ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 156 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3101 - 3120 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3101 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการหนึ่งอำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน | ศธ | 08/07/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการรายงานความก้าวหน้าการดำเนินโครงการหนึ่ง
อำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน (Lab School) สรุปได้ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายหนึ่ง อำเภอ หนึ่งโรงเรียนในฝัน ขึ้นเพื่อดำเนินการตามแนวคิดโครงการ ซึ่งสอดคล้องกับการปฏิรูปการศึกษาตาม พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 โดยได้ดำเนินภารกิจหลักให้เป็นไปตามเป้าหมาย ได้แก่ การคัด เลือกโรงเรียน ได้จัดทำเกณฑ์และคัดเลือกโรงเรียนในทุกอำเภอ และเพิ่มโรงเรียนอีก 1 โรงเรียนในทุกกิ่งอำเภอ และเขตต่าง ๆ ในกรุงเทพมหานครให้เป็นโรงเรียนเป้าหมายที่จะพัฒนาให้เป็นโรงเรียนในฝัน และได้กำหนด หลักสูตรการพัฒนาแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยนำระบบข้อมูลสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการ รวมทั้งกำหนดขั้นตอนและวิธีการพัฒนาพร้อมตัวชี้วัดซึ่งจะนำสู่การปฏิบัติได้ทันที นอกจากนี้ ยังได้กำหนดหลัก สูตร และกระบวนการเรียนรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้โรงเรียนในโครงการสามารถจัดหลักสูตรได้อย่างกว้างขวาง ยืด หยุ่นและมีความคล่องตัว การจัดทำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) สำหรับโครงการ การ พัฒนาวิธีการบริหารให้มีความคล่องตัว และมีประสิทธิภาพที่เอื้อต่อการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นต้นแบบ และเป็นแหล่งเรียนรู้ของประชาชนและพัฒนาชุมชนในพื้นที่ การกำกับ ติดตาม และประเมินโครง การ การประชาสัมพันธ์โครงการ และกำหนดแนวทางการสนับสนุนและการตอบแทนให้แก่ผู้สนับสนุนโครง การ สำหรับแผนงานที่จะดำเนินการต่อไป ได้แก่ (1) จัดทำแผนแสดงความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนในฝันของ แต่ละอำเภอกับสถาบันอุดมศึกษาและโรงเรียนชั้นนำทั้งของรัฐและเอกชนที่จะเป็นพี่เลี้ยง และบริษัทธุรกิจเอก ชนที่จะเข้ามาสนับสนุนร่วมจัดการศึกษา และ (2) จัดทำแผนปฏิบัติการโครงการ และนำภารกิจตามแผนสู่ การปฏิบัติให้การปฏิรูปโรงเรียนในฝันทั้งระบบเป็นไปตามเป้าหมาย |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3102 | งบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 16,600 ล้านบาท | นร | 01/07/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธาน
คณะกรรมการกลั่นกรองแผนงาน/โครงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคมเสนอ โครงการเพิ่มศักยภาพศูนย์รวบ รวมผักและผลไม้เพื่อการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้เบิกจ่ายจากงบปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม ใน วงเงิน 18.306 ล้านบาท ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ และให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็น ของคณะกรรมการกลั่นกรอง ฯ ที่เห็นควรให้มีการติดตามประเมินผลโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นต้นแบบใน การยกระดับการเพิ่มผลผลิต (Productivity) เนื่องจากโครงการนี้ สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การเพิ่มขีดความสามารถ ของประเทศด้านการเสริมสร้างศักยภาพการให้บริการภาครัฐ และมีส่วนสนับสนุนการส่งออกสินค้าผักและผลไม้ให้ ขยายตัว และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในตลาดต่างประเทศ ไปดำเนินการต่อไป สำหรับโครงการพัฒนาอุตสาหกรรม หนังฟอกแต่งสำเร็จ เนื่องจากเป็นโครงการที่สมควรดำเนินการ เพราะจะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อผู้ประกอบการ และมีส่วนช่วยในการพัฒนาคุณภาพมาตรฐานของวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องหนังของประเทศให้ทัดเทียมกับ ต่างประเทศ แต่โดยที่แนวทางการดำเนินโครงการยังขาดความชัดเจนหลายประการ จึงขอให้กระทรวงอุตสาหกรรม รับไปจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เช่น การจัดโครงสร้างและการบริหารจัด การในแบบธุรกิจที่เหมาะสม (business module) ความเป็นไปได้ในเชิงธุรกิจเพื่อให้มีความยั่งยืน การร่วมลงทุนของ ภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง และการสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนเทคโนโลยีที่จะใช้ เป็นต้น แล้วรายงานให้นายก รัฐมนตรีทราบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3103 | แผนการดำเนินโครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็นสำหรับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ | พน | 01/07/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้ (1) อนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ลงทุนในบริษัทร่วมทุน ระหว่าง กฟผ. บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ตามรายละเอียดในสัญญาร่วมทุน ระหว่างกัน ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้ตรวจพิจารณาเรียบร้อยแล้ว (2) อนุมัติให้บริษัทร่วมทุน กฟผ. ปตท. และ กฟน. ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับรัฐวิสาหกิจทั่วไปที่มีอยู่ แล้วในปัจจุบันและในอนาคต เพื่อให้บริษัทร่วมทุน กฟผ. ปตท. และ กฟน. สามารถบริหารงานในรูปแบบของ บริษัทเอกชนทั่วไปได้ และมีระเบียบข้อบังคับที่ใช้ปฏิบัติงานเป็นของตนเอง โดยไม่รวมถึงระเบียบว่าด้วยงบลงทุน ของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2522 ซึ่งออกตามความในมาตรา 12 (2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ พ.ศ. 2521 ตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่ว่า บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ต้อง ปฏิบัติตามระเบียบดังกล่าว (3) ให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนพิจารณาอนุมัติให้บริษัทร่วมทุน กฟผ. ปตท. และ กฟน. ได้รับสิทธิประโยชน์ตามหลักเกณฑ์เกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ โดยให้ได้รับยก เว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2541 เรื่อง การส่งเสริมการลงทุนกิจการสัมปทาน และการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย (4) ให้กระทรวงอุตสาหกรรม (กรมโรงงานอุตสาหกรรม) พิจารณาออกใบอนุญาตตั้งโรงงานและประกอบกิจการโรงงานให้แก่บริษัทร่วมทุน กฟผ. ปตท. และ กฟน. และ (5) ให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องให้ความอนุเคราะห์ ร่วมมือเร่งรัด และอำนวยความสะดวกในการดำเนินการ ก่อสร้าง ผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำเย็นของบริษัทร่วมทุน ปตท. และ กฟน. ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3104 | การจัดทำแผนงาน/โครงการป้องกันน้ำท่วมระยะเร่งด่วนในเขตพื้นที่วิกฤต 15 จังหวัด | ทส | 01/07/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ดำเนินการตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการ
ทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอโครงการป้องกันน้ำท่วมระยะเร่งด่วนในเขตพื้นที่วิกฤต รวม 15 จังหวัด (รวมจังหวัดอุตร ดิตถ์) รวมทั้งสิ้น 181 โครงการ ในวงเงินรวม 623.81 ล้านบาท สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ฯ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเจียดจ่ายงบประมาณส่วนที่เหลือจ่ายจากงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2546 ของส่วน ราชการก่อน หากไม่มีเงินเหลือจ่ายหรือมีอยู่ไม่เพียงพอ ให้เบิกจ่ายจากเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการปรับ ปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม (งบกลาง สศส./46) โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ และ ให้รองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายให้กำกับการปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาคกำกับดูแลและติดตามการดำเนิน โครงการต่าง ๆ ในจังหวัดที่รับผิดชอบให้เป็นไปด้วยความรวดเร็ว เรียบร้อย ถูกต้อง โปร่งใส และประหยัดด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม โดยการจัดทำช่องระบายน้ำ (Box Culvert) ลอด ถนนสายต่าง ๆ ในจุดที่ทางน้ำไหลผ่าน เท่าที่ผ่านมายังทำได้น้อยและไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในสายทางที่ก่อสร้าง ปิดกั้นทางไหลของน้ำ จึงขอให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการรับข้อสังเกตดังกล่าวไปประกอบการพิจารณาดำเนิน การโครงการให้เหมาะสมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3105 | กระทู้ถามที่ 396 เรื่อง การรับจำนำข้าวเปลือก | สผ | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 396 เรื่อง การรับจำนำ
ข้าวเปลือก ของนายนิพนธ์ คนขยัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดหนองคาย และมอบให้รัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) คณะกรรมการ นโยบายข้าว (กนข.) ได้กำหนดมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2545/46 โดยมีเป้าหมาย ปริมาณรับจำนำรวม 9.0 ล้านตันข้าวเปลือก โดยให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) รับจำนำจากเกษตรกรและสถาบันเกษตรที่มียุ้งฉางเป็นของตนเองรวมจำนวน 5.0 ล้านตันข้าวเปลือก และให้ องค์การคลังสินค้า (อคส.) และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) รับฝากและออกใบประทวนให้เกษตร กรและสถาบันเกษตรกรที่ไม่มียุ้งฉางเป็นของตนเองจำนวน 4.0 ล้านตันข้าวเปลือก และ ธ.ก.ส. รับจำนำใบ ประทวน โดยได้กำหนดระยะเวลารับจำนำตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2545 - 28 กุมภาพันธ์ 2546 ยกเว้น ภาคใต้ให้รับจำนำระหว่างกุมภาพันธ์-พฤษภาคม 2546 ระยะเวลาไถ่ถอน 3 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับ จำนำ สำหรับมาตรการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2546 ได้กำหนดเป้าหมายปริมาณรับจำนำรวม 2.0 ล้านตันข้าวเปลือก โดย อคส. และ อ.ต.ก. รับฝากและออกใบประทวน และ ธ.ก.ส. รับจำนำใบประทวน ระหว่างวันที่ 20 มีนาคม-กรกฎาคม 2546 ยกเว้นภาคใต้จะรับจำนำระหว่างกรกฎาคม-กันยายน 2546 ระยะเวลาไถ่ถอน 3 เดือนนับถัดจากเดือนที่รับจำนำ (2) ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการดำเนินโครงการรับ จำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2545/46 และโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรัง ปี 2546 ในกรณีที่ ในพื้นที่ไม่มีโรงสีเข้าร่วมโครงการ และ/หรือเข้าร่วมโครงการน้อย รวม 3 ประการ และ (3) การรับจำนำ ข้าวเปลือกของรัฐบาลที่ผ่านมาได้มีการเตรียมมาตรการและอนุมัติให้ดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกเป็น การล่วงหน้า ประมาณ 1 เดือน ก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3106 | กระทู้ถามที่ 1053 ร. เรื่อง ประโยชน์และผลกระทบจากโครงการขุดคอคอดกระ ในด้านเศรษฐกิจการคลัง | สผ | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1053 ร. เรื่อง ประโยชน์และ
ผลกระทบจากโครงการขุดคอคอดกระในด้านเศรษฐกิจการคลัง ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) กระทรวงการ คลังมีนโยบายสนับสนุนการจัดทำโครงการศึกษาความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระขั้นสมบูรณ์ หากผลการศึกษา ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระออกมาในเชิงบวก (2) กระทรวงการคลังได้ร่วมเป็นคณะกรรมการแห่งชาติศึกษา ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระ คณะอนุกรรมการแห่งชาติบริหารโครงการศึกษา ฯ คณะอนุกรรมการด้าน การเงินและการลงทุน และคณะอนุกรรมการด้านการระดมทุนและบริหารการเงิน ในการกำหนดขอบเขตโครงการ ศึกษา ฯ การยกร่าง Terms of Reference (TOR) เพื่อทำการศึกษาขั้นสมบูรณ์ (Full Feasibility Study : FS) และ การพิจารณาแนวทางระดมทุนเพื่อการดำเนินโครงการศึกษา ฯ ซึ่งโครงการดังกล่าวจะนำไปสู่การพัฒนาเป็นเขต เศรษฐกิจพิเศษ โดยภาครัฐจะรับผิดชอบดูแลด้านโครงสร้างพื้นฐาน ส่วนการบริหารจัดการจะเป็นหน้าที่ของภาค เอกชน และจะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในรายละเอียดหลังจากผลการศึกษาแล้วเสร็จ และ (3) โดยที่โครงการนี้จะนำ ไปสู่การพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ทำให้การจัดเก็บภาษีอาจมีความแตกต่างจากการประกอบธุรกิจโดยทั่วไป ในระดับหนึ่ง กระทรวงการคลังจึงจะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในกระบวนการจัดเก็บภาษีให้มากขึ้น รวมทั้งจะดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างภาษีให้สอดรับกับสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น หากมีการดำเนินโครง การขุดคอคอดกระจะไม่มีปัญหาใด ๆ ในการเตรียมการรองรับผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3107 | มติคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2545 | ทส | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอมติการประชุมคณะ
กรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 8/2545 เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2545 ซึ่งคณะกรรมการ ฯ ได้ให้การรับรอง แล้ว ประกอบด้วย เรื่องเพื่อทราบ 1 เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการนโยบายแก้ไขปัญหาความ ขัดแย้งที่เกิดจากการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ เรื่องสืบเนื่องเพื่อพิจารณา 1 เรื่อง ได้แก่ การพิจารณาให้สัตยา บันต่อพิธีสารเกียวโต เรื่องเพื่อพิจารณา 3 เรื่อง ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาผลกระทบ สิ่งแวดล้อมจากการก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณูวิจัย การปรับปรุงองค์ประกอบคณะอนุกรรมการจัดการพื้นที่ ชุ่มน้ำ การกำหนดค่ามาตรฐานการระบายสารปรอทจากแหล่งกำเนิดมลพิษประเภทเตาเผามูลฝอย และเรื่อง อื่น ๆ 1 เรื่อง ได้แก่ การมอบหมายให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ในฐานะกรรมการ และเลขานุการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เป็นผู้ดำเนินการแทนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เกี่ยว กับคดีหมายเลขดำ ที่ 304/2544 |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3108 | กระทู้ถามที่ 1055 ร. เรื่อง นโยบายสนับสนุนโครงการขุดคอคอดกระของกระทรวงกลาโหม | สผ | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1055 ร. เรื่อง นโยบาย
สนับสนุนโครงการขุดคอคอดกระของกระทรวงกลาโหม ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า (1) โครงการ ขุดคอคอดกระ หรือคลองกระเป็นโครงการขนาดใหญ่ของชาติ และเกี่ยวพันกับนานาประเทศ การตัดสินใจ ดำเนินการต้องศึกษาความเป็นไปได้ให้ชัดเจนเสียก่อนซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้แต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติศึกษา ความเป็นไปได้ในการขุดคลองกระเพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม โดยมีผู้แทนกระทรวงกลาโหม ร่วมเป็นกรรมการในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย และ (2) โครงการขุดคลองกระในปัจจุบันอยู่ในขั้นการศึกษา ความเป็นไปได้ของคณะกรรมการแห่งชาติ ฯ ดังนั้น การเตรียมมาตรการและปฏิบัติการทางทหารในการป้อง กันประเทศ เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการดังกล่าวต้องรอผลการตัด สินใจในระดับรัฐบาลก่อน |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3109 | รายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน | วท | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีแห่งชาติ รายงานผลการดำเนินโครงการสนับสนุนวิจัย พัฒนาและวิศวกรรมภาคเอกชน สรุปได้ดังนี้ (1) การบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผู้ประกอบการมากกว่าร้อยละ 94 สามารถดำเนินงานได้บรรลุผลสำเร็จตามโครงการที่ได้รับการสนับสนุน โดยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี พบว่า ผู้ประกอบการมีการจ้างบุคลากรวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 5 คนต่อกิจการ เป็น 8 คนต่อกิจการ ผู้ประกอบการมีการใช้จ่ายงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมเฉลี่ย 2.7 ล้านบาทต่อ กิจการ เป็น 5.4 ล้านบาทต่อกิจการ ซึ่งนับว่าเพิ่มสูงขึ้น (2) ก่อให้เกิดผลได้ทางด้านเศรษฐกิจแก่ผู้ประกอบการ พบว่า ผู้ประกอบการได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยมียอดขายที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่ลดลง คุณภาพของสินค้าดี ขึ้น และมีผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องจากการทำวิจัย (3) ผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับทางด้านวิทยาศาสตร์และเทค โนโลยี การดำเนินโครงการ ฯ ได้ส่งผลที่สำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยประโยชน์ที่ผู้ประกอบการ ได้รับคือ การมีผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นใหม่ เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ได้รับการปรับปรุงและพัฒนาขึ้นใหม่ กระบวนการ ผลิตใหม่หรือที่ได้ปรับปรุง ระดับความรู้หรือ know-how ที่ได้รับจากการวิจัย และผลต่อเนื่องอื่นที่เกิดจากการทำ วิจัย และ (4) ผลตอบแทนของโครงการที่มีต่อภาคเอกชนและสังคม พบว่า มีความคุ้มค่ากับการลงทุนมากทั้งใน แง่ของเอกชนที่เข้าร่วมโครงการและในแง่ของสังคมโดยรวม โดยเฉพาะในแง่ของสังคมโดยรวมได้ให้ผลตอบแทนใน รูปมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ที่มีมูลค่าสูงมาก ซึ่งมาจากผลประโยชน์ต่อสังคมในด้านการจ้างงานและการลงทุน ที่เพิ่มขึ้น จึงเป็นโครงการที่นับว่าได้ก่อให้เกิดผลประโยชน์ที่ดีมากต่อประเทศโดยรวม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3110 | ขออนุมัติโครงการกรุงเทพมหานครเมืองสีเขียว - สะอาดสดใส | นร | 24/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับโครงการกรุงเทพมหานครเมืองสีเขียว-สะอาดสดใส ตามที่รองนายกรัฐมนตรี
(ศาสตราจารย์ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) เสนอ โดยอนุมัติในหลักการโครงการกรุงเทพมหานครเมืองสีเขียว-สะอาด สดใส สำหรับวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ ฯ สำนักงบประมาณพิจารณาแล้วเห็นควรสนับสนุนการ ดำเนินการโครงการ ฯ ในวงเงินค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเป็นเงิน 544,677,200 บาท โดยเห็นสมควรให้กรุงเทพ ฯ มีส่วน ร่วมในวงเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าว โดยมีสัดส่วนระหว่างเงินรายได้ของกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 60 และงบประมาณ ของรัฐบาลร้อยละ 40 นั้น มอบให้สำนักงบประมาณประสานและเจรจากับกรุงเทพ ฯ โดยด่วน และให้นำเสนอ รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) พิจารณาถึงสัดส่วนระหว่างเงินรายได้ของกรุงเทพ ฯ และงบประมาณของรัฐบาลสำหรับใช้ในโครงการ ฯ ให้ได้ข้อยุติ แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยในส่วนของงบ ประมาณของรัฐบาลให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 งบกลาง รายการค่า ใช้จ่ายในการปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม (งบกลาง สศส./46) และโดยที่เป็นโครงการเร่งด่วน ของรัฐบาลจึงมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) เป็นผู้พิจารณาปรับปรุงเปลี่ยน แปลงรายละเอียดค่าใช้จ่าย และงานต่าง ๆ ตามโครงการได้ตามความจำเป็นและเหมาะสม ทั้งนี้ พันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่ ใช้ในการดำเนินโครงการอาจให้กรุงเทพ ฯ ประสานขอความร่วมมือจากกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อมโดยตรงต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3111 | รายงานการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับผลการประชุมประจำปี 2545 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ | นร | 17/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)
รายงานการติดตามความก้าวหน้าการดำเนินงานตามผลการประชุมประจำปี 2545 ของ สศช. เรื่อง ความอยู่ดีมี สุขของคนไทย : 5 ปีหลังวิกฤตเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2545 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและมอบ หมายให้ สศช. เป็นหน่วยงานกลางประสานการดำเนินงานกับส่วนราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง โดยผลการ ดำเนินงานตามผลการประชุม ฯ มีดังนี้ (1) การแก้ไขปัญหาความยากจน ได้แก่ การปรับปรุงแนวทางการดำเนิน งานของภาครัฐเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจน การส่งเสริมบทบาทชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคีการ พัฒนาในการแก้ไขปัญหาความยากจนในระดับครัวเรือน และจัดทำแผนชุมชนในพื้นที่ที่มีความยากจนหนาแน่นให้ ครบทุกตำบล รวมทั้งปรับปรุงและสนับสนุนมาตรการต่าง ๆ ที่มีความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน (2) การพัฒนาศักยภาพคนไทย และระบบการคุ้มครองทางสังคม ได้แก่ การจัดทำมาตรฐานคุณวุฒิวิชาชีพ การแปล หนังสือ ตำรา การเร่งรัดการดำเนินโครงการออมเพื่อเกษียณอายุแบบบังคับและแบบสมัครใจ (3) การพัฒนา ความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การกำหนดอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้เป็นไปตามศักยภาพของ ประเทศ การเร่งรัดจัดตั้งระบบประกันเงินฝาก เพื่อหลีกเลี่ยงภาระที่จะเกิดขึ้นกับภาครัฐในกรณีที่เกิดวิกฤตด้าน การเงิน การพัฒนาการค้าและความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันในระดับ วิสาหกิจและระดับสาขาการปรับปรุงกระบวนการจัดเตรียมโครงการลงทุนขนาดใหญ่ และการปฏิรูปภาครัฐที่ทำ หน้าที่จัดหาบริการพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ และ (4) การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม ได้แก่ การเร่งรัดจัดทำร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เพื่อลดปัญหาขัดแย้งในการใช้น้ำ และการ เร่งรัดการจัดทำร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3112 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหาความยากจน (กข.คจ.) | มท | 17/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยรายงานผลการดำเนินงานโครงการแก้ไขปัญหา
ความยากจน (กข.คจ.) ในช่วงระยะเวลาเดือนตุลาคม 2545 ถึงมกราคม 2546 (งวดที่ 1/2546) ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานโครงการ กข.คจ. ระยะที่ 1 ปี พ.ศ. 2536-2540 และระยะที่ 2 ปี พ.ศ. 2541-2544 สรุป ได้ดังนี้ (1) ผลการดำเนินโครงการ กข.คจ. ระยะที่ 1 ฯ ดำเนินการได้จำนวน 11,608 หมู่บ้าน งบประมาณ เงินทุนสำหรับหมู่บ้านเพื่อให้ครัวเรือนยากจนยืมไปประกอบอาชีพ 3,250.24 ล้านบาท ครัวเรือนยากจนเป้า หมาย 950,546 ครัวเรือน มีครัวเรือนยืมเงินทุนไปแล้ว 779,264 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 81.98 จำนวนเงิน ทุนที่ยืมสะสมทั้งสิ้นจำนวน 9,330.62 ล้านบาท และ (2) ผลการดำเนินโครงการ กข.คจ. ระยะที่ 2 ฯ ดำเนิน การได้จำนวน 17,626 หมู่บ้าน งบประมาณเงินทุนสำหรับหมู่บ้านเพื่อให้ครัวเรือนยากจนยืมไปประกอบอาชีพ 4,935.20 ล้านบาท ครัวเรือนยากจนเป้าหมาย 1,492,565 ครัวเรือน มีครัวเรือนยืมเงินทุนไปแล้ว 924,836 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 61.96 จำนวนเงินทุนที่ยืมสะสมทั้งสิ้นจำนวน 5,937.90 ล้านบาท ทั้งนี้ ในส่วนของ กิจกรรมสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพโครงการ ฯ ได้ดำเนินการพัฒนาระบบสารสนเทศและระบบติดตามผล การดำเนินงานโครงการ กข.คจ. โดยปรับปรุงระบบฐานข้อมูล การจัดเก็บ การบันทึก การวิเคราะห์และการ รายงานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และได้กำหนดเป้าหมายแนวทาง และแผนปฏิบัติการระดับจังหวัด/อำเภอเพื่อ ยกระดับรายได้ของครัวเรือนและหมู่บ้านในปี พ.ศ. 2546 ให้บรรลุผลในเชิงคุณภาพ โดยมีเป้าหมายในภาพ รวมจำนวนทั้งสิ้น 590,604 ครัวเรือน รวมทั้งจัดทำแนวทางการและวิธีปฏิบัติกรณีเกิดความเสียหายเกี่ยวกับ โครงการฯ เพื่อจังหวัดถือปฏิบัติ นอกจากนี้ มอบหมายให้ศูนย์ช่วยเหลือทางวิชาการพัฒนาชุมชนเขตสนับสนุน ติดตาม และรายงานผลการดำเนินงานตามโครงการ กข.คจ. อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3113 | การประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด | นร | 17/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ)
ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติเสนอเรื่องการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพ ติด ทั้งนี้ ให้ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) รับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ ที่ควร มีการควบคุมดูแลการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อให้การดำเนินโครงการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติดบรรลุ วัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ และความเห็นของกระทรวงแรงงาน ที่ให้ ศตส. สนับสนุนงบประมาณแก่หน่วย งานต่าง ๆ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานไปพิจารณาและประสานการดำเนินการกับส่วนราชการต่าง ๆ ต่อ ไปด้วย สำหรับข้อเสนอของผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติมีดังนี้ (1) ให้ทุกส่วน ราชการและรัฐวิสาหกิจสอดส่องดูแลให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของตนเข้าร่วมโครงการ ฯ อย่างเต็มกำลัง ความ รู้ ความสามารถ และพร้อมเพรียงกัน (2) กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ประสาน สถานประกอบการทุกประเภทให้มีผู้ประสานพลังแผ่นดิน ฯ อย่างน้อยร้อยละ 3 ของจำนวนคนงาน พนักงาน ลูกจ้างในสถานประกอบการนั้น ๆ เพื่อเป็นแกนหลักให้สถานประกอบการเหล่านั้นเป็นชุมชนเครือข่ายด้านแรง งานที่เอาชนะปัญหายาเสพติดร่วมกับอำเภอ จังหวัดต่าง ๆ (3) กระทรวงศึกษาธิการทบวงมหาวิทยาลัยประสาน สถานศึกษาทุกระดับทุกแห่งทั่วประเทศโดยให้มีผู้ประสานพลังแผ่นดิน ฯ อย่างน้อยร้อยละ 3 ของจำนวนนักเรียน นักศึกษา ในสถานศึกษานั้น ๆ เพื่อเป็นแกนหลักให้สถานศึกษานั้น ๆ เป็นชุมชนเครือข่ายด้านการศึกษาที่เอา ชนะปัญหายาเสพติดร่วมกับอำเภอ จังหวัดต่าง ๆ (4) กระทรวงวัฒนธรรมประสานกับศาสนาทุกศาสนาให้มีส่วน ร่วม และสนับสนุนการสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็ง เพื่อเอาชนะยาเสพติด (5) สำนักนายกรัฐมนตรีประสานงาน เชิญชวนภาคเอกชนทั้งที่เป็นองค์กรนิติบุคคล หรือส่วนบุคคลให้มีส่วนร่วมในการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดอย่าง ทั่วถึงและต่อเนื่อง (6) กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสถาบันราชภัฏทั่วประเทศติดตามผลการดำเนินโครงการเป็น 3 ห้วงเวลา ๆ ละ 6 เดือน รวมทั้งการกำหนดแนวทางปฏิบัติให้ผู้ประสานพลังแผ่นดิน ฯ ติดตามดูแลผู้เสพ/ผู้ติด ที่ผ่านการบำบัดแล้วให้สามารถเลิกยาเสพติดได้อย่างแท้จริง และ (7) กระทรวงยุติธรรมประสานและติดตาม พฤติการณ์ผู้ค้า/ผู้ผลิต ที่ผ่านการอบรมโครงการทำความดีเพื่อแผ่นดิน หรือช่วยเหลือด้านการข่าว การ X-Ray พื้นที่เพื่อผลดำเนินการปราบปราม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3114 | การรายงานผลการประเมินโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) ต่อคณะรัฐมนตรี | นร | 10/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) โดยมูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยา
ศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย รายงานผลการประเมินโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก (คปก.) สรุปได้ ว่า โครงการ คปก. มีวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ดังนี้ (1) เพื่อสนับสนุนการผลิตนักวิจัยที่มีคุณวุฒิระดับปริญญาเอก ในทุกสาขาวิชา จำนวน 25,000 คน (2) เพื่อสนับสนุนการผลิตผลงานวิจัยที่มีคุณภาพระดับวิทยานิพนธ์ปริญญา เอกซึ่งจะมีประโยชน์ทั้งด้านวิชาการและด้านประยุกต์ จำนวน 25,000 เรื่อง ภายในเวลา 25 ปี และ (3) เพื่อ พัฒนาความเข้มแข็งและยกมาตรฐานบัณฑิตศึกษาของประเทศให้ได้ระดับสากล และผลจากการดำเนินโครงการตั้ง แต่ปี พ.ศ. 2540 โดยให้ทุน คปก. รุ่นที่ 1 เมื่อปี พ.ศ. 2541 จนถึงรุ่นที่ 5 ในปี พ.ศ. 2545 รวม 5 รุ่น จำนวน 1,311 ทุน รวม 102 สาขา ใน 168 หลักสูตร มีนักศึกษาทุน คปก. สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก จำนวน 52 คน ทำงานเป็นอาจารย์ นักวิจัย และอาชีพอื่น ๆ มีผลงานวิจัยของนักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาผู้รับทุนได้รับ การตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติ รวม 182 เรื่อง รวมทั้งมีการจดสิทธิบัตรในต่างประเทศ 2 เรื่อง และใน ประเทศ 5 เรื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของการประเมินโครงการ คปก. สกว. ได้จัดให้มีการประเมินในด้านการดำเนินงาน ของโครงการ รวมถึงสถาบัน อาจารย์ที่ปรึกษา และนักศึกษาที่รับทุน ผลผลิตของโครงการทั้งด้านปริมาณและ คุณภาพ ผลกระทบของโครงการต่อระบบการศึกษาวิจัยและต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในช่วงการ ดำเนินงานที่ผ่านมา ข้อจำกัดและจุดเด่นของโครงการ อนาคตของโครงการ โดยเฉพาะการปรับและตั้งเป้าหมายและ งบประมาณในระยะสั้นและยาวให้เหมาะสม |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3115 | โครงการประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีแบบลดเอกสาร | นร | 10/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอขออนุมัติโครงการประชุม
คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีแบบลดเอกสาร โดยใช้งบประมาณจากเงินงบกลาง รายการสำรอง จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,490,500 บาท สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการ จากเงินงบกลางดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของเครื่องคอมพิวเตอร์ตามโครงการคอมพิวเตอร์เอื้ออาทร ในราคาที่ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารกำหนด ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำความตกลงกับสำนักงบ ประมาณในรายละเอียดเกี่ยวกับงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3116 | รายงานผลความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ของกระทรวงมหาดไทยรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2546) | มท | 10/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด
กระทรวงมหาดไทย (ศตส.มท.) รายงานสรุปผลการปฏิบัติงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ในภาพรวมของทุก จังหวัด (ศตส.จ.) ทั้ง 75 จังหวัด ในรอบสัปดาห์ (ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2546) สรุปได้ดังนี้ (1) การปราบ ปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ายาเสพติดของ ศตส.จ. ศตส.อ./กิ่ง อ. มียอดการจับกุมรวมทั้งสิ้น 45,881 คน โดย จังหวัด ที่สามารถจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้าได้ 100% ได้แก่ จังหวัดกำแพงเพชร ขอนแก่น ชุมพร เชียงใหม่ ตาก นครราชสีมา นครศรีธรรมราช น่าน พังงา พิจิตร เพชรบูรณ์ มหาสารคาม ลำพูน เลย ศรีสะเกษ สกล นคร สุราษฎร์ธานี และหนองบัวลำภู ส่วนการแสดงตน มีผู้ผลิต/ผู้ค้า เข้าแสดงตนเพิ่มขึ้น 221 คน และผู้เสพ เพิ่มขึ้น 8,977 คน ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้เสพ มีผลการบำบัดรักษารวมทั้งสิ้น 264,496 คน การ เสริมสร้างความเข้มแข็งของหมู่บ้าน/ชุมชน ตามกระบวนการเสริมสร้างหมู่บ้าน/ชุมชนเข้มแข็งเพื่อเอาชนะยา เสพติด ครบ 4 ขั้นตอนใน 6 ขั้นตอน จากเป้าหมาย 82,130 หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการได้ จำนวน 77,197 หมู่บ้าน/ชุมชนดำเนินการครบ 5 ขั้นตอน จำนวน 29,898 หมู่บ้าน/ชุมชน ดำเนินการครบ 6 ขั้นตอน จำนวน 15,969 หมู่บ้าน/ชุมชน (2) การปราบปรามจับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญและการยึดทรัพย์ สิน จากรายงานของ ศตส. 75 จังหวัด จับกุมผู้ผลิต/ผู้ค้ารายสำคัญ รวม 1,974 คน ตรวจยึดทรัพย์สินได้มูล ค่า 6,524.379 ล้านบาท ส่วนการปฏิบัติงานยึดทรัพย์สินของ ป.ป.ส. และ ปปง. ดำเนินการยึดทรัพย์สินผู้ ผลิต/ผู้ค้า รวม 1,730.366 ล้านบาท (3) การดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีเจ้า หน้าที่ของรัฐที่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด จำนวน 926 ราย แต่จากการตรวจสอบเพิ่มเติมปรากฏ ว่า มีจำนวนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวม 1,337 ราย ได้ดำเนินการทางอาญา 80 ราย ดำเนินการทางวินัย ทางการปกครอง และให้พ้นจากหน้าที่ไปแล้ว 657 ราย อยู่ระหว่างดำเนินการ 331 ราย เสียชีวิต 21 ราย และไม่มีพฤติการณ์ 248 ราย และจากรายงานของกรมการปกครอง มีกำนัน ผู้ใหญ่ บ้าน ฯลฯ มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 345 ราย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มี บุคลากรขององค์กร ฯ เกี่ยวข้องกับยาเสพติด รวมทั้งสิ้น 184 ราย นอกจากนี้ ยังมีผลการปฏิบัติงานในส่วน ของแนวทางการปฏิบัติของหน่วยงานในการดำเนินโครงการประสานพลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด ผลการ ปฏิบัติงานด้านการแก้ไขปัญหาในกลุ่มผู้มีโอกาสไปใช้ยาเสพติด (Potential Demand) และการกำหนดแนว ทางการดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3117 | โครงการราชกิจจานุเบกษาฉบับ CD-ROM สู่ประชาชน (ไม่ยืนยันมติ) | นร | 03/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอโครงการราชกิจจานุเบกษาฉบับ CD-ROM
สู่ประชาชน โดยใช้งบประมาณจากเงินงบกลาง รายการสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เ ป็นเงิน 2,632,500 บาท เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2546 จนถึงวัน 30 กันยายน 2546 เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงกฎ หมาย (Access to Law) ได้อย่างแพร่หลายและกว้างขวาง สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการดำเนินโครงการจากเงินงบ กลาง ฯ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทำความตกลงกับสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3118 | การจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนแบบอเนกประสงค์ (smart card) | นร | 03/06/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอแนวทางการดำเนินโครงการจัดทำบัตรประจำตัว
ประชาชนแบบอเนกประสงค์ (smart card) ซึ่งยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร โดยแนวทางหนึ่งที่อาจดำเนินการให้เรื่อง นี้ขับเคลื่อนไปได้ คือ ให้หน่วยงานที่มีความพร้อมจะออกบัตรดำเนินการไปก่อน โดยใช้ฐานข้อมูล (platform) ร่วมกัน มีการจัดรูปแบบการเก็บข้อมูล (format) เดียวกัน และใช้เลขประจำตัว 13 หลัก ซึ่งเป็นข้อมูลบุคคล ตามทะเบียนราษฎร์ของกระทรวงมหาดไทยเป็นพื้นฐานของบัตร สำหรับดรรชนีบ่งชี้ข้อมูลของหน่วยงานอื่น ๆ ให้กำหนดต่อกันไปโดยลำดับ และเว้นที่ว่าง (field) เพื่อเก็บข้อมูลของหน่วยงานนั้นไว้ให้เพียงพอ และในระยะต่อ ไปเมื่อทุกหน่วยงานมีความพร้อมและสามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลร่วมกันได้ ก็สามารถปรับข้อมูลในบัตรให้ครบ ถ้วนสมบูรณ์ในบัตรเดียวได้ จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ) รองประธานกรรมการบูรณา การและปฏิรูประบบการทะเบียนแห่งชาติ และรองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) ประธานกรรมการ ดำเนินการโครงการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์รับแนวทางดังกล่าวไปร่วมพิจารณากับส่วนราชการต่าง ๆ และหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ได้ข้อยุติในประเด็นต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น การจัดทำฐานข้อมูล สถานที่ออกบัตร และ การผลิตบัตร เป็นต้น แล้วรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบโดยด่วน
|
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3119 | รายงานผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง | พน | 26/05/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการดำเนินการโครงการจำหน่ายน้ำมันเชื้อ
เพลิงสำหรับชาวประมงในเขตต่อเนื่อง (12 - 24 ไมล์ทะเล) ซึ่งหน่วยงานหลักของภาครัฐ ได้แก่ กรมสรรพสามิต กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมธุรกิจพลังงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงานหน่วย งานสนับสนุน ประกอบด้วย กรมประมง กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี รวมทั้งภาคเอกชน ได้ประสานความ ร่วมมือและผลักดันให้การดำเนินโครงการสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และสามารถขจัดเรือน้ำมันเถื่อนที่เคยมีอยู่จำนวนมาก ให้หมดสิ้นไป ทั้งนี้ ความสำเร็จของโครงการดังกล่าว สรุปได้ดังนี้ (1) ช่วยสกัดน้ำมันเถื่อนที่ลักลอบนำเข้ามาทาง ทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถตัดต้นตอของการค้าน้ำมันเถื่อนให้หมดไป (2) ช่วยเหลือให้ชาวประมงได้ใช้ น้ำมันในราคาถูก มีคุณภาพดี เต็มตามจำนวนที่ซื้อ อีกทั้งช่วยป้องกันการเกิดอัคคีภัยที่อาจเกิดขึ้นกับเรือที่กระทำ ผิดที่ไม่สามารถนำเรือเข้าฝั่งเพื่อซ่อมแซม (3) โรงกลั่นน้ำมันสามารถเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันดีเซลเพิ่มสูงขึ้น (4) กรมสรรพสามิตสามารถเก็บภาษีน้ำมันดีเซลได้เพิ่มขึ้น (5) ประชาชนไม่ต้องเสี่ยงกับน้ำมันเถื่อนที่มีคุณภาพไม่ได้ มาตรฐาน เพิ่มความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน (6) ประเทศชาติลดการสูญเสียเงินตราต่างประเทศ และ (7) ความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชนในการป้องกันและปราบปรามการลักลอบนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง |
|||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
3120 | มติคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ กทภ. 2/2546 (4 เมษายน 2546) | นร | 19/05/2546 | ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการ
และเลขานุการคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเสนอมติคณะกรรมการบริหารการพัฒนา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ครั้งที่ กทภ. 2/2546 ที่มีมติเห็นชอบเรื่องเร่งด่วนที่สำคัญต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนิน การก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเห็นว่า (1) เพื่อให้การดำเนินการก่อสร้างท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิเสร็จสมบูรณ์ และเปิดให้บริการได้ทันตามแผนที่กำหนดไว้ในปี พ.ศ. 2548 หากรัฐวิสาหกิจหรือหน่วย งานใดที่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเข้าร่วมในการดำเนินโครงการท่าอากาศยาน ฯ มีความจำเป็นจะขอยกเว้นไม่ต้องนำคำ สั่ง กฎ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่ใช้บังคับกับรัฐวิสาหกิจ หรือหน่วยงานทั่วไปมาใช้บังคับในทำนองเดียวกับ บริษัท ท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่ จำกัด (บทม.) ในการดำเนินโครงการท่าอากาศยาน ฯ ก็ให้นำเสนอ คณะรัฐมนตรีพิจารณาโดยด่วน ซึ่งในหลักการไม่น่าจะมีข้อขัดข้องแต่อย่างใด (2) การดำเนินการโครงการขนาด ใหญ่ที่มีโครงการต่าง ๆ ประกอบกันเป็นจำนวนมากจำเป็นต้องมีคณะกรรมการหลายชุดหรือหลายระดับมาช่วย ติดตาม เร่งรัดและประสานงานซึ่งจะมีบทบาท อำนาจหน้าที่ และภารกิจแตกต่างกันไป ดังนั้น หน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้องควรให้ความร่วมมือแก่คณะกรรมการอย่างเต็มที่ และ (3) เรื่องการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอนเมือง) ในระยะต่อไป ซึ่งคณะกรรมการบริหารการพัฒนาท่าอากาศยาน ฯ ได้มีมติให้มีการวางแผนศึกษา ความเหมาะสมทางเศรษฐกิจและวิศวกรรมของการใช้ท่าอากาศยาน ฯ นั้น ควรเร่งรัดการพิจารณาอย่างจริงจัง ให้ เกิดความเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด จึงขอให้กระทรวงคมนาคมรับไปจัดเตรียมข้อมูลต่าง ๆ ร่วมกับหน่วย งานอื่นที่เกี่ยวข้องให้พร้อม แล้วจัดการประชุมหารือกันโดยด่วนต่อไป โดยนายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมด้วย ทั้งนี้ ให้ประสานและเชิญรองนายกรัฐมนตรี (นายกร ทัพพะรังสี) ในฐานะประธานกรรมการอำนวยการจัดระบบ ศูนย์ราชการ ให้พิจารณาความเหมาะสมการใช้อาคารผู้โดยสารและอาคารอื่นๆ ที่ท่าอากาศยานกรุงเทพ (ดอน เมือง) เพื่อดัดแปลงเป็นอาคารรัฐสภาและศูนย์ราชการ เข้าร่วมในการประชุมหารือด้วย
|