ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 694 จากทั้งหมด 6200 หน้า แสดงรายการที่ 13861 - 13880 จากข้อมูลทั้งหมด 123994 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
13861 | ขออนุมัติดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ 1) | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติในหลักการการดำเนินโครงการบรรเทาอุทกภัยเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ (ระยะที่ ๑) เพื่อแก้ไขปัญหาการเกิดอุทกภัยที่เกิดขึ้นในอำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยการผันน้ำหลากส่วนเกินไม่ให้ท่วมเมืองชัยภูมิ และผันน้ำจากลำปะทาวผ่านคลองผันน้ำส่งช่วยเหลือพื้นที่เพาะปลูกบริเวณโครงการฯ ระยะเวลาดำเนินการ ๖ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๗) งบประมาณรวมทั้งสิ้น ๓,๔๔๐.๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งรัดการดำเนินโครงการฯ ให้แล้วเสร็จโดยเร็วภายในกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยให้บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีการดำเนินโครงการในลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย เพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนและการบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างสอดคล้องและเชื่อมโยงกัน ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญในการควบคุม กำกับดูแลโครงการฯ ให้เป็นไปตามระเบียบและข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณมีความคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด และเห็นควรให้กรมชลประทานพิจารณาจัดทำรายละเอียดแผนการดำเนินงานเตรียมความพร้อม ตลอดจนบูรณาการร่วมกับกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เพื่อให้การกำหนดพื้นที่ดำเนินการตามแผนการอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อมในแผนฟื้นฟูสภาพป่าบริเวณเหนือพื้นที่โครงการฯ สอดคล้องกับเป้าหมายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ รายการประตูระบายน้ำกุดสวง จำนวน ๖๐ ล้านบาท และรายการประตูระบายน้ำห้วยเสียว จำนวน ๖๐ ล้านบาท ที่ได้รับจัดสรรงบประมาณรองรับไว้แล้ว ส่วนที่เหลือให้กรมชลประทานจัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณตามความสามารถในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ผูกพันภายในปีงบประมาณที่สอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติอย่างเคร่งครัดเพื่อเสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้และความเข้าใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินการก่อสร้างของโครงการฯ และพื้นที่บริเวณโดยรอบเกี่ยวกับประโยชน์ของการดำเนินโครงการฯ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงกันด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13862 | การแก้ไขปัญหากรณีดำเนินโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัด และกลุ่มจังหวัดในพื้นที่ที่ต้องได้รับอนุมัติ/อนุญาต | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติผ่อนผันให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้กำหนดโครงการไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด ที่ต้องได้รับการอนุมัติ/อนุญาตให้ใช้พื้นที่จากส่วนราชการต่าง ๆ ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตเร่งพิจารณาให้เสร็จสิ้นภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่ได้รับคำขออนุญาต รวมทั้งมอบหมายกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมปรับปรุงระเบียบกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการได้ทันต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้กระทรวงมหาดไทยรับความเห็นของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ.ร. เช่น (๑) ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการในพื้นที่ควรพิจารณายื่นขออนุมัติ/อนุญาต ตั้งแต่ขั้นตอนการกำหนดแผนพัฒนาจังหวัด/กลุ่มจังหวัด รวมถึงควรมีการวิเคราะห์ผลกระทบและเสนอมาตรการที่จะลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะเสนอโครงการ (๒) ควรให้ความสำคัญกับการมอบหมายจังหวัดและกลุ่มจังหวัดจัดทำโครงการตามแผนปฏิบัติราชการประจำของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่คณะกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคกำหนด และ (๓) มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดการพิจารณาคำขออนุญาตใช้ประโยชน์ในพื้นที่ให้แล้วเสร็จภายในกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย และให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำกับดูแลให้จังหวัด และกลุ่มจังหวัดปฏิบัติตามนโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓ [ตามหนังสือสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ด่วนที่สุด ที่ นร (ก.บ.ภ.) ๑๑๑๒/ว ๕๘๘๖ ลงวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๑ เรื่อง นโยบาย หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดทำแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ฉบับทบทวน และหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำแผนปฏิบัติราชการประจำปีของจังหวัดและกลุ่มจังหวัด ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๓] อย่างเคร่งครัดด้วย ๓. ให้ส่วนราชการผู้มีอำนาจอนุมัติ/อนุญาตให้ใช้พื้นที่ต่าง ๆ เช่น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อสังเกตของกระทรวงคมนาคมและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เช่น การกำหนดให้มีระบบอนุญาตเฉพาะกรณีที่จำเป็น และกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายให้ชัดเจน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13863 | แผนการดำเนินงาน งบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน | พน | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. รับทราบและเห็นชอบตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ แบ่งออกเป็น ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านกำกับดูแลอัตราค่าบริการ ด้านส่งเสริมการแข่งขันและนวัตกรรมพลังงาน ด้านคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของผู้ใช้พลังงาน และด้านพัฒนาองค์กรให้มีสมรรถนะสูงเป็นมืออาชีพ รวมทั้งการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ ของสำนักงาน กกพ. ซึ่งมีรายได้มากกว่าจำนวนที่ได้ประมาณการไว้ ทำให้มีเงินส่งคลัง จำนวน ๓๘.๐๒ ล้านบาท ๑.๒ เห็นชอบแผนการดำเนินงานของสำนักงาน กกพ. ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งเป็นการสานต่อแผนการดำเนินงานของปีก่อนหน้า และมีการปรับแผนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๔) และแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน ประกอบด้วย ๔ แผนงาน ได้แก่ แผนงานกำกับกิจการพลังงานเป็นเลิศ แผนงานส่งเสริมการแข่งขัน และก้าวทันนวัตกรรมพลังงาน แผนงานพัฒนาการมีส่วนร่วมและสื่อสารงานกำกับกิจการพลังงาน และแผนงานองค์กรมีสมรรถนะสูง เป็นมืออาชีพ รวมทั้งงบประมาณรายจ่าย และประมาณการรายได้ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ของสำนักงาน กกพ. วงเงินงบประมาณรายจ่าย ๙๔๗.๕๔ ล้านบาท และประมาณการรายได้ ๙๔๗.๘๙ ล้านบาท ๒. ให้กระทรวงพลังงาน โดยสำนักงาน กกพ. รับความเห็นของกระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น มีการควบคุมการดำเนินงานเป็นไปตามแผนดำเนินงานขององค์กรอย่างใกล้ชิด รวมทั้งพิจารณาทบทวนแผนยุทธศาสตร์การกำกับกิจการพลังงาน ฉบับที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๕) ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13864 | มาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ | พม | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการมาตรการขับเคลื่อนระเบียบวาระแห่งชาติ เรื่อง สังคมสูงอายุ และให้หน่วยงานรับผิดชอบดำเนินงานด้านผู้สูงอายุนำไปสู่การปฏิบัติต่อไป โดยมาตรการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อขับเคลื่อนมาตรการฯ อย่างเป็นระบบ สร้างการบูรณาการการทำงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศ ทั้งระดับนโยบาย หน่วยงาน และพื้นที่ รวมทั้งติดตาม ประเมินผลการดำเนินงานด้านผู้สูงอายุทั้งประเทศอย่างเป็นระบบ โดยแบ่งเป็น ๒ มาตรการหลัก ได้แก่ มาตรการหลักที่ ๑ การพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุและคนทุกวัย เช่น การสร้างระบบคุ้มครองและสวัสดิการผู้สูงอายุ ระบบสุขภาพเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ ปรับสภาพแวดล้อมชุมชนและบ้านให้ปลอดภัยกับผู้สูงอายุ และมาตรการหลักที่ ๒ การยกระดับขีดความสามารถสู่การบริหารจัดการภาครัฐ ๔.๐ เช่น การปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ข้อบังคับให้เอื้อต่อการทำงานด้านผู้สูงอายุ ปฏิรูประบบข้อมูลเพื่อขับเคลื่อนงานด้านผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีระยะเวลาการขับเคลื่อน ๓ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๖๔) ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม รวมทั้งข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย เช่น การขยายกลุ่มเป้าหมายของมาตรการฯ ส่งเสริมความร่วมมือจากภาคเอกชน งบประมาณความสอดคล้องกับนโยบายอื่น ๆ และการแก้ไขรายละเอียดมาตรการฯ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๒. ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาความเป็นไปได้ในการนำพื้นที่ของโรงเรียนขนาดเล็ก ซึ่งมีจำนวนนักเรียนน้อยและอาจถูกยุบรวมมาใช้ประโยชน์ในการจัดตั้งเป็นศูนย์การเรียนรู้และดูแลผู้สูงอายุ ของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่ โดยดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดต่อไป |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13865 | โครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค | ศธ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนากำลังคนด้านวิศวกรรมศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมสนับสนุนการลงทุนและเพิ่มขีดความสามารถภาคอุตสาหกรรมในประเทศและภูมิภาค ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น (Thai KOSEN) จำนวน ๒ วิทยาเขต ได้แก่ สถาบันโคเซ็นแห่งสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KOSEN KMITL) และสถาบันโคเซ็นแห่งมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KOSEN KMUTT) และพัฒนาหลักสูตรที่มีความชำนาญเฉพาะด้านการผลิต วิศวกรนักปฏิบัติ นักเทคโนโลยีและนวัตกรที่มีทักษะความเชี่ยวชาญสูงในการสร้างและพัฒนานวัตกรรม และสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีของประเทศ สนับสนุนการต่อยอดกลุ่มอุตสาหกรรมเดิมและการเพิ่มเติมอุตสาหกรรมแห่งอนาคต จัดทำหลักสูตรด้านวิศวกรรมศาสตร์ และจัดให้มีทุนการศึกษาวิจัยและพัฒนา ฝึกอบรมเกี่ยวกับการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยีและวิศวกรรมศาสตร์แก่นักศึกษาในหลักสูตรโคเซ็น ๔ ประเภท ระยะเวลาดำเนินการ ๑๓ ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒-๒๕๗๔) งบประมาณที่ใช้จ่ายภายใต้โครงการฯ ทั้งสิ้น ๓,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับงบประมาณในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามความเห็นของสำนักงบประมาณ รวมทั้งให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนการดำเนินโครงการฯ ในระยะยาว โดยร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษา เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการแรงงานในภาคอุสาหกรรมของประเทศ ทั้งนี้ ให้ดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงบประมาณ และคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยในส่วนของการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมและคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรมีผู้แทนของกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมเป็นองค์ประกอบคณะกรรมการดังกล่าว ไปพิจารณาทบทวนองค์ประกอบของคณะกรรมการดังกล่าวให้เหมาะสม ส่วนการจัดตั้งสำนักงานโครงการจัดตั้งสถาบันไทยโคเซ็น ให้รับความเห็นและข้อสังเกตของสำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงบประมาณที่เห็นควรปรับปรุงบทบาท ภารกิจ และโครงสร้างของหน่วยงานที่มีอยู่เดิมรองรับการจัดตั้งสถาบันดังกล่าวก่อน ไปพิจารณาดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต่อไป ๓. ให้กระทรวงศึกษาธิการเร่งรัดการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาตามแนวทางสะเต็มศึกษา (STEM) สำหรับทุกระดับการศึกษาให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ดียิ่งขึ้นโดยเร็ว
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13866 | แผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2562 | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบแผนบูรณาการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๒ โดยมีหัวข้อในการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ช่วงเวลาดำเนินการ กำหนดเป็น ๒ ช่วง คือ ช่วงเตรียมความพร้อมและการรณรงค์ ระหว่างวันที่ ๑ พฤศจิกายน-๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๑ และช่วงควบคุมเข้มข้น ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๖๑-๒ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ ๒/๒๕๖๑ เมื่อวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๖๑ ได้มีมติเห็นชอบแผนบูรณาการดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จังหวัด และอำเภอ ใช้เป็นกรอบแนวทางในการดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๖๒ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนเสนอ ๒. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรณรงค์สร้างการรับรู้แก่ประชาชน และชาวต่างประเทศที่ขับขี่ยานพาหนะในประเทศไทยเกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎหมายและวินัยจราจรอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในทุกมิติ รวมทั้งการปลุกจิตสำนึกประชาชนให้เตรียมความพร้อมและคำนึงถึงความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน เช่น ผู้ขับขี่ควรต้องตรวจสอบสภาพยานพาหนะก่อนออกเดินทาง การงดเว้นการดื่มสุราระหว่างการขับขี่ยานพาหนะ การใช้ความระมัดระวังการเกิดอุบัติเหตุในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุสูง การปฏิบัติตามป้ายสัญญาณจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นต้น ๓. ให้กระทรวงมหาดไทย โดยศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน ศึกษาข้อมูลแนวทางการลดอุบัติเหตุจากประเทศต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการกำหนดแนวทางในการลดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในประเทศไทยต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13867 | การมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม | นร12 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรม โดยกำหนดให้ส่วนราชการสามารถพิจารณาจัดโครงสร้างส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรมได้เอง โดยไม่ต้องเสนอคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะกรณี (๑) เป็นการจัดโครงสร้าง (rearrange) เพื่อรองรับภารกิจใหม่ตามยุทธศาสตร์ นโยบาย และภารกิจที่มีความสำคัญเร่งด่วนของรัฐบาล (๒) เป็นการจัดหน่วยงานของราชการส่วนกลางในภูมิภาคใหม่ และ (๓) เป็นการจัดหน่วยงานในต่างประเทศ โดยไม่เพิ่มจำนวนกอง/จำนวนหน่วยงานของราชการส่วนกลางในภูมิภาค/จำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ในภาพรวมของส่วนราชการ และไม่เพิ่มจำนวนกองที่ปรากฏในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ทั้งนี้ ให้สำนักงาน ก.พ.ร. รับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ เช่น (๑) ควรกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนของการดำเนินงานให้ชัดเจน (๒) ต้องคำนึงถึงความประหยัด คุ้มค่า และภาระงบประมาณที่จะเพิ่มขึ้น (๓) ต้องระมัดระวังมิให้กระทบกับการกำหนดตำแหน่งประเภทอำนวยการ (๔) ควรมีการชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินการ และ (๕) อาจพิจารณามอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๒. เห็นชอบให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ) ในกรณีการขอจัดตั้งส่วนราชการระดับต่ำกว่ากรม โดยไม่เพิ่มจำนวนกอง หรือจำนวนหน่วยงานของราชการส่วนกลางที่ตั้งในภูมิภาค หรือจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ทั้งที่ปรากฏในกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ หรือตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด และยังคงมีจำนวนกองหรือหน่วยงานในภาพรวมเท่าที่มีอยู่เดิมของส่วนราชการ ให้ดำเนินการตามหลักการ เงื่อนไข และขั้นตอนที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ ส่วนการกำหนดตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำกว่าระดับกรม ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ ก.พ. กำหนด ๓. ให้สำนักงาน ก.พ.ร. แก้ไขหนังสือสำนักงาน ก.พ.ร. ที่ นร ๑๒๐๐/ว ๑๓ ลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐ (เรื่อง การซักซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการจัดตั้งหน่วยงานของรัฐ ให้สอดคล้องกับหลักการมอบอำนาจการแบ่งส่วนราชการภายในกรมดังกล่าวต่อไป) ๔. ให้สำนักงาน ก.พ. นำข้อเสนอแนะของ ก.พ.ร. และความเห็นของกระทรวงแรงงานเกี่ยวกับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการกำหนดตำแหน่ง และการประเมินคุณภาพงานของตำแหน่งตามหลักเกณฑ์การประเมินค่างานของตำแหน่ง เสนอต่อ ก.พ. เพื่อพิจารณาทบทวนต่อไป ๕. ให้กระทรวงการต่างประเทศแก้ไขระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารราชการในต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๕๒ เกี่ยวกับการจัดตั้งหรือรวมหน่วยงานในต่างประเทศ กรณีไม่เพิ่มจำนวนหน่วยงานในต่างประเทศ ตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ |
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13868 | มาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบรายงานผลการพิจารณาตามมาตรการป้องกันการทุจริตเชิงนโยบายขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ประกอบด้วยมาตรการ ๔ ด้าน ได้แก่ (๑) มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (๒) มาตรการด้านการบริหาร (๓) มาตรการด้านการตรวจสอบ กำกับดูแล และการมีส่วนร่วมของประชาชน และ (๔) มาตรการด้านคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้หารือกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เป็นต้น โดยส่วนราชการดังกล่าวเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ อย่างไรก็ตาม กระทรวงมหาดไทยเห็นว่าข้อเสนอแนะของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติในบางประเด็นอาจจะขัดแย้งกับบทบัญญัติของกฎหมายในปัจจุบัน เช่น ประเด็นการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานโดยมาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นการดำเนินการที่ขัดหรือแย้งกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง เป็นต้น ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และแจ้งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบต่อไปด้วย ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เช่น มาตรการด้านกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเด็นการแก้ไขกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น และแก้ไขกฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่กำหนดให้สมาชิกสภาท้องถิ่นมาจากการเลือกตั้งและการสรรหา นั้น ปัจจุบันได้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๕๒ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้สมาชิกสภาท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น มาตรการดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และในประเด็นมาตรการปรับปรุงโครงสร้าง/องค์ประกอบของสภาท้องถิ่นให้อยู่ในรูปแบบผสมผสานที่มาจากการเลือกตั้งและสรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ อาจไม่สอดคล้องกับนโยบายการกระจายอำนาจให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เห็นควรให้ความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13869 | ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา ครั้งที่ 1/2561 | นร11 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13870 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.680/2550 คดีหมายเลขแดงที่ อ.785/2561 ระหว่าง นายเฉลียว ทิสาระ ที่ 1 กับพวกรวม 18 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร05 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๖๘๐/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๗๘๕/๒๕๖๑ ระหว่างนายเฉลียว ทิสาระ ที่ ๑ กับพวกรวม ๑๘ คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคำสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และละเลยต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดให้ต้องปฏิบัติ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13871 | แจ้งผลคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.604/2556 คดีหมายเลขแดงที่ อ.699/2561 ระหว่าง สมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ 1 กับพวกรวม 3 คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ 1 กับพวกรวม 4 คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี | นร05 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ในคดีหมายเลขดำที่ อ.๖๐๔/๒๕๕๖ คดีหมายเลขแดงที่ อ.๖๙๙/๒๕๖๑ ระหว่าง สมาคมสมัชชาองค์กรเอกชนด้านการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ที่ ๑ กับพวกรวม ๓ คน ฟ้องคณะรัฐมนตรี ที่ ๑ กับพวกรวม ๔ คน ต่อศาลปกครองสูงสุด เรื่อง คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษากลับคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นให้ยกฟ้องคดี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13872 | รายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ประจำปี 2559 - 2560 | พม | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13873 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. .... | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้างให้มีความยืดหยุ่นและครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับข้อสังเกตของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เห็นควรเพิ่มเติมข้อความในข้อ ๙ (ข) จากเดิม “งานระบบป้องกันน้ำท่วม หมายถึง การป้องกันน้ำท่วมในเขตชุมชนเมือง ด้วยการสร้างคันหรือโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมล้อมรอบพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน รวมถึงสถานีสูบน้ำเพื่อระบายออกสู่แหล่งรับน้ำตามธรรมชาติ” เพิ่มเติมเป็น “งานระบบป้องกันน้ำท่วม หมายถึง การป้องกันน้ำท่วมในเขตชุมชนเมือง ด้วยการสร้างคันหรือโครงสร้างป้องกันน้ำท่วมล้อมรอบพื้นที่ที่ต้องการป้องกัน รวมถึงสถานีสูบน้ำและ/หรือระบบระบายน้ำ เพื่อระบายออกสู่แหล่งรับน้ำตามธรรมชาติ” ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นเฉพาะกลุ่มในส่วนของการอธิบายประเภทงานก่อสร้าง ทั้ง ๑๒ ประเภท ในแนบท้ายบัญชีค่าจ้างผู้ให้บริการงานจ้างออกแบบหรือควบคุมงานก่อสร้าง และนำข้อคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปปรับคำอธิบายให้มีความชัดเจนก่อนที่ร่างกฎกระทรวงจะมีผลใช้บังคับ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐสามารถนำอัตราค่าจ้างถือปฏิบัติให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามเจตนารมณ์ของร่างกฎกระทรวงดังกล่าว รวมทั้งควรประสานกับสำนักงบประมาณเพื่อจัดเก็บข้อมูลอัตราค่าจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ใช้จ่ายจริง เพื่อนำข้อมูลมาประกอบการศึกษาทบทวนความเหมาะสมของอัตราค่าจ้างที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงดังกล่าวทุก ๕ ปี เพื่อให้อัตราค่าจ้างมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมในแต่ละช่วงเวลา ซึ่งจะช่วยให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดความคุ้มค่าต่อภารกิจของรัฐในภาพรวม ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13874 | รายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณและผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 | นร07 | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงบประมาณรายงานผลการเบิกจ่ายงบประมาณและผลสัมฤทธิ์การปฏิบัติงานงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๑ และเห็นควรดำเนินการ ดังนี้
๑. ปรับเปลี่ยนจากการใช้เป้าหมายการเบิกจ่ายเป็นเครื่องมือวัดผลการใช้จ่ายงบประมาณ เป็นการใช้แผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณที่แต่ละหน่วยงานเป็นผู้จัดทำ และสำนักงบประมาณพิจารณาให้ความเห็นชอบแล้ว เป็นเครื่องมือในการติดตามผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ และปีงบประมาณต่อ ๆ ไป ๒. ทบทวนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ ให้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สำหรับโครงการ/กิจกรรมที่มีความสอดคล้องแล้ว ก็ให้เร่งรัดดำเนินการให้เป็นไปตามแผนฯ สำหรับโครงการ/กิจกรรมที่ไม่สอดคล้อง สำนักงบประมาณจะได้เสนอมาตรการเพื่อให้หน่วยรับงบประมาณปรับแผนฯ มาดำเนินการโครงการ/กิจกรรมที่มีความสอดคล้องและมีความพร้อมตามขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้เตรียมการรองรับมาตรการดังกล่าวไว้แล้ว โดยได้จัดสรรงบประมาณ (ออกงวด) ในระยะแรกของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๖๒ เพียงร้อยละ ๕๐.๒ ของวงเงินงบประมาณ ๓. หน่วยรับงบประมาณควรมีการทบทวนตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของตัวชี้วัด ให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๘๐) และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ สามารถวัดผลสำเร็จในแต่ละระดับได้ เพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยนำผลการปฏิบัติงานของปีงบประมาณที่ผ่านมาสำหรับเป็นแนวทางในการกำหนดแผนการปฏิบัติงานงวดต่อไป ๔. ส่งเสริมการทำงานแบบบูรณาการและเครือข่ายการปฏิบัติงานโดยการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ให้ตระหนักถึงความสำคัญในการมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อพัฒนาประเทศ ซึ่งมิได้อาศัยการดำเนินงานตามพันธกิจของหน่วยงานภาครัฐเพียงอย่างเดียว ๕. หน่วยรับงบประมาณต้องกำกับดูแลการกำหนดเป้าหมายบริการของหน่วยงาน และขอรับการจัดสรรงบประมาณให้สอดคล้องกับภารกิจของหน่วยงาน รวมถึงกำกับดูแลผลการดำเนินงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด โดยคำนึงถึงผลสัมฤทธิ์และประสิทธิภาพของหน่วยงานเป็นสำคัญ รวมทั้งมีการติดตามประเมินผลอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถดำเนินการตามแผนที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ หากหน่วยงานสามารถดำเนินงานตามภารกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจะส่งผลโดยรวมให้ประชาชน และประเทศได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13875 | ร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการไทย - ลาว ครั้งที่ 3 | กต | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat : JCR) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศลงนามในแถลงการณ์ร่วมฯ โดยร่างแถลงการณ์ร่วมฯ มีสาระสำคัญครอบคลุมประเด็นความร่วมมือ ๓ ประเด็นหลัก ได้แก่ (๑) ด้านการเมืองและความมั่นคง (๒) ด้านเศรษฐกิจ และ (๓) ด้านสังคมและการพัฒนา ทั้งนี้ จะมีการลงนามในร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุม JCR ไทย-ลาว ครั้งที่ ๓ ในวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ นครหลวงเวียงจันทน์ สปป.ลาว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ และให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของกระทรวงคมนาคมที่ขอปรับปรุงร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในประเด็นการอำนวยความสะดวกในการผ่านแดน ไปพิจารณาดำเนินการต่อไป ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวตามหลักเกณฑ์ของมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การจัดทำหนังสือสัญญาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือองค์การระหว่างประเทศ) ด้วย ๒. ในส่วนของความร่วมมือด้านไฟฟ้าและพลังงานอื่น ๆ กับ สปป.ลาว ให้กระทรวงพลังงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามนัยมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ [เรื่อง ขออนุมัติร่างบันทึกการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ (JC) ไทย-ลาว ครั้งที่ ๒๑] ด้วย
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13876 | การจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. 2562 | มท | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติการจัดทำโครงการของขวัญปีใหม่ของกระทรวงมหาดไทยเพื่อมอบให้ประชาชน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ภายใต้แนวคิด “๑๒๗ ปี มหาดไทย ทุกหัวใจเราดูแล” โดยมีโครงการรวมทั้งสิ้น ๒๒ โครงการ แบ่งเป็นการดูแลประชาชนตามภารกิจ “บำบัดทุกข์” ๙ โครงการ และ “บำรุงสุข” ๑๓ โครงการ ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13877 | ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการประกอบธุรกิจและการเข้าถึงบริการของประชาชนด้วยเทคโนโลยีทางการเงิน พ.ศ. ....) [สรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วันจันทร์ที่ 3 ธันวาคม 2561)] | นร | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุมคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันจันทร์ที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๖๑ เรื่อง ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการประกอบธุรกิจและการเข้าถึงบริการของประชาชนด้วยเทคโนโลยีทางการเงิน พ.ศ. ....) ซึ่งให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีส่งประเด็นในร่างมาตรา ๑๕ ร่างมาตรา ๑๖ ร่างมาตรา ๑๗ และร่างมาตรา ๑๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการับไปประกอบการพิจารณากับร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13878 | ร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง ครั้งที่ 4 | กต | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมต่อสื่อมวลชนของการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ (Joint Press Communique of the Fourth Lancang-Mekong Cooperation Foreign Ministers’ Meeting’) และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายร่วมให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ โดยสาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมฯ เป็นการแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันของประเทศสมาชิกกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ในการรับรองตราสัญลักษณ์และเพลงของกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง การทบทวนความสำเร็จและความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการระยะ ๕ ปี การกำหนดทิศทางความร่วมมือในอนาคต และการส่งเสริมการดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับยุทธศาสตร์การพัฒนาแห่งชาติของแต่ละประเทศสมาชิก โดยจะมีการรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ครั้งที่ ๔ ในวันที่ ๑๖-๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ ณ แขวงหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนร่างแถลงการณ์ร่วมฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญและไม่ขัดกับหลักการที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบไว้ ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้ โดยให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบภายหลัง พร้อมทั้งให้ชี้แจงเหตุผลและประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากการปรับเปลี่ยนดังกล่าวด้วย ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับประเด็นการจัดตั้งระเบียงการพัฒนาเศรษฐกิจแม่โขง-ล้านช้าง (Lancang-Mekong Economic Development Belt) และการริเริ่มจัดตั้งคณะทำงานร่วมหรือศูนย์ความร่วมมือระดับสาขาภายใต้กรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ไปพิจารณาดำเนินการ ๓. ให้กระทรวงการต่างประเทศได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13879 | โครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบเฉพาะฤดูการผลิต 2561/2562 | กค | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการโครงการให้ความช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบ เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ของการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบประเภทเวอร์ยิเนีย เบอร์เลย์ และเตอร์กิช ที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ ยสท. และกรมสรรพาสามิตแล้ว จำนวน ๑๓,๕๕๗ ราย และที่ได้รับผลกระทบจากการลดปริมาณการรับซื้อใบยาสูบของ ยสท. เฉพาะฤดูการผลิต ๒๕๖๑/๒๕๖๒ ซึ่งจะสามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเกษตรกรผู้เพาะปลูกยาสูบ และเห็นควรมอบหมายให้ ยสท. ร่วมกับกรมสรรพสามิตในฐานะที่เป็นผู้รับขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบจัดทำรายละเอียดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายเงินช่วยเหลือ พร้อมทั้งตรวจสอบสิทธิของเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่จะได้รับความช่วยเหลือก่อนเริ่มดำเนินโครงการฯ โดยเฉพาะกรณีประเภทเวอร์ยิเนียที่ต้องรวมเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบบ่มเองที่ได้รับโควตา และเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบภายใต้ผู้บ่มอิสระที่ได้รับโควตา เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ให้กระทรวงการคลังขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วดำเนินการต่อไปได้ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัดด้วย ๒. ให้กระทรวงการคลัง และ ยสท. ร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการตามนัยข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๖๑ ที่ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ร่วมกับกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแนวทางการส่งเสริมเกษตรกรให้เพาะปลูกพืชชนิดอื่นแทนการปลูกยาสูบ หรือสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกยาสูบที่มีความพร้อมปรับเปลี่ยนไปประกอบอาชีพอื่นที่เหมาะสม โดยให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จก่อนที่จะเริ่มฤดูการผลิตในปี ๒๕๖๒/๒๕๖๓ เพื่อให้เกษตรกรที่จะได้รับผลกระทบมีเวลาเพียงพอในการปรับแผนการผลิต รวมทั้งให้รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ ยสท. ประสานความร่วมมือกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในการพัฒนาอาชีพการทำการเกษตรที่ทดแทนการปลูกยาสูบ เพื่อให้มีรายได้ทดแทนจากการจำหน่ายใบยาสูบที่ลดลง ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงการคลังได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
13880 | โครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. 2561 - 2562 และหลักเกณฑ์ แนวทาง และวิธีการจ่ายเงิน | กษ | 04/12/2561 | |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ
๑. เห็นชอบโครงการสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง พ.ศ. ๒๕๖๑-๒๕๖๒ และอนุมัติกรอบวงเงินเพื่อดำเนินโครงการฯ ภายในวงเงินทั้งสิ้น ๑๗,๕๑๒,๗๓๔,๖๑๘ บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยมีรายละเอียด ดังนี้ ๑.๑ ค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือเกษตรกรชาวสวนยาง ในกรอบวงเงิน ๑๗,๐๐๗,๒๐๔,๖๐๐ บาท โดยให้ความช่วยเหลือตามพื้นที่สวนยางเปิดกรีดจริง ในอัตราไร่ละ ๑,๘๐๐ บาท รายละไม่เกิน ๑๕ ไร่ จำนวนพื้นที่เปิดกรีดแล้วรวม ๙,๔๔๘,๔๔๗ ไร่ โดยให้ใช้จากเงินทุนของธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สำรองจ่ายไปก่อน และให้ ธ.ก.ส. จัดทำรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงเสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป ๑.๒ ค่าใช้จ่ายในส่วนของ ธ.ก.ส. ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ค่าธรรมเนียมการโอนเงินและชดเชยต้นทุนเงิน ในอัตรา FDR+1 ในกรอบวงเงิน ๓๗๙,๐๓๐,๐๑๘ บาท เห็นควรให้ ธ.ก.ส. เสนอขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีตามความจำเป็นและเหมาะสมตามขั้นตอนต่อไป เพื่อชดเชยตามผลการจ่ายเงินที่เกิดขึ้นจริง หรือให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ๑.๓ ค่าบริหารจัดการโครงการของการยางแห่งประเทศไทย ในกรอบวงเงิน ๑๒๖,๕๐๐,๐๐๐ บาท เห็นควรให้ใช้จากเงินกองทุนพัฒนายางพารา ตามนัยมาตรา ๔๙ (๓) แห่งพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานของโครงการฯ ตามความจำเป็นและผลการดำเนินงานที่เกิดขึ้นจริง ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมของโครงการฯ ในทุกขั้นตอน รวมถึงการประชาสัมพันธ์และการให้ข้อมูลอย่างถูกต้องกับเกษตรกร เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างรวดเร็วและสามารถเริ่มเบิกจ่ายให้กับเกษตรกรได้ตั้งแต่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ พร้อมทั้งเร่งพิจารณานำเสนอโครงการ ๑ หมู่บ้าน ๑ กิโลเมตร และโครงการบริหารจัดการรักษาเสถียรภาพราคายางพาราของสถาบันเกษตรกรที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติแล้วให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเพื่อสนับสนุนการดูดซับปริมาณยางออกจากระบบในช่วงเวลาดังกล่าว และควรเร่งพิจารณาปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยให้ความสำคัญกับการลดพ้นที่การปลูกยางและการวิจัย พัฒนา และขับเคลื่อนการแปรรูปสินค้าและผลิตภัณฑ์ยางพารา ตลอดจนการปรับปรุงสาระสำคัญของแผนยุทธศาสตร์ยางพาราระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐-๒๕๗๙) เพื่อให้การแก้ไขปัญหาและการพัฒนาอุตสาหกรรมยางดำเนินการไปอย่างเป็นระบบและเกิดความยั่งยืน ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ (เรื่อง การเสนอเรื่องเร่งด่วนต่อคณะรัฐมนตรี) ในการเสนอเรื่องนี้
|
.....