ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1923 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 38441 - 38460 จากข้อมูลทั้งหมด 124241 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
38441 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต | สสป | 28/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีต่อความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การรับมือสิ่งท้าทายอุบัติใหม่เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในอนาคต โดยจะต้องดำเนินการใน ๓ ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ ยุทธศาสตร์การสร้างคนที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ ยุทธศาสตร์การสร้างฐานข้อมูลและระบบเตือนภัยที่เชื่อถือได้ มีความเป็นเอกภาพและรวดเร็วทันเหตุการณ์ และจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ซึ่งที่ประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเห็นต่อข้อเสนอแนะดังกล่าว สรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ ควรมีหน่วยงานกลางที่ทำหน้าที่ในการจัดทำยุทธศาสตร์ วางแผน และประสานงานกับภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับประเทศและระดับสากล และมีการจัดตั้งกลไกการขับเคลื่อนงานทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด เพื่อให้ยุทธศาสตร์การรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ที่จัดทำขึ้นสามารถปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม ๑.๒ ควรส่งเสริม สนับสนุน การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นนโยบายเร่งด่วน ดำเนินการอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องมีการบูรณาการร่วมกัน โดยมีการศึกษาวิเคราะห์และจัดลำดับโครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๓ การพัฒนาด้านความมั่นคงทางด้านอาหารและพลังงาน ควรจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ที่มีแผนปฏิบัติการระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่ชัดเจน สามารถนำไปปฏิบัติให้เกิดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม การศึกษาวิจัยและเก็บข้อมูลในทุก ๆ ด้านที่เกี่ยวข้องต้องมีความสอดคล้องกับความเป็นจริงและสามารถรับมือสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการวางนโยบายพันธุวิศวกรรมและความปลอดภัยทางชีวภาพของประเทศควรอยู่บนพื้นฐานขององค์ความรู้ของประเทศไทย และบูรณาการองค์ความรู้ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และความหลากหลายทางชีวภาพ ส่งเสริมการศึกษาวิจัยทางเทคโนโลยีชีวภาพอย่างจริงจัง และเตรียมความพร้อมทางด้านกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อเข้าเป็นภาคี Cartagena Protocol นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์และแนวทางการรับมือด้านการเกษตรควรคำนึงถึงแรงงานในวัยทำงาน ของภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง การจัดหาสวัสดิการทางสังคมแก่เกษตรกร ๑.๔ ให้มีหน่วยงานคลังสมอง (Think Tank) ของประเทศที่ปฏิบัติหน้าที่รองรับความท้าทาย โดยเน้นในเรื่องของการค้าและการส่งออกสินค้า นวัตกรรม ผลิตภัณฑ์ ผู้เชี่ยวชาญ ซอฟต์แวร์ และการพัฒนาโครงการต่าง ๆ รวมทั้งควรส่งเสริมให้มีการวิจัยและพัฒนาในประเด็นที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง ๑.๕ การมีส่วนร่วมขององค์กรระดับท้องถิ่นและภาคประชาสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะเป็นกลไกหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ตลอดจนแผนงานและโครงการที่เกี่ยวข้องกับการเตรียมความพร้อมให้กับประเทศไทยในการรับมือกับสิ่งท้ายทายอุบัติใหม่ให้ดำเนินไปได้อย่างสัมฤทธิ์ผลเป็นรูปธรรม โดยจะต้องสร้างความเข้าใจ ความตระหนักรู้ถึงปัญหา และเร่งส่งเสริมให้เกิดการประสานความร่วมมือภายในชุมชนในพื้นที่อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ๑.๖ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรับมือกับสิ่งท้าทายอุบัติใหม่ ควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้และการคิดเชิงวิเคราะห์ การปลูกฝังจิตสำนึกสาธารณะ และการสร้างเครือข่ายทางสังคมทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับประชาชนในทุกระดับในการรับมือกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงทั้งในด้านสิ่งแวดล้อมและกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังเกิดขึ้นและคาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ๒. ให้สภาที่ปรึกษาฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับข้อเสนอและความเห็นของที่ประชุมไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติทำหน้าที่หน่วยงานประสานการดำเนินงานและติดตามความก้าวหน้า |
||||||||||||||||||||||||
38442 | รายงานผลการประชุม UNEP High-level Ministerial Conference on Strengthening Transboundary Freshwater Governance | ทส | 28/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบรายงานผลการประชุม UNEP High-level Ministerial Conference on Strengthening
Transboundary Freshwater Governance ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมร่วมกับสำนักเลขาธิการสิ่ง แวดล้อมแห่งสหประชาติ (United Nations Environment Program : UNEP) จัดการประชุมดังกล่าวขึ้นระหว่างวันที่ 20 22 พฤษภาคม 2552 โดยสาระสำคัญของการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาแผนการดำเนินงานกรุงเทพ ฯ และตกลงรับรอง "แผนการดำเนินงานกรุงเทพ ฯ" เพื่อให้มีการนำไปดำเนินการเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งในการ บริหารจัดการน้ำพรมแดนในแต่ละภูมิภาค โดยที่ประชุมขอให้รัฐบาลชาติต่าง ๆ ตระหนึกถึงข้อเสนอแนะที่ได้รับจาก การประชุมระดับรัฐมนตรีในครั้งนี้ ที่ปรากฏอยู่ใน Chair''s Summary และทำงานร่วมกับ UNEP และหุ้นส่วนอื่น ๆ ในการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะดังกล่าว รวมทั้งทบทวนและพิจารณาการประชุมของสหประชาชาติ เรื่อง Non- Navigational Uses of International Watercourses และร่างสนธิสัญญาน้ำบาดาลข้ามพรมแดน กับให้ UNEP จัด เวทีการหารือสำหรับลุ่มน้ำพรมแดน เพื่อช่วยให้มีการปรับปรุงความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้งให้มีการแลก เปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างองค์กรลุ่มน้ำโดยการจัดเวทีครั้งแรกจะจัดในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2554 และให้ UNEP ส่งเสริมการตระหนักรู้ถึงมิติด้านสิ่งแวดล้อมในกรอบกฎหมายน้ำในทุกระดับและให้เกิดความสมานฉันท์ในระดับลุ่ม น้ำพรมแดน ตลอดจนเกิดการพัฒนากรอบความร่วมมือด้านการบริหารจัดการระบบนิเวศน้ำลุ่มน้ำพรมแดน กับให้ UNEP ส่งเสริมมิติด้านสิ่งแวดล้อมของชั้นน้ำบาดาลในระดับวิชาการและระดับการเมือง เพื่อสนับสนุนความพยายาม ของกรรมาธิการกฎหมายนานาชาติ UNESCO และอื่น ๆ นอกจากนี้ ให้ UNEP UNESCO และองค์กรนานาชาติที่ เกี่ยวข้องส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบผสมผสานในระดับลุ่มน้ำพรมแดน
|
||||||||||||||||||||||||
38443 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอว่า ประธานรัฐสภา (นายชัย ชิดชอบ)
ได้แต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีนายดิเรก ถึงฝั่ง เป็นประธานกรรมการ ผู้แทนจากฝ่ายรัฐสภา สมาชิกสภา ผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และผู้ทรงคุณวุฒิจากองค์กรต่าง ๆ เป็นกรรมการ เพื่อทำหน้าที่พิจารณา ศึกษา ค้น คว้า และรวบรวมความเห็นเกี่ยวกับแนวทางในการสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง การปฏิรูปการเมือง และการ แก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ตลอดจนกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ซึ่งคณะกรรมการสมานฉันท์ ฯ ได้ดำเนินการเสร็จแล้ว โดยรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมการสมานฉันท์ ฯ ได้เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา รวม 3 ประเด็น ประกอบด้วย แนวทางในการสร้างความสมานฉันท์ในบ้านเมือง แนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปี 2550 และแนว ทางการปฏิรูปการเมือง
|
||||||||||||||||||||||||
38444 | การควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ขนิดเอ (เอช1 เอ็น1) | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยรับไปดำเนินการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการควบ
คุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ในทุกจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการ จังหวัดเป็นประธาน หัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมเป็นคณะกรรมการ ดำเนินการติด ตาม วิเคราะห์สถานการณ์ของโรค วางแผนปฏิบัติการควบคุมป้องกันการระบาดของโรค และมีกลไกในการติดตาม กำกับให้หน่วยงานที่รับผิดชอบปฏิบัติตามมาตรการที่กำหนดจากส่วนกลาง และที่กำหนดขึ้นในพื้นที่ และรายงาน สถานการณ์และผลการปฏิบัติงานต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งติดตามผู้ป่วยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอช1 เอ็น1) ทุกราย และให้กระทรวงมหาดไทยประสานกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อขอความร่วม มือในการผลิตหน้ากากอนามัยที่ทำจากผ้าเพื่อความประหยัดและลดปริมาณขยะจากหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วซึ่งทำ จากกระดาษ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38445 | การแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำ | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอการแก้ไขปัญหาราคาลำไยตกต่ำ โดยให้กระทรวง
การคลังรับไปพิจารณาเร่งรัดการปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการสามารถรับซื้อลำไยได้มากยิ่งขึ้น และให้กระทรวง เกษตรและสหกรณ์รับไปพิจารณาสนับสนุนให้สหกรณ์ หรือองค์กรต่าง ๆ มีโอกาสเข้าร่วมโครงการบริหารจัดการ ลำไย ปี 2552 ให้มากขึ้น โดยอาจพิจารณาผ่อนผันหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามความเหมาะสมและจำเป็น
|
||||||||||||||||||||||||
38446 | การแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้รองนายกรัฐมนตรี (นายสุเทพ เทือกสุบรรณ) ประธานกรรมการนโยบาย
ยางธรรมชาติรับไปเร่งรัดดำเนินการแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38447 | ร่างระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราชการทหารอาวุโส ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ต่อเวลาราชการ พ.ศ. .... | กห | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบการกำหนดให้สมุหราชองครักษ์และรองสมุหราชองครักษ์ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชา นุมัติให้ต่อเวลาราชการมีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษเช่นเดียวกับข้าราชการพลเรือนในพระองค์ อาวุโส โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2545 ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ถึง พ.ศ. 2551 ไม่ขอรับ เป็นจำนวนเงินโดยขอรับเป็นจำนวนขั้นแทน สำหรับประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ขอรับเป็นจำนวนเงิน ซึ่งต้อง ใช้งบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 จำนวน 1,874,280 บาท จากแผนงานรักษาความสงบเรียบร้อย ภายในประเทศ งบบุคลากร ของกรมราชองครักษ์ โดยไม่ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อการนี้ และ ให้ดำเนินการต่อไปได้ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ 2. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้า ราชการทหารอาวุโส ซึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ ให้ต่อเวลาราชการ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหม เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้ว ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญคือ 2.1 กำหนดให้ข้าราชการทหารอาวุโสผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มสำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษของข้าราช การทหารอาวุโสตามระเบียบฉบับนี้ จะต้องเป็นผู้ได้รับเงินเดือนเต็มขั้นสูงสุดของระดับในวันที่ 30 กันยายนของปี งบประมาณใด และไม่ได้รับเงินเดือนในระดับที่สูงขึ้นในวันแรกของปีงบประมาณถัดไป หากต่อมาได้รับเงินเดือนใน ระดับที่สูงขึ้น ก็ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนด 2.2 กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขผู้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มตามร่างระเบียบฉบับนี้ 2.3 กำหนดให้ผู้ที่ได้รับเงินเพิ่มไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบกระทรวงการคลัง 2.4 กำหนดให้คณะกรรมการข้าราชการทหารเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยการได้รับเงินเพิ่ม และให้ถือคำ วินิจฉัยของคณะกรรมการเป็นที่สุด |
||||||||||||||||||||||||
38448 | ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การจัดทำบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ | พณ | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เกี่ยวกับร่างบันทึกความตกลงว่าด้วยการ ซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์ โดยคณะกรรมการ ฯ เห็นว่าร่างบันทึกความตกลง ฯ มิได้อยู่ภายใต้บังคับของกฎ หมายระหว่างประเทศ จึงไม่ครบองค์ประกอบเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย ประกอบกับร่างบันทึกความตกลง ฯ เป็นเพียงการปฏิบัติตามขั้นตอนเพื่อให้เกิดสิทธิในการเข้าร่วมประมูลขาย ข้าวให้แก่รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์เท่านั้น ส่วนการซื้อขายจริง นั้น ยังต้องเป็นไปตามผลการประมูลระหว่าง ผู้ขายทั้งหลายซึ่งรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยจะเข้าร่วมประมูลหรือไม่ก็ได้ 2. อนุมัติตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 2.1 อนุมัติการลงนามบันทึกความตกลงว่าด้วยการซื้อขายข้าวระหว่างไทยกับฟิลิปปินส์โดยมอบอำนาจ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำที่มิได้ทำให้สาระสำคัญในร่าง บันทึกความตกลง ฯ เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมให้อยู่ในดุลยพินิจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่จะดำเนินการได้ 2.2 ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้รัฐมนตรีว่า การกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้ลงนามในบันทึกความตกลง ฯ
|
||||||||||||||||||||||||
38449 | ขออนุมัติให้ประเทศไทยให้สัตยาบันพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วยบริการขนส่งสินค้าทางอากาศ (2545) | คค | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการให้ประเทศไทยให้สัตยาบันพิธีสารแก้ไขบันทึกความเข้าใจว่าด้วย
บริการขนส่งสินค้าทางอากาศ (2545) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้เสนอพิธีสารดังกล่าวไปเพื่อรัฐสภา ให้ความเห็นชอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
38450 | มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินงานตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) | คค | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้เข้าดำเนินงานตามพระราช บัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 ของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เพื่อบรรเทาผลกระทบของอุตสาหกรรมการบินและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการปิดท่าอากาศ ยานสุวรรณภูมิ โดยให้เปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในสัญญาของโครงการตามมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนี้ โครงการระบบให้บริการเชื้อเพลิงอากาศยานขยายเฉพาะอายุสัญญาออกไปอีก 2 ปี สำหรับโครงการอุปกรณ์ บริการภาคพื้นและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการซ่อมบำรุง โครงการครัวการบิน และโครงการคลังสินค้า ณ ท่า อากาศยานสุวรรณภูมิ ยกเว้นค่าตอบแทนขั้นต่ำในปี พ.ศ. 2552 และเลื่อนการเก็บค่าตอบแทนขั้นต่ำ ตั้งแต่ปี 2552 ไปกำหนดเป็นค่าตอบแทนของปีต่อไปจนครบอายุสัญญา รวมทั้งขยายอายุสัญญาออกไปอีก 2 ปี ตามที่กระทรวง คมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย ทอท. ประมาณการและประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นซึ่งมีผลต่อ ผู้ประกอบการคู่สัญญาแต่ละรายให้สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง แล้วจึงพิจารณากำหนดมาตรการในการ ให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการดังกล่าวตามความเหมาะสม โดยไม่ควรให้ความช่วยเหลือเป็นเงิน และไม่เกิดมูลค่า ความเสียหายที่ประเมินได้ แล้วให้ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลังและสำนักงานอัยการสูงสุด ที่เห็นว่า การแก้ไข สัญญาทั้ง 4 โครงการดังกล่าว คณะกรรมการ ทอท. ควรพิจารณาแก้ไขสัญญาตามมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ให้สอดคล้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ที่ ทอท. พึงจะได้รับจากสัญญาที่ได้มี การตกลงไว้ และให้ ทอท. เร่งจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานในการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายเพื่อชด เชยรายได้ที่ลดลงประมาณ 773.76 ล้านบาท ในช่วงอายุสัญญา 20 ปี รวมถึงแผนการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยาน ดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิให้เกิดประโยชน์สูงสุด เนื่องจากมาตรการดังกล่าวทำให้ ทอท. อาจมีผลการ ดำเนินงานขาดทุน ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
38451 | ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน อาเซียน+3 และเอเชียตะวันออก | พน | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบ 1.1 ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีอาเซียนด้านพลังงาน (Joint Ministerial Statement of the 27th AMEM) 1.2 ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงาน EAS (Joint Ministerial Statement of the 3rd EAS EMM) 1.3 ร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีพลังงานอาเซียน+3 (Joint Ministerial Statement of 6th AMEM+3) 2. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานหรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวง พลังงานเป็นผู้ให้การรับรองในร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับ ร่วมกับรัฐมนตรีพลังงานประเทศสมาชิกอาเซียน อาเซียน+3 และเอเชียตะวันออก 3. อนุมัติให้กระทรวงพลังงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสามารถพิจารณาปรับปรุงถ้อยคำใน ร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญของร่างแถลงการณ์ร่วมได้ตามความเหมาะสมก่อนที่จะ มีการรับรองโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลัง งานเป็นผู้ให้การรับรองร่างแถลงการณ์ร่วมทั้ง 3 ฉบับดังกล่าว
|
||||||||||||||||||||||||
38452 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไผ่โทน ตำบลน้ำเลา ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง และตำบลห้วยม้า ตำบลน้ำชำ ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่ตำบลไผ่โทน ตำบลน้ำเลา ตำบลบ้านเวียง อำเภอร้องกวาง และตำบลห้วยม้า ตำบลน้ำชำ ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่ตำบลไผ่โทน ตำบลน้ำเลา ตำบลบ้านเวียง อำเภอ ร้องกวาง และตำบลห้วยม้า ตำบลน้ำชำ ตำบลบ้านถิ่น อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ที่สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับข้อสังเกตของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับร่างพระ ราชกฤษฎีกาฉบับนี้มีแนวเขตปฏิรูปที่ดินบางส่วนอยู่ในพื้นที่ที่ควรสงวนไว้ไม่นำไปปฏิรูปที่ดิน สมควรที่สำนักงาน การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมต้องประสานกับกรมป่าไม้ เมื่อจะเข้าดำเนินการปฏิรูปที่ดินในพื้นที่ดังกล่าว ไป พิจารณาดำเนินการด้วย และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
38453 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่บางแห่งในอำเภอบึงกาฬ อำเภอศรีวิไล อำเภอบุ่งคล้า อำเภอพรเจริญ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบึงโขงหลง และอำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... | กษ | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดิน ในท้องที่บางแห่งในอำเภอบึงกาฬ
อำเภอศรีวิไล อำเภอบุ่งคล้า อำเภอพรเจริญ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบึงโขงหลง และอำเภอเซกา จังหวัดหนอง คาย ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตปฏิรูปที่ดินในท้องที่บางแห่งในอำเภอบึงกาฬ อำเภอศรีวิไล อำเภอบุ่งคล้า อำเภอพรเจริญ อำเภอโซ่พิสัย อำเภอบึงโขงหลง และอำเภอเซกา จังหวัดหนอง คาย ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ ดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
38454 | รายงานผลการดำเนินการแผนพัฒนาหอสมุดแห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย | วธ | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานผลการดำเนินการแผนพัฒนาหอสมุด
แห่งชาติให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทันสมัย โดยมีร้อยละของการดำเนินการตามเป้าหมาย สรุปได้ดังนี้ 1. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 1.1 การขนย้ายหนังสือและสิ่งของเสร็จเรียบร้อยแล้ว 1.2 จัดทำแผนพัฒนางานสารสนเทศสำนักหอสมุดแห่งชาติ และได้รับการอนุมัติจากอธิบดีกรม ศิลปากรเพื่อของบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.3 ดำเนินการออกแบบรูปรายการในการปรับปรุงอาคารหลังเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้วเพื่อของบ ประมาณในปี พ.ศ. 2554 2. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 2.1 ดำเนินการประมูลการจ้างด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2551 มีบริษัท ที่ให้ราคาต่ำสุดเสนอราคาที่ 438,000,000 บาท และได้ทำสัญญาจ้างเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2552 3. ปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 3.1 ดำเนินการสำรวจสถานที่เพื่อเตรียมดำเนินการก่อสร้างอาคาร เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2552
|
||||||||||||||||||||||||
38455 | กรอบและแนวทางการดำเนินมาตรการข้าว ปี 2552/53 | พณ | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการแนวทางการดำเนินมาตรการข้าว ปี 2552/53 โดยให้ดำเนินการประกันราคา ข้าวเปลือกแก่เกษตรกรเป็นการทั่วไป เพื่อให้เกษตรกรได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง และแก้ไขปัญหาความสามารถใน การแข่งขันส่งออกของประเทศ ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ในการประชุมเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 ดังนี้ 1.1 ให้คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการผลิต พิจารณากำหนดราคาประกันข้าวเปลือก แต่ละชนิดที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิตข้าวเปลือกแต่ละชนิดและค่าตอบแทนที่เหมาะสมที่เกษตรกร ควรจะได้รับ พร้อมทั้งเร่งรัดการจัดทำทะเบียนเกษตรกร เพื่อนำมาใช้ประกอบในการประกันราคาข้าวเปลือกและ มาตรการอื่น ๆ และให้นำเสนอคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาในการประชุมครั้งต่อไป 1.2 ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการประกัน ราคาข้าวเปลือกเพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรเกี่ยวกับราคาประกัน ราคาอ้างอิง การชดเชยราคา ของรัฐ รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และผลที่เกษตรกรจะได้รับจากการประกันราคาข้าวเปลือก 1.3 ให้คณะอนุกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติด้านการผลิต พิจารณากำหนดมาตรการรักษาเสถียร ภาพราคาข้าวเปลือก เพื่อเป็นมาตรการเสริมเพิ่มเติมจากการประกันราคาข้าวเปลือก และให้นำเสนอมาตรการต่อ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติพิจารณาในครั้งต่อไป 2. ให้กระทรวงพาณิชย์ประสานและเร่งรัดจัดทำรายละเอียดของแนวทางการดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้ ชัดเจนแล้วเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายใน 2 สัปดาห์
|
||||||||||||||||||||||||
38456 | การกู้เงินเพื่อบรรเทาผลกระทบสภาพคล่องของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จากการดำเนินการ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน | มท | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคดำเนินการกู้เงินในประเทศภายในกรอบวงเงินไม่เกิน
2,900 ล้านบาท โดยรัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายใด ๆ อันเกิดจากการกู้เงินดัง กล่าว ทั้งนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อสภาพคล่องจากการดำเนินการ 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยให้กระทวงการคลังค้ำประกันเงินต้นและดอกเบี้ย |
||||||||||||||||||||||||
38457 | ผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
ดังนี้ 1. รับทราบผลการประชุมระดับรัฐมนตรีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 (15th GMS Ministerial Conference) ซึ่งจัดขึ้น ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ระหว่างวันที่ 17-19 มิถุนายน 2552 2. เห็นชอบข้อเสนอแผนการดำเนินงานในระยะเร่งด่วนเพื่อสนับสนุนแผนงาน GMS และมอบหมายให้ หน่วยงานรับไปดำเนินการ โดยประสานกับ สศช. ต่อไป ดังนี้ 2.1 การเตรียมการจังหวัดที่เกี่ยวข้องเพื่อเข้าร่วมการประชุมเวทีหารือผู้ว่าราชการจังหวัดตามแนวพื้น ที่พัฒนาเศรษฐกิจ (Governors'' Forum) และการประชุมเวทีขับเคลื่อนการพัฒนาแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจ (Econo mic Corridor Forum-ECF) ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพจัดประชุมดังกล่าวระหว่างวันที่ 16-17 กันยายน 2552 โดย ในส่วนของไทยจะจัดประชุมผู้ว่าราชการจังหวัดเพื่อสร้างความเข้าใจในกรอบแผนงาน GMS และเตรียมความพร้อม เพื่อเข้าร่วมการประชุมดังกล่าว มี สศช. และกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้รับผิดชอบหลัก 2.2 การเร่งรัดการดำเนินงานตามความตกลงขนส่งข้ามพรมแดน (Cross Border Transport Agree ment-CBTA) ประกอบด้วย การเร่งรัดการแลกเปลี่ยนสิทธิจราจรการขนส่งข้ามพรมแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ณ ด่านอรัญประเทศ/ปอยเปต ภายในปี พ.ศ. 2552 การเริ่มดำเนินงานเจรจาการอำนวยความสะดวกการขนส่งข้าม พรมแดนระหว่างไทย-ลาว-จีน ภายในปี พ.ศ. 2552 และให้สัตยาบันพิธีสารและภาคผนวกแนบท้าย มีกระทรวง คมนาคมเป็นผู้รับผิดชอบหลัก 2.3 การผลักดันการดำเนินงานระบบศุลกากรผ่านแดน (Customs Transit System-CTS) ตามแนว EWEC ระหว่างไทย-ลาว-เวียดนาม และขยายการดำเนินงานไปยังประเทศสมาชิกอื่น มีกรมศุลกากรและสภาหอ การค้าแห่งประเทศไทยเป็นผู้รับผิดชอบหลัก 2.4 การพัฒนาความร่วมมือด้านการลงทุนของอนุภูมิภาคตามแนวทางการดำเนินงานด้านการลงทุน ที่ได้รับความเห็นชอบในที่ประชุมระดับรัฐมนตรี 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 15 มีสำนักงานคณะกรรมการส่ง เสริมการลงทุนเป็นผู้รับผิดชอบหลัก |
||||||||||||||||||||||||
38458 | นายวัฒนา ธำรงสัตย์ ขออนุญาตเข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้ายและป่าแม่กกฝั่งขวา เพื่อทำเหมืองแร่หินปูนและหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้าง ตามประทานบัตรที่ 16319/14023 ท้องที่จังหวัดเชียงราย | ทส | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติผ่อนผันให้นายวัฒนา ธำรงสัตย์ เข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าแม่ลาวฝั่งซ้าย และป่าแม่กกฝั่งขวา เพื่อการทำเหมืองแร่หินปูนและหินอุตสาหกรรม เพื่อการก่อสร้าง ตามประทานบัตรที่ 16319 /14023 ท้องที่จังหวัดเชียงราย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะราย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรมีแนวทางหรือมาตรการดำเนินการภายหลังสิ้นสุดอายุประทานบัตร เพื่อให้ ผู้ที่ได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติจะต้องดำเนินการฟื้นฟูพื้นที่ป่าให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่ กำหนดอย่างถูกต้องครบถ้วน
|
||||||||||||||||||||||||
38459 | ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | ศย | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง
(ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดย ร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดให้กรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนโดยไม่มีการจับให้พนักงานสอบสวนสั่งให้ ผู้ต้องหาไปพบพนักงานอัยการเพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาต่อศาลได้ 2. กำหนดให้กรณีผู้ต้องหาไม่ถูกควบคุมตัวและพนักงานสอบสวนสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาลเพื่อออกหมาย ขัง ให้พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการยื่นคำร้องขอผัดฟ้องพร้อมกับการขอให้ศาลออกหมายขัง 3. กำหนดให้การขออนุญาตฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดเวลาตามมาตรา 7 ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธี การและเงื่อนไขที่กำหนดในข้อบังคับของอัยการสูงสุด 4. กำหนดให้กรณีผู้ต้องหาซึ่งมิได้ถูกควบคุมตัวให้การสารภาพตลอดข้อหาให้พนักงานสอบสวนสั่งให้ ผู้ต้องหาไปพบพนักงานอัยการ เพื่อให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลโดยไม่ต้องทำการสอบสวนได้ หากผู้ต้อง หาไม่ไปพบพนักงานอัยการ ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับผู้ต้องหาได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ 5. กำหนดให้ประธานศาลฎีกา นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และอัยการสูงสุด รักษาการตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ รวมทั้งให้ประธานศาลฎีกาและอัยการสูงสุดมีอำนาจออกข้อบังคับ นายก รัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจออกกฎกระทรวงในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอำนาจหน้าที่ ของตน |
||||||||||||||||||||||||
38460 | แนวทางการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ | นร | 21/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบและเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ 1.1 รับทราบรายงานการศึกษาเรื่องแนวทางการบริหารจัดการรัฐวิสหากิจ 1.2 เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ 1.2.1 การกำหนดบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบของคณะกรรมการกับฝ่ายบริหารของรัฐวิสาหกิจ ให้ชัดเจน ตามหลักการการกำกับดูแลกิจการที่ดีของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจ ควรทำหน้าที่หลักในการกำหนดทิศทาง นโยบาย กลยุทธ์องค์กร และกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจในภาพรวมให้ทำงานได้ อย่างมีประสิทธิภาพ และแข่งขันได้ โดยไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้าง ส่วนฝ่ายบริหารควรมีบทบาทและหน้า ที่ในการบริหารจัดการองค์กรตามพันธกิจและแผนงานที่กำหนด 1.2.2 การกำหนดให้ทุกรัฐวิสาหกิจมีหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม โดยกำหนดแนวทางและหลัก เกณฑ์การดำเนินงานให้เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน 1.2.3 การทบทวนหลักเกณฑ์การค้ำประกันเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจที่รัฐมีภาระต้องค้ำประกันอย่างต่อ เนื่องเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อกรอบการค้ำประกันเงินกู้ของโครงการลงทุนใหม่ โดยกรณีที่รัฐวิสาหกิจประสบภาวะขาด ทุนจากการดำเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล ควรชดเชยผลการขาดทุนดังกล่าว โดยจัดตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยให้ ทันทีภายหลังสิ้นสุดโครงการเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อฐานะการเงินขององค์กร และเป็นการลดภาระการค้ำประกัน เงินกู้ของรัฐ 2. ให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจรับเรื่องนี้ไปเสนอคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจเพื่อพิจารณาจัดทำแนวทางปฏิบัติในรายละเอียดต่อไป โดยให้รับความเห็นของสำนักงบประมาณ เกี่ยวกับกรณีรัฐวิสหากิจใดมีผลการดำเนินงานที่ดีและมีความเข้มแข็งเพียงพอสามารถรับภาระได้เอง ก็ไม่จำเป็นต้อง ขอให้รัฐค้ำประกัน เพื่อลดภาระการค้ำประกันเงินกู้ของภาครัฐ รวมทั้งลดผลกระทบต่อกรอบการค้ำประกันเงินกู้ของ โครงการลงทุนใหม่ได้ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ในการชดเชยผลการขาดทุนกรณีที่รัฐวิสาหกิจ ประสบภาวะการขาดทุนจากการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล นั้น ต้องพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป ตามความจำเป็น และเหมาะสมให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น การดำเนินงานเร่งด่วนตามนโยบาย ของรัฐบาล การให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนและสังคม ประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการบริหารจัดการองค์ กรของแต่ละรัฐวิสาหกิจ และความพร้อมด้านงบประมาณของรัฐ เป็นต้น
|
.....