ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 155 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3081 - 3100 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3081 | โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า | วท | 02/09/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอโครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบ ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า ในส่วนขยายผลส่วนที่2 และให้ สถาบันการเงินของรัฐให้การสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการจัดตั้งโรงงาน สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการ ฯ ให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ ประสานกับสำนักงบประมาณต่อไป รวมทั้งพิจารณากำหนดหลักการและแนวทางในการ จัดตั้งโรงงานต้นแบบ จังหวัดละไม่เกิน 2 แห่ง ตามความเห็นของ คกก.3 ทั้งนี้ ในอนาคตหากชุมชนหรือจังหวัดใด มีความพร้อมและมีความต้องการเพิ่มมากยิ่งขึ้นและโรงงานต้นแบบที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ นำ เสนอประธาน คกก.3 เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ รับไป เร่งดำเนินการจัดตั้งโรงงานต้นแบบให้ทั่วถึงทุกจังหวัดอย่างน้อยจังหวัดละ 1 โรงงาน และควรมีการขยายผลโดยการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับสหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกรท้องถิ่น โดยประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอาจให้สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ซึ่งมีวิทยาเขตทั่วประเทศเป็นกลไกในการดำเนินการ โดยให้กระทรวงวิทยา ศาสตร์ ฯ เป็นหน่วยกำกับดูแล หากสหกรณ์การเกษตรหรือกลุ่มเกษตรกรมีปัญหาเรื่องงบประมาณ กระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยีควรร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงการคลัง จัดหาสถาบันการเงินของรัฐให้ การสนับสนุนสินเชื่อต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3082 | โครงการจัดตั้งศูนย์นิวเคลียร์แห่งใหม่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก | วท | 26/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสถานภาพและความคืบ
หน้าในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์นิวเคลียร์แห่งใหม่ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก สรุปได้ดังนี้ คณะ กรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ ได้ประชุมเมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2546 โดยมีมติเห็นชอบในเหตุผลความ จำเป็นในการดำเนินโครงการ ฯ ให้แล้วเสร็จ โดยขยายเวลาก่อสร้างตามสภาพความเป็นจริงในทางเทคนิค และ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติจัดเตรียมโครงการ ฯ พร้อมกับเริ่มเจรจากับผู้รับจ้างเมื่อได้รับอนุญาตก่อสร้าง เครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัยแล้ว ซึ่งในการขออนุญาตก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ ฯ ให้สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติรอ รับผลการตรวจสอบยืนยันในเรื่องระบบระบายความร้อนจากกระทรวงพลังงานของสหรัฐ ฯ (US.DOE) แล้วแจ้ง คณะอนุกรรมการความปลอดภัยโรงงานนิวเคลียร์ เพื่อให้ความเห็น แล้วนำผลสรุปเสนอคณะกรรมการพลังงาน ปรมาณูเพื่อสันติพิจารณาตัดสินเป็นครั้งสุดท้าย ส่วนการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ดำเนินการเป็น มาตรการเสริมให้เสร็จสมบูรณ์ ตามความเห็นของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ ฯ ทั้งนี้ ความคืบหน้าของการ พิจารณาของ US.DOE ซึ่งได้แจ้งว่า การพิจารณามีความก้าวหน้าด้วยดี และขอเลื่อนกำหนดส่งมอบรายงานออก ไปอีก โดยกำหนดนำส่งในวันที่ 15 สิงหาคม 2546 สำหรับการทำความเข้าใจต่อประชาชนในพื้นที่โครงการ ฯ ได้จัดเจ้าหน้าที่มวลชนสัมพันธ์ออกปฏิบัติงานในพื้นที่โครงการต่อเนื่อง ซึ่งไม่พบว่า ขณะนี้มีการเคลื่อนไหวของ ประชาชนในพื้นที่โครงการในเชิงการคัดค้านการก่อสร้างศูนย์วิจัยนิวเคลียร์องครักษ์ แต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3083 | แนวทางการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน | นร | 26/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับเรื่อง แนวทางการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งรองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจ ยุทธ) รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี เสนอว่า เรื่องที่เสนอมานี้มีรายละเอียดมาก สมควรที่จะให้รองนายก รัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ได้ชี้แจงต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี จึงให้เลื่อนไปพิจารณาในวันอังคารที่ 9 กันยายน 2546 และโดยที่ในขณะนี้มีหลายหน่วยงานกำลังดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยง กันกับข้อเสนอในเรื่องดังกล่าวอยู่ด้วย เช่น การร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการรับฟังความคิดเห็น ของประชาชน การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการบริหารจัดการโครงการขนาดใหญ่ การแก้ไขปัญหา ความขัดแย้งที่เกิดจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ และการปรับปรุงวิธีการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล กระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น และเพื่อให้การพิจารณาเรื่องนี้เป็นไปอย่างเหมาะสม รอบคอบ จึงมอบให้รองนายก รัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำผลการพิจารณาดัง กล่าวเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันดังกล่าวต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3084 | แนวทางการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาดำเนินโครงการต่าง ๆ ของทางราชการล่าช้าหรือทิ้งงาน | นร | 19/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอผลการประชุมเพื่อ
พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาผู้รับเหมาดำเนินโครงการต่าง ๆ ของทางราชการล่าช้าหรือทิ้งงาน สรุปได้ ดังนี้ ที่ประชุมได้มีการพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินโครงการก่อสร้างที่ผ่านมามักมีสาเหตุมาจากความไม่พร้อม ของผู้ว่าจ้างในการเตรียมการก่อสร้าง ความไม่พร้อมของผู้ประกอบการในด้านการเงิน ด้านการบริหารจัดการ และด้านเทคโนโลยี รวมถึงการจัดสรรและเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้าและการขาดหน่วยงานว่าจ้างที่ชัดเจน นอกจากนี้ หน่วยงานผู้ว่าจ้างขาดการกำกับติดตามงานก่อสร้างให้เป็นไปตามกำหนดเวลา และมีการอนุมัติให้ ขยายระยะเวลาโดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็น ทำให้เกิดช่องทางการทุจริต จึงควรให้มีหน่วยงานกลางขึ้นทำ หน้าที่กำหนดนโยบาย กำกับ ดูแลการก่อสร้างในภาพรวม โดยเฉพาะในลักษณะ One Stop Service เพื่อให้ งานก่อสร้างเสร็จทันกำหนดและมีคุณภาพได้มาตรฐานโดยกำหนดเป็นเงื่อนไขให้ผู้รับงานแสดงรายละเอียดว่า ในขณะนั้น มีการรับงานอื่นหรือไม่อย่างไรเพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของผู้ว่าจ้าง และจัดทำแผนงาน แผนคน แผนเงิน ตลอดจนแผนการใช้วัสดุอุปกรณ์เพื่อใช้สำหรับผู้ว่าจ้างกำกับ ดูแล ให้เป็นไปตามสัญญา จ้างและควรมีการปรับแก้กฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินโทษปรับแก่ผู้รับงานที่ผิดสัญญาเป็นรายงวดได้ โดย ในส่วนของการแก้ไขปัญหาผู้รับจ้างก่อสร้างเสนอราคาต่ำกว่าปกติ ควรกำหนดวิธีแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นทาง โดยพิจารณาความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติของผู้รับงานว่า จะสามารถทำเสร็จตามสัญญาได้หรือไม่ ก่อนที่จะ พิจารณาในเรื่องของราคาที่ต่ำกว่าปกติ และควรกำหนดเป็นเงื่อนไขในการประกวดราคาว่า ผู้ว่าจ้างไม่จำเป็น ต้องว่าจ้างรายที่เสนอราคาต่ำสุดเสมอไป และหากมีการเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเกินสมควร ก็ควรมีการ ตรวจสอบเปรียบเทียบประมาณการของผู้เสนอราคากับราคากลางอีกครั้งว่า มีความถูกต้องหรือไม่ นอกจาก นี้ ที่ประชุมยังได้พิจารณาในเรื่องของการกลั่นกรองผู้รับงาน มาตรการจูงใจ และการป้องกันการแสวงหา ประโยชน์ของภาครัฐ ท้ายสุดที่ประชุมได้มีมติให้กระทรวงการคลัง (กรมบัญชีกลาง) รับไปปรับปรุงระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี โดย รับความเห็นของที่ประชุมไปหารือในรายละเอียดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้าง ไทย ฯ แล้วนำเรื่องดังกล่าวเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป หากจำเป็นอาจเสนอแยกเป็นแต่ละหมวดที่ได้ ข้อยุติแล้วก็ได้ เพื่อให้เกิดความรวดเร็ว ในส่วนของการจัดตั้งหน่วยงานกลางดังกล่าว จะนำไปหารือกับสำนัก งาน ก.พ.ร. ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3085 | โครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | นร | 19/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี
ได้มีมติ (22 กรกฎาคม 2546) รับทราบแนวทางการดำเนินโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยคณะรัฐมนตรีมีความ เห็นว่า งบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการ ฯ ดังกล่าว ควรปรับเพิ่มจาก 100 ล้านบาท เป็น 250 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดและความสำคัญของโครงการ และให้ ททท. นำเรื่องนี้กลับไปเสนอ คณะกรรมการ ททท. พิจารณาก่อน และเมื่อคณะกรรมการ ททท. พิจารณาแล้ว ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรี และให้ ดำเนินการต่อไปได้ และต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (29 กรกฎาคม 2546) เกี่ยวกับการขออนุมัติโครงการ ฯ ดัง กล่าว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยว ฯ เสนอ นั้น เพื่อให้เกิดความชัดเจนเกี่ยวกับวงเงินค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ดังกล่าว จึงเห็นควรอนุมัติวงเงินค่าใช้จ่ายขั้นต้น เพื่อการจัดตั้งบริษัทสำหรับการดำเนินโครงการจำนวน 500 ล้าน บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้ง ให้ ททท. ประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3086 | ขออนุมัติโครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีโครงการระยะที่ 3 | วท | 13/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มติอนุมัติ
ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โครงการสนับสนุนนักเรียนทุนรัฐบาลทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีโครงการระยะที่ 3 ปี พ.ศ. 2547-2551 เพื่อส่งบุคคลไปศึกษาต่างประเทศและในประเทศ รวม 1,500 ทุน งบประมาณรวม 8,202.50 ล้านบาท โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ และข้อสังเกตของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป โดยสำนักงบประมาณเห็นว่า โดยที่โครงการดังกล่าวมีกำหนดจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ซึ่งยังมิได้ขอตั้งงบประมาณจำนวน 206 ล้านบาท รองรับไว้ตามแผน จึงเห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ เสนอขอแปรญัตติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติมต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ก่อน สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป สามารถเสนอขอตั้งงบประมาณ รายจ่ายประจำปีตามแผนที่กำหนดต่อไป ส่วนสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมี ข้อสังเกตว่า ปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่ดำเนินการให้ทุนการศึกษาในระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโน โลยี อาทิ สำนักงาน ก.พ. กระทรวงศึกษาธิการ ทบวงมหาวิทยาลัย จึงเห็นควรให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ ประสานกับสำนักงาน ก.พ. ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประสานแผนการให้ทุนในสาขาวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2532 ร่วมพิจารณาในรายละเอียดของ การจัดสรรทุนเพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อนในการจัดสรรทุน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3087 | โครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2546 - 2549) | ศธ | 13/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 (คกก.4) ที่มีมติ
ให้กระทรวงศึกษาธิการรับไปทบทวนโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิต ศาสตร์ (สควค.) ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2549) โดยให้รับความเห็นของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องไปประกอบ การพิจารณาด้วย แล้วนำเสนอ คกก.4 พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ กระทรวงการคลัง เห็นว่า เงินงบประมาณดำเนิน โครงการ ฯ กำหนดค่อนข้างสูง ควรให้สำนักงบประมาณพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง และเนื่องจากขณะนี้ได้มีการปฏิรูป การศึกษาทั้งระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาการจัดการศึกษา และยกระดับคุณภาพการศึกษาของชาติอันเป็นปัจจัยพื้นฐาน ของการพัฒนาประเทศ จึงมีกฎหมายหลายฉบับ ทั้งกฎหมายหลัก กฎหมายที่สำคัญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องที่ต้อง กำหนด ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการ และเพื่อให้การจัดระบบการศึกษาของประเทศรวมทั้งการผลิตครูในทุกสาขา วิชา มีคุณภาพ และเป็นไปในแนวทางเดียวกันหากมีการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าว จึงให้กระทรวงศึกษาธิการทบ ทวนโครงการ ฯ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาต่อไป กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เห็นควรให้มีการพิจารณาศึกษาเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาของโครงการ ฯ ในเชิงลึก และแก้ไขปัญหาดังกล่าว ให้ตรงกับต้นตอของปัญหา เพื่อให้การดำเนินโครงการ ฯ มีศักยภาพสูงสุด บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายที่ได้ กำหนดไว้ ทบวงมหาวิทยาลัย เห็นว่า แนวทางการแก้ไขปัญหาหลักในการดำเนินงานในเรื่องการสร้างแรงจูงใจให้ คนเก่งเข้ารับทุน การพ้นสภาพของผู้รับทุนกลางคัน และอัตราบรรจุรองรับผู้รับทุนที่สำเร็จการศึกษา เป็นแนวทาง แก้ไขปัญหาที่ดีสามารถสร้างแรงจูงใจให้คนเก่งมารับทุนมากขึ้น มีอาจารย์ที่ปรึกษาติดตามดูแล และให้คำปรึกษา อย่างใกล้ชิด รวมทั้งการจัดสรรอัตราบรรจุผู้รับทุนเมื่อสำเร็จการศึกษาไว้ด้วย ส่วนสำนักงบประมาณมีความเห็นว่า กระทรวงศึกษาธิการควรพิจารณาทบทวนแนวทางการดำเนินการและกำหนดจำนวนทุน และค่าใช้จ่ายให้เหมาะสม โดยในส่วนของทุนการศึกษา เมื่อดำเนินการแล้วไม่มีผู้รับทุนตามเป้าหมายในแต่ละปีงบประมาณที่เหลือ ควรให้คง วัตถุประสงค์เดิม เพื่อดำเนินการให้ได้ตามเป้าหมายที่จะผลิตในวงเงินงบประมาณที่กำหนด ไม่ควรนำเงินเหลือจ่าย ในแต่ละปีไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีความเห็นเกี่ยว กับการกำหนดเป้าหมายของผู้รับทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือก และประสานกับหน่วยงานอื่น ๆ ที่มีโครงการลักษณะ คล้าย ๆ กัน เพื่อใช้ทรัพยากรร่วมกันและทำให้การผลิตครูดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สำหรับสำนัก งานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ) เห็นว่า แนวทางและมาตรการที่เสนอ ยังมิได้แก้ไขปัญหา ได้แก่ การคัดเลือกคนเข้ามาเรียน การประกันการมีงานทำของผู้สำเร็จการศึกษา และความสูญ เปล่าของโครงการ ฯ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3088 | โครงการจักรยานยืมเรียน | ศธ | 13/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการ
จักรยานยืมเรียน โดยในส่วนของสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดคุณลักษณะจักรยานยืมเรียนพร้อม ทั้งประสานกับสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อขอใช้คุณลักษณะจักรยาน ยืมเรียนแทนมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมเรียบร้อยแล้ว สำหรับสำนักงบประมาณได้อนุมัติงบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม จำนวน 403,171,545 บาท ให้สำนักงานคณะกรรม การการศึกษาขั้นพื้นฐานแล้ว ในส่วนของการจัดซื้อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้มอบให้สำนักงานคณะ กรรมการการศึกษาฯ ดำเนินการจัดซื้อจักรยานฯ ซึ่งคาดว่า จะทำสัญญาจัดซื้อได้ภายในเดือนกันยายน 2546 และ จะสามารถจัดจักรยานให้นักเรียนยืมใช้งวดแรกได้ภายในช่วงเปิดภาคเรียนที่ 2 (ภายในเดือนพฤศจิกายน 2546) ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดติดตามการดำเนินโครงการจักรยานยืมเรียนในด้านต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดและต่อ เนื่อง เพื่อให้สามารถส่งมอบจักรยานที่มีคุณภาพและมาตรฐานให้แก่นักเรียนนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันในช่วงเปิดภาค เรียนที่ 2 ของปีการศึกษา 2546 นี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3089 | ขอยกเว้นไม่ต้องนำคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานทั่วไปมาบังคับใช้ในการจัดซื้อจัดหาพัสดุ หรือการจ้างตามโครงการลงทุนของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | คค | 13/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอขอยกเว้นไม่ต้องนำคำสั่ง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และ
มติคณะรัฐมนตรี ที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานทั่วไปมาบังคับใช้ในการจัดซื้อจัดหาพัสดุ หรือการจ้างตาม โครงการลงทุนของบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) ในทำนองเดียวกับบริษัท ท่าอากาศยานสากล กรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2546 ทั้งนี้ ให้ บวท. รับความเห็นของ กระทรวงการคลังที่ว่า ในปัจจุบัน บวท. ยังไม่มีระเบียบในการจัดซื้อจัดหาพัสดุหรือการจ้างตามโครงการลงทุนเป็น การเฉพาะของบริษัทเอง บวท. จึงควรกำหนดระเบียบพัสดุของตนเองขึ้นโดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ บริษัท ฯ โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับการดำเนินกิจการ และเพื่อให้การดำเนินโครงการจัดหาอุปกรณ์บริการจราจร ทางอากาศและก่อสร้างหอบังคับการบินพร้อมอาคารที่ทำการแล้วเสร็จทันกำหนดเวลาในปี พ.ศ. 2547 และพร้อม เปิดให้ใช้บริการในปี พ.ศ. 2548 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3090 | ขออนุมัติงบประมาณ งบกลาง ในการดำเนินโครงการขุดลอกคลองแม่ข่าเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย | มท | 13/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินการ
โครงการขุดลอกคลองแม่ข่า จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัย โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายให้ใช้จ่ายจาก งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือ จำเป็น จำนวน 12,600,000 บาท เฉพาะการดำเนินงานของกรมโยธาธิการและผังเมือง และเทศบาลนคร เชียงใหม่ ทั้งนี้ ขอให้ทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานตามโครงการดังกล่าวกับสำนัก งบประมาณอีกครั้งหนึ่ง |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3091 | กระทู้ถามที่ 341 ร. เรื่อง แผนการดำเนินงานส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม | สผ | 05/08/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 341 ร. เรื่อง
แผนการดำเนินงานส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานให้สัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎรระบบบัญชีรายชื่อ และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานได้มอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานวิเคราะห์ และทบทวนโครงการอนุรักษ์พลังงานของกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งจากการวิเคราะห์และทบทวน โครงการดังกล่าวพบว่า ที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะมีปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ หลายประการ แต่โครงการก็ยังมีความจำเป็น และคุ้มค่าที่จะต้องดำเนินการต่อไป เนื่องจากปัจจุบันนอกจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงมากแล้ว ราคาพลังงานก็สูง ขึ้นมาก อีกทั้งยังมีความไม่แน่นอนของสถานการณ์น้ำมันโลก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อประเทศไทยในหลาย ๆ ด้าน หากได้มีการแก้ไขปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเหมาะสม ลดขั้นตอนการดำเนินงานให้กระชับ รวดเร็ว และ สร้างสภาพแวดล้อมอื่น ๆ ให้เหมาะสมและจูงใจต่อการดำเนินงานของโรงงานและอาคารควบคุม โครงการ ฯ จะ สามารถดำเนินงานต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และคุ้มค่ากับงบประมาณที่ได้จัดสรรไว้แล้ว ทั้งนี้ กรมพัฒนาพลังงาน ฯ ได้ปรับแผนการดำเนินงานของโครงการ ฯ ช่วงปี 2545-2547 เพื่อให้มีผลในทางปฏิบัติจริง มากขึ้น (2) จากการดำเนินโครงการอนุรักษ์พลังงาน ฯ รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณให้เป็นจำนวนมาก เพื่อการ ศึกษาวิธีการประหยัดพลังงานให้กับทุกโรงงานและอาคารควบคุม การที่โรงงานและอาคารควบคุมจะสามารถทำ การปรับปรุงเพื่อการประหยัดพลังงานได้อย่างแท้จริงและสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรมได้ จะต้องได้รับการสนับสนุนทั้ง ทางด้านกลยุทธ์และการจัดสรรงบประมาณที่กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานได้กำหนดไว้จากคณะ กรรมการกองทุน ฯ และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3092 | การให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุน | พน | 29/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
(1) อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่มีมติเห็นชอบตามที่ กระทรวงพลังงานเสนอให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ บมจ. ปตท. และบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ฯ สามารถขอรับการส่งเสริมการลงทุน และได้รับสิทธิประโยชน์เกี่ยวกับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรม การส่งเสริมการลงทุน และมิให้นำคำสั่ง ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้ บังคับแก่ บมจ. ปตท. และบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ ฯ รวมทั้งมิให้นำประกาศคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่เกี่ยวกับนโยบายและหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน ในส่วนที่ใช้พิจารณาโครงการลงทุนที่เป็นรัฐวิสาหกิจ และกิจการแปรรูปรัฐวิสาหกิจมาใช้บังคับกับ บมจ. ปตท. ด้วย และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการ ลงทุนรับไปพิจารณาประเด็นปัญหาในภาพรวมในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนโครงการที่เป็นรัฐ วิสาหกิจและกิจการแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เพื่อนำเสนอคณะ รัฐมนตรีพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต่อไป รวมทั้งพิจารณาแนวทางแก้ไขปัญหาการพิจารณา ให้การส่งเสริมโครงการลงทุนของรัฐวิสาหกิจที่จะแปรสภาพเป็นบริษัทจำกัดในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย (2) สำหรับการยกเว้นมิให้นำคำสั่ง ระเบียบข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจ ทั่วไปมาใช้บังคับแก่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัทที่จะจัดตั้งขึ้นใหม่ นั้น ไม่รวมถึงระเบียบว่าด้วย งบลงทุนของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 ซึ่งออกตามความในมาตรา 12(2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521 ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้ว และคณะรัฐมนตรีได้มี มติเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2546 เรื่อง แผนการดำเนินโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับท่า อากาศยานสุวรรณภูมิด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3093 | การดำเนินโครงการส่งเสริมอาหารฮาลาลในประเทศอิหร่านและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ | นร | 29/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอการดำเนินโครงการส่งเสริมอาหาร
ฮาลาลในประเทศอิหร่านและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) สรุปได้ว่า ตามที่คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรม อาหารฮาลาล ซึ่งมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา เป็นประธาน ได้ให้ความเห็นชอบการดำเนินโครงการส่งเสริมอาหาร ฮาลาล ฯ และได้จัดคณะผู้แทนไทย ซึ่งมีนายเด่น โต๊ะมีนา รองประธานคณะกรรมการ ฯ เป็นหัวหน้าคณะไปเยือน ประเทศอิหร่านและ UAE เพื่อประเมินผลการดำเนินโครงการส่งเสริมอาหารฮาลาล ฯ ซึ่งจากการประเมินผลการ ดำเนินโครงการ ฯ ทำให้ทราบข้อเท็จจริงว่า ไทยมีศักยภาพในการส่งออกในตะวันออกกลางโดยใช้ดูไบเป็นฐานใน การส่งออกไปยังประเทศตะวันออกกลางอื่นๆ และได้รับทราบศักยภาพของอิหร่านในการเป็นฐานการผลิตอาหาร ฮาลาลเพื่อบริโภคในประเทศ และส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียง รวมไปถึงการส่งออกวัตถุดิบในการผลิตอาหารไป ยังประเทศใกล้เคียง เช่น สินค้าประมง นอกจากนี้ ผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบข้อมูลโดยตรงจาก หน่วยงานภาครัฐและเอกชนของอิหร่าน และ UAE เกี่ยวกับนโยบายการค้า มาตรการความปลอดภัยด้านอาหาร มาตรฐานฮาลาลและกฎเกณฑ์การนำเข้า รวมทั้งเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอให้หน่วยงานต่าง ๆ รับไปดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามแผนแบ่งภารกิจ โดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของคณะกรรมการพัฒนา อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล และให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดดำเนินการตามภารกิจอย่างเข้มแข็งจริงจัง เพื่อให้บรรลุ ผลต่อไปด้วย ดังนี้ แผนยุทธศาสตร์ภาพรวม ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นหน่วยงานรับผิดชอบ ด้านการผลิตในส่วนของการรับรองสุขอนามัยและความปลอดภัยด้านอาหาร และการพัฒนากระบวนการและสถาบันรับรองฮาลาล ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข เป็นหน่วยงานหลัก การตลาด ให้กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานหลักการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ อาหารฮาลาลแก่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคในประเทศ ให้คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และ สศช. เป็นหน่วยงานหลัก การเผยแพร่ข้อมูลอาหารฮาลาลไทยในต่างประเทศ มอบให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการ ต่างประเทศ และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ดำเนินการ ส่วนการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบการนำ เข้าและมาตรฐานสุขอนามัยด้านอาหารของประเทศผู้นำเข้า ให้กระทรวงพาณิชย์ เป็นหน่วยงานหลัก การเชิญ ผู้แทนหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ และอนุญาตนำเข้าสินค้าอาหารมาเยือนไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ สศช. และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยดำเนินการ และการสร้างความสัมพันธ์ที่ ดีกับประเทศคู่ค้าโดยอาศัยกรอบความร่วมมือที่มีอยู่ ให้กระทรวงการต่างประเทศ เป็นหน่วยงานหลัก
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3094 | การปล่อยตัวผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับและนักโทษเด็ดขาด เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ | ยธ | 29/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการดำเนินโครงการปล่อยตัวผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับ
และนักโทษเด็ดขาด เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ สำหรับ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการ ให้ขอรับการสนับสนุนเงินค่าใช้จ่ายจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ในวงเงิน 25,760,000 บาท ทั้งนี้ ในการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานศาลยุติ ธรรมประสานงานกับกระทรวงการคลังโดยด่วน ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยให้กระทรวงยุติธรรมจัด ส่งเอกสารเกี่ยวกับการจ่ายเงินให้คณะกรรมการพิจารณาโครงการเพื่อการสาธารณประโยชน์จากรายได้โดยการ ออกสลากพิเศษ พิจารณาจัดสรรเงินจากการจำหน่ายสลากต่อไป ส่วนวิธีปฏิบัติในการชำระค่าปรับให้แก่สำนัก งานศาลยุติธรรมทั่วประเทศสำหรับกรณีดังกล่าว ให้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์เช่นเดียวกับที่ถือปฏิบัติในคราวดำเนิน โครงการเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมพรรษา 75 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2545 |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3095 | การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย | นร | 29/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
เสนอเกี่ยวกับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย โดยให้ใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้วของ 3 หน่วยงานหลัก ได้แก่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กรมศุลกากร และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) เพื่อจัดให้มีเขตนิคมอุตสาหกรรมทั่วไป (กฎหมาย กนอ.) ที่ได้รับสิทธิประโยชน์แบบเขตปลอดอากร (กฎ หมายกรมศุลกากร) พร้อมสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้ (กฎหมาย สกท.) ให้ดำเนินการในรูปแบบการให้บริการ แบบเบ็ดเสร็จ ณ จุดเดียว (One-Stop Services : OSS) โดยในระยะแรก กนอ. เป็นเจ้าภาพดำเนินการ ส่วนระยะ ยาวให้ กนอ. ศึกษาเพื่อจัดการบริหารในลักษณะพื้นที่เฉพาะแบบเบ็ดเสร็จมีความเป็นเอกภาพในการกำกับดูแล ภายใต้บทบัญญัติของกฎหมายฉบับเดียว และการแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจ ชายแดน โดยมีเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นประธานกรรมการ และกรรม การอีก 12 คน มีรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ ฯ เป็นเลขานุการ รวมทั้งการจัดสรรงบกลางปี 2546 จำนวน 7.002 ล้านบาท ให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการศึกษาความเหมาะสม จัดตั้งนิคม/เขตประกอบการอุตสาหกรรมและสถานีขนถ่ายสินค้า (ICD) เชียงแสน และโครงการการเตรียมการ "พัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ" ภายใต้การดำเนินงานของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และให้ดำเนินการ ต่อไปได้ โดยในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการของการนิคมอุตสาหกรรม ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณราย จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม รวม 7,002,000 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะกรรมการ ฯ ที่จะตั้งขึ้นควรให้ความสำคัญ ต่อการพิจารณากำหนดกรอบแนวทางและกลยุทธ์ในการส่งเสริมและพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย ทั้งระบบ ตลอดจนการเชื่อมโยงโครงข่ายการคมนาคมขนส่งและการสื่อสาร นอกจากนี้ ควรพิจารณาเตรียมการ รองรับและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น โดยให้เพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการ ฯ ดังกล่าวให้ครบถ้วน และสมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีก จำนวน 6 คน หากคณะกรรมการ ฯ เห็นควรให้เชิญบุคคล ผู้แทนส่วนราชการ หรือ หน่วยงานใดมาให้คำปรึกษา แนะนำเป็นครั้งคราว ก็ให้ดำเนินการได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3096 | การเสนอขอรับการพิจารณาโครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) | กก | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแนวทางการดำเนิน
โครงการบัตรสมาชิกพิเศษ (Thailand Privilege Card) ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีเห็นว่า โดยที่โครงการดังกล่าวยังมิได้ผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย มาก่อน จึงให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (ททท.) นำเรื่องนี้กลับไปเสนอคณะกรรมการ ฯ พิจารณา โดยให้ ททท. นำความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของคณะ รัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ การดำเนินโครงการ ฯ ททท. ต้องเตรียมการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยว ข้องให้พร้อม และเร่งรัดดำเนินการขายบัตรสมาชิกให้เร็ว โดยควรเริ่มดำเนินการเปิดจำหน่ายบัตรดังกล่าวทั้งใน ประเทศไทยและในต่างประเทศได้อย่างกว้างขวางทั่วโลกให้ทันภายในช่วงกลางเดือนสิงหาคม 2546 นอกจากนี้ ควรใช้โอกาสที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม APEC 2003 ในเดือนตุลาคม 2546 เป็นเวทีในการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ในเรื่องดังกล่าวให้แก่ผู้นำชาติต่าง ๆ ตลอดจนสื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมประชุมอื่น ๆ ด้วย สำหรับ งบประมาณค่าใช้จ่ายเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการควรปรับเพิ่มเป็น 250 ล้านบาท เพื่อให้เหมาะสม กับขนาดและความสำคัญของโครงการ ทั้งนี้ การจัดทำบัตรสมาชิกควรพิจารณาจัดทำรูปแบบให้เหมาะสม มีความ โดดเด่น และแสดงถึงคุณค่า และควรระบุว่าให้ผู้ถือบัตรมีสิทธิได้ multiple visa อย่างชัดเจน โดยบัตรสมาชิกดัง กล่าว อาจกำหนดให้มี 2 ประเภท ได้แก่ บัตรสมาชิกเฉพาะบุคคล (individual membership) และบัตรสมาชิก ในนามองค์การ (corporate membership) โดยกำหนดราคาบัตรให้แตกต่างกัน และในกรณีที่ผู้ถือบัตรในนาม องค์การประสงค์จะเปลี่ยนเป็นบัตรเฉพาะบุคคล เพื่อเป็นกรรมสิทธิ์เฉพาะตนในภายหลัง ก็ควรให้ทำได้ โดย กำหนดค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนประเภทบัตรให้เหมาะสม สำหรับกรณีการขอยกเว้นไม่ใช้ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐวิสาหกิจทั่วไปมาใช้กับบริษัท ฯ ที่จะตั้งขึ้นใหม่ ให้ดำเนินการตามความเห็นของ กระทรวงการคลัง ทั้งนี้ หากคณะกรรมการการท่องเที่ยว ฯ พิจารณาแล้ว ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบและ ให้ดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3097 | ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-2549 | พม | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
แผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2547 และให้ส่วนราชการ หน่วย งานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านจัดการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และที่เป็นเจ้าของที่ดิน ให้การสนับสนุนโครงการบ้านเอื้ออาทร และให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความ เห็นและข้อสังเกตบางประการของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ส่วนเรื่องการเงินให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับ ควบคู่ไปกับการใช้งบประมาณของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ คงคุณภาพ มาตรฐาน ในการก่อสร้างไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถลดภาระของรัฐในการให้ความสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากเดิมในอัตราไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหน่วยลงได้ ผู้ซื้อสามารถผ่อนชำระต่อเดือนในอัตราต่ำ ภายในระยะ เวลาที่กำหนดไว้ 30 ปี สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. กระจายการดำเนินการโครงการ โดย ให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการก่อสร้างให้มากที่สุด โดยการจัดซื้อจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ในการก่อสร้างทั้งหมด กคช. ควรเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการดังกล่าว ในส่วนของรูปแบบของบ้าน เอื้ออาทร ควรให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงาน รวมทั้งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ล้าสมัยแล้ว ก็ไม่ควรนำมาเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้าง นอกจากนี้ พื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการภายในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑลและต่างจังหวัดควรพิจารณาเลือกทำเลให้เหมาะสม โดยประสานขอความร่วมมือ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และติดต่อเจรจากับธนาคารของรัฐและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มี อสังหาริมทรัพย์ในครอบครองให้ได้เงื่อนไขที่ดีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ในการดำเนิน โครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. ดำเนินโครงการโดยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 แต่จะต้องประสานการดำเนินการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วต่อ ไป กับให้ กคช. เร่งรัดการดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนต่าง ๆ จำนวน 270 แห่ง ซึ่งได้รับ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว เช่น โครงการปรับปรุงอาคารที่พักแฟลตดินแดง เป็นต้น ให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3098 | การดำเนินงานโครงการจัดสร้างสวนสาธารณะ "เบญจกิติ" | กค | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินโครงการจัดสร้างสวนสาธารณะ
"เบญจกิติ" โดยผลความคืบหน้าการดำเนินงานก่อสร้างสวนสาธารณะ "เบญจกิติ" เนื่องจากได้ล่วงเลยมาเป็นเวลา นาน ประกอบกับราคาวัสดุก่อสร้างได้มีการปรับตัวสูงขึ้น จึงได้มีการถอดแบบประมาณราคาค่าก่อสร้างใหม่เป็น เงิน 315 ล้านบาท และคณะกรรมการอำนวยการจัดสร้างสวนสาธารณะ "เบญจกิติ" ชุดปัจจุบันได้เห็นชอบวงเงิน ค่าก่อสร้างดังกล่าวแล้ว ซึ่งกระทรวงการคลังได้สนับสนุนเงินรายได้จากการจำหน่ายสลากพิเศษสมทบเพิ่มเติม อีกจำนวน 140 ล้านบาท เพื่อให้เพียงพอต่อการดำเนินโครงการ ฯ และกองทัพบกได้ให้ความร่วมมือเป็นหน่วยงาน ดำเนินการก่อสร้างสวนสาธารณะ "เบญจกิติ" ส่วนที่ 1 กำหนดแล้วเสร็จภายใน 15 เดือน ประมาณราคาค่าก่อ สร้างเป็นเงิน 311.493 ล้านบาท ทั้งนี้ เงินค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างซึ่งส่วนหนึ่งได้รับจากโรงงานยาสูบ และจาก รายได้จากการจำหน่ายสลากพิเศษของกระทรวงการคลัง นั้น ถือเป็นเงินที่กรมธนารักษ์ได้รับจากการบริจาคซึ่งผู้ บริจาคระบุวัตถุประสงค์ไว้ ดังนั้น การปฏิบัติเกี่ยวกับเงินบริจาคซึ่งมีระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการรับเงิน หรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้ทางราชการ พ.ศ. 2526 กำหนดไว้แล้ว และในระเบียบดังกล่าวได้กำหนดให้ถือปฏิบัติ เกี่ยวกับบัญชี วิธีการจ่าย และหลักฐานการรับจ่ายเงินบริจาคให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการโดยอนุโลม และมีความเหมาะสมรัดกุมอยู่แล้ว จึงไม่ต้องกำหนดระเบียบขึ้นใหม่เป็นการเฉพาะ โดยให้ถือปฏิบัติตามระเบียบ ของทางราชการ ดังนี้ วีธีการเบิกจ่าย ให้เป็นไปตามระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง พ.ศ. 2520 และที่แก้ไขเพิ่ม เติม การเก็บรักษาเงิน ให้เป็นไปตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนการพัสดุ ให้เป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ ไขเพิ่มเติม |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3099 | ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย "โครงการบ้านเอื้ออาทร" ระยะ 3 และเรื่อง ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546 - 2549 | พม | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
แผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2547 และให้ส่วนราชการ หน่วย งานของรัฐ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ด้านจัดการสาธารณูปโภค สาธารณูปการ และที่เป็นเจ้าของที่ดิน ให้การสนับสนุนโครงการบ้านเอื้ออาทร และให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความ เห็นและข้อสังเกตบางประการของกระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ส่วนเรื่องการเงินให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติม เกี่ยวกับการดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทรของ กคช. ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุด ของประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่จะได้รับ ควบคู่ไปกับการใช้งบประมาณของรัฐอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็ คงคุณภาพ มาตรฐาน ในการก่อสร้างไว้ ซึ่งจะทำให้สามารถลดภาระของรัฐในการให้ความสนับสนุนค่าใช้จ่าย จากเดิมในอัตราไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหน่วยลงได้ ผู้ซื้อสามารถผ่อนชำระต่อเดือนในอัตราต่ำ ภายในระยะ เวลาที่กำหนดไว้ 30 ปี สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. กระจายการดำเนินการโครงการ โดย ให้ภาคเอกชนที่มีความพร้อมเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการก่อสร้างให้มากที่สุด โดยการจัดซื้อจัดจ้าง วัสดุ ครุภัณฑ์ในการก่อสร้างทั้งหมด กคช. ควรเป็นศูนย์กลางในการดำเนินการดังกล่าว ในส่วนของรูปแบบของบ้าน เอื้ออาทร ควรให้ความสำคัญต่อการประหยัดพลังงาน รวมทั้งวัสดุก่อสร้าง ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ ล้าสมัยแล้ว ก็ไม่ควรนำมาเป็นส่วนประกอบในการก่อสร้าง นอกจากนี้ พื้นที่ที่จะใช้ดำเนินโครงการภายในเขต กรุงเทพมหานครและปริมณฑลและต่างจังหวัดควรพิจารณาเลือกทำเลให้เหมาะสม โดยประสานขอความร่วมมือ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน และติดต่อเจรจากับธนาคารของรัฐและสถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มี อสังหาริมทรัพย์ในครอบครองให้ได้เงื่อนไขที่ดีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครงการ ทั้งนี้ ในการดำเนิน โครงการบ้านเอื้ออาทรระยะที่ 3 ให้ กคช. ดำเนินโครงการโดยได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2536 แต่จะต้องประสานการดำเนินการกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอขออนุมัติต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติโดยเร็วต่อ ไป กับให้ กคช. เร่งรัดการดำเนินโครงการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของชุมชนต่าง ๆ จำนวน 270 แห่ง ซึ่งได้รับ การจัดสรรงบประมาณเพื่อการนี้ไว้แล้ว เช่น โครงการปรับปรุงอาคารที่พักแฟลตดินแดง เป็นต้น ให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3100 | โครงการเร่งรัดการตรวจสอบการประกอบกิจการน้ำบาดาล | ทส | 22/07/2546 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอโครงการเร่งรัดการ
ตรวจสอบการประกอบกิจการน้ำบาดาล ซึ่งวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ทั่วไป และผู้ประกอบกิจการน้ำบาดาล รับทราบข้อมูลข่าวสารของทางราชการ และปฏิบัติให้ถูกต้องตามพระราช บัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. 2520 เพื่อเป็นการป้องกันและปราบปรามการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ น้ำบาดาล พ.ศ. 2520 เพื่อพัฒนาและควบคุมการใช้น้ำบาดาลอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพ และเกิดประโยชน์ สูงสุด เพื่อสร้างความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการ และปลุกจิตสำนึกของทุกคนให้มีส่วนร่วมในการใช้น้ำบาดาล อย่างอนุรักษ์และยั่งยืน รวมทั้งเพื่อการจัดเก็บฐานข้อมูลบ่อน้ำบาดาลระดับจังหวัดทั่วประเทศ และนำมาใช้ใน การวางแผนการใช้และการพัฒนาน้ำบาดาลต่อไป โดยมีพื้นที่เป้าหมาย 76 จังหวัดทั่วประเทศ ระยะเวลาดำเนิน การ ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง เดือนกันยายน 2546 สำหรับผลที่คาดว่าจะได้รับจากการดำเนินโครงการดัง กล่าว คือ ประชาชนทั่วไป และผู้ประกอบกิจการน้ำบาดาล มีความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติน้ำ บาดาล พ.ศ. 2520 และปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง ได้บ่อน้ำบาดาลเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นจากเดิม 8,280 บ่อ จัด เก็บรายได้ของรัฐ อันเนื่องมาจากการนำบ่อน้ำบาดาลเข้าสู่ระบบมากขึ้นปีละ 200 ล้านบาท มีฐานข้อมูลบ่อน้ำ บาดาลระดับจังหวัดทุกจังหวัดไว้สำหรับการวางแผน และพัฒนาการใช้น้ำบาดาลอย่างอนุรักษ์ และยั่งยืน ตลอด จนลดการใช้น้ำบาดาลในพื้นที่ที่การประปาส่วนภูมิภาคและการประปานครหลวงบริการถึงและเพียงพอ |
.....