ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 16 จากทั้งหมด 59 หน้า แสดงรายการที่ 301 - 320 จากข้อมูลทั้งหมด 1166 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
301 | ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และการสมัครเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO Copyright Treaty) | พณ | 16/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาว่าด้วยลิขสิทธิ์ขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก และให้ส่งสนธิสัญญาฯ ให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๗๘ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยต่อไป โดยสนธิสัญญาฯ มีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองสิทธิแก่ผู้สร้างสรรค์ในการนำงานลิขสิทธิ์ออกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ และกำหนดให้คุ้มครองงานภาพถ่ายตลอดอายุผู้สร้างสรรค์และต่อไปอีก ๕๐ ปี นับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์การคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี และการคุ้มครองข้อมูลบริหารสิทธิที่อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๒. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองมาตรการทางเทคโนโลยี ปรับปรุงบทบัญญัติเกี่ยวกับข้อจำกัดความรับผิดของผู้ให้บริการ และสร้างกลไกความร่วมมือระหว่างผู้ให้บริการและเจ้าของลิขสิทธิ์ในการส่งเสริมการค้าที่เป็นธรรมบนสื่ออินเทอร์เน็ต เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางสากลและสนธิสัญญาขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานอัยการสูงสุดที่เห็นควรปรับถ้อยคำในร่างพระราชบัญญัติฯ ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๓. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติฯ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๔. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คณะรักษาความสงบแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้กระทรวงพาณิชย์มีการประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจแก่เจ้าของลิขสิทธิ์ ผู้ประกอบการ และประชาชน รับทราบ และภายหลังการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ กรมทรัพย์สินทางปัญญา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรมีการกำกับดูแลให้มีการดำเนินการตามสนธิสัญญาฯ อย่างจริงจัง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
302 | รายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง มาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทางและการควบคุุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ | ยธ | 10/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานตามมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแข่งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ในทาง และการควบคุมสถานบริการหรือสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการ และปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ซึ่งการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าวส่วนใหญ่สามารถดำเนินการจนบรรลุผล เช่น ทบทวนและปรับปรุงการกำหนดเขตพื้นที่เพื่อตั้งสถานบริการ (Zoning) ครบถ้วนแล้ว ๗๗ จังหวัด และจัดทำโครงการจัดทำระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS) เพื่อพัฒนาระบบการเฝ้าระวังการจำหน่ายสุราหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในพื้นที่โซนนิ่งบริเวณใกล้เคียงสถานศึกษา และการกระทำผิดกฎหมายตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ ๒๒/๒๕๕๘ เป็นต้น สำหรับปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ ได้แก่ ปัญหาอุปสรรคในการส่งต่อข้อมูลจากตำรวจมายังกรมกิจการเด็กและเยาวชน (บ้านพักเด็กและครอบครัว) ในกรณีที่มีการจับกุมเด็กและเยาวชนที่มีพฤติกรรมรวมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง และกรณีเด็กประพฤติตนไม่สมควรเข้าไปใช้บริการในสถานบริการหรือสถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายกับสถานบริการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาอุปสรรค ได้แก่ (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีอำนาจหน้าที่หรือที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. ๒๕๔๖ เข้ามาช่วยในการติดตามเยี่ยมบ้านเด็กและเยาวชน และ (๒) ให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) จัดทำฐานข้อมูลกลางของเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงที่มีพฤติกรรมกลุ่มหรือมั่วสุมในลักษณะหรือมีพฤติการณ์ที่น่าจะนำไปสู่การแข่งรถในทาง หรือประพฤติตนไม่สมควร หรือเป็นแกนนำในการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ๒. ให้กระทรวงยุติธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแนวทางการดำเนินการเข้าร่วมกิจกรรมในแต่ละประเภทพื้นที่เชิงบวกควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งควรกำหนดแนวทางและระยะเวลาในการส่งต่อข้อมูลให้กรมกิจการเด็กและเยาวชน เพื่อดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลเด็กและเยาวชนกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่สุ่มเสี่ยง ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อส่งเสริมและสร้างภาพลักษณ์ของสังคมไทยให้เป็นสังคมที่มีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง เช่น การปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนมีจิตใจโอบอ้อมอารี ให้ความช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน การจัดตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองในสายทาง/บริเวณที่เป็นจุดล่อแหลมหรือจุดเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุและอาชญากรรมขึ้น การตรวจค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีความเสี่ยงในการกระทำผิดกฎหมายอย่างเหมาะสม เพื่อเป็นการป้องปรามการกระทำผิดและสร้างความเชื่อมั่นในด้านการรักษาความปลอดภัยให้แก่ประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
303 | ขออนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทยบริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ - คลองตัน | วธ | 02/10/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงวัฒนธรรม (กรมส่งเสริมวัฒนธรรม) เพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าเช่าที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) บริเวณแนวทางรถไฟสายบางซื่อ-คลองตัน ภายในกรอบวงเงิน ๒๘,๑๙๘,๔๓๔ บาท และให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้คงอัตราค่าเช่าในอัตราเดิมก่อนที่ รฟท. จะมีหนังสือแจ้งยืนยันค่าเช่าที่ดินบริเวณดังกล่าวไปยังกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการทำสัญญาตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้กระทรวงวัฒนธรรมพิจารณาดำเนินการตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของ รฟท. ในรายละเอียดโดยเคร่งครัด และ รฟท. ควรนำรายได้จากการคิดอัตราค่าเช่าที่ดินมาใช้ในการบริหารกิจการเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระงบประมาณที่รัฐจะต้องอุดหนุนในรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ในการดำเนินการต่อสัญญาเช่าที่ดิน รฟท. ในครั้งต่อไป ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรขอความร่วมมือ รฟท. ในการปรับปรุงอัตราค่าเช่าสำหรับหน่วยงานราชการในลักษณะผ่อนปรนต่ำสุด โดยการปรับปรุงค่าเช่าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕ ของอัตราที่เคยเรียกเก็บอยู่ก่อนหมดอายุสัญญา หรือการพิจารณาให้ต่ออายุสัญญาเช่าระยะยาว (มากกว่า ๓ ปี) เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงในกรณีที่ราคาประเมินมูลค่าที่ดิน ณ ปีที่ต่ออายุสัญญาเพิ่มสูงขึ้นมาก ไปเจรจากับ รฟท. ให้ได้ข้อยุติก่อนดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
304 | การดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 เรื่อง การยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 | นร12 | 25/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบหลักเกณฑ์กลางในการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย เพื่อให้องค์การมหาชนที่จัดตั้งโดยพระราชกฤษฎีกาออกตามความในพระราชบัญญัติองค์การมหาชน พ.ศ. ๒๕๔๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และองค์การมหาชนที่จัดตั้งตามพระราชบัญญัติเฉพาะนำไปใช้เป็นแนวปฏิบัติต่อไป รวมทั้งให้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย และสามารถดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์กลางที่กำหนดไว้ โดยหลักเกณฑ์กลางดังกล่าวมีสาระสำคัญครอบคลุม ๒ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ลักษณะขององค์การมหาชนที่จะถือว่าเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย เช่น กฎหมายจัดตั้งองค์การมหาชนกำหนดให้มีภารกิจ “ดำเนินการวิจัย” เป็นหลัก มีงบประมาณเพื่อดำเนินการวิจัยเป็นหลัก มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรวิจัยเป็นหลัก และจำนวนบุคลากรวิจัยมากกว่าบุคลากรสายงานอื่น และ (๒) แนวทางการบริหารองค์การมหาชนด้านการวิจัย ได้แก่ การกำหนดอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นของผู้อำนวยการองค์การมหาชนที่ยังคงหลักการตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ แนวทางการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษแก่ผู้อำนวยการองค์การมหาชน ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนที่กำหนดว่าหากเกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของแผนการใช้จ่ายเงิน ก็ให้เสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนพิจารณายกเว้นให้เป็นรายกรณี การประเมินผลการปฏิบัติงาน และแนวทางการดำเนินการเพื่อเข้าร่วมเป็นองค์การมหาชนด้านการวิจัย ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น ควรกำหนดตัวชี้วัดด้านการวิจัยที่สามารถวัดผลการปฏิบัติงานด้านการวิจัยที่มีประสิทธิภาพและแสดงถึงความคุ้มค่า รวมทั้งควรเพิ่มตัวชี้วัดระดับของการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. เร่งรัดการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (ที่กำหนดให้สำนักงาน ก.พ.ร. จัดให้มีกลไกในการทบทวนความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนแต่ละแห่งอย่างต่อเนื่อง โดยให้คำนึงถึงภารกิจ รายได้ และเงินทุนสะสมของแต่ละองค์การมหาชน รวมทั้งยึดหลักการที่มิให้มีค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเกินกว่าจำเป็น และไม่เป็นภาระงบประมาณของประเทศ/และนำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชนเพื่อพิจารณาเป็นประจำทุกปีด้วย เพื่อให้การบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์การมหาชนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ) ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความเหมาะสมของสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรขององค์การมหาชนด้านการวิจัยด้วย ๓. ให้คณะกรรมการพิจารณาโครงสร้างหน่วยงานและระบบค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐเร่งรัดการดำเนินการตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๙ เกี่ยวกับการพิจารณาปรับปรุงระบบค่าตอบแทนของบุคลากรภาครัฐในภาพรวมทั้งระบบ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาระบบบริหารทรัพยากรบุคคลภาครัฐให้สามารถดึงดูด รักษา จูงใจผู้มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานได้อย่างเป็นมืออาชีพสอดคล้องตามแผนปฏิรูปประเทศด้านการบริหารราชการแผ่นดิน (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ต่อไป ๔. ให้กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และองค์การมหาชนด้านการวิจัย สถาบันการศึกษา และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมประสานงานและบูรณาการการดำเนินโครงการ/แผนงานด้านการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมในเรื่องต่าง ๆ ร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนและยกระดับการวิจัย พัฒนาและนวัตกรรมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่เกิดความซ้ำซ้อน และตอบสนองต่อเป้าหมายในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศสู่ Thailand 4.0 ต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
305 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | วธ | 04/09/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ โดยปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติในส่วนของฝ่ายเลขานุการ รวมทั้งแก้ไขให้กรมการศาสนาทำหน้าที่สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ แทนสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาที่เห็นควรเพิ่มเติมบทอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๑ (๘) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่ให้อำนาจในการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้เป็นไปตามรูปแบบการร่างกฎหมาย ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับภาระค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ควรให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ที่ได้รับจัดสรรไว้แล้ว ส่วนค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
306 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา | วธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเพื่อเป็นประธานฝ่ายไทยในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์ ณ กรุงเนปยีดอ และเมืองมัณฑะเลย์ ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ รวมทั้งได้ร่วมหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนมา โดยมีประเด็นที่ฝ่ายไทยขอความร่วมมือฝ่ายเมียนมา เช่น เชิญรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนมาเข้าร่วมกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ การเชิญชวนให้กระทรวงศาสนาและวัฒนธรรมเมียนมาจัดกิจกรรมเผยแพร่วัฒนธรรมในต่างประเทศร่วมกัน และการให้คณะนักศึกษาและคณาจารย์ของสองประเทศดำเนินโครงการแลกเปลี่ยนความรู้ด้านดนตรีระหว่างกันให้มากขึ้น เป็นต้น ซึ่งฝ่ายเมียนมาได้ตอบรับและยินดีให้ความร่วมมือตามที่ฝ่ายไทยเสนอ และแจ้งให้ทราบว่าสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทยมีกำหนดจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ ๗๐ ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-เมียนมา โดยจะจัดส่งคณะนักแสดงเมียนมามาแสดงในไทยด้วย นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นพ้องร่วมกันในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมบริเวณพรมแดนไทย-เมียนมา ซึ่งมีระยะทางกว่า ๒,๐๐๐ กิโลเมตร ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
307 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงวัฒนธรรม) (จำนวน 3 ราย 1. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ฯลฯ) | วธ | 28/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน ๓ ราย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการ และสับเปลี่ยนหมุนเวียน ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ดังนี้
๑. นายกิตติพันธ์ พานสุวรรณ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการศาสนา ๒. นายชาย นครชัย ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ๓. นายกฤษฎา คงคะจันทร์ ดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
308 | การนำเสนอพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียน | ทส | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการนำเสนอพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียน เพื่อให้ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อม ในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้การรับรองการขึ้นทะเบียนอุทยานมรดกแห่งอาเซียนต่อไป ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงบประมาณ เช่น ค่าใช้จ่ายที่จะเกิดจากการดำเนินงานให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการ ใช้จ่ายงบประมาณในโอกาสแรก และเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. กรณีเมื่อพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหมู่เกาะลิบง จังหวัดตรัง และพื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับการรับรองให้เป็นพื้นที่อุทยานมรดกแห่งอาเซียนแล้ว ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงมหาดไทยจัดทำแผนการบริหารจัดการพื้นที่ การดูแลรักษาและการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ดังกล่าวให้ชัดเจนและมีประสิทธิภาพ และคงความเป็นมรดกอุทยานแห่งอาเซียนได้อย่างยั่งยืนต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
309 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 21/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านความมั่นคง ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด ใช้การประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดเป็นกลไกหลักในการบูรณาการการทำงานร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นต้น ในการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมและการพัฒนาการท่องเที่ยว รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยของแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ ในจังหวัด ให้เป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ๒. ด้านเศรษฐกิจ ๒.๑ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาความแออัดของผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง รวมทั้งเป็นการเตรียมการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต ตามนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของรัฐบาล จึงให้กระทรวงคมนาคมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งพิจารณาดำเนินการ ดังนี้ ๒.๑.๑ โอนท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยาน ได้แก่ ท่าอากาศยานอุดรธานี ท่าอากาศยานสกลนคร ท่าอากาศยานตาก และท่าอากาศยานชุมพร ไปให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารจัดการ ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการโอนให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว สำหรับท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของกรมท่าอากาศยานที่เหลืออยู่อีก ๒๔ แห่ง ให้กรมท่าอากาศยานเร่งจัดทำแผนการบริหารจัดการท่าอากาศยานแต่ละแห่งให้เหมาะสมและชัดเจนด้วย ๒.๑.๒ เร่งหาข้อสรุปจากผลการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ในการลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานแห่งต่าง ๆ ในภูมิภาค เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ตแห่งที่ ๒ ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ ๒ เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้เดินทางและการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในอนาคต เพื่อให้มีการกระจายตัวของนักท่องเที่ยวออกไปยังท่าอากาศยานต่าง ๆ ในภูมิภาคและลดการกระจุกตัวของจำนวนผู้โดยสาร ณ ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานนานาชาติดอนเมือง โดยในการศึกษาความเหมาะสมและเป็นไปได้ดังกล่าวให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ ให้ชัดเจน ครบถ้วนด้วย เช่น รูปแบบการลงทุน ผู้ลงทุน บทบาทของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และบทบาทของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้รายงานข้อสรุปจากผลการศึกษาดังกล่าวให้นายกรัฐมนตรีทราบโดยด่วนด้วย ๒.๒ เพื่อให้การดำเนินการต่าง ๆ เพื่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมและเศรษฐกิจดิจิทัลและรัฐบาลดิจิทัลตามนโยบาย ๔.๐ เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว จึงให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นหน่วยงานหลักจัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจร่วมกับหน่วยงานและภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นต้น เพื่อทำหน้าที่บูรณาการและขับเคลื่อนการดำเนินงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุผลใน ๒ เรื่องหลักที่สำคัญ คือ (๑) สังคมไร้กระดาษ (paperless) และ (๒) สังคมไร้เงินสด (cashless) ทั้งนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ดังนี้ ๒.๒.๑ ให้กระทรวงมหาดไทยเร่งดำเนินการจัดทำฐานข้อมูลกลาง ซึ่งเชื่อมโยงข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนผ่านเลขประจำตัวประชาชน โดยมีระบบรองรับให้หน่วยงานอื่นสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ข้อมูลได้ เมื่อได้รับความยินยอม (consent) จากเจ้าของข้อมูล และในกรณีที่ต้องการยืนยันตัวตนก็ให้สามารถทำได้ โดยอาศัยข้อมูลทางชีวมิติ (biometrics) เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา เป็นต้น ๒.๒.๒ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดมาตรการจูงใจ เช่น มาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียม เป็นต้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนและผู้ประกอบการซื้อขายสินค้า ชำระเงิน หรือทำธุรกรรมอื่น ๆ ผ่านระบบพร้อมเพย์ (PromptPay) มากยิ่งขึ้น ๒.๓ มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีโครงการต่าง ๆ ภายใต้กองทุนส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงานที่ถูกร้องเรียนและยังไม่สามารถชี้แจงเหตุผลหรือความจำเป็นที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและไม่เกิดการบิดเบือนข้อมูล โดยให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒.๔ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมจัดตั้งคณะทำงานร่วมกับผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีเพื่อติดตามและประเมินผลการดำเนินโครงการเน็ตประชารัฐที่มีข้อร้องเรียนเรื่องคุณภาพของสัญญาณ และการเข้าถึงการใช้งานด้วย และรายงานให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทราบภายใน ๑ เดือน ๒.๕ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวัน ๒๖ กันยายน ๒๕๖๐ ให้ทุกหน่วยงานภาครัฐสำรวจการนำดิจิทัลมาใช้ประโยชน์ในภารกิจของหน่วยงานและภารกิจเพื่อการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเป็นเจ้าภาพในการรวบรวมข้อมูลจากส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับแนวทางการใช้ประโยชน์ Big Data ของทุกหน่วยงานจัดทำเป็นภาพรวมและแผนการขับเคลื่อนและการใช้ประโยชน์ นั้น ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี [สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)] และกระทรวงมหาดไทย เป็นต้น ดำเนินการสำรวจและรวบรวมข้อมูลด้านการเกษตรและการปศุสัตว์ให้ถูกต้อง ครบถ้วน และเป็นปัจจุบัน ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับการทำการเกษตรแปลงใหญ่ การทำเกษตรแบบผสมผสาน การเพาะปลูกพืชหลัก ๖ ประเภท (ข้าว มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน ยางพารา อ้อย และข้าวโพด) โดยข้อมูลเกี่ยวกับพืชหลักดังกล่าวจะต้องมีรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วนด้วย เช่น พื้นที่เพาะปลูก ปริมาณการเพาะปลูก ผลผลิต ปริมาณการบริโภค และรายได้ เป็นต้น เพื่อให้สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ ดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ ประกอบการพิจารณาตัดสินใจในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดนโยบายด้านการเกษตร การบริหารจัดการงบประมาณระหว่างหน่วยงาน การแก้ไขปัญหาของเกษตรกรได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน และรายงานผลการดำเนินการให้นายกรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการประกาศกำหนดให้ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอง วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ เพื่อยกระดับความสำคัญของสถานที่ดังกล่าวที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของสถานที่ดังกล่าวต่อไป ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานรับผิดชอบเพื่อสานต่อการดำเนินโครงการ ๙๑๐๑ ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมี เพื่อการพัฒนาฟื้นฟูอาชีพด้านการเกษตรแก่เกษตรกรผู้ประสบอุทกภัยปี ๒๕๖๐ โดยให้ดำเนินการภายใต้โครงการไทยนิยม ยั่งยืน ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
310 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 14/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ให้กระทรวงพลังงานเร่งรัดการจัดทำแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (Power Development Plan : PDP) ฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณากำหนดสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชนิดต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับหลักการและแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติได้มีมติให้ความเห็นชอบไว้ ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๙ ให้กระทรวงคมนาคมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการขยายการดำเนินการจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ไปยังสายการบินต่าง ๆ รวมทั้งให้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้มีความทันสมัยและน่าสนใจ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยประสานงานกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเร่งดำเนินการส่งเสริมและพัฒนาสินค้า OTOP ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง ราคาเหมาะสม และมีความหลากหลาย สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) กำกับติดตามการดำเนินงานของหน่วยงานและคณะกรรมการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ เป็นต้น ในการพิจารณากำหนดแนวทางการจัดทำภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้พลัดหลงที่วนอุทยานถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ให้มีความเหมาะสมทั้งในรูปแบบที่เป็นสารคดี (Documentary) ละคร (Drama) และภาพเคลื่อนไหว (Animation) โดยให้สามารถสื่อถึงความเป็นไทยในแง่มุมต่าง ๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน เช่น ความสวยงามทางธรรมชาติของประเทศไทย การท่องเที่ยวชุมชน ประเพณี วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชาวไทย อาหารไทย ความสามัคคีและความมีน้ำใจของคนไทย เป็นต้น ๒.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น พิจารณาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการกำหนดมาตรการทางภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการขยะและลดปริมาณขยะทั้งระบบตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง เช่น การลดหย่อนภาษีให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่มีการใช้วัตถุดิบรีไซเคิล เป็นต้น เพื่อแก้ไขปัญหาขยะให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนต่อไป ๒.๓ ให้ทุกส่วนราชการที่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการ/คณะทำงานชุดต่าง ๆ ที่แต่งตั้งขึ้นตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี และปัจจุบันยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่ พิจารณาทบทวนรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับคณะกรรมการ/คณะทำงาน เช่น อำนาจหน้าที่ องค์ประกอบ วาระการดำรงตำแหน่งและการพ้นจากตำแหน่งของประธานและกรรมการ เป็นต้น ให้เหมาะสม สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการแต่งตั้ง รวมทั้งสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน แล้วให้ดำเนินการให้ถูกต้องต่อไปตามแต่กรณี ๒.๔ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น เร่งรัดการดำเนินการซ่อมแซม/ก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนในจังหวัดต่าง ๆ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาอุทกภัยโดยเร็ว ทั้งนี้ ให้พิจารณาจัดจ้างแรงงานในพื้นที่และนักเรียนอาชีวะที่ได้รับการฝึกอบรมเพิ่มทักษะฝีมือแรงงาน รวมทั้งขอความร่วมมือและการสนับสนุนจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
311 | การจัดทำปฏิญญาแสดงเจตจำนงการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี ว่าด้วยปีแห่งวัฒนธรรมไทย-ตุรกี พ.ศ. 2561 | วธ | 07/08/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างปฏิญญาแสดงเจตจำนงการดำเนินความร่วมมือด้านวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี ว่าด้วยปีแห่งวัฒนธรรมไทย-ตุรกี พ.ศ. ๒๕๖๑ (Declaration of Intent on Cooperation between the Ministry of Culture of the Kingdom of Thailand and Ministry of Culture and Tourism of the Republic of Turkey on 2018 Reciprocal Year of Culture) และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทยในร่างปฏิญญาฯ โดยการจัดทำร่างปฏิญญาฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกี รวมทั้งเป็นการส่งเสริมและเสริมสร้างความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยจะมีการลงนามในร่างปฏิญญาฯ ภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ แต่ยังไม่ได้กำหนดวันที่จะลงนาม ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างปฏิญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวัฒนธรรมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาด้วยว่า หากกระทรวงวัฒนธรรมแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐตุรกีประสงค์จะทำข้อตกลงเพื่อดำเนินความร่วมมือสำหรับงาน Reciprocal Year of Culture ไทย-ตุรกี ในปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ตามนัยวรรค ๒ (c) ภายใต้หัวข้อ Implementation ของร่างปฏิญญาฯ ก็อาจส่งร่างข้อตกลงดังกล่าวให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาในโอกาสต่อไป ๓. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจกรรมตามปฏิญญาฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ที่สำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรมได้รับจัดสรรไว้แล้วจากรายการค่าใช้จ่ายในการส่งเสริมภาพลักษณ์ไทยและนำความเป็นไทยสู่สากล จำนวน ๒๑,๗๕๐,๐๐๐ บาท โดยให้เป็นไปตามระเบียบที่เกี่ยวข้อง มีความคุ้มค่าและประหยัด ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
312 | ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่า และกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส และแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ขอบเขตพื้นที่เมืองเก่าแม่ฮ่องสอน เมืองเก่ากาญจนบุรี เมืองเก่ายะลา และเมืองเก่านราธิวาส เพื่อประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า พ.ศ. ๒๕๔๖ พร้อมทั้งกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาและจัดทำรายละเอียดเพื่อดำเนินการต่อไป ๑.๒ แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอู่ทองและเมืองสรรคบุรี เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่นำไปปรับใช้ในการดำเนินงานด้านการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองต่อไป ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมและข้อเสนอแนะของกระทรวงวัฒนธรรม เช่น ควรมีการศึกษาวางแผนจัดระบบการจราจร จัดระเบียบที่จอดรถเพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงพื้นที่เมืองเก่าได้สะดวกมากขึ้น ส่งเสริมการใช้จักรยานในการเดินทางเข้าพื้นที่เมืองเก่าเพื่อลดผลกระทบด้านการจราจรและสิ่งแวดล้อม และควรพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการความเร็วในบริเวณพื้นที่เมืองเก่าเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นเจ้าภาพประสานกับกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่และชุมชนเพื่อนำแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่าไปขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติ เพื่อให้การอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่ามีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ๔. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำข้อมูลรายงานผลการดำเนินงานของเมืองเก่าไปประกอบการพิจารณาทบทวนกรอบแนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และสภาพทางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งให้สอดคล้องกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดแนวทางในการบริหารจัดการพื้นที่ที่ได้มีการประกาศให้เป็นพื้นที่ที่ราษฎรไม่สามารถครอบครองได้ เช่น เขตพื้นที่โบราณสถานเพื่อให้ประชาชนที่เข้าครอบครองหรือทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ดังกล่าวอยู่ก่อนการประกาศฯ สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในบริเวณเขตพื้นที่ดังกล่าวได้โดยไม่ขัดกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องและสอดคล้องกับหลักการตามมาตรฐานสากล รวมถึงให้พิจารณากำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีการบุกรุกในเขตพื้นที่ดังกล่าวด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
313 | ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. 2560-2564 | ทส | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบในหลักการของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๖๔ ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดเป้าหมายในการพัฒนา คือ “การบริหารจัดการทรัพยากรแร่แบบองค์รวมเพื่อสนับสนุนวัตถุดิบให้เป็นฐานการผลิตเพื่อการพัฒนาประเทศ ยกระดับคุณภาพชีวิต เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน” โดยวางแนวนโยบายการบริหารจัดการแร่ในระยะ ๒๐ ปี ไว้ดังนี้ (๑) ประเทศมีความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (๒) การนำแร่มาใช้ประโยชน์ต้องมีดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน (๓) การพัฒนากลไกในการอนุมัติอนุญาตให้มีประสิทธิภาพ โปร่งใส ลดความซ้ำซ้อน การปรับปรุงระบบการจัดสรรผลประโยชน์ให้มีความเป็นธรรม และการเยียวยาปัญหาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตามหลักความรับผิดชอบ และ (๔) การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนเพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จ ๑.๒ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ มีการกำหนดประเด็นยุทธศาสตร์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาให้มีความเชื่อมโยง สอดคล้อง สัมพันธ์ และส่งเสริมกับการปฏิรูปและขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ประกอบด้วย ๔ ยุทธศาสตร์ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ที่ ๑ การจำแนกเขตแหล่งแร่ เพื่อกำหนดพื้นที่แหล่งแร่อุดมสมบูรณ์และพื้นที่แหล่งแร่ เศรษฐกิจ เพื่อให้มีการรักษา ใช้ทรัพยากรแร่อย่างรอบคอบ ใช้ประโยชน์เท่าที่จำเป็นและคุ้มค่าสูงสุด ยุทธศาสตร์ที่ ๒ การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เกิดความมั่นคงของฐานทรัพยากรแร่ในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้มีความมั่นคั่งภายใต้ดุลยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสุขภาพของประชาชน ยุทธศาสตร์ที่ ๓ การพัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตร ระบบหลักเกณฑ์และวิธีการจัดเก็บค่าภาคหลวงแร่ และระบบกำกับ ดูแล ติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลการดำเนินงาน และยุทธศาสตร์ที่ ๔ การเสริมสร้างและส่งเสริมการมีส่วนร่วมระหว่างหน่วยงานของรัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนเกี่ยวกับการบริหารจัดการแร่ของประเทศ โดยทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมทุกขั้นตอน เพื่อให้เกิดการบริหารจัดการแร่อย่างสมดุลและยั่งยืน ๒. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงสาธารณสุข เช่น การกำหนดนโยบายบริหารจัดการแร่ ควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจการค้าและบริการในชุมชนอีกทางหนึ่งด้วย และก่อนยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการสำรวจแร่หรือการทำเหมืองแร่ การพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการออกใบอนุญาตต่าง ๆ มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรแร่ของประเทศเป็นไปอย่างสอดคล้องและสนับสนุนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมทรัพยากรธรณี ในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเร่งรัดการดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้นำความเห็นของคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการกำหนดพื้นที่เพื่อเป็นเขตอุตสาหกรรมสำหรับการทำเหมืองแร่และการจัดทำฐานข้อมูลทรัพยากรแร่ ควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเพื่อพิจารณาว่ามีความจำเป็นที่จะต้องปรับรายละเอียดของยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ หรือไม่ก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการตามขั้นตอนที่เกี่ยวข้องต่อไป นอกจากนี้ แผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ที่เสนอในครั้งนี้ ยังไม่ได้มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่า พื้นที่ใดสามารถใช้ดำเนินการทำเหมืองแร่ได้ พื้นที่ใดควรเป็นพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์ หรือพื้นที่ใดที่เป็นพื้นที่เพื่อการสำรวจ ศึกษา วิจัยสำหรับการทำเหมืองแร่ในอนาคตได้ จึงควรนำประเด็นดังกล่าวเสนอคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ รวมทั้งความเห็นและข้อสังเกตของส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติชุดใหม่เพื่อประกอบการพิจารณาความเหมาะสมในการปรับปรุงยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ฯ และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ฯ ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
314 | การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง | กต | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างเอกสารรวม ๕ ฉบับ ซึ่งจะมีการรับรองโดยที่ประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ในช่วงการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ ๕๑ ระหว่างวันที่ ๒-๓ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมฯ เป็นผู้ร่วมให้การรับรองร่างเอกสาร ประกอบด้วย (๑) ร่างถ้อยแถลงประธานการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๑ (๒) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา ครั้งที่ ๙ (๓) ร่างถ้อยแถลงประธานร่วมการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๘ (๔) ร่างถ้อยแถลงร่วมการประชุมรัฐมนตรีข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ครั้งที่ ๑๑ และ (๕) ร่างถ้อยแถลงร่วมเพื่อสร้างความเข้มแข็งด้านการจัดการและแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านน้ำในลุ่มน้ำโขงตอนล่าง ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างเอกสารฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น การเสนอความริเริ่มในการจัดทำแผนแม่บทกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างประเทศลุ่มน้ำโขงและอินเดีย ควรพิจารณาถึงการสร้างอัตลักษณ์ของกรอบความร่วมมือดังกล่าว รวมถึงโครงการ/แผนงานที่จะบรรจุไว้ในแผนแม่บทดังกล่าว เพื่อสร้างความโดดเด่นและไม่ทับซ้อนกับโครงการที่อยู่ภายใต้แผนแม่บทของกรอบความร่วมมือต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้ว และให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาจุดเน้นและจุดยืนของไทย รวมทั้งผลประโยชน์ที่ไทยจะได้รับภายใต้กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง และกรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับหุ้นส่วนการพัฒนานอกภูมิภาค อาทิ ญี่ปุ่น (กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับญี่ปุ่น) อินเดีย (กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขง-คงคา) สาธารณรัฐเกาหลี (กรอบความร่วมมือลุ่มน้ำโขงกับสาธารณรัฐเกาหลี) และสหรัฐอเมริกา (ข้อริเริ่มลุ่มน้ำโขงตอนล่าง) ตลอดจนบูรณาการสาขาความร่วมมือต่าง ๆ ภายใต้กรอบและแผนงานความร่วมมือที่มีอยู่แล้วทั้งในระดับภูมิภาคและอนุภูมิภาค โดยการประสานและสนับสนุนการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานด้านการต่างประเทศของไทยมีความเป็นเอกภาพ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
315 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 31/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านเศรษฐกิจ ๑.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๖๐ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการให้มีการจัดตั้งตลาดกลางเพื่อเป็นศูนย์กลางการขายส่งสินค้าเกษตรหรือผลิตภัณฑ์ชุมชนที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน ระหว่างผู้ผลิต/เกษตรกรและผู้จำหน่ายสินค้าปลีกในพื้นที่ให้ครบทุกจังหวัดภายในปี ๒๕๖๑ โดยพิจารณากำหนดพื้นที่ที่มีความเหมาะสม และพิจารณานำกลไกประชารัฐมาสนับสนุนการดำเนินการด้วย นั้น เพื่อเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนมากขึ้นและส่งเสริมให้เกิดตลาดประชารัฐอย่างยั่งยืน ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขยายการดำเนินการของตลาดดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงการค้าปลีกและค้าส่งสินค้าเกษตร สินค้าประมง และสินค้าปศุสัตว์ และให้พิจารณาจัดระบบการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ให้เหมาะสม โดยให้พิจารณาแนวทางการเชื่อมโยงตลาดในแต่ละภูมิภาคโดยใช้กลไกประชารัฐด้วย เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนที่มียานพาหนะเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการขนส่งสินค้าไปยังพื้นที่ต่าง ๆ การสนับสนุนให้มีการซื้อขายสินค้าในรูปแบบออนไลน์ เป็นต้น ทั้งนี้ ให้เร่งดำเนินการดังกล่าวข้างต้นให้เกิดผลเป็นรูปธรรมภายใน ๓ เดือน ๑.๒ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๑ และวันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๖๑ ให้กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินมาตรการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้มีการบริโภคน้ำนมข้าวให้มากยิ่งขึ้น และส่งเสริมสินค้าที่แปรรูปมาจากข้าวและให้เป็นผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ที่ไม่สามารถบริโภคผลิตภัณฑ์นมที่มาจากสัตว์ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ศึกษาวิจัยคุณค่าทางโภชนาการของน้ำนมข้าว นั้น ให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการผลิตน้ำนมข้าว โดยเพิ่มสารอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากขึ้นด้วย เช่น โปรตีน แคลเซียม ไอโอดีน เป็นต้น ๒. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๒.๑ ตามที่จะมีการจัดการประกวด Miss Universe 2018 ขึ้นในประเทศไทยในช่วงปลายเดือนธันวาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจะเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์และประชาสัมพันธ์ประเทศไทยได้ในหลากหลายมิติทั้งในด้านการท่องเที่ยว วัฒนธรรม และเศรษฐกิจ นั้น ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความร่วมมือและอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ แก่ผู้จัดงานและผู้เข้าร่วมงานตามความเหมาะสม เช่น การเยี่ยมชม การใช้สถานที่ การอำนวยการจราจรและความปลอดภัย เป็นต้น เพื่อให้การจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและบรรลุวัตถุประสงค์ของการจัดงานด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดให้มีศูนย์รับบริจาคหนังสือและสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ขึ้นที่ศูนย์ดำรงธรรมของทุกจังหวัด และให้นำหนังสือและสิ่งพิมพ์ดังกล่าวไปให้ห้องสมุดประชาชน โรงเรียนต่าง ๆ ในแต่ละพื้นที่ตามความเหมาะสม เพื่อสนับสนุนและเพิ่มโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสอ่านหนังสือดี มีประโยชน์ และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาตนเองผ่านการเรียนรู้ตลอดชีวิตต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
316 | แนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 | กก | 24/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ (อำนาจเจริญ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ และยโสธร) โดยมีแนวทางการพัฒนาที่สำคัญ ได้แก่ (๑) พัฒนาและยกระดับคุณภาพแหล่งท่องเที่ยว สินค้า และบริการ ด้านการท่องเที่ยวให้เกิดความสมดุลและยั่งยืน บนอัตลักษณ์ และความโดดเด่นของกลุ่มจังหวัด (๒) พัฒนาระบบคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน และสิ่งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพในกลุ่มจังหวัด ทั้งทางบก ทางอากาศ ทางน้ำ และทางราง (๓) พัฒนาและยกระดับศักยภาพของบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในพื้นที่ต่อการพัฒนาการท่องเที่ยวภายในกลุ่มจังหวัด (๔) สร้างความสมดุลให้กับการท่องเที่ยวของกลุ่มจังหวัด เน้นการส่งเสริม การเรียนรู้วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน (๕) ส่งเสริมการท่องเที่ยวโดยชุมชน และ (๖) ส่งเสริมและกระชับความร่วมมือการบูรณาการการบริหารจัดการการท่องเที่ยว การยกระดับศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว พัฒนาความเชื่อมโยงการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และการอนุรักษ์ทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวในทุกมิติ ผ่านการขับเคลื่อนตามกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศต่าง ๆ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมมือกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเพื่อดำเนินการขับเคลื่อนแนวทางการพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ๒ ให้เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป รวมทั้งให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงคมนาคม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงวัฒนธรรม และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทาง/มาตรการในการดำเนินการเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านให้เข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่กลุ่มจังหวัดดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นด้วย ๒. ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องศึกษาและกำหนดแนวทางในการดำเนินการ “สร้างภาพจำใหม่” ให้แก่จังหวัดต่าง ๆ โดยให้พิจารณาปรับเรื่องเล่า (story) ที่เกี่ยวข้องของแต่ละจังหวัด และแนวทางการนำเสนอให้มีความทันสมัย น่าสนใจ และสะท้อนให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของชุมชนในพื้นที่ที่ชัดเจน รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวที่มีความพร้อมและมีศักยภาพให้เป็น “การท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟูสุขภาพในชุมชน” เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีความสนใจได้เข้ามาท่องเที่ยวและใช้บริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพิ่มมากขึ้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
317 | มติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 10 พ.ศ. 2560 | สช | 17/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๖๐ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติฯ ซึ่งประกอบด้วย ๔ เรื่อง ได้แก่ (๑) การส่งเสริมให้คนไทยทุกช่วงวัยมีกิจกรรมทางกายเพิ่มขึ้น (๒) การพัฒนาพื้นที่เล่นสร้างเสริมสุขภาวะของเด็กปฐมวัยและวัยประถมศึกษา (๓) ชุมชนเป็นศูนย์กลางในการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด และ (๔) การจัดการขยะมูลฝอยในชุมชนแบบมีส่วนร่วมอย่างยั่งยืน โดยมติฯ ทั้ง ๔ เรื่องดังกล่าวได้ขอให้ทุกภาคส่วนในสังคม ได้แก่ รัฐบาล หน่วยราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงาน องค์กรภาคีต่าง ๆ ทั้งธุรกิจเอกชน องค์กรเอกชน ประชาสังคม องค์กรวิชาชีพ สถาบันวิชาการ และสมาชิกสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ตลอดจนประชาชนทุกภาคส่วนร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งให้มีการติดตามผลการดำเนินการมาเสนอต่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติในคราวต่อ ๆ ไป และเสนอต่อสาธารณะต่อไปด้วย ตามที่รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) ประธานกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ ๒. ให้รับความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น เห็นควรให้หน่วยงานทุกภาคส่วนสนับสนุนมติดังกล่าวเพื่อสานพลังให้เกิดการขับเคลื่อนสู่รูปธรรมและประชาชนมีสุขภาพดีถ้วนหน้าอย่างยั่งยืน และเห็นควรให้สร้างความรู้ความเข้าใจถึงความหมายของกิจกรรมทางกายและพื้นที่เล่นแก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
318 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 10/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการ ดังนี้
๑. ด้านการต่างประเทศ ให้กระทรวงกลาโหมพิจารณาแนวทางการจัดทำความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศกับราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดนในเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายมีความพร้อมและอยู่ในความสนใจร่วมกัน เช่น การปรับปรุงเครื่องยนต์สำหรับการผลิตยุทโธปกรณ์และยานรบ เป็นต้น ทั้งนี้ ในการจัดทำความร่วมมือดังกล่าวให้กระทรวงกลาโหมดำเนินการให้ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ด้านสังคม ๒.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินโครงการอาหารกลางวัน โดยส่งเสริมให้มีการทำการเกษตรชุมชนเพื่อนำผลผลิตมาบริโภคเป็นอาหารกลางวันในโรงเรียนเสริมจากงบประมาณที่รัฐได้จัดสรรให้ด้วย นั้น จากการเดินทางไปตรวจราชการ ณ จังหวัดระยอง พบว่า โรงเรียนวัดเกาะได้มีการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนทำการเกษตรแบบผสมผสานและนำผลผลิตมาประกอบเป็นอาหารกลางวันให้กับนักเรียนและส่งจำหน่ายด้วย ทำให้นักเรียนได้รับประทานอาหารกลางวันที่มีคุณภาพ ถูกหลักโภชนาการ โดยสามารถจัดหาวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารกลางวันเพิ่มเติมจากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรได้อย่างเหมาะสม จึงขอให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแนวทางของโรงเรียนดังกล่าวไปเป็นต้นแบบขยายผลให้โรงเรียน/สถาบันการศึกษาอื่น ๆ ในสังกัดนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป ทั้งนี้ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น เร่งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการทำการเกษตรในลักษณะต่าง ๆ เช่น เกษตรแบบผสมผสาน เกษตรอินทรีย์ Smart Farmer เป็นต้น ให้แพร่หลายมากยิ่งขึ้นด้วย ๒.๒ ให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นต้น ดำเนินการส่งเสริมและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์ สถานที่สำคัญ เกร็ดความรู้ หรือเรื่องราวที่น่าสนใจของแต่ละจังหวัดผ่านสื่อในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งที่ทำเป็นเอกสารและสื่ออิเล็กทรอนิกส์ แล้วให้นำไปเผยแพร่ในแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ให้ทั่วถึง เช่น โรงเรียน/สถาบันการศึกษา วัด ห้องสมุดประชาชน เป็นต้น เพื่อสร้างการรับรู้และปลูกฝังให้ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่นของตน รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการเรียนรู้และการท่องเที่ยวด้วย ทั้งนี้ ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องส่งเสริมให้มีการจัดตั้งห้องสมุดประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ทั่วประเทศให้มากขึ้นเพื่อให้เป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลความรู้สำหรับชุมชนต่อไปด้วย ๓. ด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ๓.๑ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๖๐ และวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๐ เกี่ยวกับการกำหนดมาตรการในการกำจัดขยะมูลฝอยให้สอดคล้องกับแนวทางประชารัฐ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการดำเนินการแก้ไขปัญหาขยะมูลฝอยทั้งระบบให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนโดยเร็ว และให้เร่งจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรในทุกกลุ่มพื้นที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีการรวมกลุ่มเพื่อกำจัดขยะมูลฝอย (Cluster) ทั่วประเทศ (จำนวน ๓๒๔ กลุ่ม) ให้แล้วเสร็จภายใน ๑ เดือน โดยให้พิจารณาขนาดและที่ตั้งให้เหมาะสมกับสภาพของแต่ละพื้นที่ โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๓.๒ ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงกลาโหม กระทรวงคมนาคม เป็นต้น รายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์เรือนักท่องเที่ยวล่มที่จังหวัดภูเก็ตต่อนายกรัฐมนตรี โดยให้บันทึกข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง ชัดเจน ผ่านศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) เป็นประจำทุกวัน เช่น จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวนผู้เสียชีวิต การพิสูจน์สัญชาติ การดูแลให้ความช่วยเหลือเยียวยา สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ประสบเหตุ เป็นต้น ๓.๓ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นต้น ดำเนินการตรวจสอบพื้นที่/สถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติทั่วประเทศ เช่น ถ้ำ น้ำตก เป็นต้น ให้ครบถ้วน และเร่งดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามและมีความปลอดภัย โดยให้กำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยที่ชัดเจนและเผยแพร่ให้นักท่องเที่ยวทราบอย่างทั่วถึงด้วย ๓.๔ ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการในคราวประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ฉัตรชัย สาริกัลยะ) เป็นเจ้าภาพรับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาคูคลองเพื่อเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจ โดยให้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาคัดเลือกคูคลองที่มีศักยภาพที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจได้ นั้น ให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณาดำเนินการพัฒนาคูคลองเพิ่มเติมในทุกจังหวัดอย่างน้อย ๑ คลอง ๑ จังหวัด ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว/พักผ่อนที่สะดวกและสะอาด ให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๖๑ ๓.๕ ให้ทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ความสำคัญ เร่งรัด ขับเคลื่อน และติดตามการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ตามนโยบายรัฐบาลที่อยู่ในความรับผิดชอบของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐนั้น ๆ ให้มีความคืบหน้าและเกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนภายในปี ๒๕๖๑ เช่น (๑) การดำเนินการตามประเด็นปฏิรูปตามรัฐธรรมนูญ เช่น การปฏิรูปการศึกษา การปฏิรูปตำรวจ เป็นต้น (๒) การปฏิรูประบบราชการที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง ปรับย้าย สิทธิประโยชน์ อัตรากำลัง ตลอดจนการจ้างงานในลักษณะชั่วคราว (Ad-hoc) (๓) การบริหารจัดการภัยพิบัติที่ต้องบูรณาการร่วมกันระหว่างทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร กระทรวงมหาดไทย (กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย) และศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (Prime Minister Operation Center : PMOC) โดยให้มีการจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลักด้วย (๔) การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำระยะสั้น (๑-๒ ปี) การจัดที่ดินทำกิน การเพาะปลูกพืช โดยต้องมีการบริหารจัดการที่สอดคล้องกับระบบแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) ด้วย (๕) การบริหารจัดการขยะทั่วประเทศ (๖) การติดตามความคืบหน้าการดำเนินโครงการต่าง ๆ ทั้งที่เป็นโครงการมาจากการลงพื้นที่ตรวจราชการของคณะรัฐมนตรี และโครงการที่ใช้งบประมาณเป็นจำนวนมาก (๗) การพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับส่วนราชการระดับท้องถิ่น รวมทั้งการกำหนดขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ ของท้องถิ่นที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนท้องถิ่นที่จะสามารถดำเนินการได้เองตามความเหมาะสมและที่สมควรกำหนดให้เป็นอำนาจของส่วนกลางในการดำเนินการ (๘) การผลิตและพัฒนาทรัพยากรบุคคลในด้านต่าง ๆ ที่มีประสิทธิภาพให้รองรับและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ เช่น ด้านวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) เป็นต้น (๙) การเตรียมการเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยพิจารณากำหนดแนวทางการจัดให้มีอาชีพเสริมให้แก่ผู้สูงอายุเพื่อให้มีรายได้ในการดำรงชีวิตที่ดีได้ (๑๐) การประเมินผลสัมฤทธิ์ของโครงการต่าง ๆ เช่น วิสาหกิจตั้งต้น (Start up) วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งในเรื่องเงินทุน ความรู้ และเทคโนโลยี (๑๑) การกำกับดูแลหน่วยงาน/องค์กรที่กำกับดูแลระบบสาธารณูปโภคและระบบคมนาคมขนส่งไม่ให้เกิดข้อติดขัด เช่น การเดินรถไฟฟ้าเฉลิมพระเกียรติ ๖ รอบพระชนมพรรษา (รถไฟฟ้า BTS) เป็นต้น และ (๑๒) การแก้ไขปัญหาและพัฒนาระบบสหกรณ์ โดยเฉพาะสหกรณ์การเกษตรให้มีความเข้มแข็งสามารถเป็นศูนย์รวมสินค้าและผลผลิตทางการเกษตรที่มีคุณภาพ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
319 | ผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ | สว | 03/07/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เรื่อง การบังคับใช้กฎหมายคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ กรณีศึกษาการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับรายงานฯ ของคณะกรรมาธิการฯ และมีข้อสังเกตว่า การแก้ไขกฎหมายว่าด้วยโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ควรปรับให้สอดคล้องกับอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นภาคีด้วย เช่น อนุสัญญาว่าด้วยวัตถุทางวัฒนธรรมที่ถูกขโมยหรือส่งออกโดยมิชอบ ค.ศ. ๑๙๙๕ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกวัฒนธรรมใต้น้ำ ค.ศ. ๒๐๐๑ เป็นต้น ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
320 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน | วธ | 27/06/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สาธารณรัฐอิตาลีและราชอาณาจักรสเปน ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ สาธารณรัฐอิตาลี ประกอบด้วย (๑) การเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ณ นครรัฐวาติกัน และได้นำคัมภีร์พระมาลัยอักษรขอม (บาลี-ไทย) ถวายแด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมไทยและพิพิธภัณฑ์วาติกัน โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะส่งเสริมความร่วมมือในการศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และอนุรักษ์โบราณวัตถุและศิลปวัตถุในอนาคตเพื่อให้เป็นแหล่งความรู้ทางวัฒนธรรม และ (๓) การหารือกับผู้แทนหน่วยงานทางด้านวัฒนธรรม ได้แก่ นายกเทศมนตรีเมือง Sermoneta และผู้แทนจากฝ่ายโบราณคดี เทศบาลกรุงโรม โดยได้ร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับการนำองค์ความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะสถาปัตยกรรม การออกแบบผังเมือง และการออกแบบภูมิทัศน์มาใช้ในการบริหารจัดการแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม ๒. ภารกิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ณ ราชอาณาจักรสเปน ประกอบด้วย (๑) การเป็นประธานในพิธีเปิดการแสดงโขนและนิทรรศการโขน ณ โรงละคร Circulo de Bellas Artes ซึ่งได้กล่าวเปิดงานโดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการบูรณาการความร่วมมือระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมกับกระทรวงการต่างประเทศในการดำเนินโครงการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยในต่างประเทศ เส้นทางประเทศในภูมิภาคยุโรปภายใต้รูปแบบ roadshow และ (๒) การหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรสเปนกับผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม และการกีฬาสเปน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นควรให้มีการจัดทำข้อตกลงทางวัฒนธรรมในหัวข้อที่ต้องการแลกเปลี่ยนระหว่างกันเพิ่มเติม เพื่อขยายและเพิ่มพูนความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างสองประเทศให้มากยิ่งขึ้น
|
.....