ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1927 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 38521 - 38540 จากข้อมูลทั้งหมด 124241 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
38521 | การประชุมสุดยอดระดับประมุขของรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาลของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ครั้งที่ 15 | กต | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างเอกสารสุดท้าย (Final Document) ของการประชุมสุดยอดระดับประมุข
ของรัฐหรือหัวหน้ารัฐบาลของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ครั้งที่ 15 (XV Summit of Heads of State and Govern ment of the Non-Aligned Movement : 15th NAM Summit) ระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคม 2552 ณ เมืองชาร์ม เอล เชค ประเทศอียิปต์ โดยร่างเอกสารดังกล่าวสะท้อนท่าทีและการดำเนินการของกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดใน เรื่องต่าง ๆ ในระดับโลกและภูมิภาค อาทิ ปัญหาการเมือง ความมั่นคง และสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา ตามที่ กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38522 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหารจัดการทรัพยากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรม" | สสป | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การบริหาร จัดการทรัพยากรบุคลากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรม" ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติเสนอ สรุปได้ดังนี้ 1.1 ให้มีการจัดตั้งกรรมการบริหารจัดการบุคลากรอย่างเป็นระบบในภาคอุตสาหกรรมโดยมีนายก รัฐมนตรีเป็นประธาน และมีกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน และกระทรวงอุตสาหกรรม เป็น 3 กระทรวง หลักร่วมกับภาคเอกชนซึ่งประกอบด้วยสภาอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง 1.2 จัดทำแผนการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้สอดคล้องกับความต้องการของระบบอุตสาหกรรมแต่ ละประเภท พื้นฐานทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของไทย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับตลาด โลก 1.3 ปรับปรุงฐานข้อมูลด้านความต้องการแรงงานของภาคอุตสาหกรรมตามตำแหน่ง ประเภทของ อุตสาหกรรม และความต้องการในแต่ละพื้นที่ พร้อมทั้งพัฒนามาตรฐานของข้อมูลแต่ละระดับ มีการแลกเปลี่ยน ข้อมูลระหว่างกันและจัดทำการวัดผลิตภาพแรงงานให้มีความน่าเชื่อถือ และให้ทุกหน่วยงานอ้างอิงจากแหล่งเดียว กัน 1.4 จัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงาน สนับสนุนงบประมาณในการสอบเทียบ และกำหนดโครงสร้างผล ตอบแทนให้ขึ้นอยู่กับฝีมือแรงงาน เพื่อให้ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษาได้พัฒนาฝีมือแรงงานและได้รับผล ตอบแทนที่สูงสุดตามทักษะแรงงานของตน 1.5 แรงงานไทยยังขาดความรู้พื้นฐานและต้องการฝึกอบรมทางด้านทั่วไป (Generic Training) โดย เฉพาะในด้านภาษาต่างประเทศ การใช้คอมพิวเตอร์ การเป็นผู้นำ การทำงานเป็นทีมและการแก้ปัญหา 1.6 การฝึกทักษะเพิ่มเติมหรือการฝึกระหว่างทำงานเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะบทบาทของนายจ้าง หรือสถานประกอบการที่จะเข้ามามีส่วนรร่วมในการฝึกทักษะดังกล่าว 1.7 สนับสนุนและยกระดับอุตสาหกรรมของประเทศให้เท่าเทียมกับประเทศที่พัฒนาแล้วที่มีการจัด การทดสอบผู้บริหารโรงงาน เพื่อให้มีความรอบรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารและการพัฒนาบุคลากร รวมถึง เทคโนโลยีต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้สามารถบริหารโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยเหลือมิให้โรงงานประสบกับ ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลต่อแรงงานจำนวนมาก 1.8 การพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำควรจะมีการกำหนดดัชนีชี้วัดที่ชัดเจนว่าถึงเวลาที่จะปรับค่าแรงขั้นต่ำ แล้ว เพื่อผู้ประกอบการจะได้เตรียมตัวล่วงหน้า 1.9 รัฐควรวางแผนและพัฒนากำลังคนของประเทศเพื่อให้มีความเหมาะสมทั้งระดับเทคนิคที่ต้องใช้ อาชีวศึกษาและงานอาชีพระดับปริญญาโดยส่งเสริมบุคลากรให้เลือกเรียนและพัฒนาความสามารถที่เหมาะสมกับ ตัวเองทั้งทางด้านโอกาส สติปัญญา และทุนทรัพย์ 2. รับทราบความเห็น ผลการพิจารณา และผลการดำเนินการของกระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาห กรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยย และสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับความเห็นและข้อเสนอ แนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
|
||||||||||||||||||||||||
38523 | ขออนุมัติใช้เงินบำรุงก่อสร้างอาคารผ่าตัด คลอด ผู้ป่วยหนักศัลยกรรม โรงพยาบาลยโสธร | สธ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้โรงพยาบาลยโสธร ก่อหนี้ผูกพันเกินกว่า 1 ปี ด้วยเงินบำรุงโรงพยาบาล
วงเงิน 121,900,000 บาท ก่อสร้างอาคารผ่าตัด คลอด ผู้ป่วยหนักศัลยกรรม ตามแบบเลขที่ 9868 และเอก สารเลขที่ ข.135/พ.ย./47 จำนวน 1 หลัง ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38524 | การปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2552 ครั้งที่ 4 | กค | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและอนุมัติในหลักการการปรับปรุงแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบ
ประมาณ พ.ศ. 2552 ครั้งที่ 4 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้เป็นไปตามพระ ราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ด้วย ส่วน ค่าดอกเบี้ยสำหรับการกู้เงินภายใต้พระราชกำหนด ฯ จำนวน 15,300 ล้านบาท ที่สำนักงบประมาณจัดสรรจาก เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 เพิ่มเติมนั้น ให้กระทรวงการคลังเสนอขอเพิ่มงบประมาณ รายจ่าย ในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบ ประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
38525 | แนวทางดำเนินการโครงการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 | พณ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการแนวทางการประกันราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปี 2552/53 ตามมติ
คณะกรรมการนโยบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ โดยมีแนวทางดำเนินการดังนี้ 1. ประกาศราคาประกันขั้นต่ำข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ชนิดเมล็ดความชื้นไม่เกิน 14.5% ณ จุดรับซื้อที่เข้าร่วม โครงการ ฯ โดยใช้เกณฑ์ต้นทุนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ความชื้นไม่เกิน 14.5% เฉลี่ยทั้งประเทศ เท่ากับกิโลกรัม ละ 5.43 บาท ของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร รวมค่าขนส่งให้แก่เกษตรกรจากไร่นาไปยังจุดรับซื้อ เฉลี่ยกิโล กรัมละ 0.25 บาท และค่าตอบแทนให้เกษตรกรร้อยละ 25 คิดเป็นราคาประกันขั้นต่ำกิโลกรัมละ 7.10 บาท 2. จัดทำสัญญาประกันราคา ตั้งแต่เดือนสิงหาคม-พฤศจิกายน 2552 โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำสัญญา ฯ กับเกษตรกรที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการ ฯ ในพื้นที่เป้าหมายจังหวัด แหล่งผลิต โดยเกษตรกรต้องมีหนังสือรับรองการขึ้นทะเบียนเกษตรกรที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกให้ 3. และเมื่อครบกำหนดระยะเวลาประกัน หากราคาขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในตลาดต่ำกว่าราคาประกันที่ ตกลงไว้ตามสัญญา เกษตรกรจะได้รับเงินส่วนต่างระหว่างราคาประกันกับราคาตลาดอ้างอิง หากราคาตลาดสูง กว่าราคาประกันขั้นต่ำ เกษตรกรสามารถขายข้าวโพดในตลาดท้องถิ่นได้ตามปกติ
|
||||||||||||||||||||||||
38526 | ขอให้พิจารณาอนุมัติงบประมาณ เพื่อดำเนินโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง | กษ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอเกี่ยวกับการดำเนินโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่าง เก็บน้ำประแสร์ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง ว่าวงเงินค่าใช้จ่ายที่ควรจะเป็นในการก่อสร้างโครงการ ฯ จำนวน 1,677,665,681 บาท ตามมติที่ประชุมร่วมกันกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552 โดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) จะขอรับการจัดสรรงบประมาณ จำนวน 1,008,000,000 บาท ตามกรอบวงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 เพื่อให้กรมชลประทานนำไปชำระให้แก่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ EAST WATER ส่วนค่าก่อสร้างส่วน ที่เหลืออีกจำนวน 669,665,681 บาท ให้หักกลบลบหนี้จากค่าน้ำดิบที่ EAST WATER ต้องชะรำให้แก่กรมชล ประทานหลังจากที่มีการสูบน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปยังอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ สำหรับการตรวจรับงาน ให้ กรมชลประทานดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ฯ ที่กำหนดไว้ และให้กรมชลประทานเสนอ ขอยกเว้นหรือผ่อนผันไม่ปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ทั้งฉบับต่อคณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุ ทั้งนี้ ภายหลังการดำเนินการก่อสร้างโครงการ ฯ แล้วเสร็จ กรมชล ประทานจะเป็นผู้ดำเนินการบริหารจัดการน้ำของโครงการ ฯ ต่อไป 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กรมชลประทาน) ดำเนินการจัดซื้อทรัพย์สินที่จะเกิดจากการก่อ สร้างโครงการวางท่อเชื่อมจากอ่างเก็บน้ำประแสร์ไปอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่ จังหวัดระยอง จาก EAST WATER ใน วงเงินไม่เกิน 1,677,665,681 บาท (ตามมติที่ประชุมของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2552) ซึ่ง EAST WATER ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2548 (เรื่อง การบริหารจัดการน้ำ การแก้วิกฤตน้ำภาคตะวันออก) โดยดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนของระเบียบ สำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ.ศ. 2535 |
||||||||||||||||||||||||
38527 | ขออนุมัติลงนามและดำเนินการให้ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (ความตกลงโอนตัวนักโทษ) มีผลใช้บังคับ | กต | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือเอกอัครราชทูต ณ กรุงพนม
เปญแล้วแต่กรณี ลงนามความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชาว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้อง คำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษาในคดีอาญา (ความตกลงโอนตัวนักโทษ) มี ผลใช้บังคับ และให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการให้ความตกลง ฯ มีผลใช้บังคับในโอกาสอันเหมาะสม ตามแต่จะตกลงกับฝ่ายกัมพูชาต่อไป ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38528 | ขออนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี | สธ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ 1.1 อนุมัติให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เปลี่ยนแปลงรายละเอียดของราย การงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 ค่าก่อสร้างอาคารผู้ป่วยใน อาคาร คสล. 7 ชั้น และชั้น จอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง และอาคารห้อง เครื่อง 1 หลัง ตามแบบเลขที่ 10108 เอกสารเลขที่ ข.133/ก.ย./51 ซึ่งทำให้ราคากลางสูงกว่าวงเงินงบประมาณ ที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เกินกว่าร้อยละ 5 1.2 อนุมัติให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณเกิน กว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติไว้ และอนุมัติเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณค่าก่อสร้างของโรงพยาบาลสรรพ สิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี จากอาคารผู้ป่วยใน เป็นอาคาร คสล. 7 ชั้น และชั้นจอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอย ประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง เป็นอาคารผู้ป่วยใน อาคาร คสล. 7 ชั้น และ ชั้นจอดรถใต้ดิน พื้นที่ใช้สอยประมาณ 13,950 ตารางเมตร พร้อมอุปกรณ์ประกอบอาคาร 1 หลัง และอาคารห้อง เครื่อง 1 หลัง ตามแบบเลขที่ 10108 เอกสารเลขที่ ข.133/ก.ย./51 เป็นวงเงินรวมทั้งสิ้น 203,500,000 บาท 2. อนุมัติให้กระทรวงสาธารณสุขยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2552 (เรื่อง การปรับปรุงแก้ไขมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณและมาตรการอื่นที่ เกี่ยวข้อง) กรณีที่เปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการทำให้ประมาณการราคาสูงกว่าวงเงินงบประมาณที่คณะรัฐมนตรีได้ อนุมัติให้ก่อหนี้ผูกพันไว้เกินกว่าร้อยละ 5
|
||||||||||||||||||||||||
38529 | การจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง | กค | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการคลังออกพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้มแข็ง โดยมีรายละเอียด เงื่อน
ไข และวิธีการจำหน่ายพันธบัตรตามแนวทางเดิม คือ พันธบัตรที่จำหน่ายจะมีอายุ 5 ปี และมีอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 ร้อยละ 3 ต่อปี ปีที่ 3 ร้อยละ 4 ต่อปี ปีที่ 4-5 ร้อยละ 5 ต่อปี โดยมอบให้ธนาคารพาณิชย์ 7 แห่ง เป็นผู้จัดจำหน่าย ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ โดยให้กระทรวงการคลังเพิ่มวงเงินจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข้ม แข็งอีก 30,000 ล้านบาท รวมเป็นวงเงินจำหน่ายทั้งสิ้น 80,000 ล้านบาท โดยการจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ดัง กล่าวในส่วนที่สองและส่วนที่สาม วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้ดำเนินการตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวง การคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
38530 | ขออนุมัติลงนามและให้สัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับญี่ปุ่นว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษาและความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) | กต | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
1. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ลงนามสนธิสัญญา ระหว่างราชอาณาจักรไทยกับญี่ปุ่นว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องคำพิพากษา และความร่วมมือในการบังคับให้เป็นไป ตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) และให้กระทรวงการต่างประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญา ฯ ใน โอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายญี่ปุ่นต่อไป 2. ให้มีการแลกเปลี่ยนหนังสือยืนยันความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นคนชาติของญี่ปุ่นระหว่างพิธีลงนาม สนธิสัญญา ฯ
|
||||||||||||||||||||||||
38531 | ขอความเห็นชอบในหลักการโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่จังหวัดตราด | คค | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการและอนุมัติให้กรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวีดำเนินโครงการก่อสร้างท่า เทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด ในวงเงินงบประมาณ 1,295.67 ล้านบาท ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน (ปี พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2555) (ปี พ.ศ. 2553 จำนวน 259.134 ล้านบาท ปี พ.ศ. 2554 จำนวน 431.890 ล้านบาท และปี พ.ศ. 2555 จำนวน 604.646 ล้านบาท) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ 2. ให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชยนาวี รับความเห็นของกระทรวงทรัพยา กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักงบประมาณ และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรจัดทำข้อมูลรายละเอียดโครงการ ฯ ให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อเสนอต่อ คณะอนุกรรมการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งเพื่อพิจารณาให้ข้อเสนอแนะแนวทางในการจัดการพื้นที่ป่าชาย เลนและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบริเวณใกล้เคียงโครงการ ฯ และกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการท่า เรือเพื่อให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุน และพัฒนาระบบให้เชื่อมโยงกับการขนส่งทางบกภายในประเทศ รวมทั้ง พิจารณาแนวทางและรูปแบบผู้รับผิดชอบการบริหารจัดการท่าเรือ ทั้งการเพิ่มบทบาทขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นหรือภาคเอกชนให้เกิดความชัดเจนเพื่อให้การให้บริการของท่าเทียบเรือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพตาม มาตรฐานสากลทั้งในด้านการจัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์ การกำหนดอัตราค่าภาระท่าเรือ การจัดหาสิ่งอำนวย ความสะดวกในการเดินเรือ ตลอดจนการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าระหว่างการขนส่งรูปแบบต่าง ๆ ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
38532 | ปัญหาราษฎรร้องเรียนที่ดินทำกินและบุกรุกพื้นที่ | กษ | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเรื่อง ปัญหาราษฎรร้องเรียนที่ดินทำกิน
และบุกรุกพื้นที่ โดยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายศุภชัย โพธิ์สุ) ได้รับเรื่องร้องเรียนกลุ่ม ชาวบ้านตำบลนางรอง และตำบลโนนดินแดง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ กรณีประสบปัญหาราษฎรเรียกร้อง ที่ดินทำกินและบุกรุกพื้นที่แปลงที่หมดอายุการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ของนโยบายปลูกป่าภาคเอกชน ในเขตป่า สงวนแห่งชาติป่าดงใหญ่ อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ จำนวน 9 แปลง เนื้อที่ที่ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 23,746 ไร่ ซึ่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายศุภชัย โพธิ์สุ) รับจะนำปัญหาดังกล่าวไปหารือร่วมกับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมทั้งผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่เพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้กลุ่มผู้เรียก ร้องภายใน 60 วัน
|
||||||||||||||||||||||||
38533 | ร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | นร | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามความเห็นที่คณะกรรมการพิจารณาเงินเดือนแห่งชาติเกี่ยวกับการกำหนดระบบค่าตอบ แทนภาครัฐ โดยยกเว้นอัตราเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งของประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่น ดิน ให้ได้รับในอัตราเดียวกันกับประธานและกรรมการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ (คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน) รวมทั้งให้ปรับเงิน เดือนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเงินเดือนภาครัฐตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 (เรื่องการปรับค่าตอบแทนประธานกรรมการ และกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และการปรับเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ) ด้วย 2. ให้ส่งร่างพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินประจำตำแหน่ง และประโยชน์ตอบแทนอื่นของประธานศาล รัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ประธานกรรมการและกรรมการการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐ สภา ประธานกรรมการและกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และประธานกรรมการและกรรม การตรวจเงินแผ่นดิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่งโดยด่วน แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
38534 | แต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนในคณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ | พม | 14/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้แทนองค์กรสวัสดิการชุมชนในคณะกรรมการส่งเสริมการจัด
สวัสดิการสังคมแห่งชาติ จำนวน 8 คน ตามนัยมาตรา 7(5) แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ. 2546 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2550 ตามที่ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (14 กรกฎา คม 2552) เป็นต้นไป ดังนี้ 1. นายสำเภา วีระนนท์ 2. นายวินิจ ชัยชิด 3. นายสมศรี ทองหล่อ 4. นายอุดม แก้วประดิษฐ์ 5. นายอนุสรณ์ รังสิโยธิน 6. นายสามารถ พุทธา 7. นายไข่ นวลแก้ว 8. นายศิวกรวิศิษฎ์ อ่วมป่วน
|
||||||||||||||||||||||||
38535 | ของบประมาณเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้างหลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล | มท | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 โครงการสร้าง
หลักประกันรายได้แก่ผู้สูงอายุ และโครงการส่งเสริมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เชิงรุก ตาม นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล จำนวน 2,283,251,400 บาท โดยใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุก เฉินหรือจำเป็นงบเงินอุดหนุน เงินอุดหนุนเฉพาะกิจ ให้แก่กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาด ไทย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการตามโครงการ ฯ ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้มีการติดตาม ประเมินผลการเบิกจ่าย ปัญหาอุปสรรคในการดำเนินการ รวมทั้งมีการประมวลข้อมูลรายงานให้คณะรัฐมนตรี ทราบ เพื่อนำข้อมูลแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาปรับปรุงการดำเนินงานในปี พ.ศ. 2553 ต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
38536 | ขอต่ออายุเงินกู้ระยะสั้นของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย | พน | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามความเห็นของกระทรวงการคลังให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
มีวงเงินกู้ระยะสั้นแบบ CREDIT LINE จำนวน 10,000 ล้านบาท ในรูปแบบต่าง ๆ ในตลาด โดยให้พิจารณาทำสัญญา กู้เงินกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และ/หรือธนาคารพาณิชย์อื่นตามที่ธนาคารแต่ละแห่งเสนอ ในรูปแบบที่มีต้นทุนที่ ต่ำสุดตามอัตราดอกเบี้ยตลาด โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกันต้นเงินและดอกเบี้ยจากการกู้เงินดังกล่าว ระยะเวลา 1 ปี นับตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติการกู้เงิน
|
||||||||||||||||||||||||
38537 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (ระหว่างวันที่ 10 - 14 มิถุนายน 2552) | รง | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ สมาพันธรัฐสวิส ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (นายไพฑูรย์ แก้วทอง) ระหว่างวันที่ ๑๐ - ๑๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้เข้าร่วมการประชุมประจำปีองค์การแรงงานระหว่างประเทศ สมัยที่ ๙๘ และได้ปราศรัยในนามของผู้แทนฝ่ายรัฐบาล โดยกล่าวสนับสนุนข้อเสนอของผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศโดยเฉพาะในส่วนของ Global Jobs Pact ซึ่งเป็นแนวทางบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ โดยเน้นเรื่องการจ้างงานและการคุ้มครองทางสังคมซึ่งประเทศสมาชิกสามารถนำไปปรับใช้ได้ตามสถานการณ์และความเหมาะสมของแต่ละประเทศเพื่อให้ก้าวพ้นวิกฤตไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนตามแนวนโยบายของการสร้างงานที่มีคุณค่า พร้อมทั้งได้นำเสนอบทบาทของประเทศไทยในฐานะพันธมิตรที่สำคัญในเวทีขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ในฐานะสมาชิกแรกเริ่มก่อตั้งองค์การและเป็นที่ตั้งของสำนักงานประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศให้เกิดความยุติธรรมทางสังคมในโลกของการทำงาน ๒. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและคณะได้เข้าพบหารือข้อราชการกับผู้อำนวยการใหญ่สำนักงานแรงงานระหว่างประเทศ โดยกล่าวถึงความร่วมมือของกระทรวงแรงงานในการจัดงานฉลองครบรอบ ๙๐ ปี การก่อตั้งองค์การแรงงานระหว่างประเทศ พร้อมกับได้จัดให้มีการประชุมไตรภาคีเรื่องแผนงานระดับชาติว่าด้วยงานที่มีคุณค่า ซึ่งข้อคิดเห็นที่ได้จากการประชุม และข้อมูลจากการเข้าร่วมการประชุมองค์การแรงงานระหว่างประเทศในสมัยที่ ๙๘ นี้ กระทรวงแรงงานจะนำมาประกอบการปรับปรุงร่างแผนงานฯ ระยะที่หนึ่ง (พ.ศ. ๒๕๕๓ - พ.ศ. ๒๕๕๔) โดยขั้นตอนต่อไปจะจัดประชุมเพื่อประชาพิจารณ์ร่างแผนงานฯ ในปลายเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๒ นี้ และจะได้จัดทำแผนงานระดับชาติฯ ในระยะที่สอง ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๘ เพื่อให้บรรลุผลก่อนสิ้นสุดทศวรรษแห่งวาระงานที่มีคุณค่า ๓. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้พบหารือข้อราชการกับเลขาธิการองค์การการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (United Nations Conference on Trade and Development - UNCTAD) โดยกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลและแนวทางการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ รวมทั้งมาตรการด้านแรงงานที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้ริเริ่มขึ้น ได้แก่ มาตรการ “๓ ลด ๓ เพิ่ม” กล่าวคือ ลดการว่างงาน ลดค่าครองชีพ และลดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ส่วน ๓ เพิ่ม ได้แก่ เพิ่มทางเลือกการประกอบอาชีพ เพิ่มทักษะความรู้ และเพิ่มโอกาสในการทำงาน ทั้งนี้ เลขาธิการ UNCTAD มีความเห็นว่าประเทศไทยยังมีภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นที่ยอมรับในสายตาของนานาชาติ นโยบายและแนวทางการดำเนินการเพื่อเรียกความเชื่อมั่นและแก้ไขปัญหาที่ผ่านมาของรัฐบาลเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับแนวทางสากล และคาดว่าจะช่วยกอบกู้และฟื้นฟูสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ในไม่ช้า |
||||||||||||||||||||||||
38538 | ขออนุมัติงบประมาณเพื่อเป็นค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ | สธ | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อ
กรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 138,726,000 บาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนพิเศษรายเดือนให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานราชการ สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง สาธารณสุข จำนวน 7,707 คน) ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
38539 | ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... รวม 2 ฉบับ | กค | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการร่างพระราชบัญญัติ จำนวน 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจ พิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ 1.1 ร่างพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ให้มีกฎหมายว่าด้วยหลัก ประกันทางธุรกิจเพื่อให้มีการนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นประกันการชำระหนี้โดยไม่ต้องส่งมอบ การครอบครองทรัพย์สิน 1.2 ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ แก้ไขมาตรา 214 ให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้จนสิ้นเชิง รวมทั้งแก้ไขมาตรา 733 ให้ผู้จำนองหลุดพ้นจากการชำระหนี้ตามสัญญาจำนอง หากเจ้าหนี้บังคับจำนองแล้วได้ไม่ครบตามจำนวน หนี้ที่มีการนำทรัพย์สินไปจำนองเป็นประกัน และแก้ไขให้สิทธิตามสัญญาหลักประกันทางธุรกิจเหนือสิทธิเรียก ร้องที่นำมาเป็นหลักประกันตกเป็นของผู้รับโอนเมื่อมีการโอนสิทธิเรียกร้องนั้นไปเช่นเดียวกับสิทธิจำนอง จำนำ หรือค้ำประกัน 2. ให้แก้ไขเพิ่มเติมในส่วนที่เกี่ยวกับการจดทะเบียนหลักประกัน เป็นการจดแจ้งหลักประกัน และแก้ไข เพิ่มเติมร่างมาตรา 14 ตามความเห็นของกระทรวงพาณิชย์ และให้รับข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง กระทรวง พาณิชย์ กระทรวงยุติธรรมเกี่ยวกับการตั้งสำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจขึ้นในกรมพัฒนาธุรกิจการค้า และสาขาขึ้นในต่างจังหวัดควรจะสนับสนุนงบประมาณและบุคลากรแก่กรมพัฒนาธุรกิจการค้าให้เพียงพอกับการ ดำเนินการ ส่วนการทำหน้าที่เป็นสำนักงานทะเบียนหลักประกันทางธุรกิจควรให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีระยะ เวลาประมาณหกเดือนถึงหนึ่งปีในการเตรียมการ เพื่อจัดตั้งสำนักงานทะเบียนหลักประกันและฝึกอบรมบุคลากร ให้มีความรู้ ความชำนาญในการดำเนินการ รวมถึงการส่งเจ้าหน้าที่ไปฝึกอบรมและดูงานของสำนักงานทะเบียน หลักประกันทางธุรกิจในต่างประเทศ สำหรับหลักเกณฑ์วิธีการเกี่ยวกับการจดทะเบียน การแก้ไขทะเบียน การ ยกเลิกการจดทะเบียน การเพิกถอนการจดทะเบียน การให้ประชาชนตรวจดูข้อมูลเกี่ยวกับการจดทะเบียนและข้อ มูลเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเป็นผู้บังคับหลักประกัน และค่าธรรมเนียมในการดำเนินการดังกล่าว ให้แก้ไขให้เป็น ไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากำหนด รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะ รัฐมนตรีที่เห็นว่าร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจพิจารณาเสร็จแล้วตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2545 ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งบัญญัติไว้ในร่างพระราชบัญญัตินี้หลายฉบับ เช่น กฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต กฎหมายว่าด้วยการประกันวินาศภัย กฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ สม ควรที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาจะได้ตรวจพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ส่วนข้อสังเกตของกระทรวงการคลัง และ กระทรวงพาณิชย์ในบางประเด็นเป็นข้อสังเกตที่เกี่ยวกับการเตรียมการก่อนร่างพระราชบัญญัตินี้มีผลใช้บังคับซึ่ง ตามร่างมาตรา 2 บัญญัติให้ใช้บังคับเมื่อพ้น 90 วัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้นไป ดังนั้น หากกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์เห็นว่าระยะเวลาดังกล่าวไม่เพียงพอต่อการเตรียมการ จึงควรที่จะแก้ ไขวันใช้บังคับในชั้นการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
38540 | ร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 09/07/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำ
งาน พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการตรวจพิจารณา แล้ว ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรพิจารณา ก่อนเสนอสภา ผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป
|
.....