ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 157 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3121 - 3140 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3121 | ความก้าวหน้าของ "โครงการถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้า" | วท | 06/05/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานความก้าวหน้าของ "โครง
การถ่ายทอดเทคโนโลยีโรงงานต้นแบบผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมีและปุ๋ยชีวภาพ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระดับ รากหญ้า" โดยร่วมกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ทำการเปิดโรงงานผลิตปุ๋ย อินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2546 จำนวน 2 โรงงาน คือ โรงงานผลิตปุ๋ย อินทรีย์คุณภาพสูง บ้านกำปัง อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา และโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยอินทรีย์เคมี และปุ๋ยชีวภาพ บ้านหายโศก อำเภอพุทไธสง จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งการบริหารโรงงานและการดำเนินการผลิตของ โรงงานดังกล่าวจะดำเนินการโดยคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นจากเกษตรกรในท้องถิ่น โดย วว. ทำหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอด เทคโนโลยีการผลิต รวมทั้งวิธีการใช้ ส่วนสถาบันการศึกษาท้องถิ่นจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานด้านวิชาการ ถ่ายทอดเทคโนโลยี และสนับสนุนด้านห้องปฏิบัติการ เครื่องมืออุปกรณ์ในการตรวจวิเคราะห์ดิน พืช ปุ๋ย ทั้งนี้ จะ มีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานในช่วง 6 เดือน และ 9 เดือน โดยผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจะเกิดขึ้นแก่เกษตร กรในระดับรากหญ้าอย่างแท้จริง และเป็นทั้งเจ้าของวัตถุดิบ ผู้ผลิต และผู้ใช้ผลผลิต คือ ปุ๋ย กับไร่นาของตนเอง เพื่อลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี และจากการดำเนินโครงการดังกล่าวสรุปโดยรวม ประเทศชาติจะได้รับประโยชน์จาก การลดการสูญเสียดุลการค้าต่างประเทศจากการนำเข้าปุ๋ยเคมี และจะทำให้เกษตรกรระดับรากหญ้าสามารถพึ่ง พาตนเองในการลดต้นทุนการผลิตและเพิ่มผลผลิต ทำให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก |
||||||||||||||||||||||||
3122 | การสร้างถนนรอบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี | นร | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอให้หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กอง
บัญชาการทหารสูงสุด กระทรวงกลาโหม ดำเนินการก่อสร้างปรับปรุงถนนรอบเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี สำหรับค่าใช้จ่ายเพื่อการนี้ อนุมัติในหลักการให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อเป็นค่าก่อสร้างตามความจำเป็นบางส่วนในปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2546 โดยให้กองบัญชาการทหารสูงสุดทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นกับ สำนักงบประมาณต่อไป ส่วนค่าใช้จ่ายบางส่วนที่จะล่วงเลยไปในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ให้เสนอขอแปรญัตติ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เพิ่มเติมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า โดยที่ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ/กิจกรรมของฝ่ายทหารมีน้อยกว่าภาค เอกชนทั่วไป เนื่องจากรัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณประจำปีสนับสนุนค่าใช้จ่ายด้านต่าง ๆ อยู่แล้ว เช่น ค่าเครื่อง มือและอุปกรณ์ ค่าซ่อมบำรุง และค่าเบี้ยเลี้ยง ตลอดจนเงินเดือนของบุคลากร เป็นต้น ดังนั้น ในการคำนวณวง เงินค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่าง ๆ ของฝ่ายทหารจึงควรมีวงเงินต่ำกว่าราคากลาง และต่ำ กว่าวงเงินตามผลการประกวดราคาของภาคเอกชนทั่วไปด้วย ยกเว้นกรณีที่การดำเนินการของฝ่ายทหารมีราย ละเอียดที่แตกต่างและปริมาณเนื้องานมากกว่าอย่างชัดเจน |
||||||||||||||||||||||||
3123 | การรายงานผลการดำเนินการต่อคณะรัฐมนตรี (รายงานโครงการวิจัย "R&D on diagnostic tests for etiologic agent(s) of severe acute respiratory syndrome (SARS) outbreak 2003" และรายงานโครงการความพร้อมในการใช้รังสีอัลทราไวโอเล็ตในการฆ่าเชื้อในอาคาร) | วท | 28/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการดำเนินโครงการ
สนับสนุนมาตรการป้องกันและควบคุมโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (Severe Acute Respiratory Syndrome : SARS) ของรัฐบาลรวม 2 โครงการ ได้แก่ โครงการวิจัย "R&D on diagnostic tests for etiologic agent(s) of severe acute respiratory syndrome (SARS) outbreak 2003" และโครงการความพร้อมในการใช้รังสีอัลทรา ไวโอเล็ตในการฆ่าเชื้อในอาคาร โดยให้กระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ ประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เพื่อนำผลการ วิจัยของโครงการดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อให้นักท่องเที่ยวเกิดความมั่นใจในด้านความ สะอาดและปลอดภัยของสถานที่พักและโรงแรมต่าง ๆ กระทรวงสาธารณสุข โดยกรมอนามัย ควรชี้แจงและแนะนำ ให้เจ้าของสถานที่พักและโรงแรมต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับการรักษาความสะอาดภายในโรงแรม โดยควรเปิดหน้า ต่างให้แสงอัลทราไวโอเล็ตส่องเข้าไปภายในห้องพักและด้านในอาคารต่าง ๆ ด้วยเป็นครั้งคราวตามความเหมาะสม เพื่อให้แสงและความร้อนช่วยในการฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3124 | ของบประมาณสนับสนุนในการขยายการดำเนินโครงการจัดทำระบบคอมพิวเตอร์ฯ | สธ | 22/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่
มีมติอนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขปรับขยายโครงการจัดทำระบบคอมพิวเตอร์เพื่อการบริหารข้อมูลข่าวสารด้าน การเงิน การคลัง และข้อมูลของโรงพยาบาล จากเดิม โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 92 แห่ง เป็นโรง พยาบาลทั่วประเทศ 816 แห่ง ได้ โดยให้กระทรวงสาธารณสุขทำความตกลงในรายละเอียดและวงเงินค่าใช้จ่าย โครงการ ฯ กับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง เพื่อสำนักงบประมาณจะได้จัดสรรงบประมาณให้ตามความจำเป็น ต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเกี่ยวกับการดำเนินโครงการจัดทำ ระบบคอมพิวเตอร์ ฯ ดังกล่าว ควรพิจารณาใช้เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายหลักในการเชื่อมโยงหน่วยงาน ในสังกัดและใช้เทคนิค Virtual Private Network (VPN) ซึ่งจะเป็นประโยชน์ดียิ่งขึ้น สำหรับในส่วนของระบบสาร สนเทศเพื่อการบริหาร ควรพิจารณาให้เป็น Software กลาง เพื่อให้ส่วนราชการอื่น ๆ ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน และเนื่องจากโครงการนี้ได้จัดทำไว้เมื่อปี พ.ศ. 2543 จึงเห็นควรปรับกรอบเวลาของแผนการดำเนินงานและราย ละเอียดโครงการให้สอดคล้องกับกรอบเวลา ขอบเขตของเป้าหมาย และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และการสื่อสาร ที่เปลี่ยนไป ตลอดจนขยายการเชื่อมต่อระบบสารสนเทศกับหน่วยงานภายนอก รวมทั้งข้อสังเกตของ คกก.6 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ เพื่อเป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประโยชน์ที่สุด กระทรวงสาธารณสุข ควรนำโครงการนี้ไปเชื่อมโยงกับหน่วยงานภายนอกเพื่อให้ส่วนราชการอื่น ๆ ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน นอกจากนี้ ควรสำรวจทรัพยากรที่ใช้ในโครงการ ฯ เพื่อประเมินความคุ้มค่า ตลอดจนการนำผลงานในลักษณะเดียวกันนี้ ของหน่วยงานอื่นที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้แล้ว มาเป็นตัวอย่างในการดำเนินงานต่อไปของกระทรวงสาธารณ สุขด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3125 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 628 ร. เรื่อง การดำเนินการโครงการเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน) | สผ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 628 ร. เรื่อง
การดำเนินโครงการเรียนรู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด ขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) โครงการเรียน รู้ร่วมกันสรรค์สร้างชุมชน มีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งให้นิสิต นักศึกษา ได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง โดยให้นิสิต นัก ศึกษาได้มีงานทำชั่วคราวระหว่างปิดภาคเรียน ซึ่งนิสิต นักศึกษา จะได้รับประสบการณ์ตรงจากการทำกิจกรรม ร่วมกันในชุมชน โดยได้เรียนรู้ถึงขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นและความเป็นอยู่อย่างแท้จริงของชาวชุมชน และ ในขณะเดียวกันราษฎรในพื้นที่ยังจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ในสาขาที่นิสิต นักศึกษา ได้เรียนหรือสามารถให้ ข้อเสนอแนะได้ เช่น การพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือโครงการ/กิจกรรมที่ชุมชนกำลังดำเนินการอยู่ อาทิ โครงการ หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น โดยมีคณาจารย์ของสถาบันในท้องถิ่นทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา และทำ การประเมินผลปฏิบัติงาน ดังนั้น โครงการดังกล่าวจึงไม่ส่งผลกระทบอันเป็นการทำลายกิจกรรมการออกค่าย อาสาพัฒนาทั่วไป (2) การกำหนดพื้นที่การจัดกิจกรรมภาคสนามใน 76 จังหวัด ได้กำหนดพื้นที่จังหวัดละ 2 ชุมชน รวม 152 ชุมชน โดยให้มหาวิทยาลัย/สถาบันในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 16 แห่ง เป็นแกน กลางในการประสานงาน ให้คำแนะนำปรึกษาและสรุปประมวลผลงาน ทั้งนี้ จะพิจารณาจากความพร้อมในแต่ ละตำบลเพื่อจัดเป็นพื้นที่ในการดำเนินโครงการ ส่วนกิจกรรมหน่วยงานราชการเป็นผู้เสนอโครงการตามความ เหมาะสมกับสภาพของชุมชนและสังคมเป็นหลัก และ (3) การสมัครเข้าร่วมในโครงการ ทุกสถาบันการศึกษา ในระดับอุดมศึกษาทั้งภาครัฐ และเอกชน มีสิทธิที่จะเข้าร่วมโครงการ โดยผู้สมัครจะต้องเป็นนิสิต นักศึกษา และ กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี หลักสูตรปกติชั้นปีที่ 3 ขึ้นไปในวันสมัคร มีความประพฤติดี สามารถร่วมงาน กับผู้อื่นได้ และสมัครใจเข้าร่วมโครงการ และร่วมปฏิบัติงานได้จนครบระยะเวลาที่กำหนด รวมทั้งจัดทำผลงาน สร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนที่ได้ปฏิบัติงานให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม ของทุกปี |
||||||||||||||||||||||||
3126 | แนวทางการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก | นร | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่มี
มติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอผลการศึกษาของโครงการศึกษา รูปแบบการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก รวมทั้งเห็นชอบแนวทางการบริหารจัด การการใช้ประโยชน์โครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยให้กรมทรัพยากรน้ำ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ สิ่งแวดล้อม และคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รับไปดำเนินการในการแก้ไขปัญหาตามแนวทางดังกล่าว โดย พิจารณาภาพรวมทั้งระบบ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบ ประมาณ และข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย โดยข้อสังเกตของ คกก.3 มีดังนี้ (1) การออก แบบโครงสร้างของบ่อน้ำ ควรกำหนดโครงสร้างบ่อน้ำให้มีมาตรฐานเดียวกันและสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่า (2) ควรมีข้อมูลด้านขนาดของพื้นที่ต่อจำนวนของแหล่งน้ำหรือขนาดของแหล่งน้ำเพื่อให้สามารถแก้ปัญหาการขาด แคลนแหล่งน้ำในพื้นที่ได้อย่างชัดเจน (3) การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารจัดการแหล่งน้ำ ควรแบ่งแยกการบริหาร จัดการระหว่างแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภคหรือบริโภคกับแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งมีการบริหารจัดการที่แตกต่างกัน (4) มีการเชื่อมโยงระหว่างนโยบายและการปฏิบัติทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค และ (5) การถ่ายโอนภารกิจไปสู่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ควรคำนึงถึงภารกิจความจำเป็น หรือความพร้อมของท้องถิ่นในการดำเนินโครงการ ฯ เป็นหลัก นอกจากนี้ ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติดำเนินการประมวลตัวเลข ค่าใช้จ่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด และระบุถึงการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำของแต่ละหน่วยงานว่าได้ใช้ไป เพื่อการใดบ้าง ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า อำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสงวน อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม การใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ ฯ ซึ่งควรจะได้ มีการทำงานตามภารกิจหน้าที่ในเชิงรุกให้มากขึ้น และหากมีความจำเป็นก็อาจมีการว่าจ้างที่ปรึกษามาช่วยเหลือใน การดำเนินการด้วยก็ได้ |
||||||||||||||||||||||||
3127 | ขออนุมัติงบประมาณปี 2546 โครงการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแหล่งงบประมาณ | สธ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (คกก.6) ที่มี
มติอนุมัติเงินงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2546 จำนวน 77.965 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพด้านการแพทย์และสาธารณสุข สำหรับรายละเอียดค่าใช้จ่ายโครงการ ฯ ให้กระทรวง สาธารณสุขทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของ คกก.6 ที่เห็นควรให้มีระบบเชื่อมโยงและบูรณาการระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงอุตสาหกรรมด้วย เพื่อ เน้นมาตรฐานของสินค้า ซึ่งในอนาคตการส่งสินค้าเกษตรสู่ต่างประเทศ หากไม่มีคุณภาพจะถูกส่งกลับหมด และ ถ้าสามารถเชื่อมโยงภารกิจของสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กับโครงการพัฒนาชุดทดสอบ จุลินทรีย์ปนเปื้อนอาหารจะสามารถยกระดับคุณภาพสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3128 | ของบกลางโครงการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองประวัติศาสตร์เวียงกุมกาม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 | วธ | 08/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวัฒนธรรม (กรมศิลปากร) เสนอโครงการอนุรักษ์และพัฒนา
เมืองประวัติศาสตร์เวียงกุมกาม โดยใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 งบกลาง เพื่อกระตุ้น เศรษฐกิจ (งบกลาง สกศ./45) ภายในวงเงิน 40,000,000 บาท ได้ โดยรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณให้ขอ ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณอีกครั้งหนึ่ง และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ กิจและสังคมแห่งชาติ เกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ฯ ซึ่งอยู่ในบริเวณชุมชน ดังนั้น การจัดทำแผนแม่บทจึงควรมี แผนการบริหารจัดการให้ความสำคัญใน 2 ประเด็น คือ (1) การมีส่วนร่วมของชุมชนและองค์การบริหารส่วน ตำบลในพื้นที่ ในการดูแลรักษาแหล่งโบราณสถานภายหลังการบูรณะ รวมทั้งการจัดการในช่วงที่น้ำท่วมเพื่อ ให้เกิดความยั่งยืน และ (2) การใช้ประโยชน์จากอาคารศูนย์ข้อมูลและนิทรรศการ โดยให้มีการจัดเก็บค่าเข้า ชมและการให้องค์การบริหารส่วนตำบล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดแสดงและจำหน่าย สินค้าเพื่อเป็นรายได้ในการดูแลรักษาศูนย์ข้อมูล ฯ ได้ในระยะยาว ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3129 | สินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) | นร | 01/04/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์
(OTOP) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระตุ้นเร่งเร้าและเพิ่มโอกาสในการจำหน่ายสินค้า โดยการเพิ่มแหล่งจำหน่าย สินค้า (outlet) ให้มากขึ้น ดังนั้น การพิจารณาอนุมัติสถานที่เพื่อเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้า จึงควรเร่งรัดดำเนิน การให้แล้วเสร็จโดยเร็ว นอกจากนี้ ยังควรใช้สถานบริการน้ำมันซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ เป็นจุดจำหน่ายสินค้าอีกทางหนึ่งด้วย และโดยที่คณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้แล้วเมื่อวันที่ 2 และ 21 มกราคม 2546 ตามลำดับ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รับเรื่องนี้ไปประสาน และเร่งรัดการดำเนินการตามมติดังกล่าวให้ได้ผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3130 | ขอขยายเป้าหมายและระยะเวลาดำเนินงานโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทย | อก | 25/03/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ (1) อนุมัติให้กระทรวงอุตสาหกรรมนำ
งบประมาณคงเหลือประมาณ 490.58 ล้านบาท มาดำเนินงานโครงการชุบชีวิตธุรกิจไทยต่อไป อีกจำนวน 1,100 วิสาหกิจ โดยขยายการเบิกจ่ายและก่อหนี้ผูกพันในการดำเนินการโครงการต่อไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2547 (2) อนุมัติในหลักการ ไม่กำหนดเป้าหมายให้มีการจ้างผู้ช่วยที่ปรึกษา เนื่องจากสภาพการจ้างงานในภาพรวมดี ขึ้น และการดำเนินโครงการที่ผ่านมาผู้ช่วยที่ปรึกษาที่รับจากบัณฑิตว่างงานมักเลือกงาน มีอัตราการเข้าออกงาน สูง เกิดปัญหาความไม่ต่อเนื่องในการปฏิบัติงานร่วมกับที่ปรึกษาและวิสาหกิจ และ (3) อนุมัติปรับปรุงการจัด เก็บค่าธรรมเนียมสมทบจากวิสาหกิจที่เข้าร่วมโครงการจากที่เคยจัดเก็บอัตราร้อยละ 10 และ 20 ของค่าจ้างที่ ปรึกษาเชิงลึก กรณีวิสาหกิจมีการจ้างงานไม่เกิน 100 คน และกรณีวิสาหกิจมีการจ้างงานเกินกว่า 100 คน แต่ไม่ เกิน 200 คน ตามลำดับ เป็นอัตราใหม่ตามที่เสนอ ทั้งนี้ การขยายการเบิกจ่ายเงิน ให้กระทรวงอุตสาหกรรม ตกลงกับกระทรวงการคลังในการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3131 | กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา (กระทู้ถามที่ 851 ร. เรื่อง ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี) | สผ | 04/03/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 851 ร.
เรื่อง ปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการเหมืองแร่โปแตช จังหวัดอุดรธานี ของนายพินิจ จันทร์สมบูรณ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) โดยให้แก้ไขตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเสนอแก้ไข คำตอบกระทู้ถามข้อ 1 หน้า 2 ซึ่งพิมพ์คลาดเคลื่อน จากเดิม "-สร้างรายได้จากค่าภาคหลวงปีละประมาณ 7,000 ล้านบาท" เป็น "-สร้างรายได้จากค่าภาคหลวงปีละประมาณ 700 ล้านบาท" และให้ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาต่อไป สำหรับสาระสำคัญของคำตอบกระทู้ถามเรื่องนี้ สรุปได้ว่า (1) หลักเกณฑ์และเงื่อน ไขในการอนุญาตให้มีการทำเหมืองแร่ใต้ดินซึ่งตามพระราชบัญญัติแร่ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 ได้กำหนด เงื่อนไขในประทานบัตรทำเหมืองใต้ดินไว้เป็นขั้นตอนตามมาตรา 88 ได้แก่ ขั้นตอนก่อนได้รับประทานบัตร และขั้นตอนเมื่อได้รับประทานบัตร (2) รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม Environmental Impact Assessment (EIA) ของโครงการเหมืองแร่โปแตชจังหวัดอุดรธานี บริษัท เอเชีย แปซิฟิคโปแตช คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้เสนอรายงานให้พิจารณาตั้งแต่ขั้นอาชญาบัตรพิเศษ ซึ่งตามกฎหมายเจ้าของโครงการสามารถยื่น รายงานในขั้นตอนใด ๆ ที่ไม่เกินขั้นขออนุญาตประทานบัตร และในการพิจารณารายงานของคณะกรรมการ ผู้ชำนาญการก็จะพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในรายงานขณะนั้น ในกรณีที่เจ้าของโครงการยื่นคำขอ ประทานบัตรต่อหน่วยงานผู้อนุญาตแล้ว หากข้อเท็จจริงบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปอันอาจจะทำให้ผลกระทบ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง เจ้าของโครงการต้องเสนอรายงานให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาใหม่ และ (3) การพิจารณาให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม สำนักงานนโยบายและแผน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจะกำหนดมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมาตร การในการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ กระทรวง อุตสาหกรรม จะเป็นหน่วยงานควบคุมและการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการดังกล่าวอย่างเคร่งครัด และ หากได้รับการร้องเรียนจากราษฎรที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียงว่าได้รับผลกระทบจากการดำเนินโครงการ บริษัท เอเชีย แปซิฟิค โปแตช ฯ จะต้องยุติการทำเหมือง แล้วแก้ไขเหตุแห่งความเดือดร้อนให้เสร็จสิ้นก่อนที่จะ ดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3132 | การดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | รง | 04/03/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบ
อุทกภัย ซึ่งเป็นการรายงานสรุปผลการดำเนินงานทั้งหมด ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 31 มกราคม 2546 โดยข้อมูลของศูนย์อำนวยการบรรเทาสาธารณภัย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาด ไทย ณ วันที่ 20 มกราคม 2546 ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัยอยู่ 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัด นครศรีธรรมราช มีราษฎรได้รับความเดือดร้อน 1,325,053 ครัวเรือน 4,888,979 คน เสียชีวิต 216 คน พื้น ที่การเกษตร สถานที่ราชการ รวมทั้งสิ่งสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหายมูลค่าเบื้องต้นประมาณ 13,233 ล้านบาท สำหรับผลการดำเนินงานให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ซึ่งเริ่มดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2545 เป็นต้นมา ในพื้นที่ 58 จังหวัด ทั้งการช่วยเหลือเฉพาะหน้าและการช่วยเหลือ ระยะยาวภายหลังน้ำลด โดยผลการช่วยเหลือ ณ วันที่ 31 มกราคม 2546 สามารถช่วยเหลือราษฎรได้ทั้งสิ้น 558,241 คน จำแนกเป็น บรรจุงานให้มีงานทำทันที 3,568 คน จ่ายเป็นค่าอาหารสำหรับผู้เข้ารับการฝึก อาชีพ 6.71 ล้านบาท เข้ารับบริการทางการแพทย์เคลื่อนที่ 36,198 คน และผู้ประกอบการกู้เงินเพื่อนำไป ปรับปรุงกิจการ 1.3 ล้านบาท และจากการดำเนินโครงการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่ผ่านมาของกระทรวง แรงงาน ส่งผลให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างมากมายหลายประการทั้งทางตรงและทางอ้อม อนึ่ง ขณะนี้ สถานการณ์อุทกภัยได้กลับสู่ภาวะปกติ และโครงการการให้ความช่วยเหลือ ฯ ส่วนใหญ่ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ถึงแม้ ยังคงมีบางจังหวัดที่มีโครงการต่อเนื่อง แต่กิจกรรมดังกล่าวจะสามารถเสร็จสิ้นทุกโครงการภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 กระทรวงแรงงานจึงขอยุติการรายงานผลการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภายหลังน้ำลด โดยโครง การที่ต่อเนื่องดังกล่าวจะได้ติดตามและรายงานในระดับการรายงานปกติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3133 | การจัดงานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 | นร | 25/02/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานการจัดงานเฉลิมพระ
เกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 12 สิงหาคม 2547 สรุปได้ว่า คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ฯ ได้มีการประชุม เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2545 และได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ รวม 7 คณะ เพื่อช่วยเหลือการ ปฏิบัติงาน ได้แก่ คณะกรรมการฝ่ายพิธี คณะกรรมการฝ่ายโครงการและกิจกรรม คณะกรรมการฝ่ายประมวล เอกสารและจดหมายเหตุ คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ คณะกรรมการฝ่ายรักษาความปลอดภัยและการ จราจร คณะกรรมการฝ่ายติดตามและประเมินผลและคณะกรรมการดำเนินโครงการและกิจกรรมฝ่ายสตรี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีมติให้ดำเนินการกำหนดชื่อพระราชพิธีและชื่อการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ฯ ทั้งภาษา ไทยและภาษาอังกฤษ ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการนำความกราบบังคมทูลพระกรุณาขอพระราชทานพระบรมราช วินิจฉัยการใช้ชื่อดังกล่าว และจัดการประกวดภาพตราสัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ ฯ โดยมอบหมายให้กรม ศิลปากรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ รวมทั้งกำหนดระยะเวลาการจัดงานกับระยะเวลาของการประดับธงและตรา สัญลักษณ์งานเฉลิมพระเกียรติ ฯ เป็นระยะเวลาช่วง 1 ปี ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2547 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2547 และได้มอบหมายภารกิจบางประการให้คณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ พิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
3134 | การเดินรณรงค์ รวมใจ แรงงานไทย ไร้ยาเสพติด | รง | 25/02/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการดำเนินโครงการเดินรณรงค์รวมใจ
แรงงานไทย ไร้ยาเสพติด สรุปได้ว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2546 กระทรวงแรงงานได้ดำเนินการโครง การสำคัญเพื่อรณรงค์ตลอดจนกระตุ้นให้ผู้ใช้แรงงานมีความตระหนักถึงพิษภัยของยาเสพติด โดยการรวมพลัง ผู้ใช้แรงงานเดินรณรงค์เพื่อต่อต้านยาเสพติดพร้อมกันทั่วประเทศ ปรากฏว่า มีผู้ใช้แรงงานให้ความร่วมมือเดิน รณรงค์รวม 121,084 คน จำแนกเป็นในกรุงเทพมหานครประมาณ 37,000 คน มีรองนายกรัฐมนตรี (นาย กร ทัพพะรังสี) เป็นประธาน และนำกล่าวคำปฏิญาณตนไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ส่วนในภูมิภาคมีผู้ใช้แรงงาน เข้าร่วมเดินรณรงค์ 84,084 คน นอกจากนี้ มีข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้ใช้แรงงาน และครอบครัวได้ลงนาม แสดงเจตจำนงไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดทั่วประเทศ จำนวน 1,960,425 คน และจะได้รณรงค์อย่างต่อเนื่องให้ ผู้ใช้แรงงานร่วมลงนามครบทุกคนทั้ง 7 ล้านคน รวมทั้งครอบครัวผู้ใช้แรงงานด้วยภายในสิ้นเดือนเมษายน 2546 ทั้งนี้ กระทรวงแรงงานได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัด ทั้งส่วนกลางและภูมิภาคให้ความสำคัญในการ ดำเนินงานด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยให้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องและจริงจัง |
||||||||||||||||||||||||
3135 | โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย | นร | 11/02/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเกี่ยวกับโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มี
รายได้น้อยและคนจนในเมือง ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2546 โดยได้เห็นชอบให้กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งเป็นโครงการที่ดี ควรที่จะขยายการดำเนิน โครงการให้กระจายครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น จึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) ไปหารือกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) และ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เพื่อกำหนดแนวทางที่จะขยายการดำเนินโครงการ แล้วนำเสนอ คณะรัฐมนตรีต่อไป สำหรับการออกแบบอาคารให้พิจารณารูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่ประหยัดพลังงาน ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3136 | สัปดาห์ "รักชาติ ร่วมต้านทุจริต" | นร | 11/02/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (นายจุลยุทธ หิรัณยะวสิต) รักษาราชการ
แทนเลขาธิการคณะรัฐมนตรี รายงานว่า สำนักงาน ก.พ. ได้กำหนดให้วันที่ 11-16 กุมภาพันธ์ 2546 เป็นสัปดาห์ "รักชาติ ร่วมต้านทุจริต" เพื่อส่งเสริมจริยธรรมต่อต้านการทุจริตด้วยการรณรงค์ปลุกจิตสำนึก ค่านิยมของข้าราช การ และประชาสังคมให้ร่วมกันต่อต้านทุจริตทั้งในภาครัฐและเอกชน โดยมีกิจกรรมเพื่อการรณรงค์ในสัปดาห์ "รัก ชาติ ร่วมต้านทุจริต" ด้วย ในการนี้ สำนักงาน ก.พ. ได้นำทูตจริยธรรมมามอบเข็มกลัดสัญลักษณ์ "โครงการเสริม สร้างจริยธรรม : รวมพลังสร้างชุมชนเข้มแข็งป้องกันทุจริต" ให้แก่นายกรัฐมนตรีรวมทั้งได้จัดเข็มกลัดให้แก่รัฐมนตรี ทุกท่านเพื่อติดเข็มกลัดนี้ อันจะเป็นการช่วยรณรงค์เผยแพร่การดำเนินโครงการดังกล่าวด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3137 | แนวทางการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย | กค | 04/02/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (คกก.5)
ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงการคลังเสนอแนวทางการส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย โดยมาตรการ ภายใต้กลยุทธ์ส่งเสริมกิจการที่ปรึกษาไทย ให้กระทรวงการคลังดำเนินการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและ ที่ปรึกษา จัดทำคู่มือขีดความสามารถและวิธีการจ้างที่ปรึกษา ส่งเสริมที่ปรึกษาไทยให้ไปทำงานต่างประเทศ ปรับอัตราค่าตอบแทนที่ปรึกษาและพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย สำหรับการขอจัดสรรเงินงบประมาณเพื่อ สนับสนุนที่ปรึกษาไทยไปทำงานในต่างประเทศ ให้จัดทำรายละเอียดการขอใช้เงินของแต่ละโครงการให้มีความ ชัดเจน และนำเสนอให้คณะกรรมการร่วมภาครัฐและที่ปรึกษาเป็นผู้พิจารณาเป็นคราว ๆ ไป ทั้งนี้ ให้กระทรวง การคลังรับความเห็นของ คกก.5 ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ (1) การกำหนดแนวทางการส่งเสริมที่ ปรึกษาไทยควรครอบคลุมถึงที่ปรึกษาในทุกสาขา (2) การพัฒนาศูนย์ข้อมูลที่ปรึกษาไทย ควรจัดทำข้อมูลที่ ปรึกษาโดยจำแนกประเภทของที่ปรึกษาให้ชัดเจน และจัดลำดับขีดความสามารถของบริษัทที่ปรึกษาไทยในแต่ละ ประเภท เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษา (3) โครงการต่าง ๆ ที่รัฐบาลไทย ให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศเพื่อนบ้าน ควรมีมาตรการสนับสนุนหรือกำหนดเงื่อนไขเป็นพิเศษเพื่อผลักดันให้ที่ ปรึกษาไทยไปรับงานในประเทศเหล่านั้นให้มากขึ้น (4) การจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาของส่วนราชการ หรือรัฐ วิสาหกิจ ให้คำนึงถึงการจ้างบริษัทที่ปรึกษาไทยเป็นอันดับแรก กรณีการดำเนินโครงการใหญ่ ๆ ให้พิจารณา ความเป็นไปได้ในการกำหนดเป็นเงื่อนไขว่า บริษัทที่ปรึกษาต่างประเทศที่ได้รับการว่าจ้างจะต้องมีบริษัทที่ปรึก ษาไทยร่วมเป็นหุ้นส่วนด้วย และ (5) การขอให้รัฐจัดสรรค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนให้ความช่วยเหลือพัฒนา เศรษฐกิจแก่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อส่งเสริมที่ปรึกษาไทยไปทำงานต่างประเทศน่าจะไม่เหมาะสม การขอสนับ สนุนงบประมาณในเรื่องนี้ ควรเสนอมาเป็นรายโครงการให้ละเอียดชัดเจน และควรให้คณะกรรมการร่วมภาค รัฐและที่ปรึกษาที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นผู้พิจารณา |
||||||||||||||||||||||||
3138 | โครงการขยายระบบส่งไฟฟ้า ระยะที่ 10 (พ.ศ. 2545 - 2548) ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | นร | 28/01/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 (คกก.5)
ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายพรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช) ประธาน คกก.5 เสนอให้ความเห็นชอบตามที่สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอโครงการขยายระบบส่งไฟฟ้า ระยะที่ 10 ของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยให้ กฟผ. รับความเห็นของ คกก.5 ไปประกอบการดำเนิน โครงการต่อไป ดังนี้ (1) ให้ กฟผ. ปรับเปลี่ยนกรอบระยะเวลาใหม่จากเดิม ระหว่างปี พ.ศ. 2545-2548 เป็น ระหว่างปี พ.ศ. 2546-2549 และให้ กฟผ. เร่งดำเนินโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลา โดยให้ ความสำคัญแก่การดำเนินโครงการในพื้นที่ที่มีความจำเป็นและต้องการใช้ไฟฟ้าก่อน (2) สำหรับทุนที่ กฟผ. จะใช้ในการดำเนินโครงการ ควรใช้จากเงินรายได้ของ กฟผ. ก่อน เนื่องจาก กฟผ. อยู่ระหว่างดำเนินการเข้าจด ทะเบียนและกระจายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ให้แล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2547 อยู่แล้ว และหากจำเป็นต้องกู้เงินจาก ต่างประเทศก็ให้กู้เฉพาะส่วนที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า เพื่อให้การพิจารณาโครงการ ลงทุนต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจเป็นไปด้วยความเหมาะสมรอบคอบ สอดคล้องกับฐานะทางการเงิน และความ สามารถในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจเอง ให้รัฐวิสาหกิจจัดทำรายละเอียดข้อมูลทางการเงิน เช่น จำนวนทรัพย์ สิน หนี้สิน และรายได้ของรัฐวิสาหกิจ ก่อนหักค่าดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา (Earning Before Interest and Depreciation Amortization - EBIDA) เสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยทุกครั้ง |
||||||||||||||||||||||||
3139 | การตรวจสอบการใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) | พณ | 28/01/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการนโยบาย
และมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรเสนอผลการตรวจสอบการใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) และ เห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติมให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับไปดำเนินการจัดจ้างผู้ ตรวจสอบอิสระที่มีความรู้และประสบการณ์ รวมทั้งเป็นมืออาชีพเพื่อทำหน้าที่เร่งรัดตรวจสอบ ติดตาม และสรุป ผลการดำเนินโครงการของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ยืมเงินจาก คชก. ไปเป็นทุนหมุนเวียนดำเนินงานและยังไม่ได้ใช้คืน แก่ คชก. ทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยในชั้นต้นนี้ให้เร่งรัด ตรวจสอบข้อมูลทางด้านการเงินของโครงการก่อน (Financial Audit) และในระยะต่อไป ให้ดำเนินการตรวจสอบและประเมินผลในด้านการปฏิบัติงาน (Performance Audit) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะในการปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินโครงการต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวในส่วนที่ เกี่ยวข้องด้วย และให้เร่งรัดดำเนินการติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ on line เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลการใช้จ่ายเงิน และการ ดำเนินงานโครงการต่าง ๆ ขององค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) องค์การคลังสินค้า (อคส.) และธนาคารเพื่อ การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ที่ใช้เงินทุนหมุนเวียนของ คชก. เพื่อให้ทราบความเคลื่อนไหวและผล การดำเนินงานได้อย่างรวดเร็ว สามารถใช้เป็นข้อมูลประกอบการอ้างอิง และตรวจสอบได้ และให้กระทรวงการ คลังรับไปประสานและเจรจาต่อรองกับ ธกส. เพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยที่ ธกส. คิดจากโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับ สินเชื่อจาก ธกส. และยังไม่สามารถปิดโครงการได้ในปัจจุบันเพื่อให้ได้รับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมและเป็นธรรม มากยิ่งขึ้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายของโครงการและประหยัดเงิน คชก. ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3140 | ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและคนจนในเมือง | พม | 14/01/2546 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอโครงการแก้ไข
ปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อย โครงการ "บ้านเอื้ออาทร" และโครงการพัฒนาความมั่นคงที่อยู่อาศัยคนจนใน ชุมชนแออัด โครงการ "บ้านมั่นคง" โดยให้ตัดคำว่า "ไม่เกินร้อยละ 4" ออกจากข้อเสนอที่ให้กระทรวงการคลัง จัดหาแหล่งเงินทุนดอกเบี้ยต่ำให้แก่การเคหะแห่งชาติ สำหรับงบประมาณในส่วนเงินอุดหนุนเพื่อดำเนินการทั้ง 2 โครงการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 จำนวน 451 ล้านบาทเศษ ให้ใช้จ่ายจากงบกลาง ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อ กระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนที่เหลือให้เสนอขอตั้งงบประมาณปกติในปีต่อ ๆ ไป และให้จัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวด ล้อมสำหรับโครงการที่เกี่ยวข้องเสนอคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมโดยด่วนต่อไป และให้รับความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกต ว่า วงเงินที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบทั้ง 2 โครงการ เป็นเพียงกรอบวงเงิน ซึ่งในการดำเนินโครงการที่มี จำนวนหน่วยมาก ถ้าใช้วิธีการจัดซื้อจัดจ้างผ่านระบบ Internet (E-auction) จะทำให้วงเงินลดลงและประหยัด ค่าใช้จ่ายได้อีกมาก และในส่วนของโครงการ "บ้านมั่นคง" ให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน ซึ่งเป็นองค์การมหาชน เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ เนื่องจากมีระบบการบริหารจัดการที่แตกต่างจากการเคหะแห่งชาติซึ่งเป็นรัฐวิสาห กิจ และควรประสานงานกับการเคหะแห่งชาติอย่างใกล้ชิด เพื่อมิให้เกิดปัญหาอุปสรรคใด ๆ ขึ้น และให้กระทรวง การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์พิจารณาแผนการดำเนินงาน รวมทั้งกำหนดเป้าหมายที่ต้องการให้ สภาพชุมชนแออัดหมดไปภายในเวลาที่กำหนด โดยอาจพิจารณาดำเนินการในที่ดินของรัฐวิสาหกิจที่มีผู้บุกรุก ยึดครอง โดยนำมาจัดปรับปรุงเป็นที่อยู่อาศัยแล้วให้เช่าระยะยาว และอาจประสานกับสำนักงานทรัพย์สินส่วน พระมหากษัตริย์ เพื่อดำเนินการโครงการในทำนองเดียวกันนี้ด้วย ก็จะเป็นการแก้ไขปัญหาได้อีกทางหนึ่ง
|
.....