ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1925 จากทั้งหมด 6213 หน้า แสดงรายการที่ 38481 - 38500 จากข้อมูลทั้งหมด 124241 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
38481 | มาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ 200 รายการ และบริการ 20 รายการ (ประจำเดือนกรกฎาคม 2552) | พณ | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอมาตรการกำกับดูแลสินค้าสำคัญ 200 ราย
การ และบริการ 20 รายการ ประจำเดือนกรกฎาคม 2552 โดยได้ปรับเปลี่ยนการจัดระดับความสำคัญของ สินค้า 3 กลุ่ม เป็นดังนี้ 1. กลุ่ม Sensitive List (SL) กำหนดให้มีสินค้าที่จะต้องติดตามดูแลใกล้ชิดเป็นพิเศษ โดยเพิ่มจำนวน สินค้าในกลุ่มนี้ 1 รายการ จากที่กำหนดไว้ในเดือนมิถุนายน 2552 เป็น 5 รายการ ได้แก่ อาหารปรุงสำเร็จ ปุ๋ยเคมี น้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซ และบริการ 1 รายการ ได้แก่ บริการรับส่งสินค้า เอกสาร หรือ พัสดุภัณฑ์ รับส่งโทรสาร 2. กลุ่ม Priority Watch List (PWL) ได้ลดจำนวนสินค้าในกลุ่มนี้ 1 รายการ จากที่กำหนดไว้ในเดือน มิถุนายน 2552 เป็น 10 รายการ ได้แก่ นมผง นมข้นหวาน ครีมเทียมข้นหวาน น้ำมันพืช สายไฟฟ้า เหล็ก แผ่นเคลือบดีบุก เหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม เหล็กเส้น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ และเหล็กแผ่น (รีดร้อน รีด เย็น และสแตนเลส) และบริการ 1 รายการ ได้แก่ บริการซ่อมรถ 3. กลุ่ม Watch List (WL) ได้เพิ่มจำนวนสินค้าขึ้น 1 รายการ คือ เครื่องแบบนักเรียน
|
|||||||||||||||||||||||||||
38482 | ขออนุมัติรายชื่อผู้เข้าศึกษาหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรฯ ประจำปีการศึกษา 2552 - 2553 จากคณะรัฐมนตรี | กห | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติรายชื่อผู้ได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.)
รุ่นที่ 52 จำนวน 107 ราย และหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 22 จำนวน 113 ราย ของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ฯ ประจำปีการศึกษา 2552-2553 ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
38483 | ไทยได้รับเลือกตั้งให้เป็นสมาชิก CSD สมัยประชุมที่ 19 - 21 | ทส | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรายงานว่า ที่ประชุมคณะ
มนตรีเศรษฐกิจและสังคม (Economic and Social Council : ECOSOC) เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ได้จัดการ เลือกตั้งองค์กรย่อยจำนวน 19 องค์กรภายใต้ ECOSOC ซึ่งประเทศไทยได้รับการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการให้ดำรง ตำแหน่งสมาชิก CSD สมัยประชุมที่ 19-21 โดยมีกำหนดเริ่มดำรงตำแหน่งภายหลังการประชุม CSD สมัยที่ 18 ในช่วงครึ่งหลังของปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) และครบวาระการดำรงตำแหน่งในปี พ.ศ. 2556 (ค.ศ. 2013)
|
|||||||||||||||||||||||||||
38484 | การแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (นายศุภชัย บานพับทอง และนายเฉลิมพร พิรุณสาร) | กค | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการอื่นในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ
เกษตร แทนกรรมการเดิม จำนวน 2 คน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (21 กรกฎาคม 2552) เป็นต้นไป โดยให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งแทนอยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทน ตามนัยมาตรา 16 วรรคสอง แห่งพระราช บัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ. 2509 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติธนาคาร เพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2519 ดังนี้ 1. นายศุภชัย บานพับทอง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ แทนนางสาวสุพัตรา ธนเสนีวัฒน์ 2. นายเฉลิมพร พิรุณสาร เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เป็นกรรมการ ผู้แทนสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แทนนายอนันต์ ภู่ สิทธิกุล
|
|||||||||||||||||||||||||||
38485 | การบริหารจัดการตำแหน่งว่างของส่วนราชการ | นร | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบรายงานผลการดำเนินการบรรจุแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งว่างของส่วนราชการต่าง ๆ และ เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการตำแหน่งว่างในส่วนที่เหลือตามมติ ก.พ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 ตาม ที่สำนักงาน ก.พ. เสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดให้มีตำแหน่งว่างเพื่อใช้เป็นอัตราหมุนเวียนในการบริหารอัตรากำลังของส่วนราชการ เพื่อความคล่องตัว โดยปรับสัดส่วนจากเดิมที่เสนอคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ ร้อยละ 3 ของตำแหน่งประเภทวิชาการและประเภททั่วไป สำหรับส่วนราชการที่มีอัตราข้าราชการไม่เกิน 1,000 ตำแหน่ง จำนวน 830 ตำแหน่ง และร้อย 2 ของตำแหน่งประเภทวิชาการและประเภททั่วไป สำหรับส่วนราชการที่มีอัตรา ข้าราชการเกินกว่า 1,000 ตำแหน่ง จำนวน 6,932 ตำแหน่ง รวมทั้งสิ้น 7,762 ตำแหน่ง 1.2 ให้คงตำแหน่งว่างในสายงานขาดแคลน (นายแพทย์ และพยาบาล) จำนวน 1,060 ตำแหน่ง ให้กับส่วนราชการเดิม 1.3 ส่วนราชการใดได้ดำเนินการขอรับโอนและบรรจุกลับบุคคลอยู่แล้ว ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมี มติ ให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2552 หากยังไม่ได้ดำเนินการ ให้ระงับการรับโอนและ บรรจุกลับเป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติจนถึงวันที่ 30 กันยายน 2552 ยกเว้นตำแหน่งที่ ก.พ. หรือส่วนราชการไม่มีการสอบขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ไว้และเร่งบรรจุบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งที่ว่าง อยู่โดยเร็ว 1.4 ตำแหน่งว่างในส่วนที่เหลือจากการดำเนินการข้างต้นให้คณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและ นโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) พิจารณาจัดสรรให้ส่วนราชการที่มีความจำเป็นตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดโดย เร็วต่อไป 1.5 ให้สำนักงาน ก.พ. ประสานกับกระทรวงสาธารณสุขเกี่ยวกับตำแหน่งในสายงานขาดแคลนที่ จะขอรับการจัดสรรอัตราเพิ่มใหม่ 2. เห็นชอบให้ส่วนราชการต่าง ๆ เร่งรัดดำเนินการบรรจุแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งต่าง ๆ ตามมติ ก.พ. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2552 โดยเร็ว และให้ คปร. เร่งรัดการพิจารณาจัดสรรตำแหน่งว่างจากผลการเกษียณ อายุ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ที่มีอยู่จำนวนประมาณ 3,331 ตำแหน่ง ให้แก่ส่วนราชการที่มีความจำเป็นให้ แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องดำเนินการบรรจุแต่งตั้งต่อไป ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
38486 | ผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ครั้งที่ 5/2552 | นร | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐ
กิจ (กรอ.) ครั้งที่ 5/2552 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2552 และเห็นชอบมติคณะกรรมการ กรอ. และมอบหมายให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับความเห็นของคณะกรรมการ กรอ. ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการ แล้วรายงานให้คณะ กรรมการ กรอ. และคณะรัฐมนตรีทราบต่อไป ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ โดยผลการประชุมสรุปได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมพิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำตาลทราย โควตา ก. และโ ควตา ค. และมีมติให้ สศช. รับ ไปวิเคราะห์ข้อมูลให้ชัดเจนในเรื่องต้นทุนที่แท้จริง ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ และแนวทางเลือกเพิ่มเติม โดย หารือกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และเห็นชอบข้อเสนอของ กกร. ในเรื่องกฎระเบียบเกี่ยว กับการขอใช้สิทธิซื้อน้ำตาลทราย โควตา ค. และให้คณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทรายปรับปรุงกฎระเบียบเกี่ยวกับ การขอใช้สิทธิซื้อน้ำตาลทราย โควตา ค. (สำหรับผลิตสินค้าเพื่อการส่งออก) โดยให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มี ส่วนได้เสียในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบนั้น ๆ ประกอบการพิจารณา 2. ที่ประชุมมีมติให้กระทรวงมหาดไทยเร่งตรวจสอบและดำเนินการตามกฎหมายกับสถานที่พักที่ประกอบ ธุรกิจขัดต่อพระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 รวมทั้งให้เร่งรัดการออกใบอนุญาตสำหรับผู้มายื่นขอใบอนุญาตตาม ประกาศกฎกระทรวงกำหนดประเภท และหลักเกณฑ์การประกอบธุรกิจโรงแรม พ.ศ. 2551 ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และ ขอความร่วมมือส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐที่อนุญาตให้ข้าราชการและบุคลากรของรัฐเดินทางไปราชการ หรือ จัดประชุมสัมมนาของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ ให้พักในสถานที่พักที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจโรงแรมตาม พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2547 3. ที่ประชุมรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหากรณีหน่วยงานของรัฐถูกฟ้องว่ากระทำการให้ความเห็นชอบ หรืออนุญาตรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม และออกใบอนุญาตประกอบการไม่ถูกต้องตามรูปแบบ ขั้น ตอน วิธีการ ที่กฎหมายกำหนดไว้ โดยที่ประชุมมีมติว่า โครงการที่ผ่านความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ ฯ และได้ รับใบอนุญาตให้ประกอบการไปแล้ว ให้ดำเนินการตามขั้นตอนปกติต่อไปได้ ส่วนโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ของหน่วยงานนั้น ให้หน่วยงานสามารถพิจารณาออกใบอนุญาต หรืออนุญาตให้ผู้ประกอบการดำเนินโครงการหรือ กิจกรรมต่อไปได้อย่างถูกต้องตามขั้นตอน กระบวนการ กฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยปฏิบัติตามมาตรการ ต่าง ๆ ที่ภาครัฐกำหนดขึ้นอย่างเคร่งครัด 4. ที่ประชุมพิจารณาเกี่ยวกับปัญหาและแนวทางการแก้ไขปัญหาการส่งออก โดยให้กระทรวงการคลังไป จัดตั้งคณะทำงานตามข้อเสนอของ กกร. เพื่อหารือวิธีการแก้ไขปัญหาด้านสภาพคล่องของผู้ประกอบการส่งออกและ เร่งรัดกระบวนการทำงานของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) ให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น 5. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและ ขนาดย่อม (SMEs) ของกระทรวงการคลัง และยืนยันมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 ในการดำเนิน โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาภายใน ประเทศ และให้ขยายระยะเวลาการยื่นคำขอกู้ภายใต้โครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวที่ ได้ผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและปัญหาภายในประเทศ ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ไปจนถึง วันที่ 31 กรกฎาคม 2553 กับให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทยพิจารณาเร่งรัด การอนุมัติและปล่อยสินเชื่อให้แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ยังเหลืออยู่อีก 639 ราย นอกจากนี้ ให้กระทรวงการ คลังทบทวนหลักเกณฑ์และกระบวนการปล่อยสินเชื่อ ตลอดจนข้อจำกัดในด้านบุคลากรของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจ ขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย และพิจารณาปรับลดอัตราค่าธรรมเนียมค้ำประกันการให้บริการสินเชื่อ ของบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมที่เหมาะสมสำหรับโครงการ Portfolio Guarantee Scheme ให้ต่ำ กว่าอัตราที่กำหนดไว้ในปัจจุบัน 6. ที่ประชุมรับทราบตามที่ สศช. รายงานความก้าวหน้าการศึกษาแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มี ศักยภาพของประเทศ โดยให้ สศช. รับความเห็นของที่ประชุมเกี่ยวกับการดำเนินงานในระยะต่อไปควรศึกษารายละ เอียด สถานภาพของแหล่งท่องเที่ยว การกำหนดหลักเกณฑ์การคัดเลือก รวมทั้งการคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักย ภาพรายคลัสเตอร์ เพื่อยกร่างแนวทางการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ ไปพิจารณาดำเนินการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
38487 | ขออนุมัติงบกลางเพื่อจัดตั้ง ศูนย์ประสานการบริการนักลงทุน | อก | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 งบกลาง รายการเงินสำรอง
จ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 51,165,310 บาท เพื่อดำเนินการจัดตั้งศูนย์ประสานการบริการนักลงทุน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยให้กระทรวงอุตสาหกรรมขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อน ดำเนินการต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
38488 | การจำหน่ายข้าวสารโดยอิงกลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) | พณ | 21/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติเงินทุนหมุนเวียน และวงเงินจ่ายขาดในการจำหน่ายข้าวสารสต็อกรัฐบาล โดยอิงกลไกตลาด สินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ตามมติคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2551 วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2552 และวันที่ 17 กรกฎาคม 2552 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1.1 อนุมัติให้องค์การคลังสินค้า (อคส.) นำเงินค่าข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการ ผลิต 2551/52 ที่ระบายจำหน่ายได้ ซึ่งต้องคืนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 425 ล้านบาท มาเป็นทุนหมุนเวียนเพื่อให้ อคส. ใช้เป็นหลักประกันการซื้อขายล่วงหน้าใน AFET เพื่อป้องกัน การบิดพลิ้วสัญญาของผู้ซื้อและผู้ขาย ประมาณข้าวสารโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2551/52 จำนวน 763,920 ตัน แยกเป็น ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 300,000 ตัน และข้าวขาว 5% ปริมาณ 463,920 ตัน ทั้งนี้ เมื่อหมดภาระผูกพันแล้ว หากเงินที่ได้รับคืนเพิ่มขึ้นหรือลดลงตามเกณฑ์การวางหลักประกัน ซื้อขายของตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าให้นำไปคำนวณเป็นรายได้หรือภาระขาดทุนตามโครงการ ฯ ต่อไป 1.2 อนุมัติงบกลาง เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงินจ่ายขาดจำนวน 24.64 ล้าน บาท ให้ อคส. เพื่อเป็นค่าตอบแทนนายหน้าซื้อขายล่วงหน้า และค่าจ้างผู้จัดการการซื้อขายล่วงหน้า 2. ให้กระทรวงพาณิชย์รับข้อสังเกตของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานไปพิจารณาดำเนินการด้วยว่า การจำหน่ายสินค้าเกษตรล่วงหน้าเป็นปริมาณมากในแต่ละครั้งอาจก่อให้เกิดปัญหาการผูกขาดได้ ควรพิจารณา ดำเนินการให้มีการจำหน่ายสินค้าเกษตรล่วงหน้าในปริมาณที่เหมาะสมเป็นระยะ ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
38489 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัฒนาและบริหารจัด
การผลไม้ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการพัฒนาและบริหาร จัดการผลไม้ โดยเพิ่มกรรมการโดยตำแหน่ง 1 ตำแหน่ง คือ ผู้แทนสำนักงบประมาณ ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ และให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
38490 | รายงานการพัฒนาระบบราชการไทย ประจำปี พ.ศ. 2551 | นร | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอรายงานการพัฒนาระบบราชการไทย พ.ศ. 2551 โดยสาระใน รายงาน ฯ ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ภาพรวมของระบบราชการ ส่วนที่ 2 ความก้าวหน้าของการพัฒนา ระบบราชการไทย และส่วนที่ 3 ผลการดำเนินงานของสำนักงาน ก.พ.ร. ประจำปี พ.ศ. 2551 และให้เสนอสภาผู้ แทนราษฎรและวุฒิสภาต่อไป 2. เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานของรัฐในกำกับของฝ่ายบริหารและกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือนมีหลาก หลายรูปแบบและประเภท รวมทั้งหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการตามมาตรการจำกัดขนาดกำลังคนภาครัฐ และได้ มีการถ่ายโอนภารกิจไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาระยะหนึ่งแล้ว สมควรที่จะได้มีการพิจารณาทบทวนการจัด ประเภทและขนาดของกำลังคนภาครัฐในฝ่ายพลเรือน โดยให้พิจารณาภารกิจของรัฐในฝ่ายบริหารเป็นหลัก และให้ นำข้อสังเกต ตลอดจนข้อร้องเรียนจากหลายฝ่ายมาพิจารณาประกอบ เช่น ข้อสังเกตที่ว่า ส่วนราชการต่าง ๆ มัก ไม่บรรจุข้าราชการพลเรือนในระดับปฏิบัติการเพราะต้องการเก็บอัตราไว้ยุบรวมเพื่อกำหนดตำแหน่งให้สูงขึ้นทำให้ โครงสร้างบุคลากรเบี่ยงเบนไป โดยจะมีตำแหน่งระดับสูงมากขึ้น ขณะที่ระดับปฏิบัติการลดลงเรื่อย ๆ มีการจ้าง งานรูปแบบต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในภารกิจของรัฐที่ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องเพื่อทดแทนอัตรากำลังที่ถูกยุบรวม หรือยก เลิก ทั้ง ๆ ที่การจ้างงานในบางลักษณะเหมาะสมเฉพาะภารกิจที่มีระยะเวลาการปฏิบัติอย่างชัดเจน การจ้างงาน อย่างต่อเนื่องทำให้เกิดปัญหาข้อเรียกร้องและขวัญกำลังใจในด้านความมั่นคง ความเหลื่อมล้ำของสิทธิประโยชน์และ ค่าตอบแทน เกิดปัญหาข้อเรียกร้องถึงการขาดแคลนกำลังคนในส่วนราชการหลายแห่ง เช่น กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุขทั้งในด้านจำนวนและสาขาวิชา จึงมอบให้สำนักงาน ก.พ. รับไปพิจารณาในภาพรวมร่วม กับคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) และ ก.พ.ร. ตลอดจนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีโดยด่วนต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
38491 | การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ | นร | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
|
|||||||||||||||||||||||||||
38492 | การบริจาคเงินเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ FAO | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอการบริจาคเงินจำนวน 50,000 ดอลลาร์
สหรัฐ หรือประมาณ 1,750,000 บาท เป็นกรณีพิเศษ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปองค์การอาหารและเกษตรแห่งสห ประชาชาติ หรือ FAO (Food and Agriculture Organization of the United Nations) โดยเบิกจ่ายจากเงินงบประมาณ ปี พ.ศ. 2552 ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
38493 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุง
รักษาเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... จำนวน 2 ฉบับ ตาม ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการ ต่อไปได้ ดังนี้ 1. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียก เก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำนครนายก จากศูนย์กลาง เขื่อนอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล กิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลหินตั้ง ถึงกิโลเมตรที่ 33.000 ใน ท้องที่ตำบลนครนายก อำเภอเมืองนครนายก จังหวัดนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชล ประทาน 2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล เป็นทางน้ำที่ จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุดด่านปรา การชล จากศูนย์กลางเขื่อนอ่างเก็บน้ำเขื่อนขุนด่านปราการชล ในท้องที่ตำบลหินตั้ง อำเภอเมืองนครนายก ขึ้นไปทางด้านเหนือน้ำ ในท้องที่ตำบลนาหินลาด อำเภอปากพลี จังหวัดนครนายก เป็นทางน้ำชลประทานที่ จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
38494 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชล
สิทธิ์เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานอ่าง เก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ในท้องที่ตำบลหนองบัว ตำบลพัฒนานิคม ตำบลมะนาวหวาน ตำบลโคกสลุง ตำบลน้ำ สุด อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี ตำบลมะกอกหวาน ตำบลชัยบาดาล ตำบลม่วงค่อม ตำบลเขาแหลม ตำบลซับ ตะเคียน ตำบลห้วยหิน ตำบลชัยนารายณ์ ตำบลลำนารายณ์ ตำบลท่ามะนาว ตำบลท่าดินดำ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ตำบลท่าหลวง ตำบลแก่งผักกูด อำเภอท่าหลวง จังหวัดลพบุรี และตำบลวังม่วง ตำบลคำพราน อำเภอวังม่วง จังหวัดสระบุรี เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
38495 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน่าน (ลำน้ำเดิม) เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำน่าน (ลำน้ำเดิม)
เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ทางน้ำชลประทานแม่น้ำ น่าน (ลำน้ำเดิม) จากกิโลเมตรที่ 0.000 จากทางแยกลำน้ำน่านเดิม ในท้องที่ตำบลหนองแขม อำเภอพรหม พิราม จังหวัดพิษณุโลก ถึงกิโลเมตรที่ 5.150 จรดแม่น้ำน่าน ตำบลพรหมพิราม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุ โลก เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนัก งานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
38496 | แนวทางการจัดหาพัสดุ การจ้างที่ปรึกษา และการทำสัญญา สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนเรื่อง แนวทางการจัดหาพัสดุ การจ้างที่ปรึกษา และการทำสัญญา
สำหรับโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 ไปพิจารณาทบทวน แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีใน สัปดาห์หน้า ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
38497 | ร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. .... | นร | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะ
กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งคณะกรรมการประสาน งานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้ 1. ยกเลิกพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. 2517 2. กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร อยู่ในสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรียกว่า "กองทุนสงเคราะห์เกษตรกร" กองทุนประกอบด้วยเงินและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นเงิน ทรัพย์สิน สิทธิและหนี้สินที่ได้ รับโอนจากกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. 2517 เงินอุดหนุน ที่รัฐบาลจัดให้ ฯลฯ 3. กำหนดให้รัฐมนตรีโดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีมีอำนาจประกาศกำหนดชนิด หรือประเภทของผลิตผล เกษตรกรรมขั้นต้น หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้าต้องเสียค่าธรรมเนียมการส่งออก หรือค่าธรรม เนียมการนำเข้า รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเรียกเก็บและชำระค่าธรรมเนียมการส่งออกหรือนำ เข้า ฯลฯ 4. กำหนดให้มี "คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกร" ประกอบด้วยผู้แทนของส่วนราชการ ภาคเอกชน และผู้แทนเกษตรกร มีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานกรรมการโดยตำแหน่ง และกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ จำนวนไม่เกิน 19 คน 5. กำหนดให้คณะกรรมการสงเคราะห์เกษตรกรมีอำนาจหน้าที่อนุมัติจัดสรรเงินกองทุน วงเงินไม่เกิน 100 ล้านบาท ถ้าเกินวงเงินจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรี 6. กำหนดให้กิจการที่จะต้องใช้จ่ายเงินจากกองทุน ได้แก่ กิจการการส่งเสริมการผลิตผลิตผลเกษตร กรรมขั้นต้นหรือผลิตภัณฑ์อาหาร และการพยุงราคาและการจำหน่ายผลิตผลเกษตรกรรมขั้นต้นหรือผลิตภัณฑ์ อาหาร 7. กำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงินเพื่อช่วยเหลือการผลิตผลิตผลเกษตรกรรมขั้นต้น หรือผลิตภัณฑ์ อาหารจะต้องให้การช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่คณะกรรมการ กำหนด 8. กำหนดบทลงโทษ ผู้ส่งออกหรือผู้นำเข้ารายใดไม่เสียค่าธรรมเนียมการส่งออก หรือค่าธรรมเนียม การนำเข้าหรือกระทำด้วยประการใด ๆ เพื่อให้ตนเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าที่ต้องเสีย มีโทษจำคุกและโทษปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้นำเงินค่าปรับส่งเข้ากองทุน 9. กำหนดบทเฉพาะกาล ให้โอนเงิน ทรัพย์สิน สิทธิ และหนี้สินของกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรที่จัด ตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนสงเคราะห์เกษตรกร พ.ศ. 2517 มาเป็นของกองทุนตามพระราชบัญญัตินี้
|
|||||||||||||||||||||||||||
38498 | รายงานกิจการประจำปี งบดุลและบัญชีกำไรขาดทุน ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการประจำปี งบดุลและบัญชีกำไรขาด
ทุน ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ดังนี้ ผลการดำเนินงานประจำปี พ.ศ. 2551 เปรียบเทียบกับปี พ.ศ. 2550 พบว่ามีสินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้น 3,883.26 ล้านบาท หนี้สินรวมเพิ่มขึ้น 6,000.44 ล้าน บาท รายได้รวมลดลง 467.56 ล้านบาท รายจ่ายรวมเพิ่มขึ้น 944.33 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิเพิ่มขึ้น 1,643.45 ล้าน บาท ยอดสินเชื่อคงค้างเท่ากับ 43,586.03 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมาย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มขึ้นคิดเป็น ร้อยละ 12.32 และอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.57 สำหรับรายงานกิจการประจำปี พ.ศ. 2551 ของ ธพว. ได้แก่ การอนุมัติสินเชื่อใหม่ 20,735.22 ล้านบาท ให้แก่ SMEs จำนวน 6,807 ราย และการ อนุมัติสินเชื่อโครงการพิเศษตามนโยบายรัฐบาล 1,296.73 ล้านบาท ให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs จำนวน 761 ราย รวมทั้งให้บริการเพื่อพัฒนาองค์ความรู้และช่วยเหลือส่งเสริมด้านการตลาด ได้แก่ โครงการเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเป้า หมาย และโครงการพันธมิตรเพื่อการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (Alliance Lane)
|
|||||||||||||||||||||||||||
38499 | ขอขยายระยะเวลาดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชน | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการการขยายระยะเวลาการดำเนินการมาตรการลดภาระค่าครองชีพของประชาชนต่อ ไป จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สำหรับค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐจะสนับสนุนให้แก่หน่วย งานที่รับผิดชอบดำเนินการ คือ การประปานครหลวง การประปาส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวนทั้งสิ้นประมาณ 11,117 ล้านบาท ให้หน่วยงานดังกล่าวเสนอขอเพิ่มงบประมาณรายจ่ายในการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระ ราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ต่อไป ส่วนการดำเนินการขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ให้เจียดจ่ายจากงบประมาณที่ได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล เพื่อชดเชยรายได้ที่ลดค่าน้ำให้แก่ประชาชนใน ท้องถิ่นของตน 2. เห็นชอบในหลักการให้ขยายกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยการดำเนินการตามนโยบาย 6 มาตร การ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคน ให้รัฐวิสาหกิจที่ได้รับการจัดสรรจากภาครัฐไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่เกิด ขึ้นจริงในระยะที่ผ่านมา ประกอบด้วย การประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 235.471 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง จำนวน 57.953 ล้านบาท องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำนวน 94.740 ล้านบาท และการรถไฟแห่งประเทศไทย จำนวน 64.370 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงินจำนวน 452.534 ล้านบาท และให้ครอบคลุมถึงภาระค่าเบี้ยปรับซึ่ง เกิดจากการชำระค่าซื้อไฟฟ้าเกินระยะเวลาที่กำหนดจากการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ที่การไฟฟ้าส่วนภูมิ ภาคจะต้องชำระให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย จำนวน 90.49 ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
38500 | รายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและขาดทุนของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 | กค | 14/07/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงานกิจการประจำปี งบดุล บัญชีกำไรและ
ขาดทุน ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2551 และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ดังนี้ ปี พ.ศ. 2551 ธสน. มีสินทรัพย์รวม 59,853 ล้านบาท ลดลง 5,538 ล้านบาท ในส่วนของวงเงินสินเชื่อและการค้ำประกันใหม่ ได้อนุมัติวงเงินสินเชื่อและการค้ำ ประกันใหม่รวม 29,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.3 มีวงเงินสินเชื่อและการค้ำประกันรวม 112,782 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.5 สินเชื่อคงค้าง 50,748 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 3.8 ปริมาณสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) 4,727 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,802 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเท่ากับร้อยละ 19.1 เพิ่มขึ้นร้อย ละ 14.2 มีกำไรสุทธิ 201 ล้านบาท ลดลง 305 ล้านบาท สำหรับรายงานกิจการประจำปี พ.ศ. 2551 ของ ธสน. ได้แก่ การสนับสนุนและส่งเสริมการส่งออก การนำเข้า และการลงทุนภายในประเทศ ที่มีผลต่อการพัฒนาเศรษฐ กิจของประเทศเพิ่มมากขึ้น และการสนับสนุนนักธุรกิจไทยไปลงทุนในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ธสน. ได้ ให้บริการประกันการส่งออกระยะสั้น เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ส่งออกในการค้าขายระหว่างประเทศ และอนุมัติ วงเงินรับประกันการส่งออกระยะกลางและระยะยาว เพื่อไปรับเหมาก่อสร้างงานติดตั้งเครื่องจักร และระบบต่าง ๆ รวมทั้งการส่งออกสินค้าทุนไปต่างประเทศ
|
.....