๐๐๓,๐๖๒,๙๐๐ บาท
และรายการค่าควบคุมงานโครงการก่อสร้างตกแต่งภายในอาคารที่ทำการใหม่ กระทรวงการคลัง
แขวงพญาไท เขตพญาไท กรุงเทพมหานคร ๑ โครงการ จำนวน ๗,๕๐๐,๐๐๐ บาท จากวงเงินตามสัญญา จำนวน ๓๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นวงเงิน ๓๙,๗๐๐,๐๐๐
บาท โดยใช้จ่ายวงเงินส่วนเพิ่มจากเงินฝากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีท้องถิ่นร้อยละ ๑๐
และการขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๖
เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔-พ.ศ. ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. คณะรัฐมนตรีเห็นว่า
การก่อสร้างหรือปรับปรุงอาคารของส่วนราชการของรัฐควรต้องให้ความสำคัญกับการออกแบบอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานด้วย เช่น
การติดตั้งระบบไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ และการเลือกใช้วัสดุที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เป็นต้น
จึงขอให้กระทรวงการคลังรับความเห็นดังกล่าวข้างต้นไปพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
122 | การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 ซึ่งจะต้องมีการก่อหนี้ผูกพันมากกว่าหนึ่งปีงบประมาณสำหรับรายการที่มีวงเงินตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นหน่วยรับงบประมาณ | มท. | 10/10/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. อนุมัติในหลักการให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินโครงการดังกล่าว
ในวงเงิน ๑,๐๓๐,๙๖๐,๐๐๐ บาท โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี
ยื่นเป็นคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗ ต่อสำนักงบประมาณ
ตามนัยมาตรา ๒๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ทั้งนี้
ขอให้ดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องครบถ้วน
โดยคำนึงถึงความคุ้มค่า ความประหยัด ภาระทางการคลังที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
และผลสัมฤทธิ์ที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการ อย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
ตามนัยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ด้วย ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
และให้กระทรวงมหาดไทย (องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น) รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม
โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ
ข้อบังคับและมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัดต่อไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงมหาดไทยได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน
๒๕๖๖ (เรื่อง การปรับปรุงปฏิทินงบประมาณ
พร้อมแนวทางการจัดทำงบประมาณและยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ
รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๗) ในการเสนอเรื่องนี้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
123 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวันและเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) | มท. | 18/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด
เทศบาลนคร เทศบาลเมือง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น แล้วแต่กรณี
ในฐานะหน่วยรับงบประมาณ ดำเนินรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวันเด็กปฐมวัย
จำนวน ๗๗๓,๕๐๒,๔๐๐ บาท
เงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวันระดับประถมศึกษา จำนวน ๑,๒๒๒,๐๖๒,๔๐๐ บาท และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม
(นม) ระดับประถมศึกษา จำนวน ๓๑๔,๖๙๗,๕๐๐
บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๑๐,๒๖๒,๓๐๐ บาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ขอให้ปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรี และหนังสือเวียนที่เกี่ยวข้อง
ตลอดจนมาตรฐานของทางราชการให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกขั้นตอน
โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของทางราชการและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||||||||
124 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม) | กค. | 13/09/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... โดยให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มออกไปอีก
๑ ปี โดยตราพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร
ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... แก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาฯ
(ฉบับที่ ๖๔๖) พ.ศ. ๒๕๖๐ ลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา ๘๐ แห่งประมวลรัษฎากร
โดยให้คงจัดเก็บในอัตราร้อยละ ๖.๓ (ไม่รวมภาษีท้องถิ่น) หรือร้อยละ ๗
(รวมภาษีท้องถิ่น) สำหรับการขายสินค้า การให้บริการ หรือการนำเข้าทุกกรณี
ซึ่งความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๖
ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก
รวมทั้งจัดทำประมาณการรายได้เพื่อกำหนดไว้ในแผนการคลังระยะปานกลางให้ถูกต้องครบถ้วน
และใช้เป็นกรอบในการวางแผนการดำเนินงานทางการเงินการคลังและงบประมาณของประเทศ
ตลอดจนติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์และรายงานผลการดำเนินงานตามมาตรการภาษีดังกล่าว
เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาดำเนินการตามนัยแห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๑ และควรให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้
ซึ่งรวมถึงการขยายฐานภาษีให้มีความครอบคลุมมากขึ้นควบคู่ไปกับการทยอยปรับเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ
เพื่อลดแรงกดดันต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและลดข้อจำกัดต่อการพัฒนาประเทศในระยะถัดไป
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
125 | สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ 3 ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 | นร.01 | 29/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชนในไตรมาสที่ ๓
ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ (เดือนเมษายน-มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑.
สรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็นจากประชาชน ในไตรมาสที่ ๓
ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๖ พร้อมผลการวิเคราะห์เรื่องร้องทุกข์และรับข้อคิดเห็น
รวมทั้งปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์ ผ่านช่องทางการร้องทุกข์
๑๑๑๑ รวมทั้งสิ้น ๑๓,๘๗๗ เรื่อง สามารถดำเนินการจนได้ข้อยุติ ๑๑,๗๕๗
เรื่อง โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้รับการประสานเรื่องร้องทุกข์ฯ มากที่สุด (๑,๒๓๒ เรื่อง) สำหรับเรื่องร้องทุกข์ที่ประชาชนยื่นเรื่องมากที่สุด คือ
เสียงรบกวน/สั่นสะเทือน (๑,๓๔๘ เรื่อง) และข้อจำกัดปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินการเรื่องร้องทุกข์
เช่น (๑) สถิติการใช้บริการช่องทางรับเรื่องร้องทุกข์มีจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๕ และ (๒) ปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญยังเป็นปัญหาที่ประชาชนร้องเรียนเป็นจำนวนมาก
ประกอบกับปัจจุบันประชาชนมีช่องทางในการเข้าถึงการร้องเรียน ร้องทุกข์ได้ง่าย
ส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวมีจำนวนมากในทุกไตรมาส ๒.
ข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาปรับปรุงการให้บริการ/การปฏิบัติงาน เช่น (๑) ควรให้หน่วยงานส่วนกลาง
ส่วนภูมิภาค และระดับท้องถิ่นที่มีระบบสารสนเทศเรื่องร้องทุกข์
และมีความพร้อมกำหนดแนวทางเข้าร่วมร้องทุกข์กับสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
เพื่อการแบ่งปันข้อมูลและเชื่อมโยงการทำงานและเพื่อขับเคลื่อนการบริการประชาชนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
และ (๒) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหตุเดือดร้อนรำคาญเคร่งครัดในการตรวจสอบ
ปรับปรุงแนวทางการปฏิบัติงานเพื่อลดการเกิดเหตุในพื้นที่
และควรประชาสัมพันธ์ให้สถานประกอบการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||
126 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน ครั้งที่ 10 และร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน ครั้งที่ 1 | กค. | 23/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียน
ครั้งที่ ๑๐ (Joint Statement of the 10th ASEAN
Finance Ministers’ and Central Bank Governors’ Meeting) และร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขอาเซียน
ครั้งที่ ๑ (Joint Statement of the 1st ASEAN Finance and
Health Ministers’ Meeting) เป็นเอกสารผลลัพธ์ของการประชุมที่จะมีการรับรองในการประชุมดังกล่าว
ระหว่างวันที่ ๒๒-๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๖ ณ กรุงจาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังร่วมรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ
ทั้ง ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางอาเซียนในการดำเนินการประเด็นสำคัญด้านเศรษฐกิจ
ใน ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ ความร่วมมือระหว่างภาคสาธารณสุขและภาคการคลัง
ความมั่นคงทางอาหาร และการใช้สกุลเงินท้องถิ่นเพื่อการทำธุรกรรม และเป็นการแสดงความตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างหน่วยงานด้านการคลังและสาธารณสุขเพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถด้านสาธารณสุขและเงินทุนในภูมิภาคอาเซียนเพื่อป้องกันและเตรียมความพร้อมในการรับมือกับโรคระบาด
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ทั้ง ๒ ฉบับ
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒.
ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔
พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||
127 | สรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบสรุปผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยมีผลการดำเนินการได้แก่
(๑) ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน (๒) ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ
และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน และ (๓) ข้อเสนอด้านการติดตาม
ประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่ของหน่วยงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
128 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 08/08/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
โดยได้สรุปผลการพิจารณาได้ว่า การกำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐสามารถช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้ผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นได้
โดยไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นคุณหรือโทษแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งนั้น
จำเป็นต้องมีหลักประกันที่ชัดเจนว่าบุคคลดังกล่าวซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหากเข้าไปมีส่วนร่วมและรณรงค์ในการช่วยเหลือผู้สมัครหาเสียงเลือกตั้งต้องมีความโปร่งใสในบทบาทหน้าที่ของตนเอง
และการใช้ทรัพยากรในการหาเสียงเลือกกตั้งกล่าวคือ
ต้องไม่ใช้อำนาจในความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือการใช้ทรัพยากรของรัฐอันอาจเป็นการเอื้อประโยชน์
การแทรกแซงความเป็นอิสระของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม (genuine election)
และมีความเห็นสอดคล้องกับหลักการที่ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการช่วยผู้สมัครรับเลือกตั้งหาเสียงในทางที่เป็นคุณหรือเป็นโทษในส่วนของมาตรา
๑๑๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยบัญญัติว่า
“สมาชิกวุฒิสภาต้องไม่ฝักใฝ่หรือยอมตนอยู่ใต้อาณัติของพรรคการเมืองใด ๆ”
การให้สมาชิกวุฒิสภาสามารถช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้งท้องถิ่น
ซึ่งอาจสังกัดพรรคการเมืองหรือมีพรรคการเมืองให้การสนับสนุนอาจสุ่มเสี่ยงที่จะเข้าข่ายฝักใฝ่พรรคการเมือง
ดังนั้น จึงไม่ควรให้สมาชิกวุฒิสภามีบทบาทในการช่วยเหลือผู้สมัครรับเลือกตั้ง
ซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาท้องถิ่น
ผู้บริหารท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ซึ่งอาจช่วยผู้สมัครในการหาเสียงเลือกตั้งได้
ตามมาตรา ๓๔
ต้องพึงระมัดระวังในการช่วยหาเสียงเลือกตั้งให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้ง ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
129 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง
การจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ของคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริต ประพฤติมิชอบและเสริมสร้างธรรมาภิบาล
วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงการคลังได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว สรุปผลได้
ดังนี้ แนวทางการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ภายใต้ “๑ โครงการ ๑ QR Code” เพื่อเปิดโอกาสและสร้างแรงจูงใจให้เครือข่ายภาคประชาสังคมหรือประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมเฝ้าระวัง
สอดส่อง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในพื้นที่ของตนนั้น
ปัจจุบันกรมบัญชีกลางมีระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Government
Procurement : e-GP) อยู่แล้ว
โดยจะมีการพัฒนาต่อยอดโดยการบูรณาการข้อมูลร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำ QR
Code เปิดเผยข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้าง
ข้อมูลโครงการความโปร่งใสในการก่อสร้างภาครัฐ (CoST) ข้อตกลงคุณธรรม
(Integrity Pact) และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เช่น
วงเงินงบประมาณ ราคากลาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐดาวน์โหลด QR Code นำไปใส่ไว้ในป้ายโครงการก่อสร้าง และผู้สนใจทั่วไปสามารถสแกน QR
Code เพื่อดูรายละเอียดโครงการได้
และกรมบัญชีกลางจะพัฒนาเว็บเพจรวบรวมช่องทางในการรับเรื่องร้องเรียนและแจ้งเบาะแสการทุจริตและประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และจะมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมีความมั่นใจ รวมทั้งจะพัฒนาช่องทางการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
กรมบัญชีกลางและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการปรับปรุงระบบ e-GP เพื่อรองรับแนวทางในการจัดทำระบบการมีส่วนร่วมของประชาชนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
โดยสามารถแบ่งระยะเวลาการดำเนินการได้เป็น ๒ ระยะ
ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการจัดหาผู้พัฒนาระบบงาน (ระยะที่ ๒
ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖) อย่างไรก็ตาม
กรมบัญชีกลางได้ประสานกับกรมโยธาธิการและผังเมืองและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นในเรื่องการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างว่าต้องจัดทำ
QR Code ไว้ที่ป้ายโครงการแล้ว
และได้รับแจ้งว่าการกำหนดแนวทางการปฏิบัติในการติดตั้งแผ่นป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้างของทางราชการในปัจจุบันเป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี
(๒๒ มกราคม ๒๕๕๑) ดังนั้น หากต้องการให้กำหนดแนวทางปฏิบัติในการนำ QR Code ไปแสดงในป้ายแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับงานก่อสร้าง จึงเห็นควรให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอคณะรัฐมนตรีให้มีมติกำหนดแนวทางในเรื่องดังกล่าวต่อไป
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
130 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ของวุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
พ.ศ. .... ของวุฒิสภา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยมีระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยข้อบังคับการประชุมสภาท้องถิ่น (ฉบับที่ ๓) พ.ศ.
๒๕๖๕ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
และกำหนดระยะเวลาให้สภาท้องถิ่นพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่ประชาชนเสนอภายใน
๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับร่างข้อบัญญัติท้องถิ่น สำหรับหลักการห้ามมิให้สภาท้องถิ่นแก้ไขสาระสำคัญของร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชน
หรือหากต้องการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจะต้องกระทำโดยกระบวนการเข้าชื่อของประชาชนนั้น
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมิได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อห้ามการแก้ไขสาระสำคัญของข้อบัญญัติท้องถิ่นที่เสนอโดยประชาชนไว้
และพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๕
บัญญัติให้การพิจารณาร่างข้อบัญญัติฯ ต้องตั้งคณะกรรมการวิสามัญเพื่อพิจารณา
โดยให้สภาท้องถิ่นแต่งตั้งผู้แทนของผู้เข้าชื่อร่วมเป็นกรรมการวิสามัญด้วย
ประกอบกับการตราข้อบัญญัติท้องถิ่นกระทำโดยสภาท้องถิ่นซึ่งสมาชิกมาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน
ย่อมคำนึงถึงความต้องการของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดมาตรฐานไว้ นอกจากนี้ การเข้าชื่อเสนอร่างข้อบัญญัติเป็นไปเพื่อการแก้ไขและพัฒนาท้องถิ่น
การให้รางวัลในรูปแบบการเชิดชูเกียรติแก่บุคคล ย่อมเป็นการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการพัฒนาท้องถิ่น
ได้มีการจัดทำโครงการระบบฐานข้อมูล Smart
Law ซึ่งจะมีระบบสืบค้นกฎหมาย ระเบียบ ข้อหารือ
คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องผ่าน Web application และ Mobile
application และมีศูนย์รวมข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น (คลังข้อมูลข้อบัญญัติท้องถิ่น)
เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาชนสืบค้นตัวอย่างข้อบัญญัติท้องถิ่นได้
ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
131 | รายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา | สผ. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
พ.ศ. .... และของที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ
และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปผลการพิจารณาได้ ดังนี้ ๑. การกำหนดระดับของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่จะได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ยกร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่จะออกตามความในมาตรา
๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕
เพื่อกำหนดตำแหน่งและคุณสมบัติของผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
เพื่อให้รัฐมนตรีผู้รักษาการตามกฎหมายที่บัญญัติความผิดทางพินัยใช้เป็นแนวทางในการกำหนดเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย
(ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๖) สำหรับการจัดทำคู่มือให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใช้ในการดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้นั้น
ปัจจุบันได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการตามมาตรา ๓๘
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่
๓๑๘/๒๕๖๕ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ลงวันที่ ๙ ธันวาคม
๒๕๖๕ แล้ว ซึ่งคณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้รับผิดชอบการจัดทำแนวทางหรือคู่มือการปฏิบัติงานเพื่อเผยแพร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานอื่นของรัฐต่อไป ๒.
การเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ระบุเลขมาตราที่จะต้องมีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยไว้ด้วย
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะจัดทำบัญชีรายชื่อกฎหมายตามบัญชี ๑
ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
พร้อมทั้งระบุมาตราที่จะมีการเปลี่ยนโทษอาญาเป็นการปรับเป็นพินัยเผยแพร่ในระบบเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาให้แล้วเสร็จก่อนวันที่พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
มีผลใช้บังคับ (วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖)
ตลอดจนได้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ในรูปแบบอินโฟกราฟิกเพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัยฯ
ให้แก่หน่วยงานของรัฐและประชาชนทั่วไปผ่านทางช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ เพจ facebook ไลน์
ตลอดจนส่งไปยังอีเมลของหน่วยงานต่าง ๆ
เพื่อให้ช่วยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ต่อไปในวงกว้างสำหรับการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องนั้น ๓.
การปรับปรุงบทบัญญัติที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและมีโทษจำคุกและปรับที่สามารถเปรียบเทียบได้ให้เป็นความผิดทางพินัย
ให้หน่วยงานของรัฐผู้รับผิดชอบดำเนินการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมายตามรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
พ.ศ. ๒๕๖๒ เพื่อปรับปรุงลักษณะของความผิดและอัตราโทษให้เหมาะสมต่อไป ๔.
การปฏิรูประบบการกำหนดโทษในระบบกฎหมายไทย
การศึกษาระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีและผู้ด้อยฐานะ
เห็นว่าการนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day fine) ในต่างประเทศจะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายอาญา
เนื่องจากมีต้นทุนในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ของประชาชน
ประกอบกับประเทศไทยยังไม่มีระบบการจัดเก็บรายได้ของประชาชน
และหานำระบบดังกล่าวมาใช้จะต้องเปลี่ยนระบบในการกำหนดโทษปรับทางอาญาใหม่
จากการกำหนดจำนวนค่าปรับ เป็นการกำหนดเป็นวันปรับ และระบบกฎหมายอาญาของไทยในปัจจุบันเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย
เนื่องจากเป็นระบบที่ให้ดุลพินิจแก่ศาลในการพิจารณาสถานะทางเศรษฐกิจของแต่ละบุคคลประกอบการกำหนดโทษได้อยู่แล้ว
จึงยังไม่เห็นความจำเป็นต้องนำระบบการลงโทษปรับตามสถานะทางเศรษฐกิจ (day
fine) มาใช้ในประเทศไทย
|
||||||||||||||||||||||||||||||
132 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบูรณาการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา | สว. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา
เรื่อง การบูรณการความรู้ สู่หลักสูตรนวัตวิถีเกษตรเชิงธุรกิจ
ของคณะกรรมาธิการการศึกษา วุฒิสภา ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว
โดยเห็นชอบกับข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการฯ
และมีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ดังนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาได้ดำเนินการพัฒนาหลักสูตรใหม่เพื่อกระจายอำนาจให้สถานศึกษาเพื่อพัฒนาหลักสูตรการศึกษาและเป็นไปตามความต้องการของท้องถิ่น
เพื่อให้เกิดการสร้างงานและอาชีพใหม่ ๆ
โดยการวิเคราะห์อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
การจัดการทางธุรกิจที่จะนำมาใช้ในการประกอบอาชีพ
และได้มีการอนุมัติหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) พุทธศักราช ๒๕๖๓
(เพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๖๕) ประเภทวิชาเกษตรกรรม สาขาวิชาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตร
ซึ่งมีการออกแบบหลักสูตรที่เน้นจากการเป็นผู้ใช้สู่การเป็นนวัตกร
ด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนา เพื่อเป็นผู้ผลิต ผู้ให้บริการเชิงธุรกิจ
รวมทั้งได้ปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร เช่น สาขาวิชาอุตสาหกรรมเกษตร
สาขาวิชาช่างกลเกษตร สาขาวิชาพืชศาสตร์ สาขาวิชาสัตวศาสตร์
และสาขาวิชาเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
ซึ่งเป็นหลักสูตรภายใต้โครงการพัฒนาศูนย์ความเป็นเลิศทางการอาชีวศึกษา (Excellent Center) โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นหลักสูตรฐานสมรรถนะที่เชื่อมโยงสอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพตามกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ
(NQF) และกรอบคุณวุฒิอ้างอิงอาเซียน (AQRF) ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการ ทั้งนี้
หลักสูตรต้องมีความยืดหยุ่นสามารถปรับให้เท่าทันต่อสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจต่อสถานการณ์ที่จะส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจการค้า
และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับการประกอบกิจการของตน
ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
133 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์
พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการคุ้มครองพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดปัตตานี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ เนื้อที่ประมาณ
๑๙,๙๓๗
ไร่ ซึ่งประกอบด้วย ทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญและมีค่า เช่น พันธุ์ไม้ ของป่า และสัตว์ป่านานาชนิด
ตลอดจนทิวทัศน์ที่สวยงามยิ่ง เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์
และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลนให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์
ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา
แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
134 | ข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน | ปช. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะการควบคุมการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานที่กระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
โดยจากการศึกษาพบว่า
ปัญหาการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะให้มีการปรับปรุงการปฏิบัติราชการเพื่อป้องกันและปราบปรามการทุจริตจากการใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานของรัฐ
เช่น (๑) ควรให้สำนักงาน ก.พ.ร.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อสนับสนุนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติ
อนุญาต นำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้ในการให้บริการประชาชน และ (๒)
ควรให้หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทุกหน่วยงานกำหนดแนวทางและจัดทำคู่มือในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการอนุมัติ
อนุญาต เพื่อมีมาตรฐานในการใช้ดุลพินิจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งสำนักงาน
ก.พ.ร. ได้พิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว มีความเห็นในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ
ป.ป.ช. ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และแจ้งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
135 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... | ทส. | 25/07/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในจังหวัดเพชรบุรี
เป็นพื้นที่ป่าชายเลนอนุรักษ์ รวมทั้งกำหนดมาตรการคุ้มครอง
เพื่อประโยชน์ในการสงวน การอนุรักษ์ และการฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน
ให้คงสภาพธรรมชาติและมีสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศที่มีความสมบูรณ์ เนื้อที่ประมาณ ๙,๕๓๔ ไร่ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||
136 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | ปช. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท.
โดยจากการศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเงินอุดหนุนที่รัฐจัดสรรให้แก่ อปท.
เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมทางการคลัง พบว่า การจัดสรรเงินอุดหนุนฯ
มีปัญหาอันอาจนำไปสู่การทุจริตหลายประการทั้งโครงสร้างรายได้ การจัดสรร การบริหาร
การกำกับดูแล การตรวจสอบ และติดตามประเมินผล ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.
เห็นควรมีข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนของ อปท.
กรณีเงินอุดหนุนที่รัฐอุดหนุนให้แก่ อปท. เช่น (๑)
ข้อเสนอด้านการจัดทำคำขอและการจัดสรรงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรมีนโยบายและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจน
ทั้งวิธีการและระยะเวลาในการส่งเสริมและพัฒนารายได้ให้กับ อปท.
และควรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และตัวชี้วัดอย่างชัดเจนในการจัดสรรเงินอุดหนุนเฉพาะกิจให้แก่
อปท. เพื่อลดอำนาจการใช้ดุลยพินิจในการจัดสรรโดยมิชอบ (๒)
ข้อเสนอด้านการนำเงินอุดหนุนไปจัดทำข้อบัญญัติ/เทศบัญญัติ
และการบริหารจัดการงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรกำหนดให้ประชาชนสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารงานของ อปท. อย่างเป็นรูปธรรมและเข้มข้นในทุกกระบวนการ
และควรส่งเสริมและพัฒนาระบบการตรวจสอบภายในของ อปท. ทั้งในด้านประสิทธิภาพ
ความมีอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ และความก้าวหน้า และ (๓)
ข้อเสนอด้านการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน
ควรดำเนินการให้มีการจัดทำระบบฐานข้อมูลกลางขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อใช้ในการบริหารจัดการ
วิเคราะห์ ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่ อปท.
และควรสนับสนุนให้ อปท. ทุกแห่ง
ใช้ระบบการจ่ายเงินโดยให้จ่ายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Paymemt) ตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. เสนอ
๒. ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งรัดดำเนินการศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อเสนอแนะดังกล่าวร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
และคณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรายงานผลการพิจารณาดำเนินการให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||
137 | ข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรณีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นอุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น | ปช. | 20/06/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
รับทราบข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับเงินอุดหนุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
(อปท.) กรณีที่ อปท. อุดหนุนไปยังหน่วยงานอื่น
โดยจากการศึกษาข้อมูลและข้อเท็จจริง
พบปัญหาการทุจริตเกี่ยวกับงบประมาณเงินอุดหนุนของ อปท.
ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินการของ ปอท. ในการจัดทำบริการสาธารณะ
ทั้งในด้านกฎระเบียบข้อบังคับทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วิธีการและแนวทางปฏิบัติของผู้ปฏิบัติงานและสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการรั่วไหลของงบประมาณเงินอุดหนุนที่เกิดจากการกระทำทุจริต
ดังนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นควรมีข้อเสนอแนะฯ เช่น (๑) ควรแจ้งและกำกับให้ อปท. กำหนดมาตรการควบคุมภายในเพื่อตรวจสอบขั้นตอนที่มีความเสี่ยงต่อการใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุน
(๒) กระทรวงมหาดไทยควรกำหนดระเบียบห้าม อปท.
ตั้งงบประมาณเพื่ออุดหนุนให้แก่หน่วยงานที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ หลักเกณฑ์
หรือวัตถุประสงค์ของโครงการที่ขอรับเงินอุดหนุนในปีงบประมาณถัดไป (๓)
สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ควรให้ความสำคัญในการกำกับติดตาม ตรวจสอบ
การใช้จ่ายงบประมาณเงินอุดหนุนให้เป็นไปตามระเบียบและวัตถุประสงค์ของโครงการ และ
(๔) กระทรวงมหาดไทย ควรแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยเงินอุดหนุนของ อปท. พ.ศ.
๒๕๕๙ และที่แก้ไขเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น ห้าม อปท.
ตั้งบประมาณเงินอุดหนุนให้ที่ทำการปกครองอำเภอ และสำนักงานจังหวัด และห้าม อปท.
ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่ออุดหนุนตามโครงการขยายเขตไฟฟ้าและประปา เพื่อจำหน่าย ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบกรามการทุจริตเสนอ ๒.
รับทราบสรุปผลการพิตจารณาในภาพรวมต่อข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
ตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงาน
และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||
138 | รายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน. | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
โดยมีสาระสำคัญ แบ่งเป็น (๑) ผลการดำเนินงานกำกับการประกอบกิจการพลังงาน ประจำปี
พ.ศ. ๒๕๖๖ เช่น
ส่งเสริมให้บริการด้านพลังงานอย่างเพียงพอปกป้องผลประโยชน์ของผู้ใช้พลังงานทั้งด้านอัตราค่าบริการและคุณภาพการให้บริการ
และส่งเสริมการแข่งขันในกิจการพลังงาน (๒) ผลการดำเนินงานกองทุนพัฒนาไฟฟ้า
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เช่น ชดเชยเงินอุดหนุนค่าไฟฟ้า จัดสรรงบประมาณ
เพื่อพัฒนาท้องถิ่นรอบโรงไฟฟ้า และส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน (๓) งบการเงินของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๔ ประกอบด้วย งบแสดงฐานะการเงิน
งบแสดงผลการดำเนินงานทางการเงิน และ (๔) แผนการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕
สำหรับสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
มีแผนมุ่งเน้นการสร้างความมั่นคงทางพลังงานแบบยั่งยืน และสำหรับกองทุนพัฒนาไฟฟ้ามีแผนมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการกองทุนฯ
และปรับปรุงกระบวนการดำเนินงานกองทุนฯ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||
139 | ขอความเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี 2566 และเอกสารที่เกี่ยวข้อง | พณ. | 16/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๕-๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๖ ณ เมือดีทรอยด์ รัฐมิชิแกน
สหรัฐอเมริกา และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
หรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญเกี่ยวกับการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ปุตราจายาของเอเปค
ค.ศ. ๒๐๔๐ (เป็นการกำหนดความร่วมมือของเอเปคในอีก ๒๐ ปีข้างหน้า) และแผนปฏิบัติการเอาทีอารอ
ซึ่งมุ่งเน้นให้ผลักดันและขับเคลื่อนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกใน
๓ มิติ ได้แก่ การค้าและการลงทุน นวัตกรรมและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัล
และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง สมดุล มั่นคง ยั่งยืน และครอบคลุม
รวมทั้งสอดคล้องกับเป้าหมายกรุงเทพฯ ว่าด้วย BCG ซึ่งเป็นผลลัพธ์การประชุมเอเปคที่ไทยเป็นเจ้าภาพในปี
๒๕๖๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่าควรมีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสิ่งแวดล้อม
เช่น สร้างกลไกเชิงสถาบันของชุมชน
เพื่อให้เกิดความเข้มแข็งและให้ประชาชนในท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
และควรประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบและเร่งดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวของเอเปคตามความเหมาะสมสอดคล้องกับบริบทของประเทศ
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้
หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์รัฐมนตรีการค้าเอเปคประจำปี ๒๕๖๖
และเอกสารที่เกี่ยวข้อง
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||
140 | ร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการผลักดันการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคและการส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น | กค. | 09/05/2566 | |||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการผลักดันการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคและการส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น
และอนุมัติให้นายกรัฐมนตรีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายรับรองร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการผลักดันการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคและการส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น
โดยร่างปฏิญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการแสดงเจตนารมณ์ทางการเมืองระดับผู้นำทางอาเซียนในการส่งเสริมการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์และส่งเสริมความร่วมมือในการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคโดยใช้เทคโนโลยี
รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการสนับสนุนการจัดตั้งLocal Currency Transaction Task Force เพื่อสนับสนุนการใช้สกุลเงินท้องถิ่นในการทำธุรกรรม
ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาผู้นำอาเซียนว่าด้วยการผลักดันการเชื่อมโยงระบบการชำระเงินในภูมิภาคและการส่งเสริมธุรกรรมสกุลเงินท้องถิ่น
ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้
ให้กระทรวงการคลังดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง
พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|