ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 151 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3001 - 3020 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3001 | แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพเอเชีย (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | สธ | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย
และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ของกระทรวงสาธารณสุข โดยเห็นชอบในหลัก การของแผนดังกล่าว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นเพิ่มเติมและข้อเสนอแนะบางประการของ ส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย และเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย ของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสุขภาพเอเชียที่ได้ปรับปรุงให้คงเหลือ จำนวน 564,500,000 บาท โดยงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 44,500,000 บาท นั้น อนุมัติให้เบิกจ่ายจากเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่ง ยืนของประเทศ และให้ประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับ ความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ปัจจุบันการให้บริการทางการแพทย์และแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญของไทยมีมาตรฐานและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับเชื่อถือกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก จึงควรพิจารณาสนับ สนุนให้โรงพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ เปิดให้บริการในลักษณะนานาชาติมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียว กันต้องควบคุมดูแลมิให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่คนไทยเองโดยในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์และ เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจ SPA ควรได้รับการฝึกฝนให้สามารถใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสารได้ อย่างดีด้วย ส่วนการสนับสนุนส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้แพร่หลาย กระทรวงสาธารณสุขจะต้อง ประสานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อพิสูจน์ยืนยันคุณสมบัติและผลดีของการใช้สมุนไพรและประชา สัมพันธ์ให้เป็นที่แพร่หลาย และต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการจดทะเบียนสมุนไพรไทย การออกแบบบรรจุ ภัณฑ์ให้ทันสมัย เป็นที่ดึงดูดใจ ตลอดจนพิจารณากำหนดช่องทางการตลาดเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ระเบียบ หลักเกณฑ์และขั้นตอนการตรวจสอบและพิจารณาขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ของคณะกรรมการ อาหารและยาที่ใช้อยู่ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุมนไพรเท่าที่ควรจึงควรพิจารณา ทบทวนและแก้ไขเพื่อให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวแก่ผู้ขอรับบริการมากยิ่งขึ้น และพิจารณากำหนดธุรกิจให้ บริการ SPA ให้ชัดเจนครอบคลุมถึงการให้บริการแบบทางเลือก มีระบบตรวจสอบรับรองคุณภาพและความถูก ต้องของการให้บริการ และควรระมัดระวังมิให้มีธุรกิจการค้าประเวณีเข้ามาแอบแฝงในธุรกิจดังกล่าวด้วย และ กระทรวงสาธารณสุขควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการวิจัยและพัฒนา (R&D) และสร้างองค์ความ รู้เกี่ยวกับการนำสมุนไพรชนิดต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพและการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้เกิด ความประทับใจแก่ผู้ใช้บริการ/ผู้บริโภค อยู่ที่การทำให้มีตราสินค้า (Brand) ของไทยและการให้บริการที่แสดง ถึงความเป็นไทย จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอำนวยการผลิตภัณฑ์สินค้าหนึ่ง ตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ ประสานและผลักดันการดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาดำเนินการในแนวทางเดียวกับการดำเนินโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือให้เชื่อมโยงกันต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3002 | โครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน (2547-2551) | กษ | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการแหล่งน้ำใน
ไร่นานอกเขตชลประทาน โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ ทำการเกษตร บรรเทาปัญหาภัยแล้ง และเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยมีระยะเวลาดำเนิน การ 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2551 พื้นที่ดำเนินการ ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งทุกจังหวัด โดย การขุดสระน้ำในไร่นา ขนาด 1,260 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 450,000 บ่อ งบประมาณดำเนินการ จำนวน 3,285 ล้านบาท จำแนกเป็น ค่าใช้จ่ายภาครัฐ จำนวน 2,160 ล้านบาท (บ่อละ 4,800 บาท) และค่าใช้จ่าย ของเกษตรกร จำนวน 1,125 ล้านบาท (บ่อละ 2,500 บาท) โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณภาครัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจและความ ต้องการของเกษตรกร เพราะเกษตรกรจะต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งนอกเหนือจากส่วนที่ทางราชการให้การ สนับสนุนด้วย จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ ให้เกษตรกรได้มีความรู้ ความ เข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการ ฯ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดการฝึกอบรมแนวทางการทำ การเกษตรที่เหมาะสม เช่น การเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรที่ผ่านการฝึกอบรม แสดงความจำนงที่จะเข้าร่วมโครงการ ฯ ด้วยความสมัครใจ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาจัดทำแผนการดำเนิน การและเสนอขอสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3003 | แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | สธ | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพของเอเชีย
และแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร ของกระทรวงสาธารณสุข โดยเห็นชอบในหลัก การของแผนดังกล่าว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นเพิ่มเติมและข้อเสนอแนะบางประการของ ส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดำเนินการด้วย และเห็นชอบในหลักการกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่าย ของแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสุขภาพเอเชียที่ได้ปรับปรุงให้คงเหลือ จำนวน 564,500,000 บาท โดยงบประมาณที่จะใช้จ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 44,500,000 บาท นั้น อนุมัติให้เบิกจ่ายจากเงินงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่ง ยืนของประเทศ และให้ประสานในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงสาธารณสุขรับ ความเห็นของคณะรัฐมนตรี ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ดังนี้ ปัจจุบันการให้บริการทางการแพทย์และแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญของไทยมีมาตรฐานและมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับเชื่อถือกันอย่างกว้างขวางทั่วโลก จึงควรพิจารณาสนับ สนุนให้โรงพยาบาลและสถาบันทางการแพทย์ต่างๆ เปิดให้บริการในลักษณะนานาชาติมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียว กันต้องควบคุมดูแลมิให้เกิดผลกระทบต่อการให้บริการแก่คนไทยเองโดยในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์และ เจ้าหน้าที่ที่ให้บริการเกี่ยวกับธุรกิจ SPA ควรได้รับการฝึกฝนให้สามารถใช้ภาษาต่างประเทศในการสื่อสารได้ อย่างดีด้วย ส่วนการสนับสนุนส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้แพร่หลาย กระทรวงสาธารณสุขจะต้อง ประสานกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เพื่อพิสูจน์ยืนยันคุณสมบัติและผลดีของการใช้สมุนไพรและประชา สัมพันธ์ให้เป็นที่แพร่หลาย และต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการจดทะเบียนสมุนไพรไทย การออกแบบบรรจุ ภัณฑ์ให้ทันสมัย เป็นที่ดึงดูดใจ ตลอดจนพิจารณากำหนดช่องทางการตลาดเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ระเบียบ หลักเกณฑ์และขั้นตอนการตรวจสอบและพิจารณาขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ของคณะกรรมการ อาหารและยาที่ใช้อยู่ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุมนไพรเท่าที่ควรจึงควรพิจารณา ทบทวนและแก้ไขเพื่อให้เกิดความสะดวกและคล่องตัวแก่ผู้ขอรับบริการมากยิ่งขึ้น และพิจารณากำหนดธุรกิจให้ บริการ SPA ให้ชัดเจนครอบคลุมถึงการให้บริการแบบทางเลือก มีระบบตรวจสอบรับรองคุณภาพและความถูก ต้องของการให้บริการ และควรระมัดระวังมิให้มีธุรกิจการค้าประเวณีเข้ามาแอบแฝงในธุรกิจดังกล่าวด้วย และ กระทรวงสาธารณสุขควรประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีการวิจัยและพัฒนา (R&D) และสร้างองค์ความ รู้เกี่ยวกับการนำสมุนไพรชนิดต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่และหลากหลายมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมการส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพและการพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยให้เกิด ความประทับใจแก่ผู้ใช้บริการ/ผู้บริโภค อยู่ที่การทำให้มีตราสินค้า (Brand) ของไทยและการให้บริการที่แสดง ถึงความเป็นไทย จึงขอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานอำนวยการผลิตภัณฑ์สินค้าหนึ่ง ตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์แห่งชาติ ประสานและผลักดันการดำเนินการร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจพิจารณาดำเนินการในแนวทางเดียวกับการดำเนินโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ หรือให้เชื่อมโยงกันต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3004 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณ งบกลาง ปี พ.ศ. 2547 เพื่อเป็นค่าจัดทำโครงการพัฒนาตามมาตรการผังเมืองในพื้นที่เฉพาะและจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินสองฟากถนนเลียบทางรถไฟเชียงใหม่ - ลำพูน (ระยะที่ 2) (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | มท | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับการสนับสนุนงบประมาณ
งบกลาง ปี พ.ศ. 2547 จำนวน 249,367,000 บาท เพื่อเป็นค่าจัดทำโครงการพัฒนาตามมาตรการผังเมือง ในพื้นที่เฉพาะและจัดระเบียบการใช้ประโยชน์ที่ดินสองฟากถนนเลียบทางรถไฟเชียงใหม่-ลำพูน (ระยะที่ 2) ประกอบด้วย การปรับปรุงถนนเดิมบางสายทาง ปรับปรุงทางร่วมทางแยกพร้อมระบบสาธารณูปโภค และ การจัดภูมิทัศน์ จำนวนเงิน 100,000,000 บาท และค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงข่ายระบบคมนาคมขนส่ง ให้เกิดความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นในส่วนของเครื่องกั้นรถยนต์อัตโนมัติจุดตัดข้ามทางรถไฟ ระบบระบายน้ำตามแนว สายทาง โครงการพัฒนาตามมาตรการผังเมืองถนนสายดอยติ-ลำพูน-แยกเมืองง่า (ฝั่งตะวันตก) รวมทั้ง ศึกษาความเหมาะสมระบบป้องกันน้ำท่วมบริเวณชุมชนสองฟากถนน จำนวนเงิน 149,367,000 บาท ทั้งนี้ สำนักงบประมาณเห็นว่า วงเงินที่เสนอขอรับการสนับสนุนนั้นเป็นวงเงินจำนวนที่สูงมาก และงบประมาณ รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น คง เหลือจำนวนจำกัด และยังมีภารกิจในด้านอื่น ๆ ที่จำเป็นเร่งด่วนรอการจัดสรรอีกเป็นจำนวนมาก จึงไม่ สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อการดำเนินโครงการดังกล่าวได้ อย่างไรก็ตาม โครงการที่เสนอสามารถแยก ดำเนินการตามลำดับความจำเป็นเร่งด่วนได้ จึงเห็นควรให้กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดทำรายละเอียดค่า ใช้จ่ายและพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงาน และแผนการใช้จ่ายงบประมาณจากงบประมาณรายจ่ายประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ที่ได้รับไปดำเนินการในส่วนที่จำเป็นเร่งด่วนในโอกาสแรกก่อน ส่วนที่เหลือให้ เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตามความจำเป็นและความเหมาะสมในการ ดำเนินงานต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3005 | โครงการขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล | นร | 22/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้รองนายก
รัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) และกระทรวงศึกษาธิการไปดำเนินโครงการเขียนเรียงความสำหรับเด็กและ เยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อขอรับทุนการศึกษาตามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งโครงการอื่น ๆ เพื่อให้ทุนการ ศึกษาสำหรับเด็กและผู้มีรายได้น้อย นั้น ขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับไปประสานและ เร่งรัดเรื่องการประชาสัมพันธ์เจตนารมณ์ของการดำเนินโครงการดังกล่าวของรัฐบาลให้เด็กและเยาวชน ตลอด จนประชาชนทั่วไปได้ทราบและเข้าใจอย่างถูกต้องทั่วถึง สำหรับขั้นตอนการรับทุนการศึกษานั้น ขอให้กำหนด โดยคำนึงถึงความสอดคล้องกับหลักปฏิบัติทางศาสนา ประเพณี และวัฒนธรรมของสังคมของผู้รับทุนด้วย ทั้งนี้ ให้ประสานการดำเนินการกับกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงการคลัง และสำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
3006 | ขออนุมัติวงเงินงบประมาณ งบกลางปี 2547 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547-2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2545-2549) | มท | 22/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขออนุมัติวงเงินงบประมาณปี
พ.ศ. 2547 (งบกลาง) ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเพื่อดำเนินโครงการตามยุทธศาสตร์/มาตร การ ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาฐานข้อมูล บุคลากร เครื่องมือเครื่องใช้และอุปกรณ์ในการจัดการอุบัติภัยและจัดทำระบบ แผนที่อิเล็กทรอนิกส์ ของมาตรการที่ 1 จำนวนเงิน 4.9 ล้านบาท และโครงการฝึกซ้อมแผนปฏิบัติการจัด การ และการป้องกันอุบัติภัยเคมี ของมาตรการที่ 6 จำนวน 6.45 ล้านบาท สำหรับงบประมาณในการ ดำเนินโครงการให้เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ดังนี้ งบประมาณในการดำเนินโครงการดัง กล่าว ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รับการจัดสรรงบประมาณเพื่อ ฝึกอบรมเกี่ยวกับการป้องกันอุบัติภัยต่าง ๆ แล้ว จำนวน 22,092,500 บาท และได้รับงบประมาณในโครง การบูรณาการข้อมูลและพัฒนาระบบสารสนเทศด้านสาธารณภัยด้วยระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ รวมถึง การจัดทำระบบฐานข้อมูลด้านสารเคมีไว้ด้วยแล้ว จากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบสาร สนเทศ จำนวน 9,191,300 บาท โดยตั้งงบประมาณให้ต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2548 อีกจำนวน 20,000,000 บาท และหากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการดังกล่าว เห็นควรให้กรมป้อง กันและบรรเทาสาธารณภัย ปรับแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณที่ได้รับมาเพื่อดำเนินการตามลำดับความ สำคัญต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3007 | การนำเสนอโครงการ "นวัตกรรมดี...ไม่มีดอกเบี้ย ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ" | วท | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอโครงการ "นวัตกรรมดี...
ไม่มีดอกเบี้ย" ของสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนโครงการนวัตกรรมที่พัฒนาต่อ ยอดจากผลงานวิจัย สิ่งประดิษฐ์และสิทธิบัตร หรือเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมไปสู่เชิงพาณิชย์ โดยทำให้เกิดเป็นผลิต ภัณฑ์ใหม่ กระบวนการผลิตใหม่ หรือบริการใหม่ หรือเพื่อจัดระบบการบริหารจัดการแบบใหม่ที่ส่งผลให้เกิด ประสิทธิภาพหรือผลกำไรที่เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน อันจะนำไปสู่การทำให้เกิดบริษัทใหม่ที่ใช้ฐานความรู้ด้าน การวิจัยและพัฒนาและด้านเทคโนโลยี เพื่อนำไปสู่การเกิดนวัตกรรมในระดับกลุ่มบริษัทและนวัตกรรมเชิงยุทธ ศาสตร์ในระดับอุตสาหกรรม ทั้งนี้ การดำเนินโครงการ "นวัตกรรมดี ...ไม่มีดอกเบี้ย" ของสำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติได้ร่วมกับสถาบันการเงิน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศ ไทย บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งสถาบันการเงิน ทั้ง 3 แห่ง จะให้การสนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่โครงการนวัตกรรม โดยจะเป็นฝ่ายปล่อยสินเชื่อเงินกู้ และ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติจะสนับสนุนดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราพิเศษ ซึ่งในปี พ.ศ. 2547 สำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติจะสนับสนุนในวงเงิน 90 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เกิดการปล่อยสินเชื่อให้แก่โครงการนวัตกรรมไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท |
||||||||||||||||||||||||
3008 | ขออนุมัติดำเนินการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง | คค | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การรถไฟแห่งประเทศไทย
(รฟท.) ดำเนินการเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟ (รถไฟฟ้า) เชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณ ภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสาร โดยให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2537 เรื่อง พื้นที่ที่ควรกำหนดให้ระบบขนส่งมวลชน (รถไฟฟ้า) เป็นระบบใต้ดินเป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย และ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลัง ที่เห็นควรมีการจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจขึ้นมาระดมทุนเป็นเอกเทศ ทางการเงินจาก รฟท. เพื่อลดภาระทางการคลังต่อรัฐบาลในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทาง รถไฟ (รถไฟฟ้า) ฯ ส่วนการอุดหนุนทางการเงินจากรัฐบาลหากจำเป็น สมควรให้มีสัญญาจ้างให้บริการ เชิงสังคม (Public Service Obligation : PSO) โดยผูกเงินอุดหนุนกับผลงานของบริการอย่างชัดเจน เช่น ผูก เงินอุดหนุนกับกิโลเมตรดำเนินการ นอกจากนี้ เงื่อนไขสัญญาให้ผู้ประกอบการเดินรถและการบำรุงรักษา ระบบเข้าร่วมดำเนินการจะต้องมี และควรชัดเจนในการบูรณาการกับการขนส่งรูปแบบอื่น เช่น รถไฟฟ้า ใต้ดิน และรถโดยสารประจำทาง ทั้งในด้านการเดินรถ การตลาด ข้อมูลสำหรับผู้โดยสาร และการจัดการ รายรับ เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเดินทางโดยอาศัยตั๋วร่วมได้อย่างสะดวก ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การก่อสร้างซึ่งใช้วิธีว่าจ้างเอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ และรัฐจะ จ่ายค่าก่อสร้าง รวมทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนทั้งหมดภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ หาก พิจารณารูปแบบการระดมแหล่งเงินลงทุนของโครงการในภาพรวมของระบบขนส่งมวลชนระบบราง ระยะ ทางรวม 291 กิโลเมตร ซึ่งรวมถึงโครงการก่อสร้างระบบขนส่งทางรถไฟ (รถไฟฟ้า) ฯ ของ รฟท. ได้แล้ว เสร็จโดยเร็ว การจ่ายเงินค่าก่อสร้างและค่าใช้จ่ายทางการเงินพร้อมดอกเบี้ยคืนแก่เอกชนก็อาจดำเนินการ ได้ก่อนการก่อสร้างแล้วเสร็จ ดังนั้น การดำเนินการโครงการในครั้งนี้จึงเป็นการว่าจ้างให้เอกชนเป็นผู้รับ ผิดชอบดำเนินการ และไม่เข้าข่ายที่จะต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน หรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 รวมทั้งการว่าจ้างให้เอกชนเป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการโครง การไม่เข้าข่ายที่ถือว่า เป็นการดำเนินการในลักษณะ Lump Sum Turnkey ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2526 เรื่อง การทำสัญญาว่าจ้างในสัญญาจ้างเหมา สำรวจออกแบบและก่อสร้างโดยผู้รับจ้าง รายเดียวกัน และมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 เรื่อง วิธีการจ้างเหมาประมูลแบบเหมา รวม (Turnkey) เพราะเอกชนที่จะเข้ามาดำเนินการก่อสร้างมิได้เกี่ยวข้องกับการออกแบบรายละเอียดของ โครงการแต่อย่างใด
|
||||||||||||||||||||||||
3009 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย เพื่อดำเนินงาน/โครงการ ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) | คค | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ ยั่งยืนของประเทศ (งบกลางปี 2547) เพื่อให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการตามมติคณะกรรมการจัดระบบ การจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2547 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและ แผนการขนส่งและจราจร จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่ง ทางรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-มักกะสัน และบางซื่อ-หัวลำโพง งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดศูนย์ คมนาคมตากสินและทางรถไฟสายแม่กลอง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครง การระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณ ฑล (รังสิต-สถานีบ้านภาชี, มักกะสัน-ฉะเชิงเทรา, ตลิ่งชัน-นครปฐม และมหาชัย-ปากท่อ) กรมทางหลวง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างเส้น ทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อควบคุมผู้ออกแบบและพิจารณา ข้อเสนอของผู้ลงทุนโครงการเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) และการรถไฟฟ้าขนส่ง มวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการจ้างที่ปรึกษาทบทวนและจัดทำแบบกรอบ รายละเอียด (Definitive Design) และเอกสารประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและสายใหม่ของ รฟม. และโครงการว่าจ้างดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวสายทางโครงการส่วนต่อขยายและสาย ใหม่ของ รฟม. รวม 7 โครงการ วงเงินรวม 1,612.436 ล้านบาท โดยให้ทั้ง 3 หน่วยงานขอทำความตกลงราย ละเอียดด้านการเงินกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับโครงการทั้ง 7 โครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ ดังนั้น หากโครงการใดยังไม่ได้ทำการศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของ โครงการ (feasibility study) ก็ให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและ แผนการขนส่งและจราจร) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปตรวจสอบ และในกรณีที่โครงการใดต้องมีการศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของโครงการเพิ่มเติมก็อาจดำเนินการควบ คู่ไปพร้อมกับการดำเนินโครงการได้ สำหรับการจ้างออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างเส้นทางลัดสู่ภาค ใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) ควรพิจารณาให้มีการรับประกันทางวิชาชีพ (Professional Indemnity Insurance หรือ P.I.) จากผู้ออกแบบเพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการออกแบบไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3010 | การขออนุมัติงบกลางประจำปีงบประมาณ 2547 เพื่อใช้ในการสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง | ยธ | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการและงบประมาณเพิ่มเติมให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ
ปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพ ติด จำนวน 3 โครงการ รวมเงินทั้งสิ้น 94,270,000 บาท ประกอบด้วย กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จำนวน 10,180,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการเสริมสร้างหมู่บ้านชุมชนเข้มแข็งในพื้นที่ชายแดน สำนักงานคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) จำนวน 10,000,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการพัฒนาพื้น ที่บ้านยองข่า และกรมการปกครอง จำนวน 74,090,000 บาท เพื่อใช้ในโครงการจัดตั้งชมรมพลังแผ่นดินท้อง ถิ่นท้องที่สามัคคี โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2547 งบกลาง รายการ ค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ทั้งนี้ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการติดตามดูแลการดำเนินการโครงการ ในความรับผิดชอบให้เกิดผลอย่างยั่งยืนด้วย และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานป้องกันและแก้ไข ปัญหายาเสพติดปรับแผนงานและงบประมาณในช่วง 6 เดือนหลังของปีงบประมาณ 2547 ให้เป็นไปตามมติที่ ประชุมร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และศูนย์อำนวยการต่อ สู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดแห่งชาติ (ศตส.) รวมทั้งให้แจ้งทุกจังหวัดและกรุงเทพมหานคร ปรับแผนและงบประมาณ ตามแนวทางการดำเนินงาน กรอบกิจกรรม และเป้าหมายใหม่ที่กำหนดในแต่ละยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับ สถานการณ์ในพื้นที่ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3011 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่าย เพื่อดำเนินงาน/โครงการ ตามมติคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) | คค | 01/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณให้จัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำ
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ ยั่งยืนของประเทศ (งบกลางปี 2547) เพื่อให้กระทรวงคมนาคมดำเนินโครงการตามมติคณะกรรมการจัดระบบ การจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 1/2547 เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2547 ในส่วนของสำนักงานนโยบายและ แผนการขนส่งและจราจร จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครงการระบบขนส่ง ทางรถไฟสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-มักกะสัน และบางซื่อ-หัวลำโพง งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดศูนย์ คมนาคมตากสินและทางรถไฟสายแม่กลอง (ช่วงหัวลำโพง-มหาชัย) งานศึกษาและออกแบบรายละเอียดโครง การระบบรถไฟฟ้าชานเมืองร่วมกับรถไฟทางไกลเชื่อมต่อระบบขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณ ฑล (รังสิต-สถานีบ้านภาชี, มักกะสัน-ฉะเชิงเทรา, ตลิ่งชัน-นครปฐม และมหาชัย-ปากท่อ) กรมทางหลวง จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างเส้น ทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) โครงการจ้างที่ปรึกษาเพื่อควบคุมผู้ออกแบบและพิจารณา ข้อเสนอของผู้ลงทุนโครงการเส้นทางลัดสู่ภาคใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) และการรถไฟฟ้าขนส่ง มวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ โครงการจ้างที่ปรึกษาทบทวนและจัดทำแบบกรอบ รายละเอียด (Definitive Design) และเอกสารประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายและสายใหม่ของ รฟม. และโครงการว่าจ้างดำเนินการสำรวจอสังหาริมทรัพย์ตามแนวสายทางโครงการส่วนต่อขยายและสาย ใหม่ของ รฟม. รวม 7 โครงการ วงเงินรวม 1,612.436 ล้านบาท โดยให้ทั้ง 3 หน่วยงานขอทำความตกลงราย ละเอียดด้านการเงินกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับโครงการทั้ง 7 โครงการ เป็นโครงการขนาดใหญ่ ดังนั้น หากโครงการใดยังไม่ได้ทำการศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของ โครงการ (feasibility study) ก็ให้ดำเนินการเพิ่มเติมด้วย โดยให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและ แผนการขนส่งและจราจร) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับไปตรวจสอบ และในกรณีที่โครงการใดต้องมีการศึกษารายละเอียดความเหมาะสมของโครงการเพิ่มเติมก็อาจดำเนินการควบ คู่ไปพร้อมกับการดำเนินโครงการได้ สำหรับการจ้างออกแบบรายละเอียดโครงการก่อสร้างเส้นทางลัดสู่ภาค ใต้ (สมุทรสาคร-แหลมผักเบี้ย-ชะอำ) ควรพิจารณาให้มีการรับประกันทางวิชาชีพ (Professional Indemnity Insurance หรือ P.I.) จากผู้ออกแบบเพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดอันเนื่องมาจากการออกแบบไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
3012 | การดำเนินงานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ | กค | 25/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ ดังนี้ รับทราบการดำเนิน
งานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2546 ที่ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมธนารักษ์ ประสานกับหน่วยราชการที่ขอใช้พื้นที่ในโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ เพื่อทบทวนจำนวนพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสมสอดคล้องกับความจำเป็น จำนวนบุคลากร และ ลักษณะการปฏิบัติงานตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด การจัดทำแผนการดำเนินโครงการ การลงทุน การ ระดมทุน การใช้จ่ายเงิน และผลกระทบด้านการจราจรที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวและบริเวณใกล้เคียง และ อนุมัติตามมติคณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ (กศร.) ครั้งที่ กศร. 2/2547 เมื่อวันที่ 5 เมษา ยน 2547 ดังนี้ ให้กระทรวงการคลังจัดตั้งบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด (ธพส.) มีฐานะเป็นรัฐวิสาห กิจ โดยให้กระทรวงการคลังถือหุ้นใน ธพส. ทั้งหมด และให้กรมธนารักษ์เป็นหน่วยงานกำกับดูแล ธพส. โดย ธพส. จะทำหน้าที่ก่อสร้างและบริหารโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ และบริหารจัดการทรัพย์สินอื่น ของรัฐตามนโยบายรัฐบาล กับให้ ธพส. ได้รับการยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบ คำสั่ง ข้อบังคับและมติ คณะรัฐมนตรีที่ใช้กับรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป ทั้งนี้ ให้ ธพส. จัดให้มีระเบียบที่เกี่ยวกับการพัสดุ การงบประมาณ การเงินและบัญชี การบริหารงานบุคคล รวมถึงเงินเดือน ค่าจ้างและสวัสดิการของพนักงาน และค่าตอบแทน ของกรรมการ เป็นของตนเอง และให้กรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณเพื่อชำระค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน ค่าจัดหา เฟอร์นิเจอร์แทนทุกหน่วยงานในศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะโดยรัฐสนับสนุนงบประมาณค่าเช่าพื้นที่สำนัก งานตลอดอายุสัญญาเช่า 30 ปี และค่าจัดหาเฟอร์นิเจอร์ โดยทยอยจ่ายเป็นเวลา 5 ปี และเป็นผู้ทำนิติกรรม ใด ๆ เกี่ยวกับการเช่าพื้นที่ในโครงการแทนทุกหน่วยงานในโครงการ รวมทั้งให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณปี พ.ศ. 2546 จำนวน 208.338 ล้านบาท ไปเป็นส่วนหนึ่งของทุนจดทะเบียนเริ่มแรกของ ธพส. เพื่อใช้จ่ายใน โครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ ตามวัตถุประสงค์ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณต่อไป นอกจากนี้ ให้ ธพส. ระดมทุนผ่านนิติบุคคลเฉพาะกิจ เพื่อนำมาใช้จ่ายในการดำเนินโครงการศูนย์ราชการ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ และให้จัดสรรพื้นที่ในศูนย์ราชการฯ ถนนแจ้งวัฒนะตามที่กรมธนารักษ์เสนอ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ใช้สอยสำหรับ หน่วยงาน จำนวน 460,000 ตารางเมตร พื้นที่ส่วนกลางที่หน่วยงานใช้ร่วมกัน จำนวน 49,000 ตารางเมตร พื้นที่ธุรกิจ จำนวน 27,500 ตารางเมตร พื้นที่จอดรถ จำนวน 224,000 ตารางเมตร และพื้นที่ทางสัญจร ภายในอาคาร จำนวน 169,300 ตารางเมตร รวมเป็นพื้นที่ก่อสร้างอาคารทั้งสิ้นประมาณ 929,800 ตาราง เมตร โดยการจัดสรรพื้นที่ดังกล่าวสามารถยืดหยุ่นได้ตามความเหมาะสม
|
||||||||||||||||||||||||
3013 | การแข่งขันฟุตบอล "ทักษิณ ลีก" | มท | 25/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอการดำเนินโครงการ "การแข่งขันฟุตบอล
ทักษิณ ลีก (Thaksin Leauge) ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สงขลา (สะบ้าย้อย)" เกี่ยวกับหลักเกณฑ์การส่งทีม นักกีฬาฟุตบอลเข้าแข่งขัน รางวัลสำหรับการแข่งขัน ระยะเวลาดำเนินการ และงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครง การ ฯ โดยให้รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไปดำเนินการด้วย ดังนี้ ให้ขยายขอบเขตการดำเนินโครงการ ฯ เพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงจังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลาทั้งจังหวัด และให้ปรับปรุงเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายสำหรับ การแข่งขันในแต่ละกลุ่ม ดังนี้ รางวัลชนะเลิศ ได้รับ 50,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ได้รับ 30,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ได้รับ 20,000 บาท รวมทั้งให้มีรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยม (man of the match) สำหรับการแข่งขันแต่ละนัด จำนวน 1 รางวัล ๆ ละ 1,000 บาท ให้มีเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายและบำรุง ทีมในการแข่งขันแต่ละนัดทีมละ 1,000 บาท โดยในกรณีที่เป็นทีมเหย้า ให้ได้รับเงินสนับสนุนและบำรุงสนาม เพิ่มอีก 1,000 บาท และให้มีเงินค่าเบี้ยเลี้ยงกรรมการ ครั้งละ 1,000 บาท ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับ ไปประสานกับสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อขอรับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายดังกล่าว จากเงินรายได้ในการ ดำเนินโครงการจำหน่ายสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3014 | โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ ระยะที่ 2 | พน | 18/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานผลการดำเนินโครงการประหยัดไฟกำไร
2 ต่อ ระยะที่ 2 ซึ่งในการประชุมคณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2547 ที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน ดำเนินการร่วมกับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการ ไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ดำเนินโครงการ "ประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ระยะที่ 2 โดยกำหนดระยะเวลาดำเนิน การ 1 ปี ในช่วงเดือนมิถุนายน 2547 ถึง พฤษภาคม 2548 ในวงเงินรวม 1,942.07 ล้านบาท เพื่อเป็นค่า ใช้จ่ายส่วนลดค่าไฟฟ้า และเป็นค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ ซึ่งการดำเนินงานตามโครงการ ฯ ระยะที่ 2 กระทรวงพลังงาน ได้ร่วมกับ กฟน. และ กฟภ. จัดทำสรุปกติกาเพื่อใช้ในการเข้าร่วมและรับส่วนลดจากการ ประหยัดไฟฟ้า จากโครงการ ฯ ดังนี้ (1) ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยทุกรายเป็นผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการ (2) หากครัวเรือนใดสามารถประหยัดการใช้ไฟฟ้าของบ้านตัวเองได้มากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 10 ของหน่วย การใช้ไฟฟ้าในเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมาแล้ว จะได้รับส่วนลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 20 ของหน่วยไฟฟ้าที่ลดลงได้ ในเดือนนั้น ทั้งนี้ กรณีที่ผู้ใช้ไฟฟ้าประหยัดได้เกิน 50% จะคิดส่วนลดเทียบเท่าการประหยัดได้ 50% (3) ส่วน ลดค่าไฟฟ้าจะเริ่มปรากฏในใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนมิถุนายน 2547 จนถึงเดือนพฤษภาคม 2548 โดย จะแสดงส่วนลดค่าไฟฟ้า ข้อมูลหน่วยไฟฟ้าเดือนเดียวกันของปีที่แล้วและหน่วยไฟฟ้าเดือนถัดไปของปีที่แล้วเพื่อ ให้แต่ละครัวเรือนได้ทราบเป้าหมายการใช้ไฟฟ้าในเดือนถัดไป และ (4) กรณีผู้เริ่มใช้ไฟฟ้าหลังเดือนมิถุนายน 2547 จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้เลย เนื่องจากไม่มีหน่วยใช้ไฟฟ้าในเดือนเดียวกันของปีที่แล้วใช้เป็นฐาน เปรียบเทียบ สำหรับการประชาสัมพันธ์ ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ โดยจัดส่ง เอกสารข่าวและ เผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ และสื่อสนับสนุน รวมทั้งประชาสัมพันธ์ กติการ่วมโครงการ ฯ ในใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าเพื่อชี้แจงให้ประชาชนทราบ นอกจากนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถาม ข้อมูลได้ที่เขตการไฟฟ้าของ กฟน. และ กฟภ. ทั่วประเทศ สายด่วนหาร 2 โทร. 0 2612 1040 และ www.eppo .go.th |
||||||||||||||||||||||||
3015 | การเดินทางไปตรวจราชการภาคใต้ของนายกรัฐมนตรี | นร | 11/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้ ให้กระทรวง
กลาโหม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ดำเนินโครงการฝึกอาชีพแก่ชาวบ้าน และแนะนำโครงการเกี่ยวกับ การปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ และการแปรรูปสินค้าเกษตร ซึ่งได้มีการดำเนินงานในหมู่บ้านต่าง ๆ ใน 3 จังหวัด ชายแดนภาคใต้ โดยให้ขยายผลการดำเนินการโครงการดังกล่าวไปสู่หมู่บ้านอื่น ๆ ต่อไป ให้กระทรวงการ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และกระทรวงศึกษาธิการ รับไปพิจารณาดำเนินการจัดการศึกษาและ อบรมพัฒนาเด็กในวัยเรียนและก่อนวัยเรียนในพื้นที่ภาคใต้ให้มีความรู้ และสามารถประกอบอาชีพให้เป็นรูป ธรรมโดยเร็วต่อไป ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารับไปพิจารณาดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อให้เยาวชนใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์และห่างไกลจากยาเสพติด โดยให้หันมาสนใจเล่นกีฬา เช่น การแข่งขันฟุตบอล โดยอาจจัดแข่งขันตั้งแต่ระดับตำบล อำเภอ และจังหวัด และพิจารณาความเป็นไปได้ ในการที่จะจ่ายเบี้ยเลี้ยง และให้มีรางวัลแก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันตามความเหมาะสม นอกจากนี้ ควรขอความ ร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจัดการแข่งขันฟุตบอลระหว่างกันในลักษณะ Border Cup โดยจัดทีมรวมหรือ ทีมจังหวัดที่ชนะเลิศการแข่งขันของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ไปแข่งขันกับทีมจังหวัดชายแดนของประเทศ เพื่อนบ้านด้วย โดยประสานกับกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง ต่อไป สำหรับการดำเนินโครงการพี่สอนน้องเกี่ยวกับการใช้คอมพิวเตอร์ในโรงเรียนปอเนาะต่าง ๆ ซึ่งมีเยาว ชนประสงค์ขอเข้าร่วมโครงการนี้จำนวนมาก และขอให้จัดอย่างต่อเนื่อง จึงขอให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสน เทศและการสื่อสาร รับไปดำเนินการต่อไปโดยให้ทั่วถึงทุกโรงเรียนปอเนาะ รวมทั้งการจัดหาอุปกรณ์เครื่อง มืออย่างพอเพียงด้วย ส่วนการบูรณะซ่อมแซมมัสยิดกรือเซะ จังหวัดปัตตานี ให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรม ศิลปากร) รับไปเร่งรัดดำเนินการโดยด่วนต่อไป และเพื่อเป็นการฟื้นฟูบรรยากาศการดำเนินธุรกิจการค้า การลงทุน ตลอดจนการท่องเที่ยวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ดีขึ้น ให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาจัดกิจกรรม หรือให้ความร่วมมือในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ดังกล่าวให้มากยิ่งขึ้นเช่น การจัดการประชุม อบรม สัมมนา และการจัดงานต่าง ๆ เป็น ต้น |
||||||||||||||||||||||||
3016 | โครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนม | กษ | 11/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานผลการดำเนินโครงการรณรงค์
ส่งเสริมการบริโภคนม โดยได้แต่งตั้งคณะกรรมการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภคนม ประกอบด้วย ฝ่ายเกษตรกร ฝ่ายผู้ประกอบการแปรรูปนม ฝ่ายผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์ และฝ่ายราชการ เป็นกรรมการ มีเป้าหมายจะเพิ่มการ บริโภคนมอีกร้อยละ 15 ต่อปี ทั้งนี้ ในการรณรงค์บริโภคนม ได้มีการระดมทุนจากภาคเอกชน และเกษตรกร รวมเป็นเงิน 35 ล้านบาท โดยฝ่ายเกษตรกรสนับสนุนร้อยละ 30 ฝ่ายผู้ประกอบการแปรรูปนม และฝ่ายผู้ ผลิตบรรจุภัณฑ์สนับสนุนฝ่ายละ ร้อยละ 35 สำหรับลักษณะการจัดรณรงค์จะเป็นภาพยนต์สั้นที่จะเผยแพร่ ทางโทรทัศน์ บทเพลงที่จะเผยแพร่ทางสื่อวิทยุ การจัดพิมพ์ภาพโปสเตอร์และสติคเกอร์ กำหนดออกอากาศ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2547 ในการนี้ ได้มีการจัดงานแถลงข่าวการเปิดโครงการรณรงค์ส่งเสริมการบริโภค นมไปแล้วเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2547 |
||||||||||||||||||||||||
3017 | การขยายเวลาดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท | มท | 04/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการขยายเวลาดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐ
กิจ58,000 ล้านบาท โดยเห็นชอบตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมการปก ครอง) ขยายเวลาการดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท โครง การพัฒนาเศรษฐกิจระดับชุมชนภายใต้แผนงานด้านชุมชนที่ได้มีการดำเนินการก่อหนี้ผูกพันไว้แล้ว ในวงเงิน ทั้งสิ้น 59,573,193.55 บาท เพื่อดำเนินการเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกันยายน 2547 ประกอบ ด้วย โครงการที่ขอขยายการเก็บรักษาเงิน/การเบิกจ่ายที่ยังดำเนินการไม่เสร็จ รวม 122 โครงการ จำนวน 59,190,681.70 บาท และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค จำนวน 382,511.85 บาท สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพัน รวม 14 โครงการ จำนวน 9,555,369 บาท ให้ ยกเลิกโครงการ และเห็นชอบเป็นหลักการตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติที่ให้ขยายระยะเวลาดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินของโครงการต่าง ๆ ภายใต้ค่าใช้ จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท ของส่วนราชการอื่น ๆ อีกจำนวน 16 แห่ง วงเงิน รวม 1,312,953,186.05 บาท เฉพาะส่วนที่ได้ก่อหนี้ผูกพันแล้วภายในวันที่ 30 กันยายน 2546 ตามแนว ทางเดียวกับกรณีของกระทรวงมหาดไทย โดยให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการเบิกจ่ายให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนกันยายน 2547 สำหรับโครงการที่ยังไม่ได้ดำเนินการก่อหนี้ผูกพันก็ให้ยกเลิกโครงการและนำเงินส่งคืนคลัง |
||||||||||||||||||||||||
3018 | การขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน | ทส | 04/05/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอการขยายเวลาเบิก
จ่ายเงินงบกลาง ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รายการก่อสร้างอาคาร และปรับปรุงภูมิทัศน์กลุ่มน้ำ ตกห้วยแก้ว ดอยสุเทพ-ปุย จำนวน 10,350,000 บาท ออกไปอีกจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2547 ทั้งนี้ เพื่อ ให้การดำเนินโครงการดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ และเป้าหมาย บรรเทาความเดือดร้อนของราษฎร และ เป็นประโยชน์กับทางราชการ |
||||||||||||||||||||||||
3019 | การดำเนินโครงการหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน/ชุมชน | มท | 20/04/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (นายประชา มาลีนนท์) เสนอ
ขอถอนเรื่องการดำเนินโครงการหอกระจายข่าวประจำหมู่บ้าน/ชุมชน คืนไปได้ โดยให้นำไปทบทวนแนวทางการ ดำเนินการโครงการอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยรับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการ ด้วยว่า เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการจัดสรรงบประมาณ เพื่อการดำเนินการโครงการนี้ ที่ได้จัดให้เป็นเงินอุดหนุนทั่วไปแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไว้แล้ว จึงควรเร่งรัด การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2546 เรื่อง การขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติให้องค์กรปก ครองส่วนท้องถิ่นตั้งงบประมาณสนับสนุนการดำเนินงานหอกระจายข่าวที่ให้จัดทำระเบียบหลักเกณฑ์เกี่ยวกับหอ กระจายข่าวให้ครอบคลุมถึงค่าบริการใช้หอกระจายข่าว การครอบครองดูแลรักษาและอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยให้ รวมถึงการจัดทำแนวทางการดำเนินการ รูปแบบ การกำหนดคุณลักษณะเฉพาะ (specification) และรายละเอียด อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการพัฒนา บำรุงรักษาและรองรับการเพิ่มเติมเทค โนโลยีในอนาคตด้วย เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแต่ละแห่งใช้เป็นแนวทางในการดำเนินการและถือปฏิบัติ ร่วมกันต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
3020 | ขออนุมัติให้ความเห็นชอบแนวทางดำเนินการและงบประมาณสำหรับโครงการผลิตไมโครชิปสมาร์ทการ์ดและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรเพื่อการยกขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยด้านอุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ | วท | 20/04/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอโครงการผลิต
ไมโครชิปสมาร์ทการ์ดและการสร้างโครงสร้างพื้นฐานและบุคลากรเพื่อการยกขีดความสามารถในการแข่งขันของ ไทยด้านอุตสาหกรรมไมโครอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างสายการผลิตไมโครชิประดับ 0.25 ไมครอน หรือต่ำกว่า โดยมีกำลังการผลิตขั้นต่ำ 500-1,000 แผ่นเวเฟอร์ (8 นิ้ว) ต่อเดือน หรือ 500,000-1,000,000 ไมโครชิปต่อเดือนหรือ 6-12 ล้านชิ้นต่อปี พัฒนาและผลิตไมโครชิปสมาร์ทการ์ดสำหรับโครงการบัตรประชาชน แบบสมาร์ทการ์ด ในราคาต้นทุน (รวมค่าเสื่อมราคา) ที่ต่ำกว่าการซื้อจากต่างประเทศ สร้างฐานรากด้านไมโคร อิเล็กทรอนิกส์ และนาโนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำไปสู่การสร้างงานวิจัยและพัฒนาและทำให้เกิดการสนใจเข้ามาลง ทุนในอุตสาหกรรมการผลิตไมโครชิป และอุตสาหกรรมขั้นสูงด้านอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศ และร่วมมือกับมหา วิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชนในการสร้างบุคลากร เพื่อรองรับการเกิดของอุตสาหกรรมมูลค่าเพิ่มสูงใหม่ ๆ ใน ประเทศ ในการนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนโดยการใช้ไมโครชิปสมาร์ทการ์ดสำหรับบัตรประชาชนแบบอเนกประสงค์ จากโครงการนี้ในราคาไม่เกิน 72 บาทต่อไมโครชิปสมาร์ทการ์ด สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งหมด 1,534 ล้านบาท ให้ใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินในประเทศ โดยให้กระทรวงการคลังให้การสนับสนุนในการจัด หาเจรจากับแหล่งเงินกู้ และเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งจัดงบประมาณสนับสนุนภาระดอกเบี้ย ทั้งนี้ ให้กระทรวง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทำรายละเอียดทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ (cash flow) ของการ ดำเนินโครงการ ฯ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเจรจาต่อไป และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับ ไปดำเนินการจัดหาเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตไมโครชิปสมาร์ทการ์ด เพื่อให้ได้เงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็น ประโยชน์แก่ภาครัฐมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการซื้อไมโครชิปที่ผลิตได้คืนร้อยละ 50 นั้น ให้คำนึงด้วยว่า การ คำนวณต้นทุนการผลิตรวมค่าเสื่อมราคาของไมโครชิปที่ 72 บาทต่อชิ้น เป็นราคาตลาดไม่คงที่ และอาจเปลี่ยน แปลงไปตามข้อเท็จจริง กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจึงจะต้องหาแนวทางในการดำเนินการด้วยความ รอบคอบและให้สามารถแข่งขันได้ในทางธุรกิจอย่างแท้จริงด้วย |
.....