ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 30 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 581 - 600 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
581 | สรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ | กษ. | 18/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (๑) การบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน
โดยกำหนดนโยบายการบริหารจัดการเพื่อให้ทรัพยากรประมงและสินค้าประมงตลอดสายการผลิตของประเทศมีความยั่งยืน
(๒) การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย การติดตาม
ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การบังคับใช้กฎหมาย การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การจัดระเบียบแรงงานประมง แนวทางและมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
(๓) การดำเนินการด้านการประมงต่างประเทศ
โดยการกำหนดนโยบายด้านการประมงระหว่างประเทศ (๔) การดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐและปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง
ๆ (๕) การขอรับการจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเสนอคณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินงานสำคัญ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
โดยมีสาระสำคัญดังนี้ (๑) การบริหารจัดการทรัพยากรประมงอย่างยั่งยืน
โดยกำหนดนโยบายการบริหารจัดการเพื่อให้ทรัพยากรประมงและสินค้าประมงตลอดสายการผลิตของประเทศมีความยั่งยืน
(๒) การแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย โดยการปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้อง
การบริหารจัดการประมงทะเลไทยและการจัดการกองเรือไทย การติดตาม
ควบคุมและเฝ้าระวังการทำประมง การบังคับใช้กฎหมาย การใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับ
การจัดระเบียบแรงงานประมง แนวทางและมาตรการในการพัฒนาการประมงของไทยให้ปลอดสัตว์น้ำและสินค้าสัตว์น้ำที่มาจากการทำประมงผิดกฎหมาย
(๓) การดำเนินการด้านการประมงต่างประเทศ
โดยการกำหนดนโยบายด้านการประมงระหว่างประเทศ (๔) การดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชาวประมงที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาครัฐและปัญหาที่เกิดขึ้นต่าง
ๆ (๕) การขอรับการจัดสรรงบกลางเพื่อดำเนินโครงการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย
ตามที่คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
582 | สรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก ครั้งที่ 1/2564 | คค. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔
ซี่งที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาประเด็นต่าง ๆ เช่น (๑) รายงานความคืบหน้าการดำเนินงานตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
(๒) การดำเนินโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ ๓ สายเหนือ และโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล
ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม) และ (๓) แนวทางการปฏิรูปเส้นทางระบบรถโดยสารประจำทางในเขตกรุงเทพมหานครและจังหวัดที่มีเส้นทางต่อเนื่อง
เป็นต้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
583 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 15/2564 | นร.11 | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑.
อนุมัติและรับทราบตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๕/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติให้นำวงเงินกู้เพื่อการตามมาตรา
๕ (๓) มาใช้เพื่อการตามมาตรา ๕ (๒) เพิ่มเติม (ครั้งที่ ๓) จำนวน ๘๕,๐๐๐ ล้านบาท
เพื่อรองรับการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ อนุมัติโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ
บริหารจัดการน้ำและเพิ่มพื้นที่ชลประทาน ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
โครงการพัฒนาการตลาดสินค้ากลุ่มผู้ทำการผลิตที่บ้านหลังการแพร่ระบาดของโควิค-๑๙
ของมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแรงงานและอาชีพ
และโครงการขององค์กรภาคประชาชนภายใต้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
จำนวน ๒ โครงการ อนุมัติการปรับปรุงรายละเอียดโครงการเราชนะ โครงการ ม๓๓ เรารักกัน
โครงการทัวร์เที่ยวไทย โครงการเราเที่ยวด้วยกัน
โครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคภาคตะวันตกด้วย BCG โมเดล
และโครงการศูนย์นวัตกรรมการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร
อนุมัติการยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยของจังหวัดศรีสะเกษ
และเห็นชอบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้การพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
รวมทั้งรับทราบการปรับลดกรอบวงเงินของโครงการกำลังใจ ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบแผนงานและโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข
รวมถึงการให้ความช่วยเหลือ เยียวยา
และชดเชยให้กับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโรดติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ เร่งจัดทำข้อเสนอโครงการเพื่อขอใช้จ่ายเงินกู้ตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ เพื่อให้สามารถรองรับการบริหารสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ระลอกในเดือนเมษายน ๒๕๖๔ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และให้กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการคลังจัดลำดับความสำคัญก่อนเสนอคณะกรรมการฯ
พิจารณากลั่นกรองก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
รับทราบการปรับกลไกและกระบวนการในการขับเคลื่อนภายใต้โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากให้สอดคล้องกับคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่
๙๙/๒๕๖๔
และการปรับคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่ และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
(ฉบับปรับปรุง) รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
584 | โครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปีการผลิต 2564 | กค. | 11/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ปีการผลิต ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นเพิ่มเติมบางประการของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และข้อสังเกตของสำนักงบประมาณ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ในการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในปีต่อ ๆ ไป ให้กระทรวงการคลังรับไปดำเนินการร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการเสนอโครงการฯ
ต่อคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และคณะรัฐมนตรีให้ทันก่อนเริ่มฤดูการเพาะปลูก
เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการฯ
อย่างทั่วถึงและได้รับการคุ้มครองตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นฤดูกาลเพาะปลูก |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
585 | รายงานประจำปี 2562 ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) | พณ. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานประจำปี
๒๕๖๒ ของสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน)
โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ เช่น (๑) การจัดฝึกอบรม ประชุม สัมมนา
ให้กับประชาชนและบุคลากรของภาครัฐและเอกชนทั้งในประเทศและต่างประเทศ (๒)
การดำเนินโครงการวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวกับการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ (๓)
การเผยแพร่ผลงานวิชาการผ่านช่องทางต่าง ๆ
และการขยายเครือข่ายการสร้างองค์ความรู้และการให้บริการวิชาการเพื่อการค้าและการพัฒนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ
และ (๔) การดำเนินงานของศูนย์ศึกษาวิเคราะห์แนวโน้มด้านการค้าและการพัฒนา
โดยมีการจัดประชุมกลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อรับฟังความคิดเห็น
เป็นต้น ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
586 | มาตรการช่วยเหลือและบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ระลอกใหม่ | กค. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑. เห็นชอบ อนุมัติ
และรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดำรงชีวิตให้แก่ประชาชนและบรรเทาความเดือดร้อนสำหรับผู้ได้รับผลกระทบจาก
COVID-19 โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม
๒๐,๐๐๐ ล้านบาท แห่งละ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ไม่เกินร้อยละ ๐.๓๕ ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน ๓ ปี (ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย
๖ งวดแรก) โดยรัฐบาลชดเชยความเสียหายที่เกิดจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-Performing Loans : NPLs)
ร้อยละ ๑๐๐ สำหรับ NPLs ที่ไม่เกินร้อยละ ๕๐
ของสินเชื่อที่อนุมัติ ๑.๒ อนุมัติงบประมาณวงเงินรวม ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท
จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อดำเนินมาตรการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 โดยมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๑.๓ รับทราบมาตรการการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ
(Specialized Financial Institutions : SFIs) และรับทราบรายงานมาตรการการคลัง มาตรการการเงิน และมาตรการอื่น ๆ
ที่ได้ดำเนินการเพื่อดูแลและเยียวยาผู้ได้รับผลกระบจาก COVID-19 ๒.
ให้กระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เช่น (๑)
ควรดำเนินการด้วยความรอบคอบ โปร่งใส
และระมัดระวังพิจารณาการดำเนินโครงการว่าอยู่ในขอบเขตที่รัฐสามารถรับภาระได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต
(๒)
ควรบริหารจัดการสินเชื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมทั้งเตรียมแนวทางสำหรับการบริหารจัดการสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่เกิดจากการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป เพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับภาระค่าใช้จ่ายภาครัฐในอนาคต
และ (๓) ควรให้ความสำคัญกับการเตรียมแนวทางการดำเนินมาตรการในระยะต่อไป เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดที่อาจมีความยืดเยื้อมากกว่าที่คาดการณ์ไว้
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
587 | มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในระลอกเดือนเมษายน 2564 | นร.11 | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
รับทราบตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอแก้ไขข้อความในหนังสือสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ด่วนที่สุด ที่ นร ๑๑๐๖/๒๗๑๓ ลงวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๔ หน้า ๘ ข้อ ๒.๒) จาก
ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ๒๕๖๔ และสามารถนำ e-Voucher ไปใช้จ่ายในเดือนสิงหาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้
คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ ประมาณ ๓๑ ล้านคน” เป็น
“...ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงธันวาคม ๒๕๖๔ ทั้งนี้ คาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมโครงการฯ
ประมาณ ๔ ล้านคน” ๒.
รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๒.๑
รับทราบการดำเนินมาตรการบรรเทาผลกระทบการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ที่ดำเนินการอยู่
โดยเห็นควรมอบหมายให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพิจารณาดำเนินการเลื่อนกรอบระยะเวลาการดำเนินโครงการเราเที่ยวด้วยกัน
ระยะที่ ๓ และโครงการทัวร์เที่ยวไทย
ออกไปจนกว่าสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน
๒๕๖๔ จะคลี่คลายลงตามขั้นตอนของระเบียบและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๒
เห็นชอบในหลักการของข้อเสนอมาตรการบรรเทาผลกระทบของประชาชนและผู้ประกอบการธุรกิจจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ ในระลอกเดือนเมษายน ๒๕๖๔ และเห็นควรมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒.๓ เห็นควรให้การไฟฟ้านครหลวง
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปานครหลวง และการประปาส่วนภูมิภาค
ดำเนินการตามมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน
(ไฟฟ้าและน้ำประปา)
โดยขอรับสนับสนุนแหล่งเงินเพื่อดำเนินตามมาตรการดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินรวมไม่เกิน
๑๐,๐๐๐ ล้านบาท ตามขั้นตอนของพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา
เยียวยา
และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา
๒๐๑๙ พ.ศ. ๒๕๖๓ ต่อไป ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
588 | โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 | ยธ. | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
อนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑
โครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ เพื่อสนับสนุนงบประมาณให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน จำนวน ๒๐
ล้านบาท ได้แก่ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา (๖.๐๒ ล้านบาท)
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (๘.๕๙ ล้านบาท) ราชอาณาจักรกัมพูชา (๒.๓๔ ล้านบาท)
และสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (๓.๐๕ ล้านบาท)
โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
งบเงินอุดหนุนของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
เพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติงานแก้ไขปัญหายาเสพติด จำนวน ๓ แผนงาน ได้แก่ (๑)
ปฏิบัติการสกัดกั้น ปราบปรามยาเสพติด สารตั้งต้น
และเคมีภัณฑ์ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง : การจัดหา อุปกรณ์
เครื่องมือและยานพาหนะในการปฏิบัติการ และการจัดตั้งด่านตรวจถาวรในพื้นที่เป้าหมายสำคัญ
(๒) การพัฒนาระบบการประสานงานร่วมกันผ่านศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย : ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัย
และ (๓) การเสริมสร้างประสิทธิผลของกลไกหมู่บ้าน/ชุมชนสีขาวปลอดภัยจากยาเสพติด : การสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชน ๑.๒
ให้เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดมีอำนาจอนุมัติโครงการ แผนงาน
และกิจกรรมภายใต้กรอบงบประมาณ งบเงินอุดหนุน
รายการโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และสามารถจ่ายเงินงบประมาณสนับสนุนหน่วยงานกลางด้านยาเสพติดของประเทศเพื่อนบ้านแต่ละประเทศ
เพื่อให้มีการดำเนินการให้บรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ตามที่ได้รับจัดสรร ๒.
ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด)
รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงสาธารณสุข สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น (๑) การดำเนินโครงการฯ
จำเป็นต้องมีความร่วมมืออย่างต่อเนื่องและจริงจังเพื่อให้สามารถทำลายแหล่งผลิตได้ทั้งระบบและไม่เกิดแหล่งผลิตใหม่ในระยะยาว
(๒)
การดำเนินการเสริมสร้างประสิทธิผลของกลไกหมู่บ้าน/ชุมชนสีขาวปลอดภัยจากยาเสพติดที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชนตามแนวชายแดน
โดยเฉพาะในสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและราชอาณาจักรกัมพูชา เห็นควรขยายพื้นที่ดำเนินการในเมียนมาและเวียดนาม
เพื่อให้การดำเนินงานมีความครอบคลุมมากขึ้น เกิดประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๓.
ให้กระทรวงยุติธรรม (สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด) กำกับ ติดตาม
และประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการเสริมสร้างและยกระดับความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในการยุติแหล่งผลิตยาเสพติดและทำลายเครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ อย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งกำหนดแนวทางในการดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในเชิงรุก
เพื่อให้สามารถลดปริมาณการผลิตยาเสพติดในพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำและการลักลอบนำยาเสพติดเข้ามาภายในประเทศได้มากยิ่งขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
589 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุม ครั้งที่ 13/2564 และครั้งที่ 14/2564 | นร.11 | 05/05/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบและอนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๖๔ และครั้งมที่ ๑๔/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการส่งเสริมอาชีพและการสร้างงาน
สร้างรายได้แก่ผู้พิการ ผู้ดูแลคนพิการหรือครอบครัว ทั้ง ๗ ประเภท
และมอบหมายให้กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโครงการ อนุมัติให้กรมการท่องเที่ยว
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดน่าน กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัย และนวัตกรรม ปรับปรุงรายละเอียดที่เป็นสาระสำคัญของโครงการ และอนุมัติให้จังหวัดภูเก็ตยกเลิกการดำเนินกิจกรรมที่
๓ การก่อสร้างแหล่งน้ำในไร่นาเกษตรแบบมีส่วนร่วม
ภายใต้โครงการส่งเสริมเพิ่มประสิทธิภาพการเกษตรผสมผสานโดยจัดระบบอนุรักษ์ดินและน้ำตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
และให้จังหวัดยโสธรยกเลิกการดำเนินโครงการย่อยที่ ๓ ปลูกพืชหลังนา ภายใต้
โครงการส่งเสริมกลุ่มเกษตรกรในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและพัฒนาตลาดสินค้าเกษตร
และยุติการดำเนินโครงการการจัดการอาหารสัตว์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเลี้ยงโคเนื้อ
รวมทั้งรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานของโครงการภายใต้แผนงานสร้างความเข้มแข็งแก่เศรษฐกิจฐานราก
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
การให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์
และการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ กฎหมาย
ข้อบังคับ และระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
590 | ขอเพิ่มครัวเรือนเป้าหมายเกษตรกรโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี 2563 | กษ. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย
ปี ๒๕๖๓ จาก ๒๐๒,๐๑๓ ครัวเรือน เป็น ๒๐๒,๑๗๓ ครัวเรือน
โดยเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๓ วงเงินงบประมาณ ๓,๔๔๐,๐๔๙,๗๓๕ บาท
รวมถึงค่าบริหารจัดการโครงการสำหรับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ครัวเรือนละ ๗ บาท โดยมอบหมายให้ ธ.ก.ส.
ดำเนินการโอนเงินให้เกษตรกรได้ตั้งแต่วันถัดจากวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบ
และเห็นชอบขยายระยะเวลาโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี ๒๕๖๓
จากเดิมสิ้นสุดวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๖๔ เป็นสิ้นสุดวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ
และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
(กรมส่งเสริมการเกษตร) ควรมีการกำกับและตรวจสอบการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อให้สามารถตรวจสอบคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการฯ
ได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งตรวจสอบเอกสารหลักฐานต่าง ๆ
เพื่อให้การช่วยเหลือเกษตรกรเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ๒.
ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับ ติดตามการดำเนินโครงการเยียวยาเกษตรกรชาวสวนลำไย ปี
๒๕๖๓ ที่ขอขยายจำนวนครัวเรือนเกษตรกรเป้าหมายเพิ่มขึ้นในครั้งนี้ ให้ถูกต้อง
โปร่งใส ตรวจสอบได้ และให้รายงานผลการดำเนินการไปยังนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
591 | การดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรของรัฐบาล | นร. | 20/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า
เพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรในโครงการต่าง ๆ ของรัฐบาลเป็นไปอย่างเหมาะสม
ถูกต้อง โปร่งใส บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด
โดยไม่เกิดปัญหาความล่าช้า ชะงักงัน หรือจำเป็นต้องพิจารณาทบทวนเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญของการดำเนินโครงการนั้น
ๆ ในภายหลัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและผลสัมฤทธิ์ของโครงการได้ ดังนั้น
คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้ทุกส่วนราชการที่รับผิดชอบการดำเนินโครงการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกร
เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม
พิจารณาจัดทำโครงการ กำหนดกลุ่มเป้าหมายและขั้นตอนการดำเนินงานให้ชัดเจน รัดกุม
ปฏิบัติได้จริงภายในระยะเวลาที่กำหนด
และตอบสนองต่อปัญหาและความเดือดร้อนของเกษตรกรอย่างแท้จริงและครบถ้วน โดยแนวทางการดำเนินการจะต้องเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) อย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
ส่วนราชการเจ้าของโครงการจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เป็นสาระสำคัญของโครงการให้ถูกต้องครบถ้วนและเป็นปัจจุบันก่อนนำเสนอโครงการตามขั้นตอนต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
592 | โครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี | อว. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
ภายในกรอบวงเงิน ๑๑,๖๒๙.๖๕ ล้านบาท เป็นเงินงบประมาณ จำนวน ๗,๗๖๔.๐๐ ล้านบาท
และเงินนอกงบประมาณ จำนวน ๓,๘๖๕.๖๕ ล้านบาท ระยะเวลา ๖ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๕-๒๕๗๐) โดยให้มหาวิทยาลัยมหิดลจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความพร้อมและความสามารถในการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับแผนการย้ายโรงงานพระราม
๖ ขององค์การเภสัชกรรม
เพื่อใช้พื้นที่ว่างดังกล่าวในการเตรียมการก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี
สำหรับชั้นความสูงของอาคารให้พิจารณาดำเนินการตามกฎหมายควบคุมอาคารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง
ครบถ้วน และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) ดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างอาคารให้ถูกต้องเป็นไปตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
เรื่อง กำหนดบริเวณห้ามก่อสร้าง ดัดแปลง ใช้หรือเปลี่ยนแปลงการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภท
ในท้องที่แขวงถนนนครไชยศรี แขวงวชิรพยาบาล แขวงดุสิต แขวงสวนจิตรลดา
แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต แขวงทุ่งพญาไท แขวงสามเสนใน เขตพญาไท แขวงวัดโสมนัส
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย และแขวงวัดสามพระยา แขวงบางขุนพรหม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
พ.ศ. ๒๕๒๖ และที่แก้ไขเพิ่มเติม กฎหมาย และระเบียบที่เกี่ยวข้องก่อนดำเนินการต่อไป ๒. ให้กระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยมหิดล) รับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ควร (๑) คำนึงถึงทางเลือกอื่นในการดำเนินโครงการฯ
โดยอาจพิจารณากำหนดแรงจูงใจให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม อาทิ
การให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพร่วมลงทุนในโครงการฯ
ในรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน (Public Proivate Partnership
: PPP) เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณของภาครัฐ
(๒) ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการโครงการฯ ให้เป็นไปตามระยะเวลาที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
โดยเฉพาะการบริหารจัดการในช่วงจัดซื้อจัดจ้างเพื่อให้การดำเนินโครงการฯ
แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดไว้
อีกทั้งเพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์จากการดำเนินโครงการฯ อย่างมากที่สุด และ (๓)
พิจารณาจัดทำแนวทางการเสริมสร้างเครือข่าย การบูรณาการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ระหว่างโครงการฯ
กับหน่วยงาน/สถาบันทางการแพทย์ภายในพื้นที่ย่านนวัตกรรมโยธีที่ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยส่งผลให้การผลักดันพื้นที่ดังกล่าวเป็นเขตนวัตกรรมด้านการแพทย์และสาธารณสุขเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม
ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงการอุดมศึกษา
วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (รวมถึงมหาวิทยาลัยในกำกับ) กระทรวงมหาดไทย
กระทรวงสาธารณสุข กรุงเทพมหานคร
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำหนดแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการยกเว้นหรือผ่อนผันการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคาร
ตามความในกฎกระทรวงว่าด้วยการยกเว้น ผ่อนผัน
หรือกำหนดเงื่อนไขในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมอาคารพ.ศ. ๒๕๕๐
ให้มีความชัดเจนและเหมาะสม
โดยเฉพาะในกรณีอาคารของหน่วยงานที่ไม่ใช่อาคารของกระทรวง ทบวง กรม ที่ใช้ในราชการ
หรือเพื่อสาธารณประโยชน์ เพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ถือปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใด ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย
ก็ให้หน่วยงานเจ้าของกฎหมายเร่งดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายในความรับผิดชอบให้แล้วเสร็จโดยเร็วด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
593 | ขออนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F | สกพอ. | 07/04/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. รับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(นายสุพัฒน์พงษ์ พันธ์มีเชาว์) ชี้แจงว่า
ผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับของโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอนั้น
เป็นผลการเจรจาระหว่างคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ กับกลุ่มเอกชนจนถึงที่สุดแล้ว โดยได้มีการเจรจากันมาอย่างต่อเนื่องรวม ๖
ครั้ง ในส่วนของค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท
ตามข้อเสนอนั้น เป็นผลจากการที่มูลค่าการลงทุนของการท่าเรือแห่งประเทศไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากมูลค่าการลงทุนที่กำหนดไว้ในรายงานการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯ
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๑ ดังนั้น ผลตอบแทนของภาครัฐตามข้อเท็จจริงจึงมิได้ลดลง นอกจากนี้
ในส่วนของผลประโยชน์ตอบแทนจากค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐ บาทต่อทีอียู นั้น
อยู่บนฐานการคำนวณโดยใช้ประมาณการปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือแหลมฉบังภายใต้กรณีผลกระทบของวิกฤตโควิด-19
ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเร็วขึ้นและมีปริมาณตู้สินค้าสูงกว่าที่ประมาณการไว้
การท่าเรือแห่งประเทศไทยก็จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนในส่วนนี้เพิ่มขึ้นตามข้อเท็จจริง ๒. อนุมัติผลประโยชน์ตอบแทนทางการเงินขั้นต่ำที่ภาครัฐจะได้รับจากโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง
ระยะที่ ๓ ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔ เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๖๔ [ค่าสัมปทานคงที่เท่ากับมูลค่าปัจจุบันสุทธิ
(NPV) ที่ ๒๙,๐๕๐ ล้านบาท และค่าสัมปทานผันแปรที่ ๑๐๐
บาทต่อทีอียู] ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
การท่าเรือแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า
การดำเนินโครงการฯ ต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ในภาพรวมของประเทศที่จะได้รับเป็นสำคัญ
โดยผลประโยชน์ตอบแทนที่รัฐพึงจะได้รับจากการดำเนินโครงการทั้งในระยะเริ่มต้นและต่อไปในอนาคต
ควรจะมีการกำหนดเงื่อนไขและเงื่อนเวลาที่เหมาะสม
รวมถึงความเป็นไปได้ในการพิจารณาทบทวนเกี่ยวกับมูลค่าการลงทุนที่เกิดขึ้นจริงของผู้ประกอบการ
และสัดส่วนของประโยชน์สูงสุดที่ภาครัฐจะได้รับอย่างเป็นธรรม เป็นต้น ไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ทั้งนี้
ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๓.
ในการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในอนาคต
โดยเฉพาะโครงการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน
ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณารายละเอียดของโครงการลงทุนอย่างรอบคอบในทุกขั้นตอน
และสอดคล้องกับรายการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ
รวมทั้งคำนึงถึงการแบ่งปันผลประโยชน์กับทุกฝ่ายอย่างเป็นธรรมและการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามขั้นตอนต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
594 | โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2564 | กค. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการการดำเนินโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต ๒๕๖๔
ภายใต้วงเงินงบประมาณ จำนวน ๒,๘๗๓.๐๑๐ ล้านบาท พื้นที่รับประกันภัย จำนวน ๔๖
ล้านไร่ [รวมการปรับประกันภัยพื้นฐาน (Tier 1) และการรับประกันภัยภาคสมัครใจ
(Tier 2)] โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลและเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราต้นทุนเงินในอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ
๑๒ เดือน ธ.ก.ส. บวก ๑ (เท่ากับร้อยละ ๒.๒ จำนวน ๖๓.๒๐๖ ล้านบาท)
ในปีงบประมาณถัดไปให้กับ ธ.ก.ส. ซึ่งคิดเป็นภาระงบประมาณรวมทั้งสิ้น ๒,๙๓๖.๒๑๖
ล้านบาท สำหรับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นและเป็นภาระต่องบประมาณ ให้ ธ.ก.ส.
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามผลการดำเนินงานจริงต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒.
ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ ธ.ก.ส.
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและข้อสังเกตของสำนักงบประมาณที่เห็นควรประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรเห็นถึงความสำคัญในการสร้างหลักประกันหากเกิดความเสียหายจากภัยธรรมชาติ
เพื่อให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในระบบประกันภัยพืชผล
และพร้อมที่จะจ่ายค่าเบี้ยประกันด้วยความสมัครใจ
รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการปรับลดสัดส่วนการอุดหนุนของภาครัฐในการจ่ายเบี้ยประกันภัย
ควรนำผลการติดตามและประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการ
การศึกษาต้นทุนการประกันภัยที่สะท้อนความเสี่ยงจริง และการพิจารณาทำข้อมูลความเสี่ยงภาคเกษตร
อาทิ ข้อมูลสภาพอากาศ ข้อมูลความเสี่ยงการเกิดภัยแล้งและน้ำท่วม
ในการใช้ประกอบการคิดอัตราดอกเบี้ยประกันภัย เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรี
ควรนำข้อมูลการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรกรรม (Zoning by Agri-Map) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นเครื่องมือในการพิจารณาความเหมาะสมของการใช้พื้นที่เพาะปลูกข้าว
และควรจัดทำแผนการใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
ในภาพรวมเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อใช้สำหรับวางแผนและบริหารจัดการตามศักยภาพและความสามารถของรัฐที่จะต้องรับภาระงบประมาณทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
595 | ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดสรรเงินอุดหนุนโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า | ทส. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ๑.
เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘
กรกฎาคม ๒๕๒๑ (เรื่อง การดำเนินการโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการตามโครงการ) ในส่วนข้อที่ ๑ ที่กำหนดให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินกำไรปีละ
๒๐ ล้านบาท ทุกปี นับตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นต้นไป เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๘ กรกฎาคม ๒๕๒๑ โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ้ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๓๔ จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ่าย จำนวน ๑๕ ล้านบาท ๑.๒ ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๔
เมษายน ๒๕๒๕ (เรื่อง การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) ในส่วนข้อที่ ๓
ให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จัดสรรเงินรายได้โดยไม่ต้องนำส่งคลัง จำนวน ๒๐
ล้านบาทต่อปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๒๕ เป็นต้นไป เนื่องจากเป็นนโยบายพิเศษเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่าไม้แก่กรมป่าไม้
และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ (เรื่อง
การป้องกันแก้ไขการบุกรุกทำลายป่าไม้ของชาติ) และเห็นชอบให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๔ เมษายน ๒๕๒๕ และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
โดยไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายค้างจ่ายที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๔
จนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ รวมถึงค่าใช้จ่ายค้างจ้าย จำนวน ๑๗.๙๔๒ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการประเมินความจำเป็นในการดำเนินโครงการพัฒนาไม้ผลและไม้ยืนต้น
และโครงการศูนย์เฉพาะกิจป้องกันปราบปรามการบุกรุกทำลายป่า ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
596 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ 1/2564 เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน) | สกพอ. | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ครั้งที่ ๑/๒๕๖๔
เรื่อง โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (งานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดิน)
ซึ่งมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยที่ประชุมฯ มีมติอนุมัติให้ขยายกรอบวงเงินสำหรับงานจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑)
เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น ๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท
เพื่อให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกำหนดราคาเบื้องต้นและจำนวนเงินทดแทนค่าอสังหาริมทรัพย์
และเพื่อให้ครอบคลุมค่างานจัดกรรมสิทธิ์ฯ สำหรับช่วงดอนเมือง-พญาไท
ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติไว้ข้างต้น โดยที่ประชุมฯ อนุมัติให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขอรับจัดสรรงบประมาณส่วนที่เพิ่มขึ้น
๒,๑๗๐.๑๕ ล้านบาท แบ่งเป็น งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง
รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน ๖๐๗,๕๖ ล้านบาท
และงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๕ จำนวน ๑,๕๖๒.๕๙ ล้านบาท
ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ ๒.
เห็นชอบการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๖๑ (เรื่อง
ขออนุมัติโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม ๓ สนามบิน และการกำหนด
“พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” เพิ่มเติม) โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทยขยายกรอบวงเงินค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและค่าสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
จากเดิม ๓,๕๗๐.๒๙ ล้านบาท เป็นจำนวนไม่เกิน ๕,๗๔๐.๔๔ ล้านบาท ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเสนอ
ทั้งนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก การรถไฟแห่งประเทศไทย
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นว่า ในส่วนของงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทยมีแผนจะใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ
พ.ศ. ๒๕๖๔ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น นั้น ขอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
ในฐานะหน่วยงานเจ้าภาพแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตรวจสอบผลการใช้จ่ายงบประมาณ
ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔ ของหน่วยรับงบประมาณในแผนงานบูรณาการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกที่สามารถชะลอได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
หรือคาดว่าไม่สามารถก่อหนี้ได้ภายในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๔
และรายการที่ดำเนินการแล้วมีงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินการ
เพื่อโอนงบประมาณรายจ่ายบูรณาการนำมาเป็นค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินสำหรับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบินเป็นลำดับแรก
สำหรับในส่วนที่เหลือขอให้การรถไฟแห่งประเทศไทยจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
เพื่อขอจัดสรรงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ๓. ให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและการรถไฟแห่งประเทศไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เช่น
ควรเร่งพิจารณาตรวจสอบรายละเอียดการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินและสำรวจอสังหาริมทรัพย์ของโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน
(งานจัดกรรมสิทธิ์) ที่อยู่ภายใต้โครงการแอร์พอร์ต เรล ลิงก์
ส่วนต่อขยายช่วงพญาไท-ดอนเมือง และโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ช่วงบางซื่อ-พญาไท-มักกะสัน-หัวหมาก ให้ชัดเจน
ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และควรให้การรถไฟแห่งประเทศไทยเร่งดำเนินโครงการระบบรถไฟชานเมืองสายสีแดง
ส่วนต่อขยายที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วโดยเร็ว
เพื่อให้วงเงินลงทุนโครงการอยู่ภายใต้กรอบที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ ซี่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างคุ้มค่า
รวมทั้งช่วยเพิ่มทางเลือกในการเดินทางของประชาชนจากพื้นที่บริเวณรอบนอกกรุงเทพมหานครเข้าสู่บริเวณกรุงเทพมหานครชั้นในมีความสะดวกยิ่งขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
597 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ 10/2564 | นร.11 | 30/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
อนุมัติตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้
ตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ในคราวประชุมครั้งที่ ๑๐/๒๕๖๔
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๔ ซึ่งได้พิจารณาอนุมัติโครงการค่าบริการสาธารณสุขภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
และโครงการค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย
สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน
และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน และมอบหมายให้หน่วยงานรับผิดชอบโครงการฯ
ดำเนินการ
พร้อมทั้งอนุมัติให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพปรับปรุงรายละเอียดโครงการค่าตอบแทน
เยียวยา ชดเชยและเสี่ยงภัย สำหรับการปฏิบัติงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน
ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ ในชุมชน (ระยะที่ ๒)
และกรมการพัฒนาชุมชน ปรับปรุงรายละเอียดโครงการโอทอปไทย สู้ภัยโควิด-๑๙
อนุมัติให้จังหวัดอุดรธานียุติการดำเนินโครงการอบรมนวดไทยเพื่อสุขภาพ ๑๕๐ ชั่วโมง
เพื่อฟื้นฟูภายหลังการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ (COVID-19) เห็นชอบคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
รวมทั้งรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริต
กรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙
ตามที่เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้เสนอ
และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ
และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
หน่วยงานเจ้าของโครงการควรเตรียมความพร้อมให้ทันต่อสถานการณ์ และปฏิบัติตามกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
ให้ถูกต้องครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ในทุกขั้นตอน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระยะเวลาดำเนินการ
และความเหมาะสมของค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในทุกมิติ ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
อัตราค่าใช้จ่าย และมาตรฐานของทางราชการอย่างประหยัด
ตลอดจนเร่งรัดการใช้จ่ายให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่าย
ตลอดจนให้ความสำคัญกับระบบการติดตามและประเมินผลให้ทันต่อสถานการณ์ เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒.
รับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อเสนอแนะเพื่อป้องกันการทุจริตกรณีศึกษาการใช้จ่ายงบประมาณตามพระราชกำหนดการเงิน
เพื่อแก้ไขปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา ๒๐๑๙ และคู่มือการเสนอโครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก
ภายใต้กลุ่มแผนงาน/โครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่นและชุมชนบนพื้นฐานของโอกาสและศักยภาพของท้องถิ่น
: ระดับพื้นที่
และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดไว้ในคู่มือดังกล่าว
รวมถึงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องของทางราชการอย่างเคร่งครัด ๓.
ให้เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ประธานกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี)
ในการเสนอเรื่องนี้ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
598 | ขออนุมัติขยายระยะเวลาโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ | อก. | 23/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ
โดยทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๙ เป็นดังนี้
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ ในส่วนของการทดสอบเพื่อรองรับรายการมาตรฐานที่จะบังคับหรือที่ต้องดำเนินการตามพันธกรณีข้อตกลงอาเซียน
จำนวน ๒๑ รายการ โดยใช้รูปแบบเดียวกันกับการจัดหาเครื่องมือทดสอบสำหรับมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมบังคับ
คือ ให้เป็นการลงทุนของภาครัฐเฉพาะในส่วนนี้ โดยมีวงเงินงบประมาณรวม ๓,๗๐๕.๗
ล้านบาท ทั้งนี้ ให้ดำเนินการจนแล้วเสร็จในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๙-๒๕๖๗ ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ๒.
ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
สำนักงบประมาณ และสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรเร่งรัดจัดทำข้อเสนอเพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณภายใต้กรอบวงเงินโครงการฯ
เพื่อดำเนินการก่อสร้างสนามทดสอบสมรรถนะและความเร็ว
และจัดหาชุดเครื่องมือทดสอบให้เป็นไปตามแผนและระยะเวลาที่กำหนด
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างแรงจูงใจให้แก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยานยนต์
ชิ้นส่วนยานยนต์
และยางล้อทั้งในประเทศและต่างประเทศภายใต้ข้อตกลงยอมรับร่วมผลการตรวจสอบและรับรองยานยนต์ของอาเซียน
(ASEAN Mutual Recognition on Type Approval for Automotive
Products) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนตามขั้นตอนต่อไป
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
599 | ขออนุมัติดำเนินงานทุนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 4 ปี พ.ศ. 2564–2567 | ศธ. | 23/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑.
เห็นชอบในหลักการโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
(สควค.) ระยะที่ ๔ ปี พ.ศ. ๒๕๖๔-๒๕๖๗ ในกรอบวงเงินงบประมาณ ๑,๖๕๔.๙๘ ล้านบาท
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงการคลัง
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงบประมาณ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงาน ก.พ.
และข้อเสนอแนะของสำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐและในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ
เช่น ให้กระทรวงศึกษาธิการ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)
จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
และกระทรวงศึกษาธิการต้องไม่นำเหตุแห่งการบรรจุบัณฑิตทุนโครงการ สควค.
เข้ารับราชการเพื่อชดใช้ทุนมาใช้ในการขออัตราข้าราชการครูเพิ่มขึ้น
เพื่อควบคุมไม่ให้อัตรากำลังข้าราชการครูและภาระงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐเพิ่มขึ้น
เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. การดำเนินโครงการ
สควค. ในระยะต่อไป
ให้กระทรวงศึกษาธิการพิจารณาการจัดสรรทุนให้เหมาะสมตามความจำเป็นและสอดคล้องกับบริบทด้านเศรษฐกิจและสังคม
แนวทางการปฏิรูประบบการศึกษา การพัฒนาประเทศ
และแผนความต้องการบรรจุข้าราชการครูในแต่ละปี
รวมทั้งให้ประเมินผลการดำเนินโครงการและเปรียบเทียบกับโครงการจัดสรรทุนอื่น ๆ
ที่มีเป้าหมายใกล้เคียงกันเพื่อพิจารณาประกอบการจัดทำโครงการ ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
600 | การขอขยายระยะเวลาโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) จาก พ.ศ. 2552 – 2564 เป็น พ.ศ. 2552 – 2570 | อว. | 16/03/2564 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
ดังนี้ ๑. เห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์
(ทุนเรียนดีมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย) จากเดิม พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๖๔ เป็น
พ.ศ. ๒๕๕๒-๒๕๗๐ ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ
สำหรับภาระงบประมาณที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินงานดังกล่าว เห็นควรให้ใช้จ่ายภายในกรอบวงเงิน
๖,๔๑๒,๒๕๐,๐๐๐ บาท ที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เดิม ซึ่งได้มีการดำเนินการไปแล้วบางส่วน
และยังมีกรอบวงเงินคงเหลืออยู่ โดยให้สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ
พร้อมรายละเอียดค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน
เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป
ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
สำนักงาน ก.พ. สำนักงบประมาณ
และข้อเสนอแนะของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น
ควรเพิ่มสาขาสังคมศาสตร์ สาขาจิตวิทยา และสาขาการจัดสวัสดิการสังคมในโครงการฯ
ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนากำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่มีคุณภาพ
เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน
และจัดทำรายงานผลการดำเนินการประจำปีเกี่ยวกับการจัดสรรทุนของโครงการฯ ให้สำนักงาน
ก.พ. ทราบ เพื่อประเมินผลทั้งในมิติด้านประสิทธิภาพและประสิทธิผล เป็นต้น
ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒.
ให้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์
วิจัยและนวัตกรรมพิจารณากำหนดแนวทางการจัดสรรทุนการศึกษาตามโครงการฯ ในแต่ละสาขาวิชาให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม
สอดคล้องกับความต้องการกำลังคนด้านมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ในอนาคต
รวมทั้งดำเนินการประชาสัมพันธ์ทุนการศึกษาต่าง ๆ ของโครงการฯ และสร้างแรงจูงใจให้ผู้สมัครรับทุนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายได้รับทราบอย่างทั่วถึงด้วย
|