ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 150 จากทั้งหมด 169 หน้า แสดงรายการที่ 2981 - 3000 จากข้อมูลทั้งหมด 3379 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
2981 | หนังสือและ CD-ROM สาธิตการบริหารจัดการหมู่บ้านตามโครงการ SML | นร | 10/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอว่า ได้ร่วมกับกรมประชาสัมพันธ์
นำคำบรรยายพิเศษ "โครงการ SML" (นโยบายลดอำนาจรัฐ เพิ่มอำนาจประชาชน จัดสรรงบ แก้ปัญหาของ ประชาชน โดยประชาชน) ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งบรรยาย ณ ศาลาวัดกุดม่วง บ้านกุดม่วง ตำบลตะเคียน อำเภอ ด่านขุนทด จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2547 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนทั่วทั้งประเทศได้ ทราบถึงแนวทางและวัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการ ฯ รวมทั้งก่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และถือปฏิบัติใน แนวนโยบายโครงการ ฯ เป็นไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมทั้งการสาธิตโครงการ ฯ จัดทำเป็นหนังสือ และ CD- ROM "สาธิตการบริหารจัดการหมู่บ้านตามโครงการ SML" เพื่อเผยแพร่แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องและผู้สนใจทั่วไป
|
||||||||||||||||||||||||
2982 | โครงการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA 2000 - 1X ในส่วนภูมิภาค | ทก | 03/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 7 ที่มีมติ
เห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอการดำเนินงานโครงการโทรศัพท์เคลื่อน ที่ระบบ CDMA 200-1X ในส่วนภูมิภาค ของบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาระบบ สื่อสารโทรคมนาคมให้สอดคล้องกับเทคโนโลยี และเพิ่มขีดความสามารถรองรับการใช้งานของผู้รับบริการ ให้ครอบคลุมพื้นที่ของประเทศ โดยจัดซื้อชุมสายวิทยุเซลลูล่าร์ขนาดไม่ต่ำกว่า 2,300,000 เลขหมายและ สถานีวิทยุเครือข่ายระบบ CDMA พร้อมอุปกรณ์ประกอบที่จำเป็น ระยะเวลาดำเนินงานทั้งสิ้น 10 ปี โดย คาดว่าจะสามารถเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นไป สำหรับวงเงินลงทุนของโครงการ ฯ จะใช้ เงินลงทุนจากเงินรายได้ของบริษัท กสท ฯ วงเงินทั้งสิ้น 13,430 ล้านบาท ประกอบด้วย การจัดซื้อชุมสาย และสถานีวิทยุเครือข่ายระบบ CDMA พร้อมอุปกรณ์ประกอบที่จำเป็น จำนวนเงิน 12,210 ล้านบาท และ เงินสำรองโครงการ ฯ 10% จำนวนเงิน 1,220 ล้านบาท ทั้งนี้ ให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็น ว่า ปัจจุบันตลาดธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่มีการแข่งขันสูงมาก บริษัท กสท. โทรคมนาคม ฯ ควรมีการติดตาม การเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างใกล้ชิด และปรับกลยุทธการตลาดให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และความเห็นของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เห็นว่า การลงทุนในโครงการ ฯ ค่อนข้างสูง และยัง ขาดความเชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม ควรจะสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชน ผู้ผลิตอุปกรณ์รายใหญ่จาก ต่างประเทศ ผู้ผลิตอุปกรณ์ภายในประเทศ และบริษัท กสท. โทรคมนาคม ฯ และควรกำหนดขั้นตอนการ ดำเนินงานตามระยะเวลาหรือพื้นที่เครือข่าย การกำหนดงบประมาณ และการตรวจสอบให้ชัดเจน เพื่อให้ การบริหารโครงการและงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพไปพิจารณาด้วย รวมทั้งให้รับข้อสังเกตของ คณะรัฐมนตรีไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การลงทุนดำเนินโครงการ ฯ ต้องไม่เป็นการขัดแย้ง หรือเชื่อม โยงเกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการพัฒนาบริการวิทยุโทรคมนาคมระบบเซลลูล่าร์ ซึ่งบริษัทเอกชนดำเนิน การอยู่แล้ว และการลงทุนดำเนินโครงการ ฯ เมื่อพิจารณาเงินลงทุนต่อ 1 เลขหมาย แล้ว นับว่าอยู่ในเกณฑ์ สูงมาก
|
||||||||||||||||||||||||
2983 | เร่งรัดการดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่ายสำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 59,000 ล้านบาท | นร | 03/08/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการเร่งรัดการดำเนินโครงการภายใต้ค่าใช้จ่าย
สำรองเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 59,000 ล้านบาท ของส่วนราชการที่ได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการที่เสนอ ซึ่งมี การเบิกจ่ายจากงบกลาง รายการ ฯ ดังกล่าว รวมเป็นเงินทั้งหมดประมาณ 580 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 1 ของยอดเงินงบประมาณทั้งหมดเท่านั้น จึงขอให้ทุกส่วนราชการเร่งรัดการดำเนินโครงการ และการขอเบิก จ่ายงบประมาณ งบกลางรายการ ฯ ดังกล่าว ให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2984 | สรุปผลการประชุมระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 3 | วท | 27/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรายงานสรุปผลการประชุม
ระดับรัฐมนตรีว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 3 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2547 ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ ปาร์ค กรุงเทพ ฯ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี (นายกร ทัพพะรังสี) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งเวียดนาม เป็น หัวหน้าคณะผู้แทนการประชุม ฯ ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการจัดประชุม ฯ เพื่อพิจารณาทบทวนกิจกรรมความ ร่วมมือในปัจจุบันและพิจารณาสาขาความร่วมมือใหม่และแนวทางการดำเนินงานเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือ ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระหว่างสองประเทศให้มีความก้าวหน้ามากขึ้น โดยที่ประชุมได้พิจารณาทบ ทวนและตกลงที่จะร่วมมือในการดำเนินโครงการและกิจกรรมความร่วมมือในด้านสำคัญ ได้แก่ ด้านมาตร วิทยา ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ด้านเทคโนโลยีโลหะและวัสดุ ด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ และด้านการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมและภูมิสารสนเทศ นอกจากนี้ ยังได้จัดให้คณะผู้แทน เวียดนามได้เยี่ยมชมการดำเนินงาน ของสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ และอุทยาน วิทยาศาสตร์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2985 | ผลการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของ กอ.สสส.จชต. ครั้งที่ 9/2547 | นร | 27/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติรายงานผลการประชุมคณะ
กรรมการกำหนดนโยบายของกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กอ.สสส.จชต.) ครั้งที่ 9/2547 เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2547 และเห็นชอบข้อเสนอโครงการตามยุทธศาสตร์การ พัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 2 โครงการ วงเงินรวม 7,450,354 บาท ได้แก่ โครงการก่อสร้าง สนามกีฬาและสวนสุขภาพในบริเวณวิทยาลัยอิสลามยะลา วิทยาเขตปัตตานี วงเงิน 2,672,074 บาท และโครงการก่อสร้างสนามฟุตบอลระดับตำบล จำนวน 24 แห่ง จังหวัดละ 8 แห่ง วงเงิน 4,778,280 บาท ของหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการทหารสูงสุด สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการ กอ.สสส.จชต. ครั้งที่ 9/2547 ที่ประชุมได้มีมติในเรื่องต่าง ๆ โดยสรุปดังนี้ รับทราบผลการติดตามการ ดำเนินงานตามนโยบายเสริมสร้างสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ และยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ด้านเศรษฐกิจสังคม และความมั่นคง ใน 5 กลุ่มงาน ได้แก่ สถานการณ์ด้านการข่าว การ รักษาความสงบเรียบร้อย การจัดระเบียบชุมชนเข้มแข็ง และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งรับ ทราบการติดตามผลการสั่งการของนายกรัฐมนตรี ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 มิถุนายน 2547 เรื่อง สถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ เรื่อง อำนาจศาลทหารในพื้นที่ประกาศใช้ กฎอัยการศึก และเรื่อง นักศึกษากัมพูชาเชื้อสายจามเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ นอก จากนี้ ประธานในที่ประชุมได้มีข้อสังการในเรื่องสำคัญ เช่น ให้ทุกหน่วยงานเร่งรัดตรวจสอบความคืบ หน้าในการเบิกจ่ายเบี้ยเลี้ยงและค่าตอบแทนให้แก่เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ให้รวดเร็ว และเร่งรัด การดำเนินโครงการพัฒนาตามยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นผลโดยเร็ว เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
2986 | รายงานผลการทำความตกลงโครงการชำระเงินแบบทวิภาคีระหว่างไทยและอิหร่านและความตกลง Revolving Trede Financing Facility Agreement ระหว่างไทยและรัสเซีย | กค | 27/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังรายงานผลการทำความตกลงโครงการชำระเงิน
แบบทวิภาคี (Bilateral Payment Arrangement (BPA)) ระหว่างไทยและอิหร่าน และความตกลง Revolving Trade Financing Facility Agreement ระหว่างไทยและรัสเซีย ซึ่งผลการดำเนินโครงการชำระเงินแบบทวิภาคี ระหว่างไทยและอิหร่าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้อนุมัติในหลักการของการดำเนินการตามโครง การ ฯ โดยมีเงื่อนไขในร่างสัญญา ฯ ดังนี้ วงเงินในการเปิด L/C เท่ากับ 10 ล้านยูโร ระยะเวลาในการชำระ บัญชี (Clearing Period) ทุก 3 เดือน อัตราดอกเบี้ยปกติ EURIBOR 3 เดือน+0.5% ต่อปี และอัตราดอก เบี้ยผิดนัด ระยะที่ 1 เท่ากับ EURIBOR 3 เดือน+1.0% ต่อปี (ค้างชำระไม่เกิน 1 เดือน) และระยะที่ 2 เท่า กับ EURIBOR 3 เดือน+3.0% ต่อปี (ค้างชำระ 1 เดือนขึ้นไป) ทั้งนี้ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า แห่งประเทศไทย (ธสน.) ในฐานะธนาคารตัวแทนของไทยในการดำเนินการดังกล่าวได้ร่วมลงนามในสัญญา ความตกลงกลไกการชำระเงินแบบทวิภาคีระหว่างไทยและอิหร่านกับ Export Development Bank of Iran (EDBI) ธนาคารตัวแทนของอิหร่านแล้ว เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2547 ส่วนความตกลง Revolving Trade Financing Facility Agreement (RTFF) ระหว่างไทยและรัสเซีย นั้น ได้มีการลงนามในสัญญาความตกลง ดังกล่าว ระหว่าง ธสน. ในฐานะธนาคารตัวแทนของไทยกับ Bank for Foreign Trade (Vneshtorgbank) ธนาคารตัวแทนของรัสเซียแล้ว เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2987 | การดำเนินงานโครงการปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณตามแนวเส้นทางจราจร | นร | 27/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่รองนายกรัฐมนตรี (นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา) ประธานคณะกรรม
การอำนวยการโครงการปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณตามแนวเส้นทางจราจรเสนอการดำเนินโครงการปรับปรุง ทัศนียภาพบริเวณแนวเส้นทางจราจร และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป และให้รับความเห็นเพิ่มเติม ของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการด้วย ดังนี้ การปรับปรุงทัศนียภาพบริเวณตามแนวเส้นทางจราจรให้ยึดหลัก Green and Clean โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเมืองและชุมชนควรให้รวมไปถึงการซ่อมแซมและทาสีบ้านเรือนและ อาคารต่าง ๆ การดูแลแม่น้ำลำคลองให้เป็นระเบียบเรียบร้อย สะอาด สวยงาม โดยเห็นผลเป็นรูปธรรมอย่าง ชัดเจนภายในปี พ.ศ. 2550 และมีหน่วยงานเจ้าภาพติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของการติดตั้งป้าย โฆษณาต่าง ๆ โดยเฉพาะป้ายขนาดใหญ่ ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องตรวจสอบดูแลและเข้มงวดกวดขันให้เป็นไปตามข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง สำหรับ ห้องน้ำสาธารณะ และจุดบริการน้ำประปาดื่มได้และป้ายสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ที่ขาดการ ดูแลรักษาและซ่อมแซม ให้กระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนิน การปรับปรุงแก้ไข และดูแลอย่างต่อเนื่อง หากชำรุดจนใช้การไม่ได้ก็ให้รื้อถอน ส่วนที่ดินบริเวณริมทางรถไฟ ในเขตชุมชนต่าง ๆ ที่ถูกบุกรุกเข้าทำประโยชน์และเกิดสภาพเป็นชุมชนแออัด นั้น ให้กระทรวงคมนาคม (การ รถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยว ข้อง เพื่อดำเนินการจัดระเบียบการใช้พื้นที่ดังกล่าว โดยอาจประสานกับกระทรวงการคลังเพื่อขอรับการสนับ สนุนจากเงินรายได้จากการจำหน่ายสลากการกุศลพิเศษของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลตามความจำเป็น ต่อไปได้ นอกจากนี้ การปลูกต้นไม้ตามแนวเส้นทางจราจรต่างๆ ควรพิจารณาเลือกพันธ์ไม้ยืนต้นชนิดต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และราคาไม่สูงเกินจำเป็น โดยในบริเวณเสาตอม่อของทางด่วนสายต่าง ๆ ให้การ ทางพิเศษแห่งประเทศไทยปลูกต้นตีนตุ๊กแกในทำนองเดียวกับประเทศสิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อให้ความสวยงาม และมีสภาพเป็นธรรมชาติ |
||||||||||||||||||||||||
2988 | ผลการดำเนินการโครงการ และรายงานประจำปี 2546 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ | ยธ | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงยุติธรรมรายงานสรุปผลการดำเนินการโครงการนำ
วัฒนธรรมและอัตลักษณ์มาเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพและการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท และรายการประจำปี 2546 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สรุปดังนี้ การดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว ได้ นำศิลปินแห่งชาติ ศิลปินดีเด่น หรือศิลปินที่ได้รับความนิยม ทั้ง 4 ภาค จำนวน 25 คณะ เข้าร่วมโครง การเพื่อถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับกฎหมายและสิทธิเสรีภาพ เป็นการศึกษาควบคู่ไปกับการทดลองนำไป ใช้ และจัดเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับพัฒนาการถ่ายทอดความรู้ด้วยวิธีการ ดังกล่าวให้เกิดความยั่งยืน จากการดำเนินการและการศึกษาโครงการดังกล่าวเมื่อปี พ.ศ. 2546 พบว่า การนำทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) ประเภทศิลปะการแสดงพื้นบ้านมาบูรณาการร่วมกับวิถี ทางหนึ่งในหลาย ๆ วิธี หากทำร่วมกับกระบวนการอื่น ๆ อย่างเป็นระบบและมียุทธศาสตร์/กลยุทธ์ ย่อมจะเกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างสูง และจากการประมวลความคิดเห็นของผู้เข้าร่วมโครงการ ฯ ทั้งที่ เป็นผู้ร่วมเสวนา และผู้เข้าชมการแสดง พบว่าโดยภาพรวม อยู่ในระดับความพอใจที่สูงเป็นกลุ่มเป้าหมาย ที่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 46 - 55 ปี และการใช้กระบวนการนี้เหมาะสมกับกลุ่มประชากรที่มีความรู้ ระดับประถมศึกษา ถึงมัธยมศึกษา รายได้ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน และผู้ชมการแสดงที่เป็นผู้แทน ชุมชน/พื้นที่มีความคิดเห็นต่อการแสดงของศิลปินพื้นบ้านในระดับสูงสุด ทั้งนี้จากการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าวทำให้เกิด "เครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ" ใน 75 จังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย บุคลากรจากหลากหลายอาชีพ โดยเห็นว่ากระบวนการนำวัฒนธรรมมาเผยแพร่ความรู้เป็นสิ่งที่น่าสนใจ และจะช่วยให้ชาวบ้านรับรู้และเข้าใจได้ง่ายที่สุด และในปี พ.ศ. 2547 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้ รับงบประมาณเพื่อสร้างเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพให้มีความเข้มแข็งโดยร่วมกับกระทรวงวัฒน ธรรมอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกเครือข่ายวัฒนธรรมเพื่อสิทธิเสรีภาพ และขยายสู่ประชาชน เพื่อส่งเสริม และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพแก่ประชาชน ให้เป็น "วิถีชีวิตแห่งสิทธิเสรีภาพ เพื่อสังคมที่เป็นธรรม" |
||||||||||||||||||||||||
2989 | ขออนุมัติวงเงินงบประมาณ งบกลางปี 2547 - 2548 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการและงบประมาณปี 2547 - 2549 ภายใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 | อก | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 2.1 (ฝ่าย
ความสงบเรียบร้อยและแรงงาน) ที่มีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอโครงการภาย ใต้แผนแม่บทพัฒนาความปลอดภัยด้านเคมีวัตถุแห่งชาติ ฉบับที่ 2 รวม 10 โครงการ ได้แก่ (1) โครงการ ศึกษาการพัฒนาและการเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานสารเคมีของหน่วยงานราชการ และองค์กรที่เกี่ยวข้อง (2) โครงการนำเสนอเครือข่ายแหล่งข้อมูลพื้นฐานสารเคมีผ่านระบบ Internet (3) โครงการจัดทำฐานข้อมูล อุปกรณ์สำหรับการระงับอุบัติภัยจากสารเคมีในโรงงานอุตสาหกรรม (4) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูล กำกับการขนส่งวัตถุอันตรายและของเสียเคมีวัตถุ (5) โครงการพัฒนาระบบฐานข้อมูลความปลอดภัยวัตถุ อันตรายทางอุตสาหกรรม (6) โครงการฐานข้อมูลผู้เชี่ยวชาญหรือบุคลากรเฉพาะรับผิดชอบ สำหรับการ เก็บรักษาวัตถุอันตรายที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงอุตสาหกรรม (7) โครงการศึกษาการออกแบบ จัดตั้งศูนย์ทดสอบ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์และแท็งก์บรรจุวัตถุอันตรายเพื่อการขนส่ง (8) โครงการจัดสร้าง ศูนย์ทดสอบ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์และแท็งก์บรรจุวัตถุอันตรายเพื่อการขนส่ง (9) กำหนดมาตรการควบ คุมโรงงานอุตสาหกรรม คลังสินค้า และสถานที่เก็บในพื้นที่เสี่ยงภัย และตรวจสอบการดำเนินงานอย่างต่อ เนื่อง และ (10) ศึกษาการใช้สารเคมีในกลุ่มต่าง ๆ สำหรับงบประมาณค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการให้ เป็นไปตามความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ใช้จ่ายปี พ.ศ. 2547 จำนวน 4,200,000 บาท โดย ให้กระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณาปรับแผนปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2547 ส่วนค่าใช้จ่ายปี พ.ศ. 2548 ให้เสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2548 รวมทั้งให้กระทรวงอุตสาหกรรม รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นว่า เพื่อให้โครงการ ต่าง ๆ ไม่ซ้ำซ้อนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเพื่อให้มีการบูรณาการแผนงาน/โครงการ กับหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง ควรให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาก่อน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2547 ที่ ให้กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับ ดูแล และ ติดตามการดำเนินการด้านยุทธศาสตร์/มาตรการ ภายใต้แผนแม่บท ฯ ให้เกิดผลในเชิงบูรณาการและเป็น ไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ในการก่อสร้างศูนย์ทดสอบ ตรวจสอบบรรจุภัณฑ์ และแท็งก์บรรจุวัตถุอันตรายเพื่อการขนส่ง ควรทบทวนบทบาทภาครัฐ ด้านการควบคุมมาตรฐานความ ปลอดภัยว่าถ้าให้เอกชนเข้ามาดำเนินการจะมีประสิทธิภาพมากกว่าหรือไม่ โดยรัฐทำหน้าที่ส่งเสริม กำกับ ดูแล ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2990 | ขออนุมัติดำเนินโครงการทางพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอก | คค | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอก โดย
อนุมัติในหลักการตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ดำเนินโครงการ ทางพิเศษสายรามอินทรา - วงแหวนรอบนอก วงเงินลงทุน 13,708 ล้านบาท โดยรัฐบาลให้เงินอุดหนุน แก่ กทพ. ในลักษณะการเพิ่มทุนของภาครัฐ ประกอบด้วย ค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดเท่าที่จ่ายจริง ซึ่ง ประมาณการเบื้องต้นเป็นเงินประมาณ 7,011 ล้านบาท และค่าก่อสร้างบางส่วน โดยในส่วนของจำนวน เงินค่าก่อสร้างที่อุดหนุนแก่ กทพ. ให้กระทรวงคมนาคมรับไปหารือร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงบ ประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ กทพ. อีกครั้งหนึ่งให้เหมาะ สม สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ความจำเป็นและฐานะทางการเงินของ กทพ. ตลอดจนกำลังเงินของภาครัฐ โดยให้ได้จำนวนเงินที่จะต้องอุดหนุนต่ำสุดภายในวงเงินที่เสนอขอไว้จำนวน 3,884 ล้านบาท แล้วรายงาน ให้คณะรัฐมนตรีทราบ ทั้งนี้ ให้ กทพ. เร่งรัดจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินให้เสร็จโดยเร็วที่สุด และในระหว่างรอผล การพิจารณาร่วมกัน ให้ กทพ. ดำเนินงานให้ทันที่จำเป็นไปพลางก่อนได้ |
||||||||||||||||||||||||
2991 | กระทู้ถามนายกรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรีเห็นชอบคำตอบแล้ว จำนวน 3 เรื่อง 1.1 กระทู้ถามที่ 037 ร. เรื่อง ค่าตอบแทนและสวัสดิการของกำนัน ผู้ใหญ่บัาน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บัาน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำตำบล 1.2 กระทู้ถามที่ 1106 ร. เรื่อง การส่งเสริมให้เลี้ยงจระเข้ 1.3 กระทู้ถามที่ 1335 ร. เรื่อง การดำเนินโครงการจัดทำหาดทรายเทียม (กระทู้ถามของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตอบในราชกิจจานุเบกษา รวม 13 ฉบับ) | นร | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำตอบกระทู้ถามที่ 037 ร.
เรื่อง ค่าตอบแทนและสวัสดิการของกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตรกำนัน และแพทย์ประจำ ตำบล ของนายวิทยา มะเสนา สมาชิกวุฒิสภา คำตอบกระทู้ถามที่ 1106 ร. เรื่อง การส่งเสริมให้เลี้ยงจระเข้ และคำตอบกระทู้ถามที่ 1335 ร. เรื่อง การดำเนินโครงการจัดทำหาดทรายเทียม ของนายนิยม วรปัญญา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดลพบุรี และให้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป โดยคำตอบกระทู้ถามที่ 037 ร. สรุปได้ว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2547 เห็นชอบการปรับปรุงเพิ่มอัตราเงิน ตอบแทนตำแหน่งกำนัน ผู้ใหญ่บ้านให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันในอัตราดังนี้ กำนัน จากเดิม 3,500 บาท ปรับเพิ่มเป็น 4,000 บาท ผู้ใหญ่บ้าน จากเดิม 2,500 บาท ปรับเพิ่มเป็น 3,000 บาท และ แพทย์ประจำตำบล สารวัตรกำนัน และผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน จากเดิม 1,800 บาท ปรับเพิ่มเป็น 2,000 บาท โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2547 เป็นต้นไป ส่วนคำตอบกระทู้ถามที่ 1106 ร. สรุปได้ ว่า วัตถุประสงค์หลักในการส่งเสริมอุตสาหกรรมการส่งเสริมการเลี้ยงจระเข้ให้เป็นที่แพร่หลายคือ ต้องการ สร้างแหล่งวัตถุดิบ (หนังจระเข้) ให้เกิดขึ้นภายในประเทศ และลดการพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ (ลด การนำเข้าหนังดิบ) รวมทั้งเพื่อเพิ่มขีดความสามารถและสร้างศักยภาพอุตสาหกรรมเครื่องหนังของไทยให้ สามารถแข่งขันกับตลาดแฟชั่นของโลก และส่งเสริมผู้ประกอบการเครื่องหนังไทยที่เป็น SMEs ให้สามารถ ใช้วัตถุดิบภายในประเทศได้ในราคาที่ถูกกว่าการนำเข้า ซึ่งเป็นการลดต้นทุนการผลิตให้กับผู้ประกอบการ หรือ SMEs และเนื้อจระเข้สามารถนำไปพัฒนาเป็นอาหารซึ่งเป็นที่นิยมของชาวเอเชียเนื่องจากมีคุณสมบัติ เป็นยารักษาโรค และคำตอบกระทู้ถามที่ 1335 ร. สรุปได้ว่า การก่อสร้างหาดทรายเทียมในเขตเทศบาล ตำบลลำนารายณ์ เทศบาลตำบลท่าหลวง องค์การบริหารส่วนตำบลอำเภอท่าหลวง องค์การบริหารส่วน ตำบล อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี และองค์การบริหารส่วนตำบล คลองกระจัง อำเภอศรีเทพ จังหวัด เพชรบูรณ์ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการสำรวจออกแบบโครงการ โดยเทศบาลตำบลลำนารายณ์ได้ดำเนิน การสำรวจออกแบบโครงการจัดทำหาดทรายเทียมในเขตพื้นที่แล้ว จำนวน 4 โครงการ และเทศบาลตำบล บ้านท่าหลวงได้ดำเนินการสำรวจเพื่อดำเนินการโครงการจัดทำหาดทรายเทียมในพื้นที่บริเวณเขื่อนป่าสัก ชลสิทธิ์ สำหรับจังหวัดเพชรบูรณ์ จากการพิจารณาสภาพพื้นที่โดยรอบบริเวณอ่างเก็บน้ำคลองกระจังแล้ว ไม่มีพื้นที่สามารถจะดำเนินการจัดทำหาดทรายเทียมได้ |
||||||||||||||||||||||||
2992 | รายงานสรุปผลโครงการพัฒนาศักยภาพครู/อาจารย์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศและต่างประเทศ | ศธ | 20/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้น
ฐาน รายงานสรุปผลโครงการพัฒนาศักยภาพครู/อาจารย์ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับโรงเรียนขนาด เล็กในประเทศและต่างประเทศ โดยวัตถุประสงค์ของการดำเนินโครงการ ฯ เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพครู/ อาจารย์ โรงเรียนขนาดเล็กในถิ่นทุรกันดาร พื้นที่ยากจนและด้อยโอกาส โดยคัดเลือกครูจำนวน 2,000 คน จากโรงเรียนขนาดเล็กในชนบทจำนวน 10,877 แห่ง เข้ารับการอบรมในประเทศ กระจายตามภูมิภาคต่าง ๆ ระยะเวลาการอบรม 5 วัน และคัดเลือกครูที่มีความรู้พื้นฐานคอมพิวเตอร์ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้ จำนวน 300 คน ไปฝึกอบรมที่นานยางโพลีเทคนิค ประเทศสิงคโปร์ ระยะเวลาอบรม 15 วัน และจากการประเมินผล การฝึกอบรม ครูทุกคนที่ผ่านการอบรมมีความสามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็น สามารถสืบค้นข้อมูล รับและส่ง ข้อความทางอินเตอร์เน็ทได้ รวมทั้งจัดทำเอกสารที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ได้ และใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อในการสอนในชั้นเรียน ตลอดจนถ่ายทอดให้นักเรียนรู้จักใช้คอมพิวเตอร์ในการ สืบค้นข้อมูลได้
|
||||||||||||||||||||||||
2993 | โครงการแปลงสวนยางเป็นทุน (การให้องค์การสวนยางเข้าทำประโยชน์จากสวนยางในป่าสงวนแห่งชาติ) | กษ | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ให้กรมป่าไม้
อนุญาตให้องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) ใช้ประโยชน์พื้นที่สวนยางในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นระยะเวลา 25 ปี นับจากวันอนุญาตโดยเร็ว และอนุมัติให้ อ.ส.ย. เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากต้นยางและไม้ยางทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน และที่จะได้จากการปลูกแทนต้นยางเก่าที่ได้รับการสงเคราะห์ปลูกแทน รวมทั้งอนุญาตให้ อ.ส.ย.เป็นผู้ทำและ เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์จากผลผลิตยาง และอื่น ๆ ที่ได้จากสวนยาง โดยให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับ ความเห็นของสำนักงานบริหารการแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เกี่ยวกับการดำเนินโครงการดังกล่าว ต้องมีบันทึก ข้อตกลงกับสถาบันการเงินให้ชัดเจนจึงจะดำเนินการได้ และในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวนอกจากรายละเอียด ขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติร่วมกันแล้ว สิ่งที่จำเป็นยิ่ง คือ แนวทางการแก้ไขปัญหาและการระงับข้อพิพาทนอกศาล (Clearing House) ซึ่งต้องกำหนดกระบวนการที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และความเห็นของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่เห็นว่า การพิจารณาอนุญาตให้ อ.ส.ย. เข้าใช้ประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ เพื่อ ดำเนินการตามโครงการ ฯ ต้องพิจารณาดำเนินการให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในระเบียบที่ออกตาม ความในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 และที่แก้ไขเพิ่มเติมที่ใช้ถือปฏิบัติอยู่ โดยเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม การทำไม้ยาง จะพิจารณาให้ทำไม้ออกได้เฉพาะไม้ยางพาราที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไปเท่านั้น โดยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 1,106 (พ.ศ. 2528) ออกตามความในพระ ราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ว่าด้วยการทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และระเบียบกรมป่าไม้ว่า ด้วยการอนุญาตทำไม้ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2529 โดยอนุโลม พร้อมระเบียบที่เกี่ยวข้องด้วย และ เนื่องจากป่าไม้เป็นทรัพยากรที่มีค่า ซึ่งปัจจุบันเหลืออยู่น้อยมาก จึงเห็นควรให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และเงื่อนไขของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเคร่งครัดและให้ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากการ ใช้พื้นที่ป่าไม้ชดเชยค่าใช้จ่ายให้แก่ทางราชการ เพื่อใช้เป็นกองทุนสำหรับดำเนินการป้องกันรักษาป่าและฟื้น ฟูสภาพทรัพยากรป่าไม้ในอัตราที่เหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการ โดยให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ และ เงื่อนไขของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเคร่งครัด สำหรับกรณีการให้เกษตรกรที่ได้รับ ประโยชน์จากการใช้พื้นที่ป่าชดเชยค่าใช้จ่ายแก่ทางราชการ อาจพิจารณาดำเนินการเก็บเป็นค่าเช่าพื้นที่ป่า แทนการแบ่งรายได้จากการปลูกยางพารา จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับไปประสานและหารือราย ละเอียดกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมแล้วดำเนินการตามความเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้ ให้รับ ข้อสังเกตของคณะรัฐมนตรี ไปดำเนินการด้วยว่า พื้นที่ป่าที่จะดำเนินการภายใต้โครงการแปลงสวนยางเป็น ทุนนี้ ต้องเป็นเฉพาะพื้นที่ป่าสงวนหรือป่าถาวร ซึ่งเกษตรกรได้เข้าไปปลูกยางพาราไว้และมีอายุตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไปเท่านั้น มิใช่พื้นที่ป่าอนุรักษ์หรือเขตอุทยานแห่งชาติ ที่ควรสงวนรักษาไว้ให้เป็นพื้นที่ป่าตามธรรมชาติ |
||||||||||||||||||||||||
2994 | รายงานความคืบหน้าการจ้างงานนักเรียน นักศึกษา ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน | รง | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงแรงงานรายงานผลการดำเนินโครงการจ้างงานนักเรียน
นักศึกษา ในช่วงปิดภาคฤดูร้อน โดยกระทรวงแรงงานได้ประสานความร่วมมือทั้งภาครัฐและภาคเอกชนมีนัก เรียน นักศึกษา ได้รับการจ้างงาน จำนวน 108,638 คน ทำงานในภาคราชการ 29,406 คน ค่าตอบแทน วันละ 200 บาท และทำงานในภาคเอกชน 79,232 คน ค่าตอบแทนชั่วโมงละ 23 บาท สำหรับในส่วนของ กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณ จำนวน 300 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามโครงการ ฯ ซึ่งสามารถ จ้างนักเรียน นักศึกษา ได้จำนวน 100,000 คน ทั้งนี้ ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรให้ส่วนราชการที่ประสงค์จะจ้างงานนักเรียน/นักศึกษาในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อนพิจารณาถึงความ พร้อม ทั้งเรื่องแผนการดำเนินงานและงบประมาณที่จะดำเนินการ หากมีความจำเป็นก็ให้ปรับแผนการใช้จ่าย งบประมาณที่ได้รับแล้วไปดำเนินการ และควรพิจารณาทบทวนโครงการ/กิจกรรมที่มีลำดับความสำคัญต่ำ หรือสามารถลดเป้าหมายลงได้ หรือหมดความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการ และนำงบประมาณที่ปรับแผนฯ มา ดำเนินการตามความประสงค์ของส่วนราชการนั้น ๆ ต่อไป หากยังมีงบประมาณไม่เพียงพอ ให้เสนอขอรับ การสนับสนุนงบประมาณตามความจำเป็นและเหมาะสมเป็นกรณี ๆ ไป ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
2995 | การรณรงค์มาตรการประหยัดพลังงาน (วาระสำคัญของรัฐบาล Agenda based) | พน | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพลังงานรายงานความคืบหน้าการรณรงค์มาตรการ
ประหยัดพลังงาน ระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน 2547-12 กรกฎาคม 2547 สรุปได้ดังนี้ มาตรการปิดสถานี จำหน่ายน้ำมันหลังเวลา 24.00 น. สถานีจำหน่ายน้ำมันทั่วประเทศได้ทำการปิดบริการหลังเวลา 24.00 น.-05.00 น. รวมทั้งสิ้น 4,393 สถานี มาตรการปิดไฟป้ายโฆษณาหลังเวลา 22.00 น. ได้มีการปิดไฟ ป้ายโฆษณาไปแล้วรวม 728 ป้าย มาตรการปิดไฟถนน กรมทางหลวงได้แจ้งให้ 15 เขต 88 แขวงการทาง ปิดไฟฟ้าแสงสว่าง ยกเว้นบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น ย่านชุมชน โรงงาน บริเวณมอเตอร์เวย์ บริเวณ สะพานลอยคนเดินข้าม สะพานกลับรถต่างระดับ บริเวณทางแยกและทางโค้ง มาตรการเพิ่มภาษีรถยนต์ นั่งส่วนบุคคลขนาดใหญ่ ได้กำหนดเก็บภาษีสรรพสามิตในรถประหยัดพลังงานที่ใช้นวัตกรรมใหม่ แก๊ส ธรรมชาติ พลังงานไฮโดรเจน หรือไฟฟ้า ในอัตราเดียวกันทุก ซีซี คือ 15% ส่วนรถยนต์นั่งสำเร็จรูป ซึ่งจะ รวมรถตู้ 7 ที่นั่ง ไม่เกิน 11 ที่นั่ง และรถออฟโรด เก็บภาษีสรรพสามิตตามขนาด ซีซี. มาตรการให้หน่วย งานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจเป็นผู้นำในการประหยัดพลังงาน ประกอบด้วย ผลการดำเนินงานให้หน่วยงาน รัฐลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมัน ได้จัดประชุมติดตามผลลดใช้ไฟฟ้าและน้ำมันเชื้อเพลิงของทุกส่วนราชการซึ่งมีวัตถุ ประสงค์ เพื่อแนะนำวิธีจัดทำแผนปฏิบัติการลดใช้พลังงานในหน่วยงาน เพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจลงมือปฏิบัติการลดใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น รวมทั้งมอบโล่รางวัลให้แก่หน่วยงานประหยัดพลังงาน ดีเยี่ยมให้กับ 13 หน่วยงาน จาก 284 หน่วยงานที่ลดใช้พลังงานได้มากกว่า 10% เป็นต้น และกิจกรรม รณรงค์ให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้า "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ" ซึ่งผลจากการดำเนินโครงการ ฯ ระยะแรก (เดือนกันยายน 2544 ถึงสิงหาคม 2545) มีจำนวนครัวเรือนที่ได้รับส่วนลด 4,648,454 ครัว เรือน ประหยัดไฟฟ้า 3,067.56 ล้านหน่วย หรือคิดเป็นเงิน 9,089.86 ล้านบาท จำนวนเงินส่วนลดค่า ไฟฟ้าที่กระทรวงพลังงานจ่ายไป 1,679.42 ล้านบาท พร้อมทั้งได้มีการเปิดตัว "โครงการประหยัดไฟกำไร 2 ต่อ-ระยะที่ 2" เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2547 และในส่วนของการดำเนินการใช้พลังงานทดแทน ได้มีการ กำหนดแผนส่งเสริมการปลูกปาล์มน้ำมัน การพัฒนาด้านไบโอดีเซล และขอความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาด้านไบโอดีเซล และการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการใช้ก๊าซธรรมชาติในภาคขนส่ง เพื่อพิจารณาเกี่ยวกับการเพิ่มจำนวนรถยนต์ที่ใช้ NGV
|
||||||||||||||||||||||||
2996 | โครงการศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาค (Strategic Energy Landbridge) | พน | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอดังนี้ รับทราบความคืบหน้าการดำเนินงานของการ
จัดตั้งเขตปลอดอากรที่ศรีราชา (Sriracha Hub) โดยได้ดำเนินการแก้ไขกฎ ระเบียบต่าง ๆ ให้เอื้อต่อการส่ง ออกปิโตรเลียมไปต่างประเทศ จำนวน 18 ฉบับ และผู้ค้าได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกรรมในเขตปลอดอากร แล้ว 3 ราย และจะอำนวยความสะดวกให้กับผู้ค้าที่ได้รับอนุญาตดังกล่าวและผู้ค้าน้ำมันที่ส่งออกอยู่แล้วให้เข้า มาทำการค้าในเขตปลอดอากร และเห็นชอบแนวทางการดำเนินโครงการเส้นทางยุทธศาสตร์พลังงาน (SELB) เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงในการจัดหาและสำรองน้ำมัน เพิ่มทางเลือกเส้นทางการขนส่งน้ำมันแทนช่องแคบ มะละกา การพัฒนาตลาดน้ำมันและอุตสาหกรรมปิโตรเลียมต่อเนื่องของภูมิภาค และกระตุ้นเศรษฐกิจของ ประเทศและพื้นที่ภาคใต้ โดยตลาดเป้าหมายของการดำเนินการได้แก่ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และประเทศด้าน ตะวันออกอื่น ๆ กระทรวงพลังงานจะได้เร่งเจรจากับรัฐบาลจีน เกาหลี และญี่ปุ่น เพื่อหาความชัดเจนของ ปริมาณน้ำมันทั้งที่ 3 ประเทศตกลงจะขนส่งและสำรองน้ำมันผ่านระบบท่อ SELB และร่วมกับกระทรวงการ ต่างประเทศประสานการจัดตั้งคณะทำงานร่วม 3 ประเทศ (ไทย จีน เกาหลี และญี่ปุ่น) ตลอดจนเร่งจัดทำ รายละเอียดด้านเทคนิคของจุดปลายและแนวท่อขนส่งน้ำมัน รวมถึงจุดที่ตั้งของถังเก็บน้ำมัน โรงกลั่นน้ำมัน และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เพื่อนำไปสู่การออกแบบและก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันให้แล้วเสร็จภายในปี 2551 และให้ดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้จัดทำรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางการลงทุน พร้อมทั้งให้แบ่งส่วน ที่ภาครัฐต้องเข้าไปดำเนินการและส่วนที่มีความเป็นไปได้ในเชิงพาณิชย์ที่จะให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และหรือเอกชนที่จะเข้ามาร่วมลงทุนให้ชัดเจน และให้กำหนดแผนการเตรียมการและก่อสร้างให้แล้วเสร็จภาย ในปี 2553 โดยให้รับความเห็นบางประการเกี่ยวกับการดำเนินโครงการ ฯ ดังกล่าว ของกระทรวงอุตสาห กรรมและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
2997 | ยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคใต้ | นร | 16/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ (สศช.) เสนอ ยุทธศาสตร์ แนวทางการพัฒนา และแผนงาน/โครงการเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ แข่งขันของภาคใต้ที่มีศักยภาพสูง และให้ สศช. สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาทบทวน ความจำเป็นเหมาะสมและวงเงินงบประมาณของโครงการต่าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง โดยให้รับความเห็นของส่วนราช การที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความเห็นเพิ่มเติมของคณะรัฐมนตรี ที่เห็นว่า ยุทธศาสตร์ที่ 1 การพัฒนาสู่ความเป็น เลิศ และให้เป็นศูนย์กลางยางพาราโลก อนุมัติในหลักการให้ใช้เงินสงเคราะห์ (CESS) ของสำนักงานกองทุนสง เคราะห์การทำสวนยาง เพื่อดำเนินการตามแผนงานสร้างนักวิจัยและบุคลากรด้านอุตสาหกรรมยางพารา และ พัฒนาผลิตภัณฑ์และสร้างมูลค่าเพิ่มของยางพารา โดยในการดำเนินการตามแผนงาน ฯ ดังกล่าวควรมอบให้ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เป็นเจ้าภาพหลักร่วมพิจารณาดำเนินการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำหรับการขอใช้เงิน CESS ให้ สศช. รับไปประสานกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาต่อไป โดยให้ยึดหลักการใช้จ่ายเงินอย่างเหมาะสม คุ้มค่า เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด สำหรับยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภูเก็ตอย่างยั่งยืน ซึ่งได้แก่ การพัฒนาและส่ง เสริมให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาจังหวัดภูเก็ตมากขึ้นจำเป็นจะต้องศึกษาและพิจารณาศักยภาพในการรองรับนัก ท่องเที่ยว คุณภาพของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตกับจังหวัดอื่น ๆ ในพื้นที่ ใกล้เคียง ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ) รับเรื่องนี้ไปพิจารณาเพื่อให้ สศช. รับไปประสานและ ดำเนินการต่อไป ส่วนโครงการปรับปรุงสุขอนามัยท่าเทียบเรือประมงภูเก็ต ให้ สศช. รับไปพิจารณาทบทวน ขนาดของโครงการและงบประมาณที่จะใช้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนการดำเนิน การต่อไป และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) รับโครงการพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์และ พิพิธภัณฑ์สถานกลางชนะศึกไปพิจารณารายละเอียดในภาพรวมภายใต้การดำเนินโครงการจัดตั้งสถาบันพิพิธ ภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
2998 | รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินงานโครงการรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (ระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์ - 11 พฤษภาคม 2547) | คค | 06/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงคมนาคม โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
(รฟม.) รายงานผลความคืบหน้าการดำเนินโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ระหว่างวันที่ 12 กุมภาพันธ์-11 พฤษภาคม 2547 โดยการดำเนินงานในส่วนของการก่อสร้างงานโยธา ณ สิ้นเดือนเมษายน 2547 ในส่วนที่ รฟม. เป็นผู้รับผิดชอบ มีความคืบหน้าร้อยละ 100.00 ของงานทั้งหมด และเมื่อรวมงานระบบ รถไฟฟ้า ซึ่งผู้รับสัมปทาน (บริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด [BMCL]) เป็นผู้รับผิดชอบ ผลการดำเนินการโดย รวมทั้งโครงการมีความคืบหน้า ร้อยละ 99.44 ของงานทั้งหมด น้อยกว่าแผนงาน ร้อยละ 0.20 เนื่องจาก อยู่ในขั้นตอนการทดสอบอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า-เครื่องกลโดยรวม (System Integration Test) และการทดลอง เดินรถร่วมกับผู้รับสัมปทาน ทั้งนี้ รฟม. ได้เปิดให้ประชาชนทดลองนั่งรถไฟฟ้า ฯ เมื่อวันที่ 13-18 เมษายน 2547 และได้มีการปรับเป้าหมายการเปิดให้บริการเดินรถอย่างเป็นทางการให้เร็วขึ้นจากเดือนสิงหาคมเป็น กรกฎาคม 2547 |
||||||||||||||||||||||||
2999 | ผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ไม่ยืนยันมติ) | กค | 06/07/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี)
เสนอผลการดำเนินงานของกระทรวงคมนาคมในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ปัตตานี ยะลา และนราธิ วาส) ประกอบด้วย การดำเนินโครงการต่าง ๆ ตามที่ได้รับงบประมาณประจำปี พ.ศ. 2547 จำนวน 22 โครงการ วงเงิน 1,509.73 ล้านบาท ดังนี้ กรมทางหลวง 4 โครงการ วงเงิน 829.09 ล้านบาท เกิดการจ้าง แรงงานท้องถิ่นประมาณ 176.56 ล้านบาท กรมทางหลวงชนบท 5 แผนงาน วงเงินงบประมาณ 508.83 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 15.29 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 1 โครงการ เกิดการ จ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 3.17 ล้านบาท กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี 5 โครงการ วงเงิน 125.71 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 4.44 ล้านบาท สำนักงานนโยบายและแผนการขน ส่งและจราจร 1 โครงการ คือ โครงการฝึกอบรม ส่งเสริมการเรียนรู้เรื่องความปลอดภัยทางถนนที่จังหวัด นราธิวาส เดือนสิงหาคม 2547 วงเงิน 0.38 ล้านบาท ประมาณการมูลค่าสร้างงาน 0.26 ล้านบาท และ การรถไฟแห่งประเทศไทย 6 โครงการ วงเงิน 42.55 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 13.82 ล้านบาท สำหรับโครงการตามยุทธศาสตร์การพัฒนา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จำนวน 13 โครงการ วงเงิน 1,961.41 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานท้องถิ่นประมาณ 138 ล้านบาท นอกจากนี้ กระทรวง คมนาคม โดยส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ ในสังกัด ได้จัดกิจกรรมเพื่อสร้างงานอาชีพและให้เกิดการ จ้างแรงงานและรายได้ให้แก่ประชาชน อีกจำนวน 7 กิจกรรม เช่น การจัดฝึกอบรม เรื่อง การขนส่งและ จราจรอย่างยั่งยืนให้แก่เจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่จังหวัดนราธิวาส รวมทั้งการก่อสร้างสนามฟุตบอลที่ตำบล บาเจาะ อำเภอบันนังสตา จังหวัดยะลา และการจัดพื้นที่บริเวณหน้าที่อาคารท่าอากาศยานหาดใหญ่ สำหรับให้ประชาชนจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เป็นต้น |
||||||||||||||||||||||||
3000 | โครงการแหล่งน้ำในไร่นานอกเขตชลประทาน (2547-2551) | กษ | 29/06/2547 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอโครงการแหล่งน้ำใน
ไร่นานอกเขตชลประทาน โดยวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการกักเก็บน้ำไว้ใช้ในพื้นที่ ทำการเกษตร บรรเทาปัญหาภัยแล้ง และเพื่อเพิ่มผลผลิตและรายได้ให้แก่เกษตรกร โดยมีระยะเวลาดำเนิน การ 5 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547-พ.ศ. 2551 พื้นที่ดำเนินการ ในพื้นที่ที่ประสบปัญหาภัยแล้งทุกจังหวัด โดย การขุดสระน้ำในไร่นา ขนาด 1,260 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 450,000 บ่อ งบประมาณดำเนินการ จำนวน 3,285 ล้านบาท จำแนกเป็น ค่าใช้จ่ายภาครัฐ จำนวน 2,160 ล้านบาท (บ่อละ 4,800 บาท) และค่าใช้จ่าย ของเกษตรกร จำนวน 1,125 ล้านบาท (บ่อละ 2,500 บาท) โดยขอรับการสนับสนุนงบประมาณภาครัฐ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การดำเนินโครงการดังกล่าวจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจและความ ต้องการของเกษตรกร เพราะเกษตรกรจะต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งนอกเหนือจากส่วนที่ทางราชการให้การ สนับสนุนด้วย จึงให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลต่าง ๆ ให้เกษตรกรได้มีความรู้ ความ เข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินการโครงการ ฯ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดการฝึกอบรมแนวทางการทำ การเกษตรที่เหมาะสม เช่น การเกษตรแบบเศรษฐกิจพอเพียง เป็นต้น เพื่อให้เกษตรกรที่ผ่านการฝึกอบรม แสดงความจำนงที่จะเข้าร่วมโครงการ ฯ ด้วยความสมัครใจ แล้วนำข้อมูลดังกล่าวมาจัดทำแผนการดำเนิน การและเสนอขอสนับสนุนงบประมาณค่าใช้จ่ายของโครงการ ฯ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับข้อเท็จจริงต่อไป |
.....