ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 154 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3061 - 3080 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3061 | การขอรับการสนับสนุนงบประมาณเร่งด่วน | มท | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอขอรับการสนับสนุนเงินงบประมาณประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในวงเงิน 18,100,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำ พร้อมก่อสร้างท่อลอดถนนคันกั้นน้ำเค็ม และ ก่อสร้างทางระบายน้ำล้น ในจังหวัดเพชรบุรี จำนวนรวม 11 โครงการ และให้ดำเนินการต่อไปได้ |
|||||||||||||||||||||||||||
3062 | กระทู้ถามที่ 812 ร. เรื่อง ความคืบหน้าโครงการอินเทอร์เน็ตตำบล | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 812 ร. เรื่อง
ความคืบหน้าโครงการอินเทอร์เน็ตตำบล ของนายนพดล อินนา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (บัญชีรายชื่อ) และให้ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบสรุปได้ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงมหาดไทยได้ดำเนิน การสนับสนุนโครงการอินเทอร์เน็ตตำบล โดยมีผลการดำเนินงานตามโครงการ ฯ ประกอบด้วย การติดตั้งเครื่อง คอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล จัดทำเว็บไซต์ขึ้น คือ www.thaitambon.com และ www. thailocaladmin.go.th เพื่อนำเสนอข้อมูลข่าวสารและเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร การแสดงความคิด เห็นของประชาชน การนำสินค้าของกลุ่ม/ชุมชนขึ้นขายในเว็บไซต์ และประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการ ใช้ทรัพยากรทางเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในการนำข้อมูลที่สำคัญของตำบลทั่วประเทศเข้าสู่ การเชื่อมโยงของตลาดสากล พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพื่อให้ประชาชนในชนบทได้เพิ่มศักยภาพในด้านความรู้ นอกจากนี้ ได้ดำเนินการฝึกอบรมให้แก่เจ้าหน้าที่ของทุกองค์การบริหารส่วนตำบลที่ได้รับการจัดสรรเครื่องคอม พิวเตอร์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจในการดำเนินการตามโครงการอินเทอร์เน็ตตำบล และการติดตามประเมิน ผล โดยในส่วนของการติดตามประเมินผลการดำเนินโครงการ ฯ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ว่าจ้างสถาบันวิจัยและ ให้คำปรึกษาแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทำการประเมินผลการปฏิบัติงานโครงการ ฯ ในด้านความพร้อมของ บุคลากร งบประมาณ และการนำนโยบายไปปฏิบัติ และได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการ พิจารณาของกระทรวงมหาดไทย |
|||||||||||||||||||||||||||
3063 | กระทู้ถามที่ 1066 ร. เรื่อง ประโยชน์และผลกระทบในด้านการอุตสาหกรรมจากโครงการขุดคอคอดกระ | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1066 ร. เรื่อง
ประโยชน์และผลกระทบในด้านการอุตสาหกรรมจากโครงการขุดคอคอดกระ ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญ ของคำตอบสรุปได้ว่า โครงการขุดคอคอดกระเป็นโครงการขนาดใหญ่ในระยะยาว ที่มีความสำคัญต่อ ประเทศไทยและนานาประเทศ ขณะนี้รัฐบาลได้ให้ความสำคัญนำมาพิจารณาความเป็นไปได้ในการ ดำเนินการโครงการ ฯ ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อสรุปอย่างชัดเจนในการผลักดันการดำเนินโครงการ ฯ และยังอยู่ระหว่างการดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของคณะกรรมการแห่งชาติศึกษาความเป็นไปได้ ในการขุดคอคอดกระเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจและสังคม ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมตาม โครงสร้างปัจจุบัน ยังไม่สามารถกำหนดนโยบายสนับสนุนโครงการ ฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องได้อย่างชัด เจน เนื่องจากจำเป็นต้องพิจารณารายละเอียดประกอบหลาย ๆ ด้าน อย่างละเอียด รอบคอบและถี่ ถ้วน ทั้งนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะกระทรวงเศรษฐกิจ ได้เตรียมความพร้อมด้านต่าง ๆ เพื่อรอง รับการดำเนินการไดัอย่างทันตามสถานการณ์ หากมีการดำเนินโครงการในอนาคตข้างหน้า โดยได้ กำหนดทิศทางการพัฒนาให้ก้าวนำกับการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ต่าง ๆ มุ่งเน้นการสร้างความเข้ม แข็งให้กับอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ ทั้งภาคการผลิตการค้าและการบริการ วิสาหกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม รวมทั้งวิสาหกิจชุมชน โดยจะส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาควบคู่ไปกับการเปิดโอกาสการ ขยายตัวของการลงทุน รวมทั้งเร่งรัดให้มีการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ให้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่ม สมรรถนะและขีดความสามารถของภาคอุตสาหกรรม |
|||||||||||||||||||||||||||
3064 | กระทู้ถามที่ 419 เรื่อง ความคืบหน้าของโครงการป้องกันอุทกภัยห้วยเชียงส่งและห้วยสามสัตย์ อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม | สผ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 419 เรื่อง
ความคืบหน้าของโครงการป้องกันอุทกภัยห้วยเชียงส่ง และห้วยสามสัตย์ อำเภอโกสุมพิสัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ของนางกุสุมาลวตี ศิริโกมุท สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดมหาสารคาม และมอบให้รัฐ มนตรีว่การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตอบในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบ สรุปได้ว่า การสำรวจออกแบบเพื่อดำเนินโครงการป้องกันอุทกภัยห้วยเชียงส่ง และห้วยสามสัตย์ อำเภอโกสุม พิสัย อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทาน ปัจจุบันกำลัง ศึกษาและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดเข้าแผนศึกษาความเหมาะสมในปี พ.ศ. 2549 ส่วนการจัดโครงการ ฯ เข้าแผนงานก่อสร้างก็ต่อเมื่อทำการศึกษาความเหมาะสมสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการ ฯ ได้ จึงจะดำ เนินการออกแบบรายละเอียด และจัดเข้าแผนงานและงบประมาณก่อสร้างต่อไป ทั้งนี้ ในการดำเนินโครงการ ของกรมชลประทานจะให้ราษฎรเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินงานทุกขั้น เพื่อให้ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไขปัญหา ซึ่งในการมีส่วนร่วมนี้จะมีการประชุมทำการบันทึกข้อตกลงการใช้ประโยชน์จากโครงการหลังจากก่อสร้างเสร็จ แล้ว ว่าหน่วยงานใดเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการให้เกิดผลประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ และหน่วยงานนั้นจะต้องทำแผนการใช้ประโยชน์เสนอผู้เกี่ยวข้อง หรือผู้มีส่วนร่วมได้ส่วนเสียลงมติเห็นชอบก่อน นอกจากนี้ ทางกรมประมงมีแผนงานและโครงการส่งเสริมอาชีพให้แก่เกษตรกร โดยการฝึกอบรมถ่ายทอด เทคโนโลยีด้านการเพาะเลี้ยงพันธุ์สัตว์และสนับสนุนพันธุ์สัตว์น้ำจืดปล่อยลงในห้วยเชียงส่ง และห้วยสามสัตย์ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ |
|||||||||||||||||||||||||||
3065 | โครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 | กษ | 28/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับโครงการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 โดยอนุมัติให้กระทรวงการท่อง
เที่ยวและกีฬา (การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) ย้ายสถานที่ก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จาก เดิมที่ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่ศูนย์วิจัยเกษตรหลวงเชียงใหม่ ตำบลแม่เหียะ อำเภอ เมือง จังหวัดเชียงใหม่ โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดพื้นที่บริเวณศูนย์วิจัย ฯ ให้การท่องเที่ยวแห่ง ประเทศไทย (ททท.) จำนวน 250 ไร่ เพื่อดำเนินโครงการศูนย์ประชุม ฯ ต่อไป กับอนุมัติในหลักการกรอบวง เงินงบประมาณสำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการจัดงานมหกรรมพืชสวนโลก 2549 ของกระทรวงเกษตร ฯ (กรมวิชาการเกษตร) จำนวน 1,580 ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตร ฯ เสนอ รวมทั้งกรอบวงเงินงบประมาณ สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการดำเนินโครงการศูนย์ประชุม ฯ ในพื้นที่ที่ย้ายมาใหม่ จำนวนรวม 1,450 ล้านบาท โดยวงเงินที่จะใช้ดำเนินการจริง ให้พิจารณาร่วมกันทั้งสองกิจกรรม โดยเมื่อมีการออกแบบก่อสร้าง และดำเนินการจัดจ้างแล้ว ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ความเห็นชอบการก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบ ประมาณ ก่อนลงนามในสัญญาว่าจ้าง และให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามลำดับ กิจกรรมพร้อมรายละเอียด โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องเบิกจ่ายภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ให้ใช้จ่ายจากงบกลาง รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนที่ เหลือให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีต่อไป และให้กระทรวงเกษตร ฯ รับไปตรวจสอบวงเงินค่าใช้จ่าย งบดำเนินการมิให้ซ้ำซ้อนกับงบประมาณสำหรับเตรียมการจัดงาน วงเงิน 187 ล้านบาท และอนุมัติในหลักการ ให้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ (กวพ.) พิจารณายกเว้นให้กระทรวงเกษตร ฯ ไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม บางรายการที่จำเป็น โดยให้กระทรวงเกษตร ฯ จัดส่งคำขอและข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ตลอดจนเหตุผลความจำเป็นเสนอต่อ กวพ. ต่อไป ส่วนกรณีการที่ ททท. ขออนุมัติในหลักการไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการพัสดุบาง รายการที่จำเป็นนั้น ให้ดำเนินการตามความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการแก้ไขปรับ ปรุงข้อบังคับเกี่ยวกับการพัสดุของ ททท. ซึ่งคณะกรรมการ ททท. สามารถดำเนินการได้เองตามอำนาจหน้าที่ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2534 เรี่อง การพิจารณาระเบียบปฏิบัติเกี่ยวข้องกับรัฐวิสาหกิจ ต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินกิจการได้อย่างคล่องตัวและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อ สังเกตเพิ่มเติมว่า ควรพิจารณาความเหมาะสมในการขยายระยะเวลาการจัดงานจากเดิมที่กำหนดไว้ 3 เดือน เป็น 6 เดือน โดยให้นำเสนอคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องพิจารณา ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป และให้ความ สำคัญและเตรียมมาตรการที่เหมาะสมรองรับการย้ายสถานที่ก่อสร้างศูนย์ประชุม ฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ การก่อสร้างและการดำเนินงานของหน่วยงานอื่น ๆ ที่เดิมกำหนดจะจัดสร้างในบริเวณเดียวกัน และโดยที่ กระทรวงศึกษาธิการมีวิทยาลัยเกษตรกรรมอยู่ในสังกัดเป็นจำนวนมาก หากจะมอบหมายให้วิทยาลัยดังกล่าว สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่ดูแลและบำรุงรักษาพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ ที่นำมาจัดงาน ก็น่าจะเป็นผลดี จึงให้ กระทรวงเกษตร ฯ รับไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
3066 | แผนงานและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง จังหวัดหนองบัวลำภู | ทส | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับแผน
งานและโครงการพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง จังหวัดหนองบัวลำภู ระยะเร่งด่วน โดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครง การขอใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อ การเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ หากไม่เพียงพอก็อาจขอใช้จ่ายจากราย การเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 301 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการ จำนวน 3 โครงการ ประกอบด้วย โครงการขุดลอกและพัฒนาลุ่มน้ำลำพะเนียง 2 ช่วง รวม 25.5 กิโลเมตร เป็น เงิน 176 ล้านบาท (กรมชลประทานรับผิดชอบโครงการ) โครงการก่อสร้างและพัฒนาพื้นที่รองรับน้ำ (แก้มลิง) 2 แห่ง เป็นเงิน 37 ล้านบาท (กรมชลประทานรับผิดชอบโครงการ) และโครงการก่อสร้างฝายพร้อมประตู บังคับน้ำ 3 แห่ง เป็นเงิน 88 ล้านบาท (กรมทรัพยากรน้ำรับผิดชอบโครงการ) สำหรับโครงการศึกษาความ เหมาะสมและสำรวจออกแบบเพื่อพัฒนาแหล่งน้ำธรรมชาติ จังหวัดหนองบัวลำภู 11 ลุ่มน้ำ ให้กรมทรัพยากร น้ำพิจารณาดำเนินการไปพร้อมกับการจัดทำแผนรวมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ในพื้นที่ลุ่มน้ำชีที่ได้รับ การสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ไว้แล้วต่อไป ทั้งนี้ ให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่ เกี่ยวข้อง เช่นกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมการขน ส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี กรมชลประทาน และกรมการพัฒนาชุมชน เป็นต้น รับความเห็นของคณะรัฐมนตรีไป ประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยโดยวิธีการขุดลอกร่องน้ำต่าง ๆ อาจไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องเหมาะสมและได้ผลยั่งยืน เนื่องจากเมื่อระยะเวลาผ่านไปลุ่มน้ำต่าง ๆ มักจะกลับมาตื้น เขินดังเดิมจึงควรพิจารณาทางเลือกอื่น ๆ รวมทั้งต้องคำนึงถึงความสอดคล้องเชื่อมโยงกับสภาพของลุ่มน้ำแต่ละ แห่งในภาพรวมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
3067 | รายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการช้างลาดตระเวนป่าระยะที่ 1 และขอขยายระยะเวลาดำเนินโครงการต่อเนื่องในปี 2547 | ทส | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยรับทราบรายงานความ
ก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการช้างลาดตระเวนป่า ระยะที่ 1 และเห็นชอบให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ดำเนินโครงการช้างลาดตระเวนป่า โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 21,000,000 บาท ของปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ต่อไปในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยให้กรมอุทยาน แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ทำความตกลงกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปีกับกระทรวงการคลังตามวิธีการและหลักเกณฑ์ ที่กำหนดไว้ในระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากคลัง พ.ศ. 2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของกระทรวงการ คลังต่อไป สำหรับรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินงานโครงการช้างลาดตระเวนป่า ระยะที่ 1 หลังจากที่กรม อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช จัดงานเปิดโครงการและปล่อยแถวช้างเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานเมื่อวันที่ 3 สิงหา คม 2546 ซึ่งได้รับแจ้งจากเจ้าของช้างอีกหลายรายว่า สนใจจะสมัครเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีกประมาณไม่ต่ำ กว่า 20 เชือก โดยกลุ่มผู้เลี้ยงช้างคาดหวังว่าจะได้ให้ช้างปฏิบัติงานตามโครงการต่อไปในอนาคตข้างหน้าส่วน ข้อเท็จจริงในการใช้จ่ายงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 เพื่อดำเนินโครงการซึ่งไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากการคัดเลือกและจัดส่งช้างเข้าพื้นที่ปฏิบัติงานได้ล่าช้ากว่ากำหนดรวมทั้งรายละเอียดของข้อเท็จจริงการ ใช้จ่ายงบประมาณยังไม่สอดคล้องกับแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่ได้ทำความตกลงไว้ และการแจ้งความประสงค์ เพื่อเข้าร่วมโครงการยังไม่เต็มจำนวนตามที่กำหนดไว้ในแผน จึงทำให้การใช้จ่ายงบประมาณไม่เป็นไปตามเป้า หมาย และคาดว่าจะมีงบประมาณเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการในปี พ.ศ. 2546 ดังนั้น เพื่อให้สามารถ ดำเนินงานจนบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ จึงขอความเห็นชอบในการใช้จ่ายเงินงบประมาณเหลือจ่ายจากปี งบประมาณ พ.ศ. 2546 เพื่อดำเนินโครงการต่อไปในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 |
|||||||||||||||||||||||||||
3068 | หลักเกณฑ์การบริหารและเบิกจ่ายเงินกรณีฉุกเฉิน (contingency fund) เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการของเอกอัครราชทูตแบบบูรณาการ (CEO) | กต | 07/10/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 5 ที่มีมติเกี่ยวกับ เรื่อง หลักเกณฑ์การบริหารและเบิกจ่ายเงินกรณีฉุกเฉิน (contingency fund) เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการ ของเอกอัครราชทูตแบบบูรณาการ (CEO) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ โดยอนุมัติหลักเกณฑ์ดังกล่าว ดังนี้ ให้เก็บเงินกรณีฉุกเฉินไว้ที่กระทรวง ฯ โดยให้เอกอัครราชทูต CEO เสนอขออนุมัติโครงการให้กระทรวง ฯ พิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ทั้งนี้ หน่วยงานส่วนกลางของกระทรวง ฯ สามารถเสนอขออนุมัติกระทรวง ฯ เพื่อใช้เงิน กรณีฉุกเฉินได้ สำหรับภารกิจสำคัญเร่งด่วนของหน่วยงานส่วนกลางเพื่อการดำเนินงานให้เป็นไปตามนโยบายเอก อัครราชทูต CEO ของรัฐบาล โดยให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นตามระเบียบของทางราชการ ส่วนการใช้เงินกรณีฉุก เฉิน (contingencyfund) อนุมัติหลักการให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่าย ดังนี้ สำหรับการดำเนินโครงการ/กิจกรรมของเอก อัครราชทูต CEO ที่สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ทวิภาคีและเป็นโครงการ/กิจกรรมเร่งด่วนซึ่งไม่ได้ตั้งงบประมาณ ล่วงหน้าไว้ แต่จำเป็นต้องดำเนินโครงการ/กิจกรรมนั้น เพื่อประโยชน์ในการบรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ โดย ให้เบิกจ่ายค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นตามระเบียบของทางราชการ สำหรับการดำเนินภารกิจตามแผนยุทธศาสตร์ทวิภาคีซึ่ง เป็นภารกิจที่มิอาจเปิดเผยได้ หรือเป็นภารกิจที่ไม่มีระเบียบให้เบิกจ่ายได้ หรือไม่สามารถขอเบิกจ่ายได้ตามนัย ระเบียบของทางราชการที่มีอยู่ แต่เป็นภารกิจที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินงาน เพื่อประโยชน์ในการบรรลุเป้า หมายตามยุทธศาสตร์ โดยขออนุมัติให้เอกอัครราชทูต CEO สามารถขออนุมัติเบิกจ่ายในลักษณะเงินราชการลับ โดยกระทรวง ฯ เป็นผู้กำหนดขอบเขตภารกิจ/กิจกรรมและควบคุมการเบิกจ่าย ซึ่งเอกอัครราชทูต CEO ต้องราย งานการใช้จ่ายเงินดังกล่าวให้กระทรวง ฯ ทราบ และอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศเก็บเงินกรณีฉุกเฉินดัง กล่าวไว้เบิกจ่ายภายหลังสิ้นปีงบประมาณกรณีไม่มีหนี้ผูกพันได้เป็นกรณีพิเศษ โดยให้กระทรวงการต่างประเทศ รับประเด็นอภิปรายของ คกก.5 ความเห็นของสำนักงบประมาณและกระทรวงการคลัง ไปพิจารณาดำเนินการต่อ ไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
3069 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลาม จังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (พ.ศ. 2547 - 2551) | นร | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) เสนอ โดยรับทราบรายงานผล
ความก้าวหน้าของการดำเนินการขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิส ลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยต่าง ๆ (พ.ศ. 2547-2551) และเห็นชอบแนวทางในการ สงวนอัตราข้าราชการ ตามข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ. สำหรับผลความก้าวหน้าของการดำเนินการขยายระยะ เวลาดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาชาวไทยที่นับถือศาสนาอิสลามจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหา วิทยาลัยต่าง ๆ (พ.ศ. 2547-2551) โดยในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ได้กำหนดเกณฑ์การคัดเลือกโดยเน้น ผู้ที่มีภูมิลำเนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างน้อย 3 ปี มีผลการเรียนดี ความประพฤติดีและขาดแคลนทุน ทรัพย์ โดยมอบให้จังหวัดเป็นผู้พิจารณากำหนดสาขาวิชาที่ขาดแคลนเพื่อให้ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และ กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแผนพัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ทั้งระบบ ซึ่งในการประชุมคณะกรรม การกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 และคณะที่ 4 ได้ให้ความเห็นชอบแผนดังกล่าวแล้วเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2546 โดยที่ประชุม ฯ ได้ให้กระทรวงศึกษาธิการสำรวจและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของ ประชาชนในพื้นที่ ทั้งที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศและในประเทศ รวมทั้งข้อมูลโครงการพิเศษต่าง ๆ อันจะเป็น ประโยชน์ต่อกระทรวงมหาดไทยในการดำเนินโครงการต่อไป และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามแผน พัฒนาการศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย สำหรับข้อเสนอของสำนักงาน ก.พ. เกี่ยวกับการสงวนอัตรา โดย ได้ข้อยุติเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ากระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ให้สงวนอัตราเพื่อรองรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา กระทรวงละ 4 อัตรา สำหรับส่วนราชการ อื่น ให้สงวนอัตราไว้อย่างน้อยกระทรวงละ 1 อัตรา โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547
|
|||||||||||||||||||||||||||
3070 | รายงานผลการดำเนินงานโครงการธนาคารประชาชน ครบรอบ 2 ปี | กค | 30/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการดำเนินงานโครงการธนาคารประชาชน
ครบรอบ 2 ปี สรุปได้ว่า โครงการธนาคารประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลของธนาคารออมสิน ซึ่งเริ่มดำเนิน การอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2544 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 2 ปี โดยผลการดำเนินโครงการ ฯ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2546 มีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 596,478 ราย จำนวนสมาชิกที่ยื่นขอกู้ 700,023 ราย จำนวนสมาชิกที่อยู่ระหว่างรออนุมัติ 63,132 ราย จำนวนสมาชิกที่ได้รับเงินกู้ 636,891 ราย จำนวนเงินที่อนุมัติ กู้ 12,156.40 ล้านบาท จำนวนเงินที่ได้รับชำระคืน 6,708.95 ล้านบาท จำนวนเงินกู้คงเหลือ 5,447.45 ล้าน บาท จำนวนเงินกู้คงเหลือของหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือน 359.58 ล้านบาท โดยมีจำนวนสมาชิกค้างชำระเกิน 3 เดือน 27,244 ราย หนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนต่อสินเชื่อคงเหลือ ร้อยละ 6.57 และหนี้ค้างชำระเกิน 3 เดือนต่อสิน เชื่อทั้งหมด ร้อยละ 3.05 โดยในส่วนของการแก้ไขปัญหาหนี้ค้างชำระที่เกิน 3 เดือน ธนาคารออมสินได้ดำเนิน มาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยเร่งรัดและติดตามในลักษณะถึงตัวลูกค้าและผู้ค้ำประกันทั้งในส่วนกลางและสาขา และออกรับฝากเงินนอกสถานที่อย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งสอบถามปัญหากับลูกค้าที่ผิดนัดเพื่อหาทางช่วยเหลือและ แนะนำ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่าพอใจ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล ทำให้จำนวนสิน เชื่อค้างชำระลดลง นอกจากนี้ ธนาคารออมสินได้กำหนดแผนการและยุทธศาสตร์สำหรับการดำเนินงานในระยะ ต่อไปเพื่อขยายผลการดำเนินงานโครงการ ฯ โดยส่งเสริมและพัฒนาให้มีการจัดตั้งกลุ่ม โดยมีแกนนำหรือ Nucleus เพื่อส่งเสริมให้เกิดกระบวนการรวมกลุ่มโดยให้สมาชิกเลือกตัวแทนทำหน้าที่รวบรวมเงินฝาก และเงินที่จะชำระคืน รวมทั้งรับรองสมาชิกภายในกลุ่มก่อนมีการขอกู้เงินจากธนาคาร พัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อนำมาใช้เฉพาะโครงการ ฯ พิจารณาให้สินเชื่ออื่น ๆ กับสมาชิกโครงการ ฯ อาทิ สินเชื่อธุรกิจห้องแถว สินเชื่อโครงการบ้านออมสินเพื่อประชา ชน เป็นต้น ตลอดจนการนำระบบบริหารจัดการสินเชื่อโครงการแบบบูรณาการมาใช้ทั้งในส่วนกลางและระดับ ปฏิบัติการ โดยเน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการปรับปรุงกระบวนการติดตามสินเชื่อคงค้าง
|
|||||||||||||||||||||||||||
3071 | การจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการศึกษา วิจัย ออกแบบ สร้างอุปกรณ์สื่อสารระบบ Ka-Band ของการร่วมสร้างดาวเทียมอเนกประสงค์ขนาดเล็ก | ทก | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ขยายเวลาก่อหนี้
ผูกพันข้ามปีงบประมาณการจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนินโครงการ ฯ จากปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ.2547 เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2548 โดยการก่อหนี้หรือการจัดซื้อจัดจ้างให้เป็นไปตามระเบียบของ ทางราชการตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และอนุมัติให้ลงนามในสัญญาว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อดำเนิน โครงการ ฯต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเกี่ยวกับการเพิ่มเจ้าหน้า ที่ในองค์ประกอบแผนบุคลากรของโครงการ ฯ ไปพิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ของ การดำเนินโครงการ ฯให้นำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 พิจารณาก่อนนำ เสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
3072 | การขยายระยะเวลาดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท | นร | 23/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบและให้ดำเนินการต่อไปได้ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐ
กิจและสังคมแห่งชาติเสนอขอขยายระยะเวลาดำเนินการ และกันเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท สำหรับโครงการที่ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเพิ่มเติมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 และโครงการภายใต้แผนงานเพิ่มขีดความสามารถ ในการแข่งขันโดยร่วมกับภาคเอกชน เพื่อไปเบิกจ่ายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามระเบียบการเบิกจ่ายเงิน จากคลัง พ.ศ. 2520 และที่แก้ไขเพิ่มเติม และเร่งรัดให้หน่วยงานที่ได้รับจัดสรรงบประมาณค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อ การกระตุ้นเศรษฐกิจ ภายใต้แผนงาน National Program และแผนงานด้านชุมชน ดำเนินการและเบิกจ่ายให้แล้ว เสร็จภายในสิ้นเดือนกันยายน 2546 หากมีเงินเหลือจ่ายจากการดำเนินโครงการ ก็ให้นำเงินส่งคืนกรมบัญชี กลางต่อไป ทั้งนี้ ให้สำนักงบประมาณตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายเงินค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 58,000 ล้านบาท ของโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับอนุมัติจัดสรรเงินไปแล้ว หากโครงการใดยังมิได้ดำเนินการใด ๆ และยังไม่มีการเบิกจ่ายเงิน โดยไม่มีเหตุผลจำเป็นก็ให้งบประมาณที่ได้รับจัดสรรเป็นอันพับไป และให้นำเงินงบ ประมาณดังกล่าวมารวมไว้ที่สำนักงบประมาณ เพื่อพิจารณาดำเนินการตามความเหมาะสมและจำเป็นอีกครั้ง หนึ่งต่อไป และรายงานข้อมูลให้นายกรัฐมนตรีทราบด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
3073 | การจัดตั้งสำนักงานภูมิภาคเอเชียของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) ในประเทศไทย | กค | 16/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2 ที่มีมติเห็น
ชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอการให้เอกสิทธิ์ทางภาษีอากรแก่สำนักงานภูมิภาคเอเชียของสหภาพสากลว่า ด้วยการอนุรักษ์ (IUCN) ในประเทศไทย โดยการคืนภาษีอากรที่ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกินสิทธิพิเศษตามที่คณะ รัฐมนตรีได้อนุมัติแล้วเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2546 ได้แก่ การคืนเงินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้จ่ายไปจริง สำหรับเงินเดือนและค่าตอบแทน เนื่องจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำงานให้ IUCN ให้แก่ เจ้าหน้าที่ IUCN เฉพาะบุคคลทางวิชาชีพ (Professional Staff) อันได้แก่ ผู้บริหารโครงการ และที่ปรึกษาหรือ ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งมิใช่บุคคลสัญชาติไทยหรือบุคคลสัญชาติอื่นซึ่งมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดย IUCN ได้ว่าจ้างให้ ทำงานในประเทศไทย และคืนภาษีศุลกากรที่ได้จ่ายไปจริงสำหรับของใช้ส่วนตัว และของใช้ในครัวเรือนที่ใช้แล้ว ตามพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 แก่เจ้าหน้าที่ IUCN ที่เข้ามาทำงานให้ IUCN ในจำนวนที่ เหมาะสมตามความจำเป็นของโครงการ โดยอนุญาตให้นำครอบครัวอันหมายถึงคู่สมรสและบุตรเข้ามาอยู่ด้วย ได้ นอกจากนั้นให้ได้รับการตรวจลงตราประเภทเข้าออกหลายครั้งด้วย ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นต้องอยู่ปฏิบัติงาน ในประเทศไทยเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 1 ปี และหากมีการขายหรือโอน จะต้องปฏิบัติตามระเบียบของ ทางราชการด้วย รวมทั้งคืนภาษีอากรที่ได้จ่ายจริงให้แก่ IUCN สำหรับของใช้สำนักงานที่มีความคงทนและราคา แพง รวมถึงเครื่องมือหรือวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นและใช้ในการดำเนินโครงการช่วยเหลือประเทศไทย หรือแจกให้ เปล่าเป็นสาธารณกุศลแก่ประชาชนโดยผ่านส่วนราชการหรือบริจาคเป็นสาธารณประโยชน์แก่ส่วนราชการไทย และรถยนต์เฉพาะที่เป็นของ IUCN จำนวนที่ส่วนราชการกำหนดให้ใช้ในกิจการของ IUCN ตามความจำเป็น โดย รถยนต์ที่นำเข้ามาใช้งานจะขายหรือโอนได้ เมื่อครบกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่จดทะเบียน |
|||||||||||||||||||||||||||
3074 | ขออนุมัติดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่งเสริมคุณภาพ และคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา | ศธ | 16/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอการดำเนินโครงการวิทยุและโทรทัศน์ส่ง
เสริมคุณภาพและคุณธรรมเพื่อแก้ปัญหาความรุนแรงของนักเรียน นักศึกษา โดยจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมปี พ.ศ. 2546 จากงบกลาง จำนวน 18,985,000 บาท และให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมดำเนินการและจัดสรรเวลา ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 และสถานีวิทยุกระจายเสียงในส่วนภูมิภาคร่วมถ่าย ทอดรายการวิทยุ และให้สถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆ ร่วมเผยแพร่รายการโทรทัศน์ในช่วงเวลาที่เหมาะสม และให้ ดำเนินการต่อไปได้ โดยงบประมาณค่าใช้จ่ายให้กระทรวงศึกษาธิการปรับแผนการปฏิบัติงาน และระยะเวลา ดำเนินการไปเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป และให้เบิกจ่ายจากเงินงบประมาณประจำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 โดยขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป และให้ถือว่าการดำเนินโครง การนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ (16 กันยายน 2546) เรื่อง ปัญหาเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน และมอบให้รองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์) รับไป ดำเนินการร่วมกับผู้เกี่ยวข้องไว้แล้ว ในระยะต่อไป หากรองนายกรัฐมนตรี (ศาสตราจารย์ ปุระชัย ฯ) และผู้ที่ เกี่ยวข้องเห็นควรปรับปรุง แก้ไขหรือขยายการดำเนินโครงการ ฯ อย่างไรก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา ต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งเห็นควรจัดทำสื่อเพื่อพัฒนาคุณธรรมและจริยธรรมทั้งในและนอกระบบโรง เรียนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องโดยสอดแทรกศีลธรรมและจริยธรรมในหลักสูตรปกติทุกระดับการศึกษาและ สื่อต่างๆ เช่น สื่อเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาของกรมการศึกษานอกโรงเรียน เครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อโรงเรียน ไทย (School Net) สื่อท้องถิ่น และวิทยุชุมชนเป็นต้น และควรให้ความสำคัญในการจัดกิจกรรมที่เสริมสร้าง ความสามัคคีของนักเรียน นักศึกษาระหว่างสถานศึกษาต่าง ๆ เช่น การจัดกีฬา และการจัดค่ายฝึกอบรม เป็น ต้น นอกจากนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้ามีส่วนร่วมในการผลิตรายการเชิงสร้างสรรค์สำหรับกลุ่มวัย รุ่นมากยิ่งขึ้น โดยการใช้มาตรการจูงใจต่าง ๆ เช่น การลดหย่อนภาษี เป็นต้น และสนับสนุนให้มีการรวมกลุ่ม วิชาชีพทางสื่อสารมวลชนที่เข้มแข็ง เพื่อกำกับดูแล และตรวจสอบสื่อมวลชนด้วยกันเองให้มีความรับผิดชอบใน การผลิตสื่อต่าง ๆ ที่มีความรุนแรงและไม่เหมาะสมต่อสังคม ไปประกอบการดำเนินการด้วย รวมทั้งรับความ เห็นของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การจัดให้เด็กและเยาว ชน ที่มีประวัติและพฤติกรรมชอบใช้ความรุนแรงได้เข้าไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของผู้ที่กระทำความ ผิดและถูกกักขังอยู่ในเรือนจำ นั้น จะมีส่วนช่วยให้เด็กและเยาวชนเหล่านี้ปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรม ของตนเองให้ดีขึ้นอย่างได้ผล |
|||||||||||||||||||||||||||
3075 | กระทู้ถามที่ 1184 ร. เรื่อง นโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการส่งเสริมนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตที่ยืนยาว | สผ | 16/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 1184 ร. เรื่อง
นโยบายและมาตรการเกี่ยวกับการส่งเสริมนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตที่ยืนยาว ของนายเปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดขอนแก่น และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยสาระสำคัญของคำตอบ สรุปได้ว่า ตามแผนการดำเนินงาน 5 ปี (พ.ศ. 2545-2549) ในวงเงินงบประมาณ 1,420 ล้านบาท ของสำนักงาน คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนานวัตกรรมได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ใน อุตสาหกรรม 5 สาขา โดยการพัฒนานวัตกรรมทางด้านอาหารและสมุนไพรเป็นหนึ่งในโครงการเชิงยุทธศาสตร์ ของสำนักงาน ฯ ซึ่งได้จัดสรรงบประมาณในส่วนนี้ประมาณร้อยละ 17 ของงบประมาณทั้งหมดที่อยู่ในระหว่างการ เสนอขอรับการจัดสรรเงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ เพื่อการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2546-2547 ซึ่งการ ดำเนินโครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ด้านอาหารและสมุนไพร จะมุ่งเน้นโครงการทางด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต ที่ยืนยาวหรือเพื่อสุขภาพ ทั้งนี้ การดำเนินการพัฒนาโครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ด้านอาหารและสมุนไพร จะเป็นการพัฒนาในรูปแบบของเครือข่ายที่มีความร่วมมือระหว่างกองทุนพัฒนานวัตกรรม หน่วยงาน/สถาบันวิจัย รวมทั้งผู้ประกอบการภาคเอกชนในการระดมความคิด เพื่อนำนวัตกรรมเข้าไปแทรกแซงให้เกิดการพัฒนาโครงการ ใหม่ ๆ ออกสู่เชิงพาณิชย์ โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับนวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิตที่ยืนยาว ประกอบด้วย กองทุนพัฒนานวัตกรรม (กพน.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจในการพัฒนาโครงการนวัตกรรมเชิง ยุทธศาสตร์ด้านอาหารและสมุนไพร รวมถึงการพัฒนาโครงการวิจัยและสิทธิบัตรให้ออกสู่เชิงพาณิชย์ การดำเนิน การโครงการนวัตกรรมของสำนักงาน ฯ ที่ผ่านมา จะเป็นการสนับสนุนผลงานวิจัยที่ทำการวิจัยจนได้ผลงานและ พร้อมที่จะพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการพาณิชย์ สำหรับการประเมินผลโครงการหลังจากที่ได้รับการสนับสนุน จากสำนักงาน ฯ จะมีการติดตามผลการดำเนินการของโครงการอยู่เป็นระยะ ๆ โดยจะประเมินผลการดำเนินงาน ของผู้เสนอโครงการในช่วงแรกก่อนการดำเนินโครงการ และช่วงที่สองคือ ในระหว่างการดำเนินโครงการ ซึ่งจะ ประเมินผลขั้นสุดท้าย เมื่อเสร็จสิ้นโครงการตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในข้อเสนอโครงการ ดังนั้น ระยะเวลาการ ดำเนินโครงการจึงขึ้นอยู่กับข้อเสนอโครงการของแต่ละโครงการ หรือตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญารับทุนสนับสนุน |
|||||||||||||||||||||||||||
3076 | โครงการบ้านเอื้ออาทรสำหรับข้าราชการชั้นผู้น้อยและลูกจ้าง | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า การดำเนินโครงการบ้านเอื้ออาทรในระยะที่ผ่าน
มานับว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี มีประชาชนผู้มีรายได้น้อยให้ความสนใจในการจองซื้อบ้านในโครงการเป็น จำนวนมาก ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาในด้านที่อยู่อาศัยให้แก่ผู้มีรายได้น้อยได้มีบ้านพักอาศัยเป็นของตนเอง และ ลดปัญหาสภาพชุมชนแออัดลงไปได้ในระดับหนึ่ง จึงควรเร่งดำเนินการโครงการต่อไปโดยขยายกลุ่มเป้าหมายไปยัง ข้าราชการชั้นผู้น้อยและลูกจ้างประจำของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐต่าง ๆ โดยอาจเจรจาตกลงกับส่วนราช การ และหน่วยงานของรัฐซึ่งมีที่ดินอยู่ในความครอบครอง และมีพื้นที่เหมาะสมและเพียงพอที่จะนำมาจัดทำโครง การ ฯ ให้แก่ข้าราชการชั้นผู้น้อยและลูกจ้างประจำของหน่วยงานนั้น ๆ เป็นการเฉพาะได้เช่าในระยะยาว เช่น 60 ปี 90 ปี จึงขอให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (การเคหะแห่งชาติ) รับเรื่องนี้ไปพิจารณา ดำเนินการในรายละเอียดร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยด่วนต่อไป ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2546 เรื่อง ขอความเห็นชอบโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย "โครงการ บ้านเอื้ออาทร" ระยะ 3 และเรื่อง ขอความเห็นชอบแผนการดำเนินงานตามภารกิจหลักของการเคหะแห่งชาติ พ.ศ. 2546 - 2549 ที่เห็นชอบให้การเคหะแห่งชาติรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดหาพื้นที่ที่เหมาะ สมในการดำเนินโครงการในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยประสานขอความร่วมมือจาก หน่วยงานต่าง ๆ และภาคเอกชนที่มีความพร้อมจะเข้าร่วมโครงการ รวมทั้งควรติดต่อเจรจากับธนาคารของรัฐและ สถาบันการเงินต่าง ๆ ที่มีอสังหาริมทรัพย์ในครอบครองให้ได้เงื่อนไขที่ดีเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินโครง การนี้ต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
3077 | ความร่วมมือด้านการก่อสร้างกับสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ทวิภาคีของกระทรวงการ
ต่างประเทศที่จะให้ความร่วมมือทางเทคนิคและวิชาการกับสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศในการดำเนินโครงการ ก่อสร้างทางยกระดับที่กรุงธากา นั้น ซึ่งในส่วนของค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการทั้งหมด อาจแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกประมาณร้อยละ 40 ที่เป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ภายในประเทศสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศอาจ ดำเนินการโดยการออกพันธบัตรในประเทศได้ ส่วนที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 60 ฝ่ายไทยควรเสนอให้เป็นเงิน กู้แบบมีเงื่อนไขจากรัฐบาลไทย (tied loan) เพื่อเป็นค่าจ้างสำหรับผู้ประกอบการก่อสร้างชาวไทย โดยรัฐบาล สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศเป็นผู้ค้ำประกัน และเงินกู้ในส่วนนี้การชำระคืนเงินกู้อาจจ่ายคืนเป็นเงินสด เมื่อ โครงการเปิดดำเนินการและมีรายได้แล้ว โดยสาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศอาจตั้งงบประมาณสมทบจ่ายบาง ส่วน และในระยะต้น ฝ่ายไทยอาจช่วยรับภาระค่าดอกเบี้ย หรืออาจชำระคืนในรูปการขายสินค้าแบบหักบัญชี (account trade) ก็ได้ จึงขอให้กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงการคลัง รับแนวทางดังกล่าวไปดำเนินการ ต่อไป โดยให้ประสานกับธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
3078 | ผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 35 การประชุมระหว่าง AEM กับประเทศคู่เจรจา และการหารือทวิภาคี | พณ | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน
(AEM) ครั้งที่ 35 การประชุมระหว่าง AEM กับประเทศคู่เจรจา และการหารือทวิภาคี เมื่อวันที่ 1-4 กันยายน 2546 ณ กรุงพนมเปญ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุม ฯ สำหรับสาระสำคัญของการประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ฯ ได้มีการพิจารณาข้อเสนอของฟิลิปปินส์ที่ขอ ชะลอการลดภาษีปิโตรเคมี 11 รายการ ประกอบด้วย เม็ดพลาสติก แผ่นพลาสติก และเสื่อน้ำมัน จากปี 2003 ออกไปเป็นปี 2005 และขอเลื่อนการลดภาษีน้ำตาลจากปี 2003 เป็นปี 2010 รวมทั้งได้กำหนดให้มีการเร่ง รัดความร่วมมือในสาขาสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา โดยมอบหมายให้มีประเทศผู้ประสานงานในแต่ละ สาขา โดยในส่วนของประเทศไทย ได้แก่ สาขาท่องเที่ยวและการบิน ซึ่งประเทศไทยได้มีการจัดการประชุมภาค รัฐและเอกชนของอาเซียนเพื่อหารือเรื่องแนวทางการเร่งรัดการดำเนินงานใน 2 สาขาดังกล่าว โดยที่ประชุม เห็นชอบแผนงาน ดังนี้ ด้านการท่องเที่ยว ได้ตกลงผลักดันการดำเนินโครงการความร่วมมือต่าง ๆ เช่น โครง การ Single ASEAN Visa โครงการ Visit ASEAN Campaign Logo โครงการจัดทำรายการเผยแพร่ทางโทรทัศน์ โดยให้ผู้นำเป็น presenter โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวและการลงทุนในอาเซียน โครงการจัด ASEAN Road Show ในปี 2004 และการให้ภาคเอกชนมีบทบาทในด้านการส่งเสริมและการทำการตลาด ส่วนด้านการบิน ได้ตกลงเร่งรัดการดำเนินการเปิดน่านฟ้าเสรีในอาเซียน โดยจะเริ่มเจรจาลดข้อจำกัดด้านการบินในด้านต่าง ๆ ภายในปี 2004 และจัดทำข้อตกลงที่ระบุเป้าหมายและกำหนดเวลาของการดำเนินงานที่ชัดเจน โดยใช้วิธีการ ASEAN-X ทั้งนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับ AEM ของประเทศสมาชิกอื่น ๆ ได้ลงนามในพิธีสาร เพื่อแก้ไขกรอบความตกลงด้านบริการของอาเซียนและความตกลงว่าด้วยการปรับกฎระเบียบด้านเครื่องสำอาง ให้สอดคล้องกันของอาเซียน และการจัดทำเขตการค้าเสรีและความร่วมมือทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด (FTA/ CEP) ระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา สำหรับการหารือทวิภาคีระหว่างไทยกับประเทศคู่เจรจา ประกอบ ด้วย การหารือไทย-จีนเกี่ยวกับความคืบหน้าในการจัดทำความตกลงเขตการค้าอาเซียน-จีน การหารือไทย- อินเดียเกี่ยวกับการจัดทำ FTA ไทย-อินเดีย และการเจรจาเพื่อเพิ่มเติมรายการสินค้าเร่งลดภาษี เพิ่มขึ้น การ หารือไทย-ลาว ได้มีการหยิบยกปัญหาการค้าชายแดน การหารือไทย-ออสเตรเลีย ได้หารือในเรื่องปัญหา ด้านสุขอนามัยซึ่งเป็นอุปสรรคในการส่งออกสินค้าเกษตรของไทยไปยังออสเตรเลีย |
|||||||||||||||||||||||||||
3079 | การนำเสนอผลการดำเนินงานของกองทุนพัฒนานวัตกรรม | วท | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอผลการดำเนินงานการพัฒนา
โครงการนวัตกรรมเชิงยุทธศาสตร์ด้านสมุนไพรของกองทุนพัฒนานวัตกรรม โดยกระทรวงวิทยาศาสตร์ ฯ ได้ดำเนิน การพัฒนา "ไพลทานอยด์" ซึ่งเป็นกลุ่มของสารออกฤทธิ์ที่สกัดจากสมุนไพร "ไพล" ได้เป็นผลสำเร็จ และเป็นตัว อย่างโครงการนำร่องในการนำ "นวัตกรรม" มาชักนำให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นเครือข่ายวิสาหกิจ หรือ "คลัสเตอร์" เพื่อพัฒนาสมุนไพรของไทยออกสู่เชิงพาณิชย์โดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานสินค้าด้านอาหารและสมุนไพร ของไทยออกไปสู่ตลาดโลกบนพื้นฐานของการดำเนินธุรกิจฐานความรู้ ขณะนี้ได้มีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการนำร่อง นี้จำนวน 6 บริษัท และคาดว่าผลที่ได้จากการพัฒนาสาร "ไพลทานอยด์" จะนำไปสู่การเกิดผลิตภัณฑ์ไพลที่หลาก หลายมากกว่า 30 ตราสินค้า ที่จะกระจายออกไปสู่ธุรกิจเครื่องสำอาง เวชสำอาง ยา น้ำมันหอมระเหย น้ำมันนวด และผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในธุรกิจสปา ทั้งนี้ ผลจากการดำเนินโครงการดังกล่าวคณะรัฐมนตรีเห็นว่า การนำสมุนไพรชนิด ต่าง ๆ มาพัฒนาใช้ประโยชน์ และยกระดับไปสู่การผลิตในเชิงพาณิชย์ ควรให้การสนับสนุน เพราะเป็นการนำเอา ภูมิปัญญาของชาติไปดำเนินการในทางเศรษฐกิจและเป็นการใช้ประโยชน์จากความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งเป็น ทรัพย์สมบัติของชาติ อย่างไรก็ตามได้มีบางประเทศได้นำเอาพืชสมุนไพรของไทย เช่น กวาวเครือ เป็นต้น ไปวิจัย ค้นคว้าใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจ รวมทั้งจดทะเบียนสิทธิบัตรด้วย สมควรที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องหาแนวทาง การดำเนินการเรื่องนี้ให้เป็นระบบ เหมาะสม เพื่อปกป้องและรักษาผลประโยชน์ของชาติและผู้ประกอบการไทย จึง มอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รับไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้ประสานกับกระทรวงวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของการค้นคว้าวิจัยสมุนไพรกวาวเครือเพื่อนำ ไปใช้ประโยชน์ในเชิงธุรกิจที่จะต้องดำเนินการโดยเร่งด่วนเป็นการเฉพาะนั้น มอบให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทค โนโลยีรับไปดำเนินการต่อไป โดยให้ประสานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
3080 | โครงการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญระดับกลางและระดับสูงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) | นร | 09/09/2546 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3) ที่
มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงาน ก.พ. เสนอโครงการพัฒนาข้าราชการพลเรือนสามัญระดับกลางและ ระดับสูงด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ที่ได้ปรับปรุงแล้วในส่วนของระยะเวลาดำเนินการและ งบประมาณค่าใช้จ่าย สถานที่ฝึกอบรม โดยให้สำนักงาน ก.พ. ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับการพัฒนาเพื่อ ให้เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และให้รับข้อสังเกตของ คกก.3 เกี่ยวกับโครงการ ฯ ควรจัดสรรงบประมาณเป็น กรณีพิเศษ เพื่อสนับสนุนจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือทางด้านคอมพิวเตอร์ให้แก่ข้าราชการที่ผ่านการฝึกอบรม เพื่อ ให้ข้าราชการกลุ่มนี้ได้ฝึกฝนทักษะการใช้เครื่องมืออุปกรณ์ได้อย่างสะดวก และสามารถเรียนผ่าน e-Learning เพื่อทบทวนความรู้ และพัฒนากระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ในส่วนของวงเงินงบประมาณค่าใช้ จ่ายสำหรับการดำเนินโครงการ ฯ ซึ่งค่อนข้างสูง จึงควรมีการวิเคราะห์เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจนว่า หากรัฐ ใช้วิธีจัดซื้ออุปกรณ์เครื่องมือทางด้านคอมพิวเตอร์ และให้ผู้เข้ารับการอบรมรับภาระค่าจัดซื้อส่วนหนึ่งแทนการ เช่าอุปกรณ์เครื่องมือดังกล่าวตามโครงการ ฯ แล้วจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากน้อยเพียงใด นอกจากนี้ ควรมีการเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างของต้นทุนค่าใช้จ่ายโครงการ ฯ และผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกอบรม ระหว่างกรณีที่ให้ภาคเอกชนดำเนินการกับกรณีที่สำนักงาน ก.พ. ดำเนินการเอง หากเห็นว่า การให้ภาคเอก ชนดำเนินการจะเหมาะสมกว่า ก็ควรมีการจัดระบบตรวจสอบคุณภาพและมีการติดตามประเมินผลที่ดีด้วย และ ควรจัดให้มีการทบทวนทักษะความรู้เกี่ยวกับการใช้ ICT โดยจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการเป็นระยะ ๆ และจัดให้มี การทดสอบเพื่อวัดผลความรู้ของข้าราชการ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการพัฒนากระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไป พิจารณาดำเนินการด้วย สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่าย ให้สำนักงบประมาณ และสำนักงาน ก.พ. รับไปดำเนิน การพิจารณาร่วมกัน และดำเนินการต่อไปได้ |