ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 153 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 3041 - 3060 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
3041 | โครงการแปลงสวนยางเป็นทุน | กษ | 13/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการแปลงสวน
ยางเป็นทุน โดยมีวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ฯ เพื่อแปลงไม้ยางของเกษตรกรที่อยู่ในเขตป่า สงวน และของเจ้าของสวนยางสงเคราะห์เป็นทุน และเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับไม้ยาง และอุตสาหกรรมไม้ยาง โดยมีเกษตรกรเข้าร่วมโครงการ 529,985 ราย ใน 17 จังหวัด พื้นที่สวนยาง 6,947,931 ไร่ แยกเป็น เกษตรกร 43,225 ราย พื้นที่ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติหรือป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้รักษาไว้ เป็นสมบัติของชาติ 1,002,100ไร่ และเจ้าของสวนยางสงเคราะห์ 486,760 ราย ที่ต้นยางพารามีอายุกว่า 15 ปี พื้นที่ 5,945,831 ไร่ โดยเกษตรกรดังกล่าวสามารถเข้าสู่แหล่งทุนได้และสามารถเพิ่มปริมาณไม้ยาง แปรรูปจากปัจจุบันปีละ 6.91 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็น 15.67 ล้านลูกบาศก์เมตรได้ในปี พ.ศ. 2553 และ ให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2546 เรื่อง โครงการปลูกยางเพื่อยกระดับรายได้และความมั่นคงให้แก่เกษตรกรในแหล่งปลูกยางใหม่ ให้ ได้ข้อยุติ และความเห็นของคณะกรรมการอำนวยการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน (อปท.) ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ โครงการ ฯ ไปดำเนินการด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์การสวนยาง (อสย.) ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสาน งาน (Clearing House) เรื่องต่าง ๆ ของโครงการ ฯ จะต้องมีการวางระบบ และการดำเนินงานที่ชัดเจน รัดกุม และมีประสิทธิภาพในการติดต่อประสานกับสถาบันการเงิน เพื่อให้เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราเข้าถึง และได้รับประโยชน์จากแหล่งทุนอย่างแท้จริง สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ทั้งหมด ให้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงเกษตร และสหกรณ์ ตลอดจนหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจโดยทั่วไป ได้ทราบและเข้าใจให้ถูกต้อง ชัดเจน ตรงกันด้วยว่า การดำเนินโครงการ ฯ นี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะแก้ไข ปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันของเกษตรกรผู้ปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และป่าที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้รักษาไว้เป็นสมบัติของชาติอยู่เดิม โดยส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงแหล่งทุนทางการเงิน แต่รัฐมิ ได้สนับสนุนส่งเสริมให้มีการบุกรุกป่าเพื่อปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นใหม่แต่ประการใด ทั้งการกระทำดังกล่าว ถือเป็นความผิดและมีโทษ ซึ่งจะต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3042 | บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการไทย - เวียดนาม | กต | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วย
ความร่วมมือทางวิชาการไทย-เวียดนาม ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย และรัฐมนตรี ว่าการกระทรวงวางแผนและการลงทุนของเวียดนาม โดยจะจัดให้มีขึ้นในระหว่างเปิดโครงการหมู่บ้านมิตรภาพ ไทย-เวียดนาม ที่บ้านนาจอก จังหวัดนครพนม ในเดือนกุมภาพันธ์ 2547 ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการลงนามใน บันทึกความเข้าใจ ฯ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและเวียดนาม ซึ่งภายใต้บันทึกความเข้าใจ ฯ ภาคี คู่สัญญาตกลงจะส่งเสริมแผนความร่วมมือทางวิชาการ ได้แก่ การจัดส่งคณะผู้แทนไทยและผู้เชี่ยวชาญไปปฏิบัติ งาน ณ ประเทศเวียดนาม ให้ทุนแก่คนชาติเวียดนามเพื่อเข้ารับการศึกษาและฝึกอบรมในประเทศไทย จัดหา อุปกรณ์ วัสดุ ผลิตภัณฑ์ สินค้า และบริการที่มีความจำเป็นต่อการดำเนินโครงการพัฒนาในเวียดนาม และให้มี การแลกเปลี่ยนเจ้าหน้าที่จากประเทศทั้งสองภายใต้กรอบความร่วมมือทางวิชาการระหว่างประเทศกำลังพัฒนา (TCDC) รวมทั้งการดำเนินงานความร่วมมือในลักษณะอื่น ๆ ซึ่งจะได้ตกลงกันต่อไปเป็นระยะ ๆ ระหว่างภาคีคู่ สัญญา |
|||||||||||||||||||||
3043 | การรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่องเร่งด่วนของรัฐบาล ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด (ระยะเวลา กรกฎาคม - พฤศจิกายน 2546) | ยธ | 06/01/2547 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานความก้าวหน้าของโครงการหรือเรื่องเร่งด่วน
ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ระยะเวลา กรกฎาคม-พฤศจิกายน 2546 จากผลการดำเนินโครงการ สำรวจและประเมินสถานการณ์ยาเสพติดของคณะอนุกรรมการประเมินผล ศูนย์อำนวยการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพ ติดแห่งชาติ (ศตส.) และสำนักงาน ป.ป.ส. รวม 3 ครั้ง คือ ครั้งที่ 1 (1 กุมภาพันธ์-30 เมษายน 2546) ครั้งที่ 2 (1 พฤษภาคม-31 กรกฎาคม 2546) และครั้งที่ 3 (1 สิงหาคม-31 ตุลาคม 2546) โดยการประเมินสถานการณ์ ยาเสพติดด้านกลุ่มผู้ค้า/ผู้ผลิตยาเสพติด จำนวนผู้ค้ายาเสพติดในระดับหมู่บ้านชุมชน และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เข้าไป เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ขณะนี้แทบจะไม่มีผู้ค้ายาเสพติดเหลืออยู่ ส่วนราคายาบ้าโดยเฉลี่ย และการเปลี่ยนแปลง ราคายาบ้า จากการปราบปรามยาเสพติดทำให้ยาบ้าหาซื้อได้ยาก จนกระทั่งปัจจุบันส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มียาบ้า เหลืออยู่ในหมู่บ้าน/ชุมชน โดยก่อนการประกาศสงครามกับยาเสพติด ราคายาบ้าโดยเฉลี่ยเม็ดละ 120 บาท หลัง จากประกาศสงครามกับยาเสพติดพบว่า ราคายาบ้าสูงขึ้นเฉลี่ยเม็ดละ 200 บาท สำหรับจากการประเมินสถาน การณ์ยาเสพติดด้านกลุ่มผู้ติด/ผู้เสพยาเสพติด จากการประเมินสถานการณ์ยาเสพติดใน 3 ครั้งปรากฏว่า ไม่ค่อย มีผู้เสพยาบ้า/สารระเหยหลงเหลืออยู่ และการลดลงของการเสพยาบ้า/สารระเหย ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบข้างเคียง ทำให้มีการหันไปเสพเฮโรอีนและกัญชาทดแทนแต่อย่างไร และจากการประเมินสถานการณ์ยาเสพติดด้านกลุ่มผู้มี โอกาสเสี่ยงใช้ยาเสพติด ทั้ง 3 ครั้ง พบว่า แหล่งมั่วสุมหรือแหล่งแพร่ระบาดของยาเสพติดได้ลดน้อยลงจนกระทั่ง แทบไม่มี ในขณะเดียวกันประชาชนในหมู่บ้าน/ชุมชนได้มีการจัดกิจกรรมต่อต้านยาเสพติดในหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งได้เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างชุมชนเข้มแข็งเพื่อเอาชนะยาเสพติดในระดับพื้นที่ค่อนข้างสูง นอกจากนี้ ยังได้ มีการประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อผลการดำเนินงานแก้ไขปัญหายาเสพติดของรัฐบาล ซึ่งในภาพรวม ประชาชนในหมู่บ้านชุมชนทั่วประเทศ มีความพึงพอใจต่อผลสำเร็จของการแก้ไขปัญหายาเสพติดอยู่ในระดับที่ค่อน ข้างสูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการปราบปรามยาเสพติด โดยผลจากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เกี่ยวกับความรุนแรงของสถานการณ์ปัญหายาเสพติดโดยรวม ประชาชนในทุกภาคระบุว่า สถานการณ์ปัญหายา เสพติดในเดือนพฤศจิกายน ลดลงมาก เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และเดือนพฤษภาคม ผลการ สำรวจปัญหายาเสพติดในชุมชน พบว่า ประชาชนเห็นว่าปัญหายาเสพติดในชุมชนลดลงมากในทุกภาค ปัญหาผู้ เสพติด จากการสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า มีผู้เสพ/ผู้ติดที่มีปัญหาอยู่ในระดับเบาบางที่สามารถควบคุมได้ ไม่เป็นอันตรายต่อสังคม ส่วนความยากง่ายในการหาซื้อยาเสพติดในชุมชน ประชาชนส่วนใหญ่ระบุว่า หาซื้อไม่ได้ |
|||||||||||||||||||||
3044 | การดำเนินงานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ | กค | 30/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ ตาม
ที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยโครงการศูนย์ราชการ ฯ ดังกล่าวมีความจำเป็นต้องก่อสร้าง เพื่อรองรับความต้อง การสถานที่ปฏิบัติงานของหน่วยงานต่าง ๆ ของรัฐ แต่มีวงเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจำนวนมากและจะต้อง ผูกพันงบประมาณต่อเนื่องหลายปี จึงต้องพิจารณาแนวทางการดำเนินโครงการให้ละเอียดรอบคอบเพื่อให้เกิด ประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดสรรพื้นที่ให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ รวมถึงจำนวนพื้น ที่ใช้สอยต่อบุคลากรในแต่ละหน่วยงานที่ได้จัดสรรไว้อาจยังไม่เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงและความจำเป็น ของแต่ละหน่วยงานเท่าที่ควร ซึ่งจำนวนพื้นที่ใช้สอยจะมีผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร ค่าสาธารณูปโภค ค่า บำรุงและดูแลรักษา ที่จะเป็นภาระงบประมาณในระยะยาว จึงมอบให้กระทรวงการคลัง (กรมธนารักษ์) รับไป ประสานและแจ้งให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่ได้แสดงความจำนงขอใช้พื้นที่ในโครงการศูนย์ราชการ ฯ ไว้ พิจารณาทบ ทวนความจำเป็น และแจ้งยืนยันจำนวนพื้นที่ที่ต้องการให้เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็น จำนวนบุคลากร ลักษณะการปฏิบัติงาน รวมทั้งเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานพื้นที่ใช้สอยต่อบุคลากรในหน่วยงานให้กรมธนารักษ์ ทราบโดยด่วน เพื่อนำข้อมูลทั้งหมดเสนอมาประกอบการพิจารณาจัดสรรพื้นที่ใหม่ให้เหมาะสมยิ่งขึ้นต่อไป กับ ให้กระทรวงการคลังจัดทำข้อมูลรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการศูนย์ราชการ ฯ เช่น แผนการดำเนินโครงการ การลงทุน การระดมทุน และการใช้จ่ายเงิน เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาความเหมาะสมและ เป็นไปได้ของโครงการ โดยให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) เป็นที่ปรึกษาโครงการ ฯ หาก เห็นสมควร ก็ให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณไปประกอบ การพิจารณาดำเนินการด้วย และให้รับข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรีไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ ภาระ ค่าใช้จ่ายของภาครัฐในการดำเนินโครงการศูนย์ราชการ ฯ ไม่ควรจะสูงเกินไป โดยในส่วนของผู้ลงทุนก็ควรจะ ได้รับผลตอบแทนตามความเหมาะสม ตามราคาตลาด สำหรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่หน่วยงานของรัฐจะต้องจ่าย ล่วงหน้าก่อนเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ ไม่ควรตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นการล่วงหน้า แต่ควรพิจารณา ใช้เงินกู้ระยะสั้น (bridge financing) จากสถาบันการเงินของรัฐแทน รวมทั้งการดำเนินโครงการศูนย์ราชการ ฯ ต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านการจราจรที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว และบริเวณใกล้เคียง และควรเตรียมการรอง รับและแก้ไขปัญหาล่วงหน้า โดยให้กระทรวงคมนาคม (สำนักนโยบายและแผนการจราจรและขนส่ง) รับไป พิจารณาดำเนินการในส่วนเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ การดำเนินโครงการศูนย์ราชการ ฯ นี้ ในส่วนของการขอยกเว้น การปฏิบัติใด ๆ ตามกฎหมายมิอาจกระทำได้ จึงขอให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาและปรับปรุงข้อเสนอให้ ชัดเจนและเหมาะสมด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอยกเว้นค่าภาษีหรืออากรต้องรักษาวินัยด้านการคลังเป็นหลัก
|
|||||||||||||||||||||
3045 | การใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินในความครอบครองดูแลของหน่วยงานทางทหาร | นร | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า หน่วยงานทางทหารมีที่ดินและทรัพย์สิน
ต่าง ๆ อยู่ในความครอบครองดูแลเป็นจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วประเทศ หลายแห่งมีศักยภาพทางเศรษฐ กิจ หากนำที่ดินและทรัพย์สินดังกล่าวมาปรับปรุงพัฒนาให้เกิดประโยชน์และมูลค่าทางเศรษฐกิจอย่างเหมาะ สมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งให้ตรงตามศักยภาพ โดยมีกระบวนการพิจารณากลั่นกรองโครงการที่จะดำเนิน การอย่างรอบคอบก็จะเกิดผลดีหลายประการ เช่น ช่วยให้เกิดรายได้ การจ้างแรงงาน รวมทั้งเกิดแหล่งท่อง เที่ยวและสถานที่พักผ่อนหย่อนใจเพิ่มขึ้น และในกรณีที่มีรายได้จากการดำเนินโครงการ ก็อาจนำรายได้ส่วน หนึ่งนอกเหนือจากส่วนที่จะต้องนำส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน ไปพิจารณาจัดเป็นค่าตอบแทน สวัสดิการ ค่า บำรุงรักษา ดูแล ตลอดจนสิ่งจูงใจอื่น ๆ ให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องต่อไป สำหรับกรณีของที่ดินเห็นว่ามี พื้นที่หลายแห่งที่อาจจะดำเนินตามแนวทางดังกล่าวได้ เช่น พื้นที่บริเวณห้วยตึงเฒ่า จังหวัดเชียงใหม่ สวนสน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ทับละมุ จังหวัดพังงา เป็นต้น จึงขอให้กระทรวงกลาโหมรับเรื่องนี้ไปพิจารณาความ เหมาะสมและเป็นไปได้ในรายละเอียด รูปแบบและวิธีการใช้ประโยชน์จากที่ดินและทรัพย์สินต่าง ๆ ที่อยู่ใน ครอบครองดูแล แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3046 | การพิจารณาให้ความเห็นชอบในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงการรับความช่วยเหลือจาก UNHCR | มท | 23/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการพิจารณาให้ความเห็นชอบในการลงนามในหนังสือแสดงเจตจำนงการรับ
ความช่วยเหลือจากสำนักงานภูมิภาคข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ตามที่กระทรวงมหาดไทย เสนอ โดยเห็นว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2546 เรื่อง การขอรับความช่วยเหลือจาก ต่างประเทศ และเห็นชอบให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งถือปฏิบัติว่า ให้รับหรือขอรับความช่วยเหลือ ทางการเงิน ตลอดจนความช่วยเหลือในรูปแบบอื่น ๆ จากต่างประเทศได้เฉพาะความช่วยเหลือที่ไม่มีเงื่อนไขข้อผูก พัน หรือพันธกรณีที่จะทำให้ประเทศไทยขาดสิทธิในการเจรจาต่อรองในฐานะคู่สัญญาที่เท่าเทียมกัน ดังนั้น เพื่อ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว จึงให้ระงับการดำเนินการตามข้อเสนอของกระทรวงมหาด ไทยที่ขออนุมัติให้สำนักงานศูนย์ดำเนินการเกี่ยวกับผู้อพยพลงนามรับความช่วยเหลือจาก UNHCR ในลักษณะของ หนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent-LOI) เพื่อรับการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือโครงการจัดทำทะเบียน ผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า และขอความเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานศูนย์ ฯ เป็นผู้ลงนามรับความช่วยเหลือดัง กล่าวในปีต่อ ๆ ไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังรับไปประสานสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อพิจารณาจัดสรร เงินรายได้ส่วนเกินของกองทุนสลากกินแบ่งรัฐบาล (หลังหักค่าใช้จ่ายในการบริหารและจ่ายเงินรางวัล) จำนวน 4 ล้านบาท สนับสนุนการดำเนินโครงการจัดทำทะเบียนผู้หนีภัยการสู้รบจากพม่า (รวมทั้งค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ เกี่ยวข้อง) ของกระทรวงมหาดไทยแทนการขอรับความช่วยเหลือจาก UNHCR และให้กระทรวงมหาดไทยประสาน การเบิกจ่ายเงินดังกล่าวกับกระทรวงการคลังโดยด่วนต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3047 | การประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 9 | ทส | 16/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานผลการประชุม
สมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 9 ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 1 - 12ธันวาคม 2546 ณ เมืองมิลาน สาธารณรัฐอิตาลี โดยมีผลการประชุมที่สำคัญดังนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบ กับคำจำกัดความ กฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ในการดำเนินโครงการปลูกป่าภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาด (Clean Development Mechanism, CDM) โดยให้ดำเนินโครงการปลูกป่าขนาดเล็ก (small-scale project) กับ เห็นชอบให้มีการเพิ่มเติมงบประมาณในการดำเนินงานภายใต้อนุสัญญา ฯ สำหรับปี พ.ศ. 2547 - 2548 อีก ร้อยละ 6 และเห็นชอบให้ประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่จัดทำรายงานแห่งชาติฉบับ แรกเรียบร้อยแล้ว ขอรับการสนับสนุนทางการเงินจากองทุนสิ่งแวดล้อมโลก (Global Environment Faclility, GEF) เพื่อดำเนินการจัดทำรายงานแห่งชาติฉบับที่ 2 ตามแนวทางการจัดทำรายงานแห่งชาติฉบับปรับปรุงใหม่ ที่ได้รับการเห็นชอบจากที่ประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญา ฯ สมัยที่ 8 เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 รวมทั้ง เห็นชอบกับแนวทางในการดำเนินงานตามกลไกทางการเงินของอนุสัญญา ฯ ในส่วนของกองทุนพิเศษด้านการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Special Climate Change Fund, SCCF) โดยให้ความสำคัญกับการปรับตัวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนการเสริมสร้างสมรรถนะของประเทศกำลัง พัฒนาในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยให้กองทุนสิ่งแวดล้อมโลกเป็นผู้ดำเนินการ จัดสรรกองทุนที่จะจัดตั้งขึ้น นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบให้นำประเด็นเรื่อง ผลกระทบและความอ่อนไหวต่อ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมไปถึงการลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งในแง่สังคมและเศรษฐ กิจ ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่นำเสนอไว้ในรายงานการประเมินการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 3 (Third Assessment Report of the Intergovernmental Panel on Climate Change) ที่จัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากทั่ว โลกไปใช้เป็นกรอบในการเจรจาภายใต้อนุสัญญา ฯ |
|||||||||||||||||||||
3048 | โครงการบูรณปฏิสังขรณ์โลหะประสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร | วธ | 09/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสนอขอถอนเรื่อง โครงการบูรณ
ปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท วัดราชนัดดารามวรวิหาร คืนไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาทบทวนวงเงิน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการบูรณปฏิสังขรณ์โลหะปราสาท ฯ ในรายการต่าง ๆ ให้เหมาะสม ประหยัด และ สอดคล้องกับความจำเป็นมากยิ่งขึ้น และให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรม แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงานเช่นเดียวกับระยะที่ 1 และระยะที่ 2 โดยเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและ ภาคเอกชน เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามเป้าหมายที่กำหนดและช่วยแบ่งเบาภาระงบประมาณของรัฐบาล ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||
3049 | การรับลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและความยากจนของประชาชน | นร | 02/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า โครงการรับลงทะเบียนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม
และความยากจนของประชาชน ซึ่งจัดโดยคณะคู่สมรสของคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2546 ที่อำเภอ แม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจังหวัดนำร่องจังหวัดหนึ่ง นั้น การดำเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ข้อมูลที่ สอบถามชัดเจนดี แต่ต้องมีการลงรหัส และจำเป็นต้องใช้เจ้าหน้าที่ที่มีความรู้ความเข้าใจพอสมควร ดังนั้น เพื่อ ประโยชน์ในการดำเนินโครงการดังกล่าวในภาพรวม ซึ่งจะดำเนินการทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 5 มกราคม 2547 เป็นต้นไป จึงขอให้กระทรวงมหาดไทยจัดทำสรุปผลเบื้องต้นจากการดำเนินโครงการรับลงทะเบียนดังกล่าว โดยให้นำเสนอตัวแบบ การวิเคราะห์โครงการ ตลอดจนผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับจากการลงทะเบียนของ ประชาชนที่ลงทะเบียนแล้วทั้งหมดต่อคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 13 มกราคม 2547 เพื่อให้คณะรัฐมนตรี พิจารณาความเหมาะสม และครบถ้วนของข้อมูลที่ต้องการสำหรับการดำเนินโครงการดังกล่าวให้เกิดประสิทธิ ภาพสูงสุดต่อไป |
|||||||||||||||||||||
3050 | ผลการปฏิบัติงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด (กรกฎาคม 2545 - สิงหาคม 2546) | สธ | 02/12/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงสาธารณสุขรายงานผลการปฏิบัติงานต่อสู้เพื่อเอาชนะยา
เสพติดเกี่ยวกับผลการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในโครงการ To Be Number One ระหว่างเดือนกรกฎา คม 2545 - สิงหาคม 2546 โดยสรุปคือ ตามที่ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ ทรงแถลงเปิดตัวโครงการ TO BE NUMBER ONE เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 โดยใช้คำขวัญตามความหมาย คือ "เป็นที่หนึ่งโดยไม่พึ่งยาเสพติด" มียุทธศาสตร์ในการดำเนินโครงการ 3 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ 1 การ รณรงค์เพื่อปลุกจิตสำนึกและสร้างกระแสนิยมที่เอื้อต่อการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ยุทธศาสตร์ที่ 2 การสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้แก่เยาวชนและชุมชน และยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างทักษะชีวิตและเครือข่าย การป้องกันช่วยเหลือ โดยผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ที่ 1 เป็นการรณรงค์ใช้การประชาสัมพันธ์ผ่าน สื่อทุกประเภททั้งสปอตโทรทัศน์ /วิทยุ Music Video เพลง To Be Number One และการรณรงค์ด้วยกิจกรรม ที่จะเน้นการใช้ดนตรีและกีฬาเป็นสื่อรณรงค์ในสถานศึกษา เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยในส่วนของสถาน ศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความร่วมมือจัดตั้งชมรม To Be Number One ขึ้นในทุกสถาบันการศึกษา โดย ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2546 มีชมรม To Be Number One ในสถานศึกษาทั่วประเทศแล้ว จำนวน 47,890 แห่ง มีสมาชิกทั้งสิ้น 5,633,166 คน ส่วนกระทรวงมหาดไทย ได้สนับสนุนและให้ความร่วมมือแก่โครงการ To Be Number One โดยได้นำโครงการเข้าเป็นภารกิจหนึ่งของศูนย์อำนวยการการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด แห่งชาติ และศูนย์อำนวยการการต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดระดับจังหวัด ณ ปัจจุบันมีชมรม To Be Number One ในชุมชนจำนวน 67,519 แห่ง และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนบรรลุเป้าหมายที่กระทรวงมหาดไทย กำหนดไว้ คือทุกชุมชนจะต้องมีชมรม To Be Number One และในส่วนของสถานประกอบการ การดำเนินงาน To Be Number One ได้รับความร่วมมือจากบริษัทต่าง ๆ ในการจัดตั้งชมรม To Be Number One โดยมีคณะ กรรมการกองทุน และกิจกรรมสำหรับสมาชิกที่มีรูปแบบเป็นของตนเอง โดยกระทรวงแรงงานมีนโยบายที่ชัด เจนที่จะให้ทุกสถานประกอบการให้ความร่วมมือแก่โครงการดังกล่าว ซึ่งการจัดตั้งชมรมในสถานประกอบการ และคาดหวังว่าภายในปี พ.ศ. 2546 ทุกสถานประกอบการน่าจะจัดตั้งชมรมได้ครบทุกแห่ง และ ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2546 มีจำนวน 70,127 แห่ง สำหรับโครงการ "ใครติดยายกมือขึ้น" ซึ่งให้ผู้เสพและติดยาสมัคร เป็นสมาชิก To Be Number One และแสดงความจำนงเข้ารับการบำบัดรักษาด้วยความสมัครใจ ซึ่งจำนวนผู้ ป่วยในโครงการนี้ ได้รับการบำบัดรักษาในสถานบริการของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าใช้ จ่าย มีจำนวนมากถึง 166,672 คน สำหรับก้าวต่อไปของโครงการ To Be Number One ในปี พ.ศ. 2547 หลังจากได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาล จำนวน 92 ล้านบาท จะขยายผลด้านการรณรงค์ ซึ่งจะต้อง กระทำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมของวัยรุ่นให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดให้ จงได้ และจะเริ่มดำเนินยุทธศาสตร์ที่ 2 และ 3 ให้มีกิจกรรมเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติดสำหรับ เยาวชนในชุมชนและในสถานศึกษาอย่างเป็นระบบมากขึ้น |
|||||||||||||||||||||
3051 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (รายงานการใช้จ่ายเงินกู้ : โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 1 (ครั้งที่ 15) | ทส | 29/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานการใช้จ่ายเงินกู้
โครงการกองทุนสิ่งแวดล้อม ระยะที่ 1 ครั้งที่ 14 ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2546 สรุปได้ว่า การบริหารโครง การกองทุนสิ่งแวดล้อม (ระยะที่ 1) ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติให้ขยายเวลาการเบิกจ่ายออกไปอีก 36 เดือน (20 มกราคม 2543-19 มกราคม 2546) นั้น เนื่องจากปัจจุบันการบริหารโครงการ ฯ ไม่สามารถจ่ายเงินกู้ได้หมด ทันตามระยะเวลาที่กำหนด เนื่องจากมีโครงการน้ำเสีย จังหวัดสมุทรปราการ และเทศบาลเมืองมุกดาหาร โครง การขยะ เทศบาลนครยะลา และเทศบาลตำบลอ้อมใหญ่ ที่ไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตามแผนการดำเนิน งานและแผนการเบิกจ่ายเงินที่กำหนดไว้ ทำให้การดำเนินโครงการล่าช้าไปประมาณ 20 เดือน โดยคาดว่าจะ สามารถเบิกจ่ายเงินกู้ ที่กระทรวงการคลังได้กู้เงินจากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC หรือ OECF เดิม) เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2535 จำนวน 11,200 ล้านเยน หรือประมาณ 3,000 - 3,400 ล้าน บาท) งวดสุดท้ายได้ในเดือนกันยายน 2547 ดังนั้น สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม (สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมเดิม) ได้ประสานกับ JBIC และรัฐบาลญี่ปุ่นโดยผ่านทางกระทรวง การคลังเพื่อขยายเวลาออกไปอีก 20 เดือน (20 มกราคม 2546-19 กันยายน 2547) ทั้งนี้ สำนักงานบริหาร หนี้สาธารณะได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นในการขอขยายเวลาดังกล่าว โดยประสานแจ้งสถานเอกอัครราชทูต ญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ JBIC เพื่อขอขยายระยะเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะดำเนิน การได้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มกราคม 2547 ซึ่งได้แก่ โครงการว่าจ้างแบบเหมารวม (Turnkey) เพื่อการออก แบบรวมก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียเขตควบคุมมลพิษ จังหวัดสมุทรปราการ และโครงการก่อสร้าง ระบบกำจัดมูลฝอย เทศบาลนครยะลา โดยทางสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ตอบตกลงให้ ขยายเวลาสิ้นสุดการเบิกจ่ายเงินกู้เป็นวันที่ 19 มกราคม 2547 แล้ว
|
|||||||||||||||||||||
3052 | การแก้ไขปัญหาอุทกภัยจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วม จังหวัดเพชรบุรี (แผนงานระยะสั้น) | นร | 29/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 ที่มีมติเห็น
ชอบในหลักการแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุทกภัยของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และเห็นชอบโครงการ แก้ไขปัญหาน้ำท่วมของจังหวัดเพชรบุรี ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) เสนอ โดยให้รับ ประเด็นอภิปรายของ คกก.3 ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังนี้ ในส่วนของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ให้ชะลอ โครงการสร้างฝายกัก-ผันน้ำฝายวังยาว ตำบลกำเนิดนพคุณ อำเภอบางสะพาน ไว้ก่อน เนื่องจากยังไม่มีราย ละเอียดเพียงพอ ส่วนโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำปากคลองเขาแดง พร้อมสะพาน คสล. อำเภอกุยบุรี เนื่องจากพื้นที่ป่าโดยรอบโครงการก่อสร้างเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ หากมีการก่อสร้างตามโครงการอาจส่งผลกระทบ ต่อพื้นที่ป่าดังกล่าว จึงสมควรพิจารณาให้รอบคอบว่า สมควรจะดำเนินการก่อสร้างตามโครงการต่อไปหรือไม่ สำหรับการซ่อมสร้างผิวจราจร จำนวน 16 โครงการ รวม 16 จุด ของเส้นทางหลวงชนบทจังหวัด หากจะแก้ไข ให้ครบทั้ง 16 จุด ในปี พ.ศ. 2547 จะเป็นภาระหนักต่องบประมาณของแผ่นดิน จึงเห็นควรเน้นเฉพาะจุดที่ต้อง แก้ไขโดยเร่งด่วนอย่างแท้จริง ในส่วนของจังหวัดเพชรบุรี ให้ชะลอโครงการก่อสร้างประตูระบายน้ำขนาดใหญ่ และกั้นน้ำเค็มที่ตำบลบางครก อำเภอบ้านแหลม จำนวน 2 แห่ง ไว้ก่อน เนื่องจากยังขาดรายละเอียดที่ชัดเจน ส่วนการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม นอกจากการก่อสร้างระบบชลประทานแล้ว ควรกันพื้นที่สำหรับรองรับการไหล ผ่านของน้ำ (flood way) ไว้ด้วย กับให้กรมชลประทานและกรมทางหลวงปรับแผนการดำเนินงานตามโครงการ ให้เหมาะสม และในกรณีที่จำเป็นต้องดำเนินโครงการใดโครงการหนึ่งโดยเร่งด่วน และมิได้ตั้งงบประมาณราย จ่ายสำหรับโครงการนั้นไว้ ให้ทำความตกลงกับสำนักงบประมาณเพื่อขอใช้เงินงบกลางต่อไปตามความเหมาะ สม นอกจากนี้ การซ่อมบำรุงผิวจราจร ซึ่งเป็นจุดไหลผ่านของน้ำเป็นประจำทุกปี ควรกำหนดมาตรการเสริม ด้านอื่นด้วย เช่น การวางผังเมือง หรือนำกฎหมายเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมมาบังคับใช้ในบางกรณีที่จำเป็นเพื่อบรร เทาปัญหา เช่น การก่อสร้างหรือการถมดินที่ส่งผลกระทบต่อทางระบายน้ำตามธรรมชาติ เป็นต้น และการ แก้ไขปัญหาควรเตรียมงบประมาณให้พร้อม และควรดำเนินการในลักษณะบูรณาการ สำหรับงบประมาณเพื่อ การดำเนินโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาของทั้ง 2 จังหวัด ให้กระทรวงมหาดไทยขอทำความตกลงในราย ละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า แนวทางการดำเนินการแก้ไขปัญหาน้ำ ท่วมในพื้นที่แต่ละจุด จะต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบเหมาะสม เพื่อมิให้ขัดแย้งกับแนวทางการแก้ไขปัญหา น้ำท่วมในพื้นที่นั้นในภาพรวมหรือก่อให้เกิดปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้เช่น กรณีการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในจังหวัด จันทบุรีมีความเหมาะสมที่จะต้องดำเนินการก่อสร้างช่องทางระบายน้ำลอดถนน (box culvert) เพิ่มเติมอีก 2- 3 แห่ง เป็นต้น จึงขอให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวิทย์ คุณกิตติ) รับข้อสังเกตไปประกอบการพิจารณาดำเนิน การต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||
3053 | ขออนุมัติการลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding, MOU) "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการจัดการน้ำเสีย" ในโครงการความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน | ทส | 25/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยเห็นชอบบันทึกความ
เข้าใจ (Memorandum of Understading, MOU) "โครงการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับการจัดการน้ำเสีย" ในโครง การความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสวีเดน และอนุมัติให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยให้รับความเห็นของ กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงอุตสาหกรรมไปประกอบการดำเนินการด้วย ดังนี้ กระทรวงมหาดไทยมีข้อคิด เห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมว่า ในร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ (ฉบับภาษาไทย) ข้อ 4 การยกเลิกโครงการในกรณี ที่ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ/กฎเกณฑ์ ไม่ควรใช้ทับศัพท์ว่า "การคอรัปชั่น" แต่ควรใช้คำว่า "ทุจริต" ซึ่งมีความหมาย ว่า "เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง หรือผู้อื่น" และยังครอบคลุมถึงการฉ้อ โกงอยู่แล้ว และหนังสือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ ทส 0305/2291 ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2546 แจ้งว่ารัฐบาลไทยต้องสมทบเงินผ่านกรมวิเทศสหการอีก 2.77 ล้านบาท แต่ในบันทึกความเข้าใจ ฯ มิ ได้ระบุถึงในส่วนนี้ รวมทั้งตามบันทึกความเข้าใจ ระบุว่า Swedish International Development Cooperation Agency (SIDA) มีหน้าที่รับผิดชอบจัดหาเงินงบประมาณ 8 ล้านเหรียญสวีเดน (ไม่ได้สนับสนุนผู้เชี่ยวชาญ) และกรมควบคุมมลพิษและเทศบาลนครเชียงใหม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบ 6 ประการ ซึ่งประการหนึ่ง คือ จัด หาบุคลากร สิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรอื่น ๆ ตามที่กำหนดไว้ แต่การดำเนินโครงการจะจัดจ้าง บริษัทที่ปรึกษาจากสวีเดนเพื่อดำเนินโครงการปรับปรุงฟื้นฟูระบบรวบรวมและระบบบำบัดน้ำเสียของเทศบาล และการจัดการน้ำเสียที่เหมาะสมสำหรับชุมชนขนาดเล็กริมแม่น้ำ ของกรมควบคุมมลพิษ และโครงการเสริม สร้างสมรรถนะการบริหารจัดการน้ำเสียเทศบาลนครเชียงใหม่ ของเทศบาลนครเชียงใหม่ ซึ่งโดยทั่วไปจะรวม ค่าใช้จ่ายในการจัดหาบุคลากร สิ่งอำนวยความสะดวก และทรัพยากรอื่น ๆ สำหรับดำเนินงานให้สำเร็จแล้ว ดังนั้น จึงอาจจะเป็นการจัดการซ้ำซ้อนได้ ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม เห็นว่า โครงการนี้มีการดำเนิน การด้านการจัดการน้ำเสียในเทศบาลนครเชียงใหม่ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว จึงควรมีการพิจารณาการกระจาย ภาระบรรทุก (Loading) ของน้ำทิ้งหลังการบำบัดลงสู่แหล่งรองรับน้ำทิ้ง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของความ สามารถในการรับภาระบรรทุกของแหล่งน้ำซึ่งรองรับน้ำทิ้งดังกล่าว รวมไปถึงการพิจารณาการดำเนินการจัด การกากตะกอนหลังจากการบำบัดน้ำทิ้งแล้ว ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของ พื้นที่ได้ |
|||||||||||||||||||||
3054 | สรุปผลการหารือไทย -พม่า เกี่ยวกับความร่วมมือการจัดการทรัพยากรน้ำ และผลการประชุมระดับรัฐมนตรีประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของภูมิภาค ครั้งที่ 1 | ทส | 25/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอสรุปผลการหารือ
ไทย - พม่า เกี่ยวกับความร่วมมือการจัดการทรัพยากรน้ำ และผลการประชุมระดับรัฐมนตรีประเทศเอเชียตะวัน ออกเฉียงใต้ว่าด้วยการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของภูมิภาค ครั้งที่ 1 ซึ่งประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพจัดการ ประชุม ระหว่างวันที่ 20 - 21 พฤศจิกายน 2546 ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยสาระสำคัญของการประชุมได้มีการ พิจารณาให้ความสำคัญแก่การใช้น้ำเพื่อผลิตอาหาร น้ำดื่มที่ปลอดภัย สภาพแวดล้อมที่ดี รวมถึงน้ำจืดและน้ำ ชายฝั่ง ปัญหาการแข่งขันกันระหว่างผู้ใช้น้ำและการสูญเสียประโยชน์ของคนจน ปัญหาความเสี่ยงจากอุทกภัย และภัยแล้ง ปัญหาการขาดธรรมาภิบาลด้านน้ำ โดยที่ประชุมได้ให้การรับรองแนวทางการดำเนินงานในเรื่อง การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบผสมผสาน ส่งเสริมการเพิ่มระดับการลงทุน และจัดทำแนวทาง/กรอบด้าน กฎหมายสำหรับการจัดสรรน้ำ ส่งเสริมการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสนับสนุนให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ เสริมสร้างความเข้มแข็งในการร่วมมือระดับภูมิภาคอย่างใกล้ชิด และจัดเวที เพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นระดับภูมิภาคทุก ๆ 2 ปี และในโอกาสนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของไทย ได้เชิญรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและชลประทานของสหภาพพม่าเจรจาหารือ ทวิภาคีเกี่ยวกับประเด็นความร่วมมือการจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างไทย - พม่าในการดำเนินโครงการพัฒนา ลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย เพื่อการพัฒนาแหล่งน้ำสำหรับการใช้ประโยชน์ร่วมกัน ผลการหารือทั้งสองฝ่ายเห็น ด้วยในหลักการให้มีความร่วมมือในโครงการพัฒนาแหล่งน้ำในลุ่มน้ำกกและแม่น้ำสาย โดยให้แต่ละประเทศจัด ตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อการจัดการทรัพยากรน้ำระหว่างพม่าและไทย เพื่อพิจารณาโครงการรวม 3 ด้าน คือ ด้านวิชาการ ด้านการบริหาร และด้านการเงิน
|
|||||||||||||||||||||
3055 | โครงการศึกษา วิจัย ออกแบบ สร้างอุปกรณ์สื่อสารแบบ Ka-Band ของการร่วมสร้างดาวเทียมอเนกประสงค์ขนาดเล็ก | ทก | 18/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 3 (คกก.3)
ที่มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอการดำเนินงานตามโครงการศึกษา วิจัย ออกแบบ สร้างอุปกรณ์สื่อสารระบบ Ka-Band ของการร่วมสร้างดาวเทียมอเนกประสงค์ขนาดเล็ก เป็นโครงการ ศึกษาวิจัย ซึ่งอาจมีความเสี่ยงต่อผลสัมฤทธิ์ในการดำเนินงาน โดยให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สารรับข้อสังเกตของ คกก.3 ไปพิจารณาประกอบการดำเนินโครงการ ฯ ต่อไปด้วย ดังนี้ โครงการศึกษา วิจัย ออกแบบสร้างอุปกรณ์สื่อสารระบบ Ka-Band ของการร่วมสร้างดาวเทียมอเนกประสงค์ขนาดเล็ก เป็นโครงการ ศึกษาวิจัยที่ใช้วงเงินงบประมาณสูงมาก จึงควรให้ความสำคัญในการพิจารณากลั่นกรองหน่วยงานที่จะรับผิดชอบ ในการดำเนินโครงการ ฯ ความพร้อมในการดำเนินงาน และโอกาสที่จะได้รับผลสำเร็จ โดยอาจขยายเพิ่มหน่วย งานที่รับผิดชอบไปยังสถาบันอื่น ๆ ที่มีศักยภาพ เพื่อให้การดำเนินโครงการ ฯ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอก จากนี้ จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของโครงการ ฯ ที่จะได้รับด้วยว่า จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้ภาคเอกชนมาก กว่ารัฐ หรือภาครัฐจะเสียประโยชน์หรือไม่ และประชาชนโดยรวมจะได้รับประโยชน์จากโครงการ ฯ เพียงใด
|
|||||||||||||||||||||
3056 | งบประมาณการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา | ทส | 11/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแผนการ
ดำเนินงานของคณะอนุกรรมการกำกับติดตามและประเมินผล คณะอนุกรรมการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชา ชนและประชาสัมพันธ์ โดยแผนการใช้จ่ายงบประมาณของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ และค่าใช้จ่ายของสำนัก งานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะฝ่ายเลขานุการโครงการจัดทำแผนแม่บทการ พัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ให้ดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โ ดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับ ความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นชอบกับกรอบแผนการดำเนิน การ/แผนการใช้จ่ายงบประมาณของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 คณะ และฝ่ายเลขานุการ ฯ ดังกล่าว ประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2547 โดยตัดกิจกรรมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ออก เนื่องจากไม่สามารถดำเนินการได้ทัน ทั้งนี้ การดำเนินงานของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด ควรให้ความสำคัญกับการกำกับ ติดตาม และประเมินผล และ การประชาสัมพันธ์ รวมถึงสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ขั้นเริ่มต้นของการดำเนินโครงการภายใต้แผน บูรณาการงบประมาณการพัฒนาลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ที่ได้รับการอนุมัติงบประมาณจากสำนักงบประมาณแล้ว ในปี พ.ศ. 2547 จำนวน 18 โครงการ เป็นลำดับแรก นอกเหนือจากการให้ความสำคัญกับโครงการเร่งด่วน 4 โครงการ ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติไว้แล้ว เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2545 เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปด้วยความ เรียบร้อยและไม่ก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาในภายหลัง และเนื่องจากแผนบูรณาการดังกล่าวมีระยะเวลา ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-2550 ในขณะที่การจัดทำแผนงาน/แผนการใช้จ่ายเงินของคณะอนุกรรมการทั้ง 2 ชุด เป็นการจัดทำเฉพาะการดำเนินงานในปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้การกำกับ ติดตาม และประเมินผลการดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามที่แผนบูรณาการ ฯ กำหนดไว้ เห็น ควรให้มีการจัดทำแผนงาน/แผนงบประมาณสำหรับการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการดังกล่าว ให้ครอบคลุม ภารกิจไปจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ตามระยะเวลาของแผนบูรณาการงบประมาณ ฯ ไปพิจารณาดำเนิน การด้วย |
|||||||||||||||||||||
3057 | รายงานการเดินทางเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศญี่ปุ่น | นร | 11/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) รายงานการเดิน
ทางเยือนประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างวันที่ 24-27 กันยายน 2546 โดย ได้เดินทางพร้อมด้วยคณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการไป ศึกษาดูงานด้านการบริหารรัฐกิจและการจัดการ ณ ประเทศดังกล่าว สรุปได้ดัง นี้ ภารกิจ ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดแบบ บูรณาการได้เข้าชมภายใน Urban Planning Hall พร้อมรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับการวางผังเมืองและ การก่อสร้างเมืองใหม่ของนครเซี่ยงไฮ้ และร่วมงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำจัดโดยเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ในการ นี้ ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่และนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้เพื่อ ร่วมมือกันฟื้นฟูกิจกรรมความสัมพันธ์แบบบ้านพี่เมืองน้องระหว่างจังหวัดเชียงใหม่และนครเซี่ยงไฮ้ นอกจาก นี้ ยังมีการศึกษาดูงาน ณ เขตนิคมอุตสาหกรรมจิงเฉียว ซึ่งได้รับการพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรมไฮเทค (Hi-Tech Zone) ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของโลก และรับฟังการบรรยายสรุปเรื่องแนวทางการพัฒนาเมืองของ เทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ และประชุมหารือกับ China Council for Promotion International Trade (CCPIT) เกี่ยว กับข้อตกลงเขตการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทยและจีน ซึ่งจะเริ่มจากสินค้าประเภทผักและผลไม้ และการ ให้นักลงทุนจีนไปลงทุนในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งได้พบปะกับนักธุรกิจชั้นนำของเซี่ยงไฮ้เพื่อหา รือถึงแนวทางในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ โอกาสด้านการลงทุนใน ประเทศไทย ความช่วยเหลือที่จะมีให้กับนักลงทุนจีน เช่น การจัดตั้ง Chinese Desk ขึ้นที่สำนักงาน BOI กรุงเทพ ฯ การบริการจับคู่ร่วมลงทุนกับนักลงทุนไทยที่มีศักยภาพ และการจัดคณะศึกษาลู่ทางการลงทุน เพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างกัน สำหรับการเดินทางไปศึกษาดูงานด้านการบริหารรัฐกิจและการจัดการ ณ ประเทศญี่ปุ่น คณะผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงมหาดไทยและผู้ว่าราชการจังหวัดแบบบูรณาการได้ เดินทางไปรับฟังแนวคิดในการบริหารจังหวัดโออิตะ ที่เน้นหนักใน 3 เรื่อง ได้แก่ การสร้างความสุขใจและ ความสบายใจโดยมุ่งให้คนมีงานทำ ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีความสุขในการดำเนินชีวิต การสร้างพลัง ภายในจังหวัดให้เข้มแข็ง สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการดำเนินโครงการหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ พร้อม นำแนวคิดใหม่ ๆ มาปรับใช้ เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน และส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์/ เชิงสุขภาพ และการพัฒนาชนบท และพัฒนาคนให้มีความรู้ รวมทั้งพัฒนาคนรุ่นใหม่เพื่อรองรับงานใน อนาคตให้เหมาะสม และการพัฒนาฐานการผลิตอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น เหล็กกล้า เคมีภัณฑ์ และเทค โนโลยีสารสนเทศ โดยไม่ละเลยการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้คงอยู่คู่กับการพัฒนา เศรษฐกิจและการแลกเปลี่ยนทางการค้ากับประเทศในกลุ่มเอเชีย และได้เยี่ยมชม Tokiwa Wasada Town ซึ่งเป็นสถานที่แสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ของจังหวัดโออิตะ นอกจากนี้ ได้เดินทาง ไปรับฟังแนวทางในการบริหารจังหวัดฟูกุโอกะ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจจากภาคอุตสาหกรรม ซึ่ง มีแนวทางการพัฒนาจังหวัด 2 แนวทาง ได้แก่ เน้นการส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยสนับ สนุนด้านการเงิน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การคิดค้นนวัตกรรมใหม่ ๆ และการสนับสนุนให้เกิดธุรกิจ ใหม่ ๆ ขึ้น และเน้นการพัฒนาเป็นกลุ่มธุรกิจ (Cluster) โดยใช้กลยุทธ์ด้าน IT ส่งเสริมการพัฒนาอย่าง เป็นระบบ ทั้งการพัฒนาบุคลากร การวิจัยและพัฒนา การสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ การจดลิขสิทธิ์ การเชื่อม โยงธุรกิจ และการดูแลจัดการด้านสิ่งแวดล้อม |
|||||||||||||||||||||
3058 | รายงานผลการประชุมรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์อาเซียนอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 10 | วท | 11/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานผลการประชุมรัฐมนตรี
วิทยาศาสตร์อาเซียนอย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 10 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 15-16 ตุลาคม 2546 ณ เมืองหลวงพระ บาง ประเทศลาว โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของ การประชุมเพื่อกำหนดแนวทางและนโยบายในการดำเนินความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในภูมิภาค อาเซียน โดยที่ประชุมได้รับทราบและพิจารณาในเรื่องสำคัญ ได้แก่ การดำเนินการตามมติที่ประชุมรัฐมนตรี ฯ ครั้งที่ 9 เกี่ยวกับการดำเนินการของ ASEAN COST ในหัวข้อหลักที่เป็นผลสำเร็จตามมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 17-18 กันยายน 2544 ณ ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ซึ่งเกี่ยวข้องกับแผนงาน ASEAN-help-ASEAN และการริเริ่มเพื่อ การรวมตัวของอาเซียน แผนปฏิบัติการอาเซียนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาอาเซียน และการสมทบกองทุนวิทยาศาสตร์อาเซียน รวมทั้งได้มี การแลกเปลี่ยนความเห็นในประเด็นด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีผลกระทบต่อภูมิภาคอาเซียน ในการนี้ โดยประเทศไทยได้ให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างเสริมความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในภูมิภาคอาเซียนให้แข็งแกร่งมากขึ้น 3 ประการคือ ให้มีการส่งเสริมการดำเนินโครงการและกิจกรรมในลักษณะ ของ cost-sharing ให้มากขึ้น การแสวงหาแหล่งเงินทุนที่แน่นอนเพื่อสนับสนุนกิจกรรมและโครงการของ ASEAN COST โดยจัดทำกลยุทธ์เกี่ยวกับการใช้เงินจากกองทุนวิทยาศาสตร์อาเซียน เพื่อสนับสนุนกิจกรรมและโครงการ ของ ASEAN COST มากขึ้น และจัดทำกลยุทธ์ร่วมกันเกี่ยวกับการดำเนินความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาอาเซียน เพื่อให้อาเซียนได้รับประโยชน์ในเรื่องความเชี่ยวชาญและการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ คู่เจรจาได้มากขึ้น กับได้เสนอให้ประเทศสมาชิกอาเซียนยังคงดำเนินโครงการ ASEAN-help-ASEAN ต่อไป เพื่อ ช่วยพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งประเทศไทยยินดีที่จะให้ความร่วมมือด้านวิทยา ศาสตร์และเทคโนโลยี กับกลุ่มประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน (CLMV) ต่อไป นอกเหนือจากการจัดฝึกอบรม ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ให้แก่นักวิทยาศาสตร์ ประเทศ CLMV ซึ่งประเทศไทยได้เริ่มดำเนินการในปี พ.ศ. 2544 และจะยังคงดำเนินต่อไป ในระหว่างปี พ.ศ. 2546-พ.ศ. 2548 นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความก้าวหน้า ของการสมทบกองทุนวิทยาศาสตร์อาเซียน และความถี่ของการจัดประชุม และได้กำหนดการประชุมครั้งต่อไป โดยประเทศฟิลิปปินส์จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์อาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 3 ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2547 และประเทศอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมรัฐมนตรีวิทยาศาสตร์อาเซียน อย่างเป็นทางการ ครั้งที่ 11 ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี พ.ศ. 2548 |
|||||||||||||||||||||
3059 | การตรวจสอบการใช้เงินกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร | กค | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานผลการตรวจสอบการใช้เงินกองทุนรวม
เพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ของบริษัท ศูนย์นักบัญชี พีเอเอส จำกัด ที่กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ได้ว่าจ้าง ให้เป็นผู้ตรวจสอบบัญชีโครงการของกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร จำนวน 110 โครงการ แยกเป็นโครงการ ประเภทเงินจ่ายขาด จำนวน 51 โครงการ และโครงการประเภทเงินหมุนเวียน จำนวน 59 โครงการ ซึ่งได้ดำเนิน การตรวจสอบเสร็จสิ้นแล้ว รวมทั้งข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลัง โดยให้สำนักงบประมาณรับข้อเสนอแนะที่ เกี่ยวกับการให้คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของกองทุนรวมฯ ซึ่งมีสำนักงบประมาณ เป็นฝ่ายเลขานุการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการตามแผนการติดตามที่วางไว้ในระหว่างดำเนินโครง การ และประเมินผลโครงการหลังจากโครงการสิ้นสุดแล้ว และรายงานให้คณะกรรมการกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือ เกษตรกรทราบเป็นระยะ ๆ ไปดำเนินการด้วย สำหรับข้อเสนอแนะของกระทรวงการคลังมีดังนี้ หน่วยงานที่เกี่ยว ข้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาราคาและผลผลิตทางการเกษตรให้เป็นระบบ กับให้สำนักงาน เศรษฐกิจการเกษตรเร่งจัดทำฐานข้อมูลเกษตรกรให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ส่วนการนำเสนอโครงการจะต้องปฏิบัติให้ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน และมีการกลั่นกรองโครงการ การวิเคราะห์ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครง การ โดยผ่านการพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความรู้ และความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านอย่างละเอียดและรอบ คอบ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการพิจารณาสรรหาบุคลากรที่มีความรู้ความชำนาญด้านการบัญชีมา ปฏิบัติงานด้านการบัญชีของโครงการ และให้ผู้ตรวจสอบภายในของหน่วยงานที่รับผิดชอบโครงการตรวจสอบ รายงานทางการเงินของโครงการ รวมถึงพิจารณาคัดสรรผู้เข้าร่วมโครงการ และกำกับดูแลการดำเนินโครงการที่ อยู่ในความรับผิดชอบอย่างใกล้ชิด หากพบการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องให้เร่งดำเนินการตามระเบียบของทางราชการ โดยเคร่งครัด และรายงานให้คณะกรรมการกองทุนร่วมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ทราบโดยเร็ว นอกจาก นี้ให้คณะกรรมการติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการของกองทุนรวม ฯ ติดตามประเมินผลการดำเนิน โครงการตามแผนการติดตามที่วางไว้ในระหว่างดำเนินโครงการ และประเมินผลโครงการหลังจากโครงการสิ้นสุด แล้ว และรายงานให้คณะกรรมการ คชก. ทราบเป็นระยะ ๆ และให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินตรวจสอบราย งานทางการเงินของโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับรายงานทางการเงิน |
|||||||||||||||||||||
3060 | ยืนยันการขอทบทวนโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์เพื่อขจัดคราบน้ำมัน ค้นหา ช่วยเหลือชีวิตและดับเพลิง และเรือฝึกนักเรียนเดินเรือพาณิชย์ สำหรับศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวี ของกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี | คค | 04/11/2546 | ||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 (คกก.7) ที่มี
มติเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของกระทรวงคมนาคม โดยให้ชะลอการดำเนินโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ เพื่อขจัดคราบน้ำมัน ค้นหา ช่วยเหลือชีวิต และดับเพลิง ขนาดไม่ต่ำกว่า 1,000 ตันกรอส จำนวน 1 ลำ ไว้ก่อน จนกว่าจะมีความจำเป็นจึงนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง และให้ดำเนินการโครงการจัดหาเรือฝึกนักเรียนเดิน เรือพาณิชย์ สำหรับศูนย์ฝึกพาณิชย์นาวีขนาดไม่เกิน 5,000 ตันกรอส จำนวน 1 ลำ และเครื่องมือฝึกจำลอง (Simulator) ในวงเงิน 1,650 ล้านบาท ต่อไป โดยขอรับจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการ แทนการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ รวมทั้งขยายระยะเวลาการดำเนินการจาก 3 ปี เป็น 7 ปี (พ.ศ. 2543-2549) โดยให้กระทรวงคมนาคมหารือสำนักงบประมาณ ในการพิจารณาปรับงบประมาณในส่วนของกระทรวงคมนาคม สำหรับโครงการที่ไม่เร่งด่วน หรือมีความจำเป็นน้อย เพื่อจัดสรรเงินงบประมาณมาดำเนินโครงการจัดหาเรือ ฝึก ฯ ต่อไป และให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรให้เร่งดำเนินโครงการจัดหาเรืออเนกประสงค์ ฯ เพื่อเป็นเครื่องมือที่สำคัญของประเทศหากเกิด ปัญหาอุบัติภัยขึ้น และสามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างทันการณ์ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้พิจารณาจัดหา เรือให้มีลักษณะและขนาดที่เหมาะสมกับการเรียน การสอนเท่านั้น โดยจัดสรรงบประมาณแผ่นดินเพื่อใช้ในการ ดำเนินโครงการแทนการใช้เงินกู้จากต่างประเทศ เพื่อมิให้เป็นการเพิ่มภาระหนี้เงินกู้ของประเทศ และให้ขยาย ระยะเวลาจาก 3 ปี เป็น 7 ปี (พ.ศ. 2543-2549) ไปพิจารณาดำเนินการปรับปรุงจัดทำข้อเสนอ และราย ละเอียด เหตุผลความจำเป็นเพิ่มเติม แล้วนำเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไปได้ ทั้งนี้ คณะ รัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยให้ปรับแผนการดำเนินงานและขยายระยะเวลาการดำเนินโครงการจัดหาเรือ ฝึก ฯ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. 2547-2549 เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาในการจัดหา โดยมีค่าใช้จ่ายโครง การในวงเงินทั้งสิ้น 1,150,000,000 บาท โดยเสนอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 จำนวน 230,000,000 บาท และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548-พ.ศ. 2549 อีก จำนวน 920,000,000 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
.....