ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 699 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13961 - 13980 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13961 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ซึ่งสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินได้รับรองและได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13962 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2560 | นร12 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยเป็นการรายงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการที่สำคัญ ในรอบปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ ประกอบด้วย รายงานผลการพัฒนาระบบราชการที่สำคัญในด้านต่าง ๆ เพื่อนำนโยบายของรัฐไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพ และตอบสนองต่อความต้องของประชาชน และรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. รวมถึงข้อมูลพื้นฐานของสำนักงาน ก.พ.ร. และผลการดำเนินงานที่สำคัญ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ และให้เสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของสำนักงาน ก.พ. และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรเร่งส่งเสริมและสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐนำนโยบายของรัฐไปสู่การปฏิบัติให้เกิดประสิทธิผลอย่างมีประสิทธิภาพและตอบสนองความต้องการของประชาชน ควรส่งเสริมให้ส่วนราชการดำเนินการพัฒนาปรับปรุงเพื่อยกระดับความผูกพันของบุคลากรภาครัฐต่อหน่วยงานให้ดียิ่งขึ้น ควรเร่งดำเนินการให้มีการทบทวนกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้มีความยืดหยุ่นเหมาะสมและสอดคล้องกับบริบทการพัฒนาประเทศด้วย และควรผลักดัน ขับเคลื่อน และส่งเสริมการปฏิบัติงานของส่วนราชการให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี และแผนปฏิรูปประเทศด้านต่าง ๆ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการพัฒนาระบบราชการไทยให้ทุกส่วนราชการทราบตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13963 | ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. .... | พศ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีกฎหมายว่าด้วยการศึกษาพระปริยัติธรรม โดยกำหนดให้การบริหารจัดการการศึกษาพระปริยัติธรรมได้รับการอุดหนุนงบประมาณจากรัฐตามความเหมาะสมและจำเป็น กำหนดมาตรฐานการศึกษาพระปริยัติธรรมและการประกันคุณภาพการศึกษา อนุมัติหลักสูตรการศึกษาพระปริยัติธรรม กำหนดการเทียบระดับการศึกษาพระปริยัติธรรมและกำหนดวิทยฐานะของผู้สำเร็จการศึกษาพระปริยัติธรรม ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการที่เห็นควรกำหนดให้กระทรวงศึกษาธิการมีบทบาทในการส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาทางวิชาการด้านหลักสูตร ด้านกระบวนการเรียนรู้ สื่อ นวัตกรรม และด้านประเมินผลการศึกษาให้กับสถานศึกษาที่จัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษา ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ต้องออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเสนอ ๓. ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติรับความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีที่เห็นว่า หากร่างพระราชบัญญัติการศึกษาพระปริยัติธรรม พ.ศ. .... มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมาย รัฐจะจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นในระยะ ๕ ปี จำนวน ๔,๐๐๐ ล้านบาท โดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากเดิมปีละ ๘๐๐ ล้านบาท ซึ่งงบประมาณดังกล่าวจะมีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ด้วยเหตุนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพ และความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ ทั้งนี้ ตามบทบัญญัติมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. ๒๕๖๑ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13964 | ผลการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการปฏิรูปโครงสร้าง และการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ 2/2561 | นร11 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมเจ้าหน้าที่ระดับสูงด้านการปฏิรูปโครงสร้าง และการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ โดยรองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (นางปัทมา เธียรวิศิษฎ์สกุล) ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมดังกล่าว ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองพอร์ตมอร์สบี รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ซึ่งผลการประชุมดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนและพัฒนางานด้านเศรษฐกิจของประเทศไทย เช่น การใช้เทคโนโลยีในการช่วยยกระดับการบริการของภาครัฐซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปภาครัฐสู่การใช้ดิจิทัล และการปฏิรูปด้านกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนความสะดวกในการประกอบธุรกิจเพื่อสนับสนุนการแข่งขันในตลาด การคุ้มครองผู้บริโภค และความง่ายและคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ การปฏิรูปเพื่อเพิ่มธรรมาภิบาลและความโปร่งใสในการดำเนินงานภาครัฐ เป็นต้น และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค โดยให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติติดตามและประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนการปฏิรูปโครงสร้างของไทย รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากการทำงานของคณะกรรมการเศรษฐกิจเอเปค ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13965 | ร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปรุใหญ่ ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลในเมือง ตำบลหมื่นไวย และตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน | คค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ในท้องที่ตำบลปรุใหญ่ ตำบลหนองกระทุ่ม ตำบลในเมือง ตำบลหมื่นไวย และตำบลบ้านเกาะ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วน มีสาระสำคัญเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีอำนาจวางเงินค่าทดแทน เข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน และส่งมอบพื้นที่ก่อสร้างและขยายทางหลวงชนบท นม.๑๑๒๐ ได้ทันตามกำหนดเวลา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13966 | การจัดทำและลงนามร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย กับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา | วท | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทย กับสภาวิจัยแห่งชาติ แคนาดา (National Research Council Canada : NRC) และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การใช้งานวิจัยให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ การพัฒนากิจการร่วมค้าหรือหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ด้านเทคโนโลยีระหว่างวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมของทั้งสองประเทศ และความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการอาหาร พลังงานหมุนเวียนและพลังงานทางเลือก เทคโนโลยีและการวิจัยเชิงอุตสาหกรรมด้านระบบราง และการบำบัดโรคในมนุษย์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ซึ่งจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ประมาณวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ โดยกระทรวงการต่างประเทศไม่ต้องจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ลงนาม ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13967 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย - มาเลเซีย - ไทย (IMT-GT) | นร11 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง แผนงานการพัฒนาเขตเศรษฐกิจสามฝ่าย อินโดนีเซีย-มาเลเซีย-ไทย (The Indonesia-Malaysia-Thailand Growth Triangle : IMT-GT) จัดขึ้นระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน-๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ณ เมืองมะละกา รัฐมะละกา ประเทศมาเลเซีย ซึ่งการประชุมดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการติดตามผลการดำเนินงานของ IMT-GT ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยมีผลสำเร็จสำคัญ เช่น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจของอนุภูมิภาค IMT-GT การเปิดใช้รถไฟฟ้ารางเบาในเมืองปาเล็มบัง สาธารณรัฐอินโดนีเซีย และความก้าวหน้าในการก่อสร้างด่านศุลกากรบูกิตกายูฮิตัม ประเทศมาเลเซีย และด่านศุลกากรสะเดาแห่งใหม่ ประเทศไทย เป็นต้น และกำหนดแนวทางความร่วมมือแผนงาน IMT-GT ในระยะต่อไป เช่น การทบทวนการดำเนินงานระยะกึ่งกลางแผนการดำเนินการระยะห้าปี ปี ๒๕๖๐-๒๕๖๒ เพื่อให้สอดคล้องกับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยุคที่ ๔ การขับเคลื่อนแนวระเบียงเศรษฐกิจที่ ๖ และการเร่งรัดพัฒนาเมืองสีเขียวตามกรอบการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืนเพื่อช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ต่อไป เป็นต้น นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรี ครั้งที่ ๒๔ แผนงาน IMT-GT ซึ่งได้ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อให้เนื้อหามีความถูกต้องและแม่นยำยิ่งขึ้น แต่คงไว้ซึ่งเนื้อหาและสาระสำคัญตามร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ และมอบหมายให้หน่วยงานดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามผลการประชุมดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับการดำเนินโครงการสะพานถนนเชื่อมโยงจังหวัดสตูล-รัฐเปอร์ลิส และการจัดทำกรอบความร่วมมือระหว่างกันในด้านความร่วมมือด้านศุลกากร การตรวจคนเข้าเมือง และการตรวจโรคพืชและสัตว์ ต้องคำนึงถึงมิติความมั่นคงและผลผูกพันต่อการดำเนินการของไทย ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13968 | รายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี | อส | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปคำวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดี ที่สำนักงานอัยการสูงสุดจัดทำขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการรายงานผลการพิจารณาชี้ขาดการดำเนินคดีระหว่างส่วนราชการกับเอกชน และข้อพิพาทระหว่างส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจด้วยกันเอง รวม ๓๗ เรื่อง ตามที่คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐและการดำเนินคดีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13969 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งสำนักงานศาลยุติธรรมได้เห็นชอบและรับข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่เห็นควรให้หน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่รับผิดชอบจัดให้มีระบบการตรวจสอบข้อเท็จจริงในแต่ละขั้นตอนอย่างรวดเร็วและเป็นความลับ และดำเนินกระบวนพิจารณาคดีโดยรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม ไปดำเนินการให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยยึดถือตามกฎ ระเบียบ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดและละเอียดรอบคอบต่อไป ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13970 | ข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ที่เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว และมีข้อสังเกตเกี่ยวกับการใช้อำนาจของรัฐในการบริหารทรัพยากรน้ำควรกำหนดกรอบหลักเกณฑ์การใช้อำนาจที่ชัดเจน เพื่อเป็นบรรทัดฐานให้หน่วยงานของรัฐหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าใช้สอยแหล่งน้ำ และควรกำหนดนโยบายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามขั้นตอนหรือกระบวนการตามกฎหมายหรือนโยบายของรัฐ ส่วนการตราพระราชกฤษฎีกาควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเนื่องจากเป็นกฎหมายที่มีผลกระทบต่อประชาชน สำหรับการออกกฎกระทรวงควรกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำ ควรกำหนดให้มีการขึ้นบัญชีผู้ได้รับการเลือกไว้แทนตำแหน่งที่ว่าง และการจัดทำแผนแม่บทจะต้องเป็นแผนแม่บทที่บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทรัพยากรน้ำในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ รวมทั้งปรับปรุงหรือแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องให้มีมาตรการบังคับใช้อย่างเคร่งครัดและมีบทกำหนดโทษที่เหมาะสม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติเสนอ ๒. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีนำเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำ พ.ศ. .... ตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นเหตุผลของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ในการประกาศราชกิจจานุเบกษาต่อไป ๓. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นหน่วยงานหลักรับข้อสังเกตดังกล่าวไปพิจารณาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางและความเหมาะสมของข้อสังเกตดังกล่าว และสรุปผลการพิจารณาหรือผลการดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวในภาพรวม แล้วส่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13971 | รายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | สว | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการตามข้อสังเกตของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้จัดประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับข้อสังเกตในส่วนที่เกี่ยวกับการดำเนินการตามกรอบภารกิจของแต่ละหน่วยงานไปดำเนินการต่อไป โดยกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ จะได้ร่วมกันพิจารณาเนื้อหาสาระของประกาศกระทรวงพาณิชย์ที่จะออกตามความในมาตรา ๓๒/๔ แห่งร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้มีความชัดเจนและสอดคล้องกับสนธิสัญญามาร์ราเคช และกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ยกร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ขึ้น โดยได้นำมากำหนดรายละเอียดและลักษณะขององค์กรที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับการยอมรับให้เชื่อมโยงกับองค์กรที่ให้บริการแก่คนพิการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และได้กำหนดรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการของการทำซ้ำ ดัดแปลง และการเผยแพร่ต่อสาธารณะ ให้มีรายละเอียดที่ครบถ้วน ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และสอดคล้องกับสนธิสัญญามาร์ราเคชแล้ว โดยภายหลังจากที่ร่างพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กระทรวงพาณิชย์จะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน ก่อนออกประกาศกระทรวงพาณิชย์ในเรื่องดังกล่าวต่อไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติทราบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13972 | รายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2560 | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานของผู้สอบบัญชี งบการเงินและรายงานการใช้จ่ายเงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ซึ่งเป็นทุนหมุนเวียนที่ไม่เป็นนิติบุคคลภายใต้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ โดยผลการตรวจสอบของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเห็นว่า งบการเงินฯ ได้แสดงฐานะการเงินของกองทุนฯ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ และผลการดำเนินงานของกองทุนฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๖๐ ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามมาตรฐานและนโยบายการบัญชีภาครัฐที่กระทรวงการคลังประกาศใช้ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13973 | ร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (แก้ไขเพิ่มเติมให้ทันสมัย 6 ประเด็น) | พณ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มช่องทางโฆษณาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์นอกจากทางหนังสือพิมพ์ การส่งเอกสาร การประชุมกรรมการผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ การเรียกประชุมกรรมการ การมอบฉันทะให้บุคคลอื่นเข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนโดยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-proxy) เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทมหาชนจำกัด และส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของบริษัทมหาชนจำกัดให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นภาระต่อประชาชน สอดคล้องกับรูปแบบการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน ซึ่งดำเนินการผ่านวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยลดภาระ ข้อยุ่งยาก ข้อกฎหมายล่าช้า ให้กับภาคเอกชนและประชาชนตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ๓. ให้กระทรวงพาณิชย์รับความเห็นของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติมให้บริษัทมหาชนจำกัดสามารถประชุมคณะกรรมการโดยการติดต่อสื่อสารด้วยระบบเทคโนโลยี (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา ๗๙) โดยกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการประชุมดังกล่าว โดยการออกเป็นกฎหมายลำดับรอง นั้น หลักเกณฑ์และวิธีการดังกล่าวต้องมีมาตรฐานในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมไม่ต่ำไปกว่ามาตรฐานซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เรื่อง มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๕๗ และประกาศคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง แนวนโยบายและแนวปฏิบัติในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยด้านสารสนเทศของหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๕๓ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13974 | ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560) | กค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการบริจาคให้แก่พรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐) มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ผู้บริจาคเงินให้แก่พรรคการเมืองมีสิทธินำจำนวนเงินที่บริจาคไปหักเป็นค่าลดหย่อนหรือรายจ่ายตามที่กำหนดในประมวลรัษฎากรได้ โดยให้ลดหย่อนได้ในกรณีบุคคลธรรมดาไม่เกินปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท และในกรณีนิติบุคคลไม่เกินปีละ ๕๐,๐๐๐ บาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาเป็นเรื่องด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป ๒. รับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการภาษีดังกล่าวให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในโอกาสแรก รวมถึงข้อเสนอที่พรรคการเมืองควรได้มีการจัดเวทีรับฟังความต้องการของประชาชน เพื่อให้การดำเนินงานของพรรคการเมืองเป็นตัวแทนที่สะท้อนความต้องการของประชาชนในการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ๔. ให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้คณะกรรมการกองทุนพิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการจัดสรรเงินอุดหนุนให้แก่พรรคการเมือง โดยคำนึงถึงเงินที่พรรคการเมืองได้รับจากการอุดหนุนและเงินที่จะได้รับจากการบริจาคมาประกอบการพิจารณาด้วย ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13975 | ขออนุมัติลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร | กษ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบและอนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แห่งราชอาณาจักรไทยและกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ว่าด้วยความร่วมมือด้านการเกษตร มีสาระสำคัญเป็นการเสริมสร้างและสนับสนุนการถ่ายทอดเทคโนโลยี ความร่วมมือทางด้านวิชาการและทางวิทยาศาสตร์ในสาขาเกษตรระหว่างผู้เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย โดยปราศจากการเลือกปฏิบัติต่อความร่วมมือในสาขาอื่น ๆ ซึ่งอาจมีการพิจารณาในอนาคต โดยได้กำหนดสาขาความร่วมมืออย่างกว้าง ๆ ที่คู่ภาคีกำหนดไว้ เช่น การพัฒนาด้านการเกษตร การพัฒนาสหกรณ์การเกษตรและสถาบันเกษตรกร การพัฒนาความร่วมมือในด้านความมั่นคงทางอาหารและความปลอดภัยอาหาร และการเสริมสร้างความร่วมมือและการประสานงานกับองค์กรระหว่างประเทศในภูมิภาค และนานาชาติ เป็นต้น โดยจะมีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในระหว่างการเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ป่าไม้และการประมงแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจฯ ๒. หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างบันทึกความเข้าใจฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงบประมาณกรณีหากมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจฯ เห็นควรพิจารณาใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยดำเนินการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณไปดำเนินการ สำหรับค่าใช้จ่ายในปีต่อ ๆ ไป ให้จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13976 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น (สำหรับชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภค ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560) | ยธ | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๐ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่กระทรวงการคลังอนุมัติให้ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินงบประมาณถึงวันทำการสุดท้ายของเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ แล้ว จำนวน ๑๐๓,๙๗๙,๕๐๐ บาท เพื่อชำระหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างจ่ายตามที่ได้จ่ายจริง รวมทั้งให้กรมราชทัณฑ์ดำเนินการตามแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระของส่วนราชการ ตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ โดยถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประเมินผลการดำเนินการตามแนวทางต่าง ๆ ในการลดจำนวนผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ และนำแนวทางที่พบว่ามีความเหมาะสมและมีประสิทธิภาพไปขยายผลในการปฏิบัติให้มากยิ่งขึ้นต่อไป รวมทั้งให้พิจารณากำหนดมาตรการการลงโทษในรูปแบบอื่นนอกจากโทษจำคุก หรือปรับปรุงมาตรการเดิมเพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้ต้องขัง ผู้ต้องกักขัง และผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์ได้มากยิ่งขึ้นและมีความยั่งยืน ทั้งนี้ ในการประเมินผลและการพิจารณากำหนดหรือปรับมาตรการการลงโทษดังกล่าวควรมีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วนด้วย ๓. ให้กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) ร่วมกับกระทรวงพลังงาน ศึกษาความเป็นไปได้ในการดำเนินการผลิตพลังงานทดแทนเพิ่มเติมจากแนวทางเดิมที่ได้ดำเนินการอยู่แล้ว โดยอาจนำข้อมูลที่กระทรวงพลังงานได้มีการสำรวจไว้แล้วมาศึกษาขยายผล เช่น การติดตั้งแผงรับพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Cell) บนหลังคาเรือนจำหรือทัณฑสถาน การใช้พลังงานชีวมวล เป็นต้น เพื่อช่วยลดภาระงบประมาณสำหรับค่าสาธารณูปโภคของกรมราชทัณฑ์ในปีต่อ ๆ ไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13977 | รายงานผลการประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยวไทย - จีน ครั้งที่ 3 | กก | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยว ไทย-จีน ครั้งที่ ๓ ตามบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งราชอาณาจักรไทยและสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยความร่วมมือในการกำกับดูแลอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เมื่อวันที่ ๙-๑๑ กันยายน ๒๕๖๑ ณ เมืองไห่หนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และมอบหมายให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามผลการประชุมต่อไป ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบสถานการณ์การท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกของปี ๒๕๖๑ โดยฝ่ายจีนรายงานว่าในปี ๒๕๖๐ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวจีน มีจำนวน ๗ แสนกว่าคน และคาดว่าภายในปี ๒๕๖๑ จำนวนนักท่องเที่ยวไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓-๔ และฝ่ายไทยรายงานว่ามีนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นอันดับที่ ๑ ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ และเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ ๓๓.๖ ต่อปี ซึ่งภายหลังเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต พบว่าในเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ มีจำนวนนักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้ามา ๙๒๙,๗๗๑ คน ลดลงร้อยละ ๐.๘๗ จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ๒. ฝ่ายจีนรับทราบและพึงพอใจต่อมาตรการของฝ่ายไทยที่ได้ดำเนินการภายหลังจากอุบัติเหตุเรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต เช่น การดำเนินคดีกับเจ้าของบริษัทและผู้เกี่ยวข้อง และการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บ เป็นต้น โดยฝ่ายไทยมีมาตรการที่จะฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นใจให้แก่นักท่องเที่ยวจีน รวม ๓ มาตรการ ได้แก่ (๑) การจัดระเบียบความปลอดภัยใหม่โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดภูเก็ต (๒) การจัดทำระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System) และ (๓) การจัดทำประกันภัยภาคบังคับโดยบังคับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ทำประกันภัยเมื่อเดินทางเข้ามาเที่ยวในไทย ๓. ฝ่ายจีนขอให้ไทยดำเนินการให้มีมาตรฐานความปลอดภัยขั้นต่ำสำหรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะการท่องเที่ยวทางน้ำและทางบก เช่น การตรวจสอบสภาพอากาศและมาตรฐานเสื้อชูชีพ เป็นต้น การกำกับดูแลท่าเรือ บริษัทเดินเรือ รวมถึงเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการปล่อยเรือ มีระบบเตือนภัย ป้ายเตือนนักท่องเที่ยวภาษาจีนจะช่วยป้องกันการเกิดเหตุได้ดียิ่งขึ้น การกำกับดูแลรถยนต์ รถโดยสาร ไม่ควรปล่อยให้รถที่ไม่ผ่านการตรวจสภาพ หรืออยู่ในสภาพที่ไม่พร้อมมารับ-ส่ง นักท่องเที่ยว รวมทั้งการตรวจตราเรื่องความสะอาดของอาหารสำหรับนักเท่องเที่ยว และขอให้ฝ่ายไทยกวดขันควบคุมดูแลโจรวิ่งราวย่านรัชดา-ห้วยขวาง โดยเห็นควรให้มีการติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มขึ้นและทั่วถึง โดยฝ่ายไทยรับข้อเสนอแนะจากฝ่ายจีนและจะเร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ๔. การประชุมคณะกรรมการประสานงานความร่วมมือในการกำกับดูแลการท่องเที่ยว ไทย-จีน ครั้ง ๔ ฝ่ายไทยจะเป็นเจ้าภาพ โดยมีกำหนดจัดในช่วงเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ณ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ไทยแลนด์ริเวียร่า ซึ่งฝ่ายจีนเสนอให้มีการจัดประชุมในระดับรัฐมนตรีสลับกับการจัดประชุมระดับคณะประสานงาน ใน ๑ ปี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13978 | การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ | นร09 | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบผลการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ ๒) เรื่อง การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ ดังนี้ ๑.๑ กรณีที่มีการกล่าวหาหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาไว้ก่อนออกจากราชการ ให้ดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ แต่ต้องสั่งลงโทษภายใน ๓ ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ ๑.๒ กรณีที่มีการกล่าวหาหรือถูกฟ้องคดีอาญาหรือต้องหาคดีอาญาภายหลังจากที่ออกจากราชการแล้ว ให้ดำเนินการทางวินัยต่อไปได้เสมือนว่าผู้นั้นยังมิได้ออกจากราชการ แต่ต้องเริ่มดำเนินการสอบสวนภายใน ๑ ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ และต้องสั่งลงโทษภายใน ๓ ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ แต่ในกรณีที่เป็นความผิดที่ปรากฏชัดแจ้งซึ่งสามารถดำเนินการทางวินัยโดยไม่ต้องสอบสวนก็ได้นั้น จะต้องสั่งลงโทษภายใน ๓ ปีนับแต่วันที่ผู้นั้นออกจากราชการ ๑.๓ กรณีที่มีการเพิกถอนคำสั่งลงโทษทางวินัยแก่ผู้ที่ออกจากราชการไปแล้ว เพราะเหตุกระบวนการดำเนินการทางวินัยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้ผู้มีอำนาจดำเนินการทางวินัยให้แล้วเสร็จภายใน ๒ ปีนับแต่วันที่ศาลปกครองมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ หรือองค์กรพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัย หรือองค์กรตรวจสอบรายงานการดำเนินการทางวินัยมีคำวินิจฉัยถึงที่สุดหรือมีมติให้เพิกถอนคำสั่งลงโทษ แล้วแต่กรณี ๑.๔ กรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (คณะกรรมการ ป.ป.ท.) มีมติชี้มูลความผิดผู้ซึ่งออกจากราชการแล้ว การดำเนินการทางวินัยและสั่งลงโทษแก่ผู้นั้นให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต หรือกฎหมายว่าด้วยมาตรการของฝ่ายบริหารในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ๑.๕ การดำเนินการทางวินัยที่ส่วนราชการดำเนินการเองหรือดำเนินการตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือคณะกรรมการ ป.ป.ท. ชี้มูลความผิด ถ้าปรากฏว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงก็ให้งดลงโทษ ๒. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับสำนักงาน ก.พ. พิจารณาวางแนวทางเพื่อให้หน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบหรือข้อบังคับ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการดำเนินการทางวินัยแก่ผู้ซึ่งออกจากราชการหรือพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกับข้าราชการฝ่ายพลเรือน
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13979 | ผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ 24 และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง | คค | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๘-๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ณ กรุงเทพมหานคร โดยผลการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนได้ร่วมลงนามและรับรองร่างเอกสารต่าง ๆ ซึ่งสนับสนุนความร่วมมือทางด้านการขนส่งทางอากาศ การอำนวยความสะดวกการขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ และการขนส่งอย่างยั่งยืน เช่น (๑) ร่างพิธีสาร ๔ ว่าด้วยสิทธิการทำการบินเชื่อมจุดระหว่างจุดต่าง ๆ ภายในอาณาเขตแห่งรัฐสมาชิกใด ๆ ภายใต้ความตกลงพหุภาคีอาเซียนว่าด้วยการเปิดเสรีอย่างเต็มที่ของบริการขนส่งผู้โดยสารทางอากาศ (๒) บันทึกความเข้าใจว่าด้วยมาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจควบคุมเรือที่ไม่อยู่ภายใต้การบังคับของอนุสัญญาระหว่างประเทศในประเทศสมาชิกอาเซียน และ (๓) แผนที่นำทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของรถยนต์ขนาดเล็กในอาเซียน นอกจากนี้ ยังได้รับทราบความคืบหน้าในการดำเนินงานของคณะทำงานภายใต้การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านการขนส่งอาเซียนว่าจะจัดทำพิธีสาร ๑ ของข้อตกลงยอมรับร่วมสำหรับใบอนุญาตผู้ปฏิบัติหน้าที่ประจำเที่ยวบินและคุณสมบัติของอุปกรณ์การฝึกของเครื่องฝึกบินได้ข้อยุติภายในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน ครั้งที่ ๒๕ ในปี ๒๕๖๒ และยังสนับสนุนข้อริเริ่มในการดำเนินการตามแผนแม่บทว่าด้วยการบริหารจัดการจราจรทางอากาศที่รัฐมนตรีขนส่งอาเซียนได้ให้การรับรองในปี ๒๕๖๐ และข้อริเริ่มโครงการนำร่องการดำเนินการตามกรอบความตกลงอาเซียนว่าด้วยการขนส่งผู้โดยสารโดยยานพาหนะทางถนนข้ามพรมแดนในบรูไน อินโดนีเซีย และมาเลเซียด้วย สำหรับการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-จีน ครั้งที่ ๑๗ การประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-ญี่ปุ่น ครั้งที่ ๑๖ และการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียน-สาธารณรัฐเกาหลี ครั้งที่ ๙ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13980 | พื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าไม้ (ทุกประเภท) | ทส | 26/11/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
.....