ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 700 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13981 - 14000 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13981 | เอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ ครั้งที่ 18 | ดศ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบเอกสารที่จะมีการรับรองในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านโทรคมนาคมและเทคโนโลยีสารสนเทศ (ASEAN Telecommunications and Information Technology Ministers Meeting : TELMIN) ครั้งที่ ๑๘ ณ เมืองอูบุด สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว ได้แก่ (๑) ร่างปฏิญญาอูบุด (Ubud Declaration) ว่าด้วยการมุ่งสู่การสร้างระบบนิเวศด้านดิจิทัลในอนาคตเพื่อความมั่นคงของอาเซียน ซึ่งจะครอบคลุมการปรับปรุงกฎระเบียบภายในประเทศสมาชิกอาเซียนให้มีความสอดคล้องและสนับสนุนการรวมตัวด้านดิจิทัลในภูมิภาค เพื่อเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล บริการดิจิทัล เสริมสร้างความร่วมมือและการพัฒนาระหว่างกันผ่านกรอบอาเซียน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงปลอดภัยทางสารสนเทศในอาเซียนให้เพิ่มมากขึ้น และ (๒) ร่างกรอบการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล (Framework on Digital Data Governance) มีวัตถุประสงค์เป็นการกำหนดแนวทาง หลักการ และข้อริเริ่มเพื่อให้ประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถนำไปกำหนดนโยบายและการกำกับดูแลข้อมูลดิจิทัล ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเอกสารดังกล่าวในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้ทุกหน่วยงานทำความเข้าใจและปฏิบัติให้สอดคล้องกับหลักการที่ระบุไว้ในเอกสารดังกล่าวด้วย เพื่อให้การพัฒนาระบบดิจิทัลของประเทศสอดคล้องกับหลักสากล ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร.
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13982 | ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....รวม 2 ฉบับ | มท | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นได้สะดวกและมีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมการใช้สิทธิเข้าชื่อเพื่อให้มีการลงคะแนนเสียงถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเป็นการสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการปกครองส่วนท้องถิ่นให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น รวม ๒ ฉบับ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้พิจารณาในประเด็นตามข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เช่น การกำหนดบทนิยามของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การกำหนดผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเกี่ยวกับการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและผู้มีสิทธิถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น การกำหนดอัตราโทษทางอาญาสำหรับความผิดฐานปลอมลายมือชื่อ การกำหนดขั้นตอนและระยะเวลาให้มีการใช้สิทธิโต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอน นั้น ควรกำหนดให้ผู้ที่ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และควรพิจารณาถึงความสอดคล้องกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. .... ที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาประกอบด้วย เป็นต้น ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น พ.ศ. .... ควรมีการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบถึงการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น และกำหนดหลักประกันว่าผู้พิการทางสายตาจะสามารถรับทราบเนื้อหาในข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มีการเข้าชื่อเสนอแต่ละครั้งด้วย รวมทั้งควรกำหนดแบบฟอร์มเอกสารที่กำหนดรายละเอียดให้ประชาชนกรอกข้อมูลได้โดยง่ายและสะดวก และกำหนดช่องทางในการปิดประกาศรายชื่อผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นเพิ่มเติม นอกจากนี้ การพิจารณาร่างข้อบัญญัติท้องถิ่นของสภาท้องถิ่น ควรมีการกำหนดให้ผู้แทนผู้เข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่นมีสิทธิเข้าร่วมในการประชุมคณะกรรมการสภาท้องถิ่นในกรณีพิจารณาหลักการของข้อบัญญัติท้องถิ่น และควรมีหลักประกันความต่อเนื่องในการพิจารณาข้อบัญญัติท้องถิ่นที่มาจากการเข้าชื่อเสนอของประชาชน ส่วนร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ควรให้ผู้ถูกเข้าชื่อเพื่อลงคะแนนเสียงถอดถอนในการทำคำชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อแก้ข้อกล่าวหาได้อย่างเต็มที่ และการถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นออกจากตำแหน่ง ควรคำนึงถึงจำนวนคะแนนเสียงที่ใช้ในการถอดถอนที่ต้องมาจากเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนในท้องที่ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13983 | การให้สัตยาบันอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ 188 ว่าด้วยการทำงานในภาคการประมง พ.ศ. 2550 (ค.ศ. 2007) [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนออนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๘๘ ว่าด้วยการทำงานภาคการประมง พ.ศ. ๒๕๕๐ (ค.ศ. ๒๐๐๗) ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน ทั้งนี้ ให้ยกเลิกชั้นความลับเรื่องดังกล่าวนับแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13984 | การตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผน/โครงการของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ | นร | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่า เพื่อให้แผนงาน/โครงการต่าง ๆ ของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐสามารถดำเนินการได้อย่างบรรลุผล เป็นไปตามเป้าหมายและกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ รวมทั้งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้วเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่ต้องการให้เกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณของประเทศยิ่งขึ้น จึงมีมติให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐทุกแห่งถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๖๐ (เรื่อง การพิจารณาและตรวจสอบความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการของส่วนราชการ และการตรวจสอบข้อมูลผู้ละทิ้งงานราชการ) อย่างเคร่งครัดว่า ในขั้นการริเริ่มแผนงาน/โครงการ ให้ส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐเจ้าของแผนงาน/โครงการพิจารณาความจำเป็น เหมาะสม คุ้มค่า ตลอดจนตรวจสอบและจัดเตรียมความพร้อมในการดำเนินการตามแผนงาน/โครงการนั้น ๆ อย่างละเอียดรอบคอบ ให้ถูกต้องครบถ้วนในทุกมิติก่อน เช่น ความพร้อมทางกายภาพของที่ตั้งโครงการ สภาพภูมิศาสตร์ กรรมสิทธิ์ครอบครอง โครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง แบบรูปรายการที่เหมาะสม เป็นต้น ทั้งนี้ ให้พิจารณาให้ครอบคลุมถึงความพร้อมและความถูกต้อง ในกรณีที่ต้องมีการขอใช้ประโยชน์ในที่ดิน/พื้นที่ป่า รวมทั้งในกรณีที่ต้องมีการจัดหาพัสดุก็ให้มีการตรวจสอบ และพิจารณากำหนดรายละเอียดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไว้ให้ชัดเจนล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมสำหรับการดำเนินการตามกระบวนการจัดหาพัสดุดังกล่าวได้อย่างถูกต้องรวดเร็ว และไม่เป็นอุปสรรค ทำให้แผนงาน/โครงการดังกล่าวเกิดความชะงักล่าช้า
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13985 | ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี | นร | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ในคราวประชุมคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการด้านการบริหารราชการแผ่นดินและอื่น ๆ ดังนี้ เพื่อให้การทำหน้าที่ประธานอาเซียนและการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ของประเทศไทยเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะของประเทศเจ้าบ้านที่ต้องให้การต้อนรับผู้นำประเทศ เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องที่จะเดินทางมาเข้าร่วมการประชุม ตลอดจนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่จะเดินทางมายังประเทศไทยให้ได้รับความสะดวก ปลอดภัย เกิดความประทับใจในสภาพบ้านเมือง ประเพณีวัฒนธรรม อันเป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย จึงให้ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐดูแลปรับปรุงอาคารสถานที่ในความรับผิดชอบ ตลอดจนช่วยดูแลพื้นที่สาธารณะ/ถนนในบริเวณใกล้เคียงให้เป็นระเบียบ เรียบร้อย รวมทั้งประดับธงชาติและตราสัญลักษณ์อาเซียน ณ อาคารสถานที่ดังกล่าวให้เหมาะสมสวยงามด้วย ทั้งนี้ ขอความร่วมมือให้ประชาชนและเอกชนในทุกภาคส่วนร่วมดำเนินการในทำนองเดียวกันกับภาคราชการดังกล่าวข้างต้นด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13986 | ร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน 2561)] | นร | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ซึ่งให้เสนอร่างพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อบรรจุระเบียบวาระเป็นเรื่องด่วน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13987 | รายงานผลการพิจารณาแผนระดับที่ 3 (ณ สิ้นเดือนกันยายน 2561) | นร11 | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาแผนระดับที่ ๒ (ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๑)ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ณ สิ้นเดือนกันยายน ๒๕๖๒ มีหน่วยงานส่งแผนระดับที่ ๓ รวมทั้งสิ้นจำนวน ๔๔ แผน รวม ๑๙ กระทรวง/หน่วยงาน โดยเป็นแผนที่ผ่านกระบวนการพิจารณาและรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบแล้ว จำนวน ๑๒ แผน และเป็นแผนที่ผ่านการพิจารณาแล้วและรอเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ จำนวน ๔ แผน ได้แก่ (๑) แผนปฏิบัติการด้านการรองรับการดำเนินการและลดผลกระทบจากการลงนามข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับรายงานการศึกษาชีวสมมูลของผลิตภัณฑ์ยาสามัญของอาเซียน ระยะที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓) กระทรวงสาธารณสุข (๒) แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดนครราชสีมา (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๓) กระทรวงสาธารณสุข (๓) แผนประสานสอดคล้องการส่งเสริมและขับเคลื่อนนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก กระทรวงแรงงาน และ (๔) ร่างแผนพัฒนาสุขภาพจิตแห่งชาติ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) กระทรวงสาธารณสุข ๒. คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้มีมติในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ เห็นชอบให้ดำเนินการจัดส่งแผนระดับที่ ๓ ให้คณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการจัดเตรียมการจัดทำร่างแผนแม่บทยุทธศาสตร์ชาติ และเห็นชอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติมีกรอบระยะเวลาการพิจารณาแผนระดับที่ ๓ ของหน่วยงานจนกว่าการดำเนินการเตรียมการจัดทำร่างแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติจะดำเนินการแล้วเสร็จ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13988 | รายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการ การให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานประชารัฐสวัสดิการการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และปัญหาอุปสรรค ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การผลิตและการแจกจ่ายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้แก่ผู้มีสิทธิ ตั้งแต่วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ มีผู้มีสิทธิมารับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๑๑.๑๐ ล้านราย (ร้อยละ ๙๗) ยังคงมีบัตรฯ ที่ผู้มีสิทธิไม่มารับและคงค้าง ๐.๓๗ ล้านใบ ซี่งกรมบัญชีกลางจะระงับสิทธิในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐทั้งหมด เนื่องจากสิ้นสุดระยะเวลาเก็บรักษาเพื่อรอผู้มีสิทธิมารับภายในระยะเวลา ๑ ปีแล้ว ๒. การวางเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Capture : EDC) ได้วางเครื่อง EDC ที่จุดจำหน่ายสินค้าและบริการของหน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐแล้ว ๓๔,๘๗๖ เครื่อง แบ่งเป็นร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านค้าประชารัฐ ๓๓,๒๗๘ เครื่อง ร้านก๊าซหุงต้ม ๙๔๓ เครื่อง รถ บ.ข.ส. ๑๒๑ เครื่อง และรถไฟ ๕๓๔ เครื่อง รวมทั้งได้พัฒนา Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” เพื่อรับชำระราคาสินค้าอุปโภคบริโภคผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ร้านธงฟ้าประชารัฐและร้านอื่น ๆ โดย ณ วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๑ ได้อนุมัติร้านธงฟ้าประชารัฐแล้ว ๑๓,๐๘๐ ร้านค้า และมียอดการใช้จ่ายผ่านบัตร Mobile Application ๑๔๖.๓๔ ล้านบาท ๓. การจ่ายเงินให้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐-๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ ได้จ่ายเงินไห้แก่หน่วยงานหรือร้านค้าที่รับบัตรฯ แล้ว ๔๒.๕๐๙.๘๒ ล้านบาท ๔. การจ่ายเงินให้แก่ผู้สูงอายุที่ได้รับสิทธิในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ ปี ๒๕๖๑ กรมบัญชีกลางได้โอนเงินจากกองทุนผู้สูงอายุเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิ โดยผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถกดเงินจากกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ผ่านตู้ ATM ของธนาคารกรุงไทย โดยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม-กันยายน ๒๕๖๑ ได้โอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ให้แก่ผู้มีสิทธิแล้ว ๑,๐๑๑.๓๐ ล้านบาท ๕. ปัญหาและอุปสรรคและแนวทางแก้ไข ในการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่า ร้านค้าที่รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐมีจำนวนน้อยและร้านค้าบางแห่งยังไม่ได้รับเครื่อง EDC จึงได้เร่งแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มจำนวนร้านค้าที่วางเครื่อง EDC และพัฒนา Mobile Application “ถุงเงินประชารัฐ” เพื่อเป็นเครื่องมือในการชำระเงินเพิ่มเติมอีกช่องทางหนึ่ง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13989 | รายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับ และส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานงบการเงินสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน ศปภ.) ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบแล้วเห็นว่า ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน โดยสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงินเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายบุคลากร และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับค่าเบี้ยประกันภัยบุคคล พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ ซึ่งสำนักงาน ศปภ. ได้ดำเนินการตามประเด็นข้อสังเกตและข้อเสนอแนะของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว สำหรับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายบุคลากรส่วนที่เป็นค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต สำนักงาน ศปภ. ได้หยุดการจ่ายค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตเพื่อเป็นบำเหน็จเพิ่มเติมให้กับพนักงานที่เกษียณอายุที่มาจากกรมการประกันภัยและกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่ปี ๒๕๕๔ เป็นต้นมาแล้ว เนื่องจากเห็นว่า เรื่องดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติในประเด็นที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้แสดงความคิดเห็นอย่างมีเงื่อนไขในหมายเหตุประกอบงบการเงิน ประกอบกับได้มีพนักงานที่เกษียณอายุและมีสิทธิได้รับค่าตอบแทนตามต้นทุนในอดีตตามข้อบังคับ คปภ. ว่าด้วยค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีต พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ยื่นฟ้องสำนักงาน ศปภ. เพื่อเรียกเงินค่าตอบแทนตามต้นทุนการบริการในอดีตตามข้อบังคับดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยผิดนัดตามกฎหมาย จำนวน ๑๕ ราย ซี่งปัจจุบันคดีความอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13990 | งบการเงินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | ยธ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้ตรวจสอบรับรองงบการเงินของกองทุนป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเรียบร้อยแล้ว โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13991 | ผลการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ 1 | คค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ ระหว่างวันที่ ๑๖-๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี โดยมีผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงคมนาคม (นายธีระพงษ์ รอดประเสริฐ) ทำหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทย ซึ่งการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นภายใต้หัวข้อ “การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการใช้ประโยชน์ที่ดินร่วมกันของประชาชน” และ “เมืองอัจฉริยะและโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืน” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือที่เข้มแข็งในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และยกระดับคุณภาพและมาตรฐานของโครงสร้างพื้นฐานเพื่อมุ่งสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และจะเป็นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ รวมทั้งส่งเสริมองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนผ่านโครงการความร่วมมือ จำนวน ๒๐ โครงการ โดยที่ประชุมฯ ได้พิจารณาและให้การรับรองร่างปฏิญญาการประชุมรัฐมนตรีด้านพื้นฐาน อาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๑ โดยมีการปรับเรียงลำดับย่อหน้าของร่างปฏิญญาฯ ให้มีความเหมาะสมโดยไม่กระทบต่อสาระสำคัญและเพิ่มข้อความในย่อหน้าที่ ๔ ว่า “รวมถึงผ่านเครือข่ายเมืองอัจริยะของอาเซียน” เพื่อเน้นความสำคัญของเมืองอัจฉริยะ ซี่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์อาเซียนเพื่ออาเซียนที่มีความเข้มแข็งและนวัตกรรมที่ผู้นำอาเซียนได้ให้การรับรองในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ ๓๒ นอกจากนี้ รัฐมนตรีด้านโครงสร้างพื้นฐานและผู้แทนของประเทศสมาชิกอาเซียนได้กล่าวถ้อยแถลงต่อที่ประชุมฯ โดยสามารถสรุปประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ (๑) การให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบขนส่งตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ/แผนแม่บทของแต่ละประเทศ (๒) การให้ความสำคัญกับการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ และ (๓) การแสวงหาความร่วมมือกับสาธารณรัฐเกาหลีในการพัฒนาโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน ระบบขนส่ง และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13992 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ครั้งที่ ๑/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งได้มีผลการพิจารณาและมติที่สำคัญ เช่น การสรรหาและผลการคัดเลือกผู้ลงทุนในที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก กาญจนบุรี และนครพนม การปรับอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมการเช่าที่ราชพัสดุในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษหนองคายและมุกดาหาร และแนวทางการดำเนินงานเพื่อให้ได้มาซึ่งที่ดินสำหรับการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษนราธิวาส และรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษชายแดน เช่น การดำเนินงานด้านสิทธิประโยชน์ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและด่านศุลกากร การวางและจัดทำผังเมืองรวมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเสนอ ๒. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมฯ โดยให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13993 | ร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... | ศธ | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งในสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการให้แก่บุคคลอื่น พ.ศ. ๒๕๔๘ เพื่อให้การบริหารราชการมีความคล่องตัว เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และสอดคล้องกับโครงสร้างของการบริหารราชการในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับการมอบอำนาจของผู้ดำรงตำแหน่งศึกษาธิการภาคและศึกษาธิการจังหวัดไว้ในร่างระเบียบฉบับนี้ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวมิใช่ตำแหน่งตามมาตรา ๔๕ (๑) ถึง (๖) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ ที่เป็นบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบฉบับนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงอาจมีประเด็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับบทอาศัยอำนาจในการออกระเบียบ ซึ่งเป็นประเด็นที่ควรจะได้รับการพิจารณาเพื่อให้เกิดความชัดเจน ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13994 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ (ร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. ....) | รง | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน และค้ำยัน พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับงานก่อสร้าง พ.ศ. .... รวม ๒ ฉบับ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับนั่งร้าน ค้ำยัน และงานก่อสร้าง เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13995 | กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ เกี่ยวกับเรื่อง กองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ในหลักการระบบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสากิจยังคงมีความเหมาะสม โดยให้รัฐวิสาหกิจเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ของคณะกรรมการกองทุนฯ และบริษัทจัดการกองทุนฯ รวมทั้งมีการกำหนดนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย การส่งเสริมและให้ความรู้ทางการเงินและการลงทุนแก่พนักงาน ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนสำรองเลี้ยงชีพของรัฐวิสาหกิจ ๒. กรณีของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ได้เสนอเรื่อง การประกันความเสี่ยงเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพพนักงาน ธ.ก.ส. ซึ่งจดทะเบียนแล้ว ให้ ธ.ก.ส. ดำเนินการให้สอดคล้องกับแนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการกองทุนฯ ตามความเห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหากองทุนฯ ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13996 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ) | สช | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเป็นหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เพื่อให้พนักงานและลูกจ้างของสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13997 | ผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ 9 | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (Joint Commission for Bilateral Cooperation : JC) ไทย-อินโดนีเซีย ครั้งที่ ๙ ระหว่างวันที่ ๕-๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองย็อกยาการ์ตา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอินโดนีเซียเป็นประธานร่วมการประชุมฯ ซึ่งสาระสำคัญของการประชุมฯ เช่น (๑) ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้จัดตั้งกลไกทวิภาคีระหว่างสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติกับกระทรวงประสานงานกิจการการเมือง กฎหมายและความมั่นคงอินโดนีเซีย รวมถึงเร่งรัดการจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติของทั้งสองฝ่าย (๒) ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชนเพื่อขับเคลื่อนความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการรื้อฟื้นสภาธุรกิจไทย-อินโดนีเซีย (Thailand-Indonesia Business Council : TIBC) และส่งเสริมจุดหมายการท่องเที่ยวร่วมกันตามแนวคิด Two Countries, One Destination และ (๓) ความร่วมมือด้านประมง ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบที่จะเร่งรัดการจัดทำแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยความสมัครใจ เพื่อต่อต้านการทำประมงที่ผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (IUU) ซึ่งฝ่ายอินโดนีเซียจะเร่งรัดกระบวนการออกใบอนุญาตให้เรือบรรทุกสัตว์น้ำชักธงไทย ๔ ลำ ที่ติดค้างอยู่ในอินโดนีเซียตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ เดินทางกลับไทย เป็นต้น และมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมฯ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นว่า ประเด็นการแบ่งเขตเศรษฐกิจจำเพาะเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อนและต้องระมัดระวังในการดำเนินการ เพื่อไม่ให้กระทบสิทธิอธิปไตยทางทะเลและผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งควรเร่งรัดการดำเนินความร่วมมือเพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวระหว่างไทย-อินโดนีเซีย โดยเฉพาะการผลักดันความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวภายใต้แนวคิด Two Countries, One Destination เพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและการพัฒนาการท่องเที่ยวสู่การเป็นจุดหมายท่องเที่ยวเดียวกัน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13998 | ผลการเยือนสาธารณรัฐเปรูและสาธารณรัฐปานามาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล) | กต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการเยือนสาธารณรัฐเปรูและสาธารณรัฐปานามาของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ (นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล) เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อความร่วมมือทวิภาคีระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐเปรู หรือ Joint Commission (JC) ไทย-เปรู ครั้งที่ ๕ เมื่อวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงลิมา และการประชุมหารือทวิภาคี หรือ Bilateral Consultations ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ ไทย-ปานามา ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงปานามา และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องติดตามผลการประชุมดังกล่าวเพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม Joint Commission ไทย-เปรู ครั้งที่ ๕ มีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ฝ่ายไทยได้เชิญชวนให้เอกชนเปรูลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (๒) ความร่วมมือด้านการเกษตร (ประเด็นการเจรจาจัดทำความตกลงและบันทึกความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับความร่วมมือด้านการเกษตร) ฝ่ายไทยประสงค์ให้การเจรจาจัดทำบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านหม่อมไหมแล้วเสร็จโดยเร็ว และ (๓) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิกที่ครอบคลุมและก้าวหน้า (Comprehensive and Progressive Agreement for Trans-Pacific Partnership : CPTPP) ฝ่ายไทยย้ำความมุ่งมั่นในการสมัครเข้าเป็นสมาชิก CPTPP เป็นต้น ๒. การประชุม Bilateral Consultations ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศ ไทย-ปานามา ครั้งที่ ๑ มีประเด็นสำคัญ เช่น (๑) ความร่วมมือเกี่ยวกับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษและโลจิสติกส์ ฝ่ายปานามาแจ้งความประสงค์ที่จะนำคณะเยี่ยมชมโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) ในขณะที่ฝ่ายไทยแสดงความสนใจที่จะเรียนรู้จากประสบการณ์ของฝ่ายปานามาในการบริหารคลองปานามาและการพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (๒) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และความร่วมมือทางวิชาการ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะริเริ่มความร่วมมือระหว่างสถาบันการทูตของทั้งสองประเทศเพื่อเพิ่มพูนองค์ความรู้และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร เป็นต้น
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13999 | ผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค ครั้งที่ 25 และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง | กค | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปค (APEC Finance Ministers’ Meeting : APEC FMM) ครั้งที่ ๒๕ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๕-๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ กรุงพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี โดยมีนายวโรทัย โกศลพิศิษฐ์กุล ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการคลัง สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เป็นผู้แทนเข้าร่วมการประชุมฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ โดยแนวคิดหลักของการประชุมฯ คือ การสร้างโอกาสอย่างครอบคลุมเพื่อเปิดรับอนาคตทางดิจิทัล (Hamessing Inclusive Oppertunities, Embracing the Digital Future) โดยมีผลการหารือที่สำคัญ ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจโลกและภูมิภาค การเร่งรัดการลงทุนและระดมทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสนับสนุนการเข้าถึงบริการทางการเงิน การผลักดันความร่วมมือด้านภาษีและความโปร่งใส การดำเนินการตามแผนปฏิบัติการเซบู และการบริหารการเงินและการประกันภัยเพื่อรองรับความเสี่ยงจากภัยพิบัติ นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเอเปคได้ร่วมกันออกแถลงการณ์ร่วม (Joint Ministerial Statement) ของการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๕ สำหรับการประชุม APEC FMM ครั้งที่ ๒๖ จะจัดขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๖๒ ณ สาธารณรัฐชิลี ๒. การประชุม APEC Finance Ministers’ Retreat ได้มีการหารือถึงกลยุทธ์ทางการคลังในยุคดิจิทัล โดยปัจจุบันสมาชิกเอเปคให้ความสำคัญกับการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน อาทิ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล การสนับสนุนให้ภาครัฐจ่ายเงินให้แก่ประชาชนโดยตรงผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ การส่งเสริมการให้ความรู้ทางการเงิน โดยสนับสนุนให้ดำเนินนโยบายเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสทางการคลังผ่านการจัดทำกลยุทธ์ทางการคลังระยะปานกลาง และการรักษาระดับหนี้สาธารณะภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลัง ๓. การประชุม ABAC’s Executive Dialogues with APEC Finance Ministers ได้มีการหารือในประเด็นเกี่ยวกับการลงทุนทางในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) ซึ่งที่ประชุมสนับสนุนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภูมิภาคเอเปคผ่านการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) พร้อมทั้งพัฒนากฎหมายและกฎระเบียบต่าง ๆ รวมทั้งยังได้เน้นย้ำถึงบทบาทของ Fintech ในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินอย่างทั่วถึงและมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น โดยจำเป็นต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
14000 | ขอให้คณะรัฐมนตรีมีมติเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา | ลต | 20/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ตามที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเสนอ ดังนี้
๑. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้าง รวมทั้งขอความร่วมมือกลุ่มอาสาสมัครหรือกลุ่มเครือข่ายต่าง ๆ ในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ ให้ความร่วมมือ ช่วยเหลือ สนับสนุนในการดำเนินการเลือกสมาชิกวุฒิสภา และดำเนินการอื่นใดที่จำเป็น รวมทั้งการจัดบุคลากรทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภา เพื่อให้เกิดความถูกต้อง โปร่งใส เมื่อเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบโดยตรงหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งร้องขอโดยให้ถือเป็นงานในหน้าที่ของข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างนั้น ๆ ด้วย ๒. ให้ข้าราชการ พนักงาน เจ้าหน้าที่ และลูกจ้างในสังกัดทุกประเภท และทุกระดับ วางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดในการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ๓. ให้การสนับสนุนสถานที่เพื่อใช้เป็นสถานที่ในการจัดการเลือกสมาชิกวุฒิสภา ๔. ให้การสนับสนุนการดำเนินงานในการให้ความรู้ ความเข้าใจ แก่ประชาชนเกี่ยวกับการเลือกสมาชิกวุฒิสภาผ่านทางสื่อต่าง ๆ ของรัฐ ทั้งสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หอกระจายข่าว และเสียงตามสาย
|
.....