ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1867 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 37321 - 37340 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
37321 | (ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช) ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช, เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช และเรื่องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำเหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี | อก | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอขอรับเรื่อง ขอผ่อนผัน การใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ชุติวรรณ ที่จังหวัดนครศรี ธรรมราช (เรื่องที่ 1) เรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี เพื่อต่ออายุประทานบัตรทำเหมืองแร่ของบริษัท ศิลาอารี จำกัด ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช (เรื่องที่ 2) และเรื่อง ขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม เพื่อทำ เหมืองแร่ของบริษัท หินอ่อน จำกัด ที่จังหวัดสระบุรี (เรื่องที่ 3) ไปหารือร่วมกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาห กรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง 2. ให้กระทรวงอุตสาหกรรมรับความเห็นของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยว กับพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี และพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บีเอ็ม ซึ่งจัดเป็นต้นน้ำในการดำเนินการต้องระมัดระวังในเรื่องคุณ ภาพน้ำ โดยปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด และให้นำมาตรการป้องกัน และแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่กำหนดในรายงานการวิเคราะห์ ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการเหมืองแร่หินอุตสาหกรรมชนิดหินปูน (เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง) ของบริษัท ศิลา อารี จำกัด คำขอต่ออายุประทานบัตรที่ 2/2548 (ประทานบัตรที่ 26189/15255) ตั้งอยู่ที่ตำบลหินตก อำเภอ ร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ไปกำหนดเป็นเงื่อนไขเพิ่มเติมแนบท้ายใบอนุญาตประทานบัตรเหมืองแร่ด้วย ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
37322 | แผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552 - 2554 | สธ | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์อนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2552-2554 มีวัตถุประสงค์เพื่อ ให้มีการจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อมและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพอย่างเป็นระบบ เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดี โดยมีมาตร การและแนวทางการดำเนินงานอนามัยสิ่งแวดล้อมรายสาขารวม 6 สาขา ได้แก่ ด้านคุณภาพอากาศ ด้านน้ำ สุข อนามัย และการสุขาภิบาล ด้านขยะมูลฝอย และของเสียอันตราย ด้านสารเคมีเป็นพิษและสารอันตราย ด้านการ เปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และด้านการเตรียมการและวางแผนรองรับภาวะฉุกเฉินด้านอนามัยสิ่งแวดล้อม และ มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำแผนยุทธศาสตร์ ฯ ไปปฏิบัติต่อไป ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ 2. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวด ล้อม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงบประมาณ สำนัก งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะ กรรมการวิจัยแห่งชาติ ที่เห็นควรปรับระยะเวลาของแผนยุทธศาสตร์ ฯ เป็น พ.ศ. 2553-2555 และปรับตัวชี้วัดที่ ระบุว่า "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานน้ำบริโภคเพื่อการบริโภค อุปโภค อย่างเพียงพอ" เป็น "ทุกหมู่บ้านมีน้ำสะอาดคุณภาพอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเพื่อการบริโภค 5 ลิตร/คน/วัน และเพื่อการอุปโภค 45 ลิตร/คน/วัน" และให้ความสำคัญในการพัฒนาจิตสำนึกของประชาชนและชุมชนให้มีความรู้ ความเข้าใจ เข้าถึง ตระหนักถึงความสำคัญของการอนามัยสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเข้าร่วมในกระบวนการประเมินผลกระทบคุณภาพด้าน สุขภาพ (HIA) อย่างเข้าใจทั้งสิทธิและหน้าที่ที่ต้องขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้วยกัน นอกจากนี้ เร่งรัดให้มีการประชา สัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการปฏิบัติ หน้าที่และบทบาทของตนเองในการแก้ไขปัญหาอนามัยสิ่งแวดล้อมในพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้าน การจัดการขยะมูลฝอย ของเสียอันตราย และมูลฝอยติดเชื้อ ซึ่งเป็นปัญหาใกล้ชิดประชาชนอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น ไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย |
||||||||||||||||||||||||
37323 | ร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กษ | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและ สหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยร่างพระราชบัญญัติ ฯ มีสาระสำคัญ คือ 1.1 ให้ยกเลิกความในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. 2533 เพื่อให้สถาน พยาบาลสัตว์ของส่วนราชการและของเอกชนอยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายฉบับเดียวกัน 1.2 ให้ผู้ประกอบกิจการสถานพยาบาลสัตว์จะต้องยื่นคำขออนุมัติแผนงานการจัดตั้งสถานพยาบาล ก่อน เมื่อได้รับอนุมัติแล้วจึงมายื่นขออนุญาตจัดตั้งและดำเนินการสถานพยาบาลสัตว์ 1.3 ให้ผู้รับอนุญาตจัดตั้งสถานพยาบาลสัตว์ต้องแสดงรายละเอียด ดังนี้ ป้ายชื่อสถานพยาบาลสัตว์ ป้ายชื่อและรายละเอียดเกี่ยวกับผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ในสถานพยาบาลสัตว์ รวมทั้งรายการอัตราค่ารักษา พยาบาลและค่าบริการ 1.4 เพิ่มเติมมาตรการในการโอนใบอนุญาต เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้รับอนุญาต หรือทายาท ของผู้รับอนุญาต 1.5 ปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ตั้งสถานพยาบาลสัตว์ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของกระทรวงสาธารณสุข และกระทรวงพาณิชย์ ที่เห็นว่า การมีกฎหมายควบคุมเฉพาะทำให้ต้องมีการขออนุญาตต่ออายุใบอนุญาต ควบคุม กำกับ หากกรณีส่วนราชการไม่ สามารถปฏิบัติได้ ความรับผิดชอบจะตกกับผู้ใด สำหรับการอ้างมาตรฐานเดียวกันของสถานพยาบาลสัตว์ของส่วน ราชการและเอกชน ส่วนราชการสามารถดำเนินการได้โดยการออกระเบียบหรือประกาศกำหนดมาตรฐานสำหรับ ผู้ประกอบวิชาชีพสัตวแพทย์ย่อมมีมาตรฐานวิชาชีพให้ปฏิบัติอยู่แล้ว นอกจากนี้ ควรกำหนดมิให้นำพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวมาใช้บังคับกับการประกอบธุรกิจสถานพยาบาลสัตว์ ส่วนกรณีที่กำหนดให้การ แสดงรายการอัตราค่ารักษาพยาบาลและค่าบริการ ไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้ง่าย ณ สถานพยาบาลสัตว์ตามร่าง มาตรา 6 อาจเกิดความซ้ำซ้อนกันกับประกาศคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เรื่อง การแสดง ราคาและค่าบริการ ปี 2551 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตตั้งสถาน พยาบาลสัตว์จะต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ ความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ซึ่งไม่น่าจะเข้าข่ายข้อยกเว้นของการบัญญัติกฎหมายตาม มาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเมื่อผู้ต้องโทษได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้ว สมควรมีเสรีภาพในการประกอบ อาชีพเช่นเดียวกับบุคคลอื่น ๆ โดยทั่วไป ไปประกอบการพิจารณาด้วย |
||||||||||||||||||||||||
37324 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ศ. .... | รง | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของ ประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตนตามมาตรา 40 โดยเพิ่มประโยชน์ทดแทน อีก 2 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย และกรณีชราภาพ ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่ง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 2. ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและกระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็น ควรมีการเปรียบเทียบอัตราการจ่ายเงินสมทบกับอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนที่เหมาะสมโดยให้คำนึงถึงความ เป็นธรรมกับผู้ประกันตนตามมาตราอื่น ๆ ด้วย ส่วนการเปลี่ยนหลักเกณฑ์การจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกัน สังคม จากเดิมที่จ่ายเป็นรายปี เปลี่ยนเป็นการจ่ายเป็นรายเดือน นั้น จะต้องกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการส่งเงิน สมทบ โดยคำนึงถึงความสะดวกของผู้ประกันตน และต้องไม่เป็นภาระของสำนักงานประกันสังคมในการให้บริการ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในการนำส่งเงินของผู้ประกันตน รวมทั้งให้พิจารณาทบทวนร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เพื่อ ให้การกำหนดสิทธิประโยชน์เป็นไปอย่างเหมาะสมไม่เกิดความซ้ำซ้อน และไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของ กองทุน ฯ ในอนาคต และความเห็นของสำนักงบประมาณที่เห็นควรให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์โดยตรง เป็นผู้จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ฯ แต่เพียงฝ่ายเดียวตามหลักผู้ใช้หรือผู้ได้รับประโยชน์เป็นผู้จ่าย ไปประกอบการ พิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ |
||||||||||||||||||||||||
37325 | ความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง "การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ" | สสป | 08/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เรื่อง การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนด้านตะวันตกของประเทศ ตามที่สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ และผลการพิจารณาตามความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ ของกระทรวงคมนาคมร่วมกับส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยในส่วนของความเห็นและข้อเสนอแนะของสภาที่ปรึกษาฯ สรุปได้ ดังนี้
๑. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าและเพิ่มปริมาณสินค้าไปยังสหภาพพม่า และประเทศที่สาม เช่น จีน เกาหลีใต้ อินเดีย บังคลาเทศ ฯลฯ โครงสร้างพื้นฐานที่ต้องเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการพัฒนาเศรษฐกิจประกอบไปด้วยโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการคมนาคม ได้แก่ ถนน ระบบราง และท่าเรือน้ำลึก ๒. การยกระดับและเพิ่มจำนวนจุดผ่านแดนที่มีศักยภาพเพื่อเพิ่มมูลค่าการค้าและการลงทุน ปัจจุบันมีจุดค้าขายบริเวณชายแดนไทย - สหภาพพม่า เพียง ๔ จุดเท่านั้นที่ถือเป็นจุดผ่านถาวร ได้แก่ ท่าขี้เหล็ก - แม่สาย เมียวดี - แม่สอด พญาตองซู - ด่านพระเจดีย์สามองค์ และเกาะสอง - อำเภอเมืองระนอง ที่สะพานปลา และบริเวณอำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง ๓. เร่งรัดการดำเนินงานตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนที่อำเภอแม่สอดให้เป็นจริงโดยด่วน รัฐบาลควรจัดประชุมกับประชาคมแม่สอดว่าต้องการโมเดลแบบไหนที่จะสอดคล้องและรองรับการเจริญเติบโตของจังหวัดเมียวดีของสหภาพพม่า ตลอดจนเขตอุตสาหกรรมพิเศษที่ย่างกุ้ง มิงกะลา ดอนผาอัน และเมาะลำไย ซึ่งได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว ๔. รัฐบาลควรพิจารณาปรับปรุง แก้ไขกฎระเบียบของหน่วยงานต่าง ๆ ที่ปฏิบัติงานในบริเวณชายแดนไปในทิศทางเดียวกัน คือ เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนในบริเวณชายแดน โดยหว่านล้อมให้เกิดความเชื่อมั่นว่าความมั่นคงของประเทศทั้งในปัจจุบันและในอนาคตขึ้นอยู่กับความเจริญทางเศรษฐกิจที่กระจายและเกื้อหนุนกันระหว่างประเทศเพื่อนบ้านไม่ใช่ความแข็งกร้าวของนโยบายการเมืองหรือการทหาร ๕. รัฐบาลควรสานสัมพันธ์กับรัฐบาลสหภาพพม่าอย่างต่อเนื่อง มองข้ามอคติเดิม ๆ ที่มองสหภาพพม่าเป็นศัตรู เพราะในความเป็นจริงของปัจจุบันแล้ว สหภาพพม่าเป็นศูนย์กลางพลังงานของภูมิภาคนี้ที่ไทยจำต้องพึ่งพา นอกจากพลังงานที่มีอย่างเหลือเฟือแล้ว สหภาพพม่ายังมองอนาคตตนเองในฐานะเป็น Hub ทางพลังงาน ซึ่งสหภาพพม่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาไปได้ ดังนั้น จึงเป็นเรื่องจำเป็นต่ออนาคตประเทศไทยที่จะต้องพาตัวเองไปเป็นภาคีที่สำคัญของสหภาพพม่านับตั้งแต่วันนี้
|
||||||||||||||||||||||||
37326 | ขอความเห็นชอบการแต่งตั้งผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (นายโอภาส เพชรมุณี) | คค | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการแต่งตั้งนายโอภาส เพชรมุณี ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการองค์การขนส่ง
มวลชนกรุงเทพ โดยให้ได้รับค่าตอบแทนคงที่ในอัตราเดือนละ 143,700 บาท รวมทั้งสิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตาม ที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญาจ้างเป็นต้นไป ส่วนการกำหนดอัตราค่าตอบ แทนให้เป็นไปตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
|
||||||||||||||||||||||||
37327 | รายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 6/2552 | นร | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอรายงานการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วย
รัฐมนตรี ในการประชุมครั้งที่ 6/2552 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2552 โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวง วัฒนธรรม (เรืออากาศเอก สุริยะ ศึกษากิจ) เป็นประธานการประชุม สรุปผลการประชุมได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมรายงานเกี่ยวกับการดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรมใน เรื่องต่าง ๆ ได้แก่ การกำหนดแนวทางดำเนินงานของกระทรวงวัฒนธรรม บทบาทของกระทรวงวัฒนธรรมต่อการ ดำเนินการเศรษฐกิจสร้างสรรค์ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2553-2555 รวมทั้งการดำเนินการภายใต้โครง การไทยสร้างสรรค์ไทยเข้มแข็ง และการดำเนินการของกระทรวงวัฒนธรรมในการสร้างวัฒนธรรมประชาธิปไตย ซึ่ง ที่ประชุมมีความเห็นว่า กระทรวงวัฒนธรรมควรเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการสืบทอดอารยธรรม ทางศิลปะ โบราณสถานและโบราณวัตถุในพื้นที่แถบประเทศไทย กัมพูชาที่ล้วนได้รับอิทธิพลทางอารยธรรมมาจาก ประเทศเนปาล สำหรับกรณีที่มีผู้แทนไทย คือรองปลัดกระทรวงวัฒนธรรม (นางโสมสุดา ลียะวณิช) ร่วมเป็นกรรม การในคณะกรรมการมรดกโลก ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีของประเทศไทยที่จะสร้างความเข้าใจกับประเทศต่าง ๆ ใน อันที่จะช่วยปกป้องผลประโยชน์ของประเทศไทย 2. ที่ประชุมเห็นชอบกับการจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามที่ฝ่ายเลขา นุการ ฯ เสนอ โดยให้ดำเนินการตามความเห็นของที่ประชุม ที่เห็นควรจัดทำรายงานผลการดำเนินงานโดยแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ การจัดทำรายงานผลการดำเนินงานตามหน้าที่ในฐานะผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้ผู้ช่วยรัฐมนตรีแต่ละ ท่านพิจารณาจัดทำรายงานในส่วนนี้ให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในระเบียบ ฯ ข้อ 7 และนำเรียนรัฐมนตรีเจ้าสังกัด แล้วนำส่งฝ่ายเลขานุการ ฯ เพื่อนำกราบเรียนนายกรัฐมนตรีต่อไป และการจัดทำรายงานผลการดำเนินงาน โดยให้ มีคณะอนุกรรมการรวบรวมและจัดทำรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยมีกรรมการ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม (นายอุทัยรัตน์ ชัยประเสริฐ) เป็นประธานอนุกรรมการ/คณะทำงาน เพื่อ รวบรวมรายงานผลการดำเนินงานของคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีในภาพรวมต่อไป 3. ที่ประชุมกำหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ครั้งที่ 7/2552 ในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552 ณ สำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนิพนธ์ บุญญภัทโร) เป็นประธานการประชุม
|
||||||||||||||||||||||||
37328 | รายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย - อินโดนีเซีย ครั้งที่ 3 | กห | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงกลาโหมรายงานผลการประชุมคณะกรรมการระดับสูง ไทย-อินโด
นีเซีย ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2552 ณ จังหวัดชลบุรี สรุปผลการประชุมได้ดังนี้ 1. ที่ประชุมรับทราบผลการดำเนินงานในห้วงที่ผ่านมา ได้แก่ การดำเนินงานตามข้อเสนอของฝ่ายไทย ซึ่งมีขึ้นในระหว่างการประชุมคณะกรรมการ ฯ ครั้งที่ 2 โดยทั้งสองประเทศดำเนินการแล้ว 3 ประเด็น จากทั้งหมด 4 ประเด็น ซึ่งประเด็นที่กำลังดำเนินการคือ การจัดตั้งคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (กชท.) ไทย-อินโดนีเซีย การ ประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านยุทธการ ครั้งที่ 1 ซึ่งได้หารือเกี่ยวกับการลาดตระเวนทางทะเลในช่องแคบมะละ กาเพื่อดำเนินการในประเด็นการกระทำผิดกฎหมายอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับโจรสลัด และความร่วมมือในการช่วยเหลือ ด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HA/DR) รวมทั้งการประชุมคณะอนุกรรมการร่วมด้านการฝึกและศึกษา ครั้งที่ 1 ซึ่งได้ริเริ่มจัดการฝึกทวิภาคีด้าน HA/DR การต่อต้านการก่อการร้าย และการให้กองทัพเรือและกองทัพ อากาศสนับสนุนค่าที่พักและเบี้ยเลี้ยงให้แก่นายทหารอินโดนีเซียที่จะศึกษาในไทย 2. ที่ประชุมรับทราบประเด็นที่มีการหารือระหว่างการเยือนอินโดนีเซียของนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20- 21 กุมภาพันธ์ 2552 เกี่ยวกับการปฏิบัติการร่วมในการรักษาสันติภาพ การขยายภารกิจของการลาดตระเวนใน ช่องแคบมะละกาเพื่อแก้ไขปัญหาโรฮิงญา การเรียนรู้และส่งเสริมความร่วมมือด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษย ธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ (HA/DR) ระหว่างกัน การศึกษาประสบการณ์ความร่วมมือระหว่างอินโดนีเซียและ ออสเตรเลียในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และความเป็นไปได้ในการให้ความช่วยเหลืออินโดนีเซียในการซ่อมเรือ ประมาณ 120 ลำ ทั้งนี้ ฝ่ายไทยได้เสนอให้คณะกรรมการระดับสูงสนับสนุนความร่วมมือด้าน HA/DR และความ ร่วมมือด้านการแพทย์ทางทหารระหว่างกัน
|
||||||||||||||||||||||||
37329 | ความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกร (ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2552) | นร | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประธานกรรม
การประสานการดำเนินงานโครงการประกันรายได้เกษตรกรเสนอ ดังนี้ 1. รับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานโครงการประกันรายได้ ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 และ มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ระหว่างวันที่ 23-27 พฤศจิกายน 2552 ในพื้นที่ 30 จังหวัดทั่ว ประเทศ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรได้ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว 3.31 ล้านราย หรือร้อยละ 89 ของเป้าหมาย 3.71 ล้านราย และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้ทำสัญญาประกันรายได้แล้ว 2.15 ล้าน ราย หรือร้อยละ 65 ของทะเบียนผู้ปลูกข้าว ซึ่งคาดว่าจะทำสัญญาได้แล้วเสร็จตามกำหนดวันที่ 15 ธันวาคม 2552 สำหรับกรณีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลัง ธ.ก.ส. ได้ทำสัญญาประกันรายได้แล้ว ร้อยละ 95.79 และ 84.74 ตามลำดับ ทั้งนี้ ในการทำสัญญาต้องแล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 โดยยังมีผู้ปลูกมันสำปะ หลังที่ยังไม่ได้ใบรับรองเกษตรกร 1,974 ราย และยังไม่ได้ทำสัญญากับ ธ.ก.ส. 57,262 ราย ส่วนผู้ปลูกข้าวโพด เลี้ยงสัตว์ยังไม่ได้รับใบรับรองเกษตรกร 1,453 ราย และยังไม่ได้ทำสัญญากับ ธ.ก.ส. 10,738 ราย 2. เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์เร่งติดตามตรวจสอบการรับซื้อข้าวของโรงสีต่าง ๆ ในพื้นที่ เพื่อให้เกิด ความเป็นธรรม โปร่งใส และเป็นไปตามกลไกตลาดอย่างแท้จริง และให้ ธ.ก.ส. เร่งดำเนินโครงการรับฝากข้าว เปลือกในยุ้งฉางเกษตรกรเพื่อรอการจำหน่าย ปีการผลิต 2552/53 ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 โดยเร็ว เพื่อชะลอผลผลิตออกสู่ตลาดและให้เกษตรกรมีทางเลือกมากขึ้น
|
||||||||||||||||||||||||
37330 | สรุปการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 | นร | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่คณะกรรมการอำนวยการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552 เสนอสรุปการจัดงานเฉลิม พระเกียรติ ฯ โดยกำหนดให้ใช้ชื่องานและสัญลักษณ์ชื่องานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อการ ประชาสัมพันธ์ว่า "เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552" และกำหนดให้มี การจัดงานเฉลิมพระเกียรติ ฯ ทั้งในกรุงเทพมหานครและทุกจังหวัด โดยในกรุงเทพมหานครแบ่งพื้นที่การจัดงาน รวม 3 แห่ง ประกอบด้วยที่บริเวณท้องสนามหลวง กำหนดการจัดงานระหว่างวันที่ 1-7 ธันวาคม 2552 ที่บริเวณ ถนนราชดำเนิน กำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 3-7 ธันวาคม 2552 และที่บริเวณพระลานพระราชวังดุสิต กำหนด จัดงานระหว่างวันที่ 5-13 ธันวาคม 2552
|
||||||||||||||||||||||||
37331 | ผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมนัดพิเศษ เรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ | ทส | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านสิ่งแวดล้อมนัดพิเศษ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิ อากาศ ซึ่งจัดขึ้นที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2552 สรุปได้ดังนี้ ที่ประชุม ฯ ได้ ร่วมกันพิจารณาถึงความก้าวหน้าการเจรจาเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเห็นควรร่วมมือกันเพื่อให้ ผลการเจรจาที่กรุงโคเปนเฮเกน ที่จะมีขึ้นในวันที่ 7-18 ธันวาคม 2552 ประสบความสำเร็จ แต่ยังมีข้อกังวลว่า การเจรจาดังกล่าวจะไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร โดยเฉพาะการไม่บรรลุข้อตกลงของแผนปฏิบัติการบาหลี (Bali Action Plan) ที่รับรอง ณ เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ในปี พ.ศ. 2550 นอกจากนี้ ที่ประชุม ฯ ได้มีการ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่า จะทำอย่างไรจึงจะสามารถสนับสนุนกระบวนการเจรจาที่ต้องการให้มีการแก้ปัญหา ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งความคิดเห็นและข้อเสนอแนะ ต่ออาเซียนเพื่อทำความเข้าใจต่อข้อตกลงของประเทศพัฒนาแล้วในเรื่องเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือน กระจก การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเงิน การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการเสริมสร้าง ขีดความสามารถ พร้อมทั้งได้ตกลงร่วมกันว่าจะร่วมกันทำงานอย่างใกล้ชิดเพื่อแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านกรอบการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาเซียน (ASEAN Climate Change Initiative : ACCI) และคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของอาเซียน (ASEAN Working Groupon Climate Change : AWGCC) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ 2. มอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยว ข้องเพื่อดำเนินการในส่วนที่รับผิดชอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
37332 | ขอผ่อนผันการบรรทุกข้าวช่วงผลผลิตออกมาก (1 ธันวาคม 2552 - 28 กุมภาพันธ์ 2553) | พณ | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการขอผ่อนผันน้ำหนักการบรรทุกผลผลิตทางการเกษตร จากเดิมที่กำหนดตาม
กฎหมายไว้ 25 ตัน เป็น 30 ตัน และผ่อนผันการเคลื่อนย้ายรถเกี่ยวนวดให้สามารถเคลื่อนย้ายโดยใช้รถบรรทุกขนาด เล็กหรือ 6 ล้อ แทนรถบรรทุก 6 ล้อขนาดใหญ่ หรือรถบรรทุก 10 ล้อ ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2552-28 กุมภาพันธ์ 2553 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ และให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาดำเนินการให้ถูก ต้องตามข้อกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
37333 | เงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน | นร | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบและเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอว่า การจ่ายเงินสนับ
สนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มีขั้นตอนการดำเนินการโดยจังหวัดโอนเงินไป ให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) จากนั้น อบจ. โอนให้สาธารณสุขจังหวัดเพื่อนำไปจัดสรรให้ อสม. แต่ปรากฎ ข้อเท็จจริงว่า มี อบจ. หลายแห่งดำเนินการแทนสาธารณสุขจังหวัดโดยไปจัดสรรเงินให้ อสม. โดยตรง จึงให้กระทรวง มหาดไทยรับไปดำเนินการตามขั้นตอนเดิม
|
||||||||||||||||||||||||
37334 | ร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... | พณ | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ถอนร่างพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจค้าปลีกหรือค้าส่ง พ.ศ. .... เพื่อรอ
ผลการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ของคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจก่อน ตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอ |
||||||||||||||||||||||||
37335 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี 2552 เพิ่มเติม ให้กับผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ 2 | กษ | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์นำเรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี
2552 เพิ่มเติม ให้กับผู้ประกอบการ กลุ่มนิติบุคคลที่ 2 เสนอคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหา ทางเศรษฐกิจพิจารณาภาพรวมและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งระบบก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
37336 | ขออนุมัติร่างบันทึกความเข้าใจและการลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการส่งเสริมและสาธิตการใช้เครื่องปรับอากาศระบบเก็บสะสมความเย็นด้วยสารทำความเย็น CHS และการยกเว้นภาษีและการโอนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่จะติดตั้งในโครงการฯ | พน | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ 1.1 เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยโครงการส่งเสริมและสาธิตการใช้เครื่องปรับอากาศระบบ เก็บสะสมความเย็นด้วยสารทำความเย็น CHS ระหว่างกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) กระทรวงพลังงาน และองค์การพัฒนาพลังงานใหม่และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม (New Energy and Industrial Technology Development Organization-NEDO) แห่งประเทศญี่ปุ่น ภายใต้กรอบโครงการอนุรักษ์พลังงานและ พิทักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Partnership Program-GPP) โดยร่างบันทึกความเข้าใจฉบับนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นกรอบ ในการดำเนินโครงการความร่วมมือระหว่างประเทศด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีสมัย ใหม่ที่ไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและเป็นโครงการในลักษณะนำร่องที่มีกรอบระยะเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดโครง การที่ชัดเจน โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่น 1.2 อนุมัติให้อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงานเป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้า ใจดังกล่าว 1.3 อนุมัติการยกเว้นภาษีอากรทุกชนิดสำหรับเครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ NEDO จะเป็นผู้ จัดหาและนำเข้ามาใช้ในโครงการดังกล่าวตามที่ระบุไว้ในร่างบันทึกความเข้าใจ ฯ ข้อ 5 และภาคผนวก II 1.4 เห็นชอบในหลักการให้ พพ. เป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์เครื่องจักรและวัสดุอุปกรณ์ของโครงการ ฯ จาก NEDO เมื่อการดำเนินโครงการเสร็จสิ้นลง และเมื่อได้รับโอนกรรมสิทธิ์แล้ว ให้ พพ. โอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าว ในโครงการให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงพลังงานต่อไป 2. ให้กระทรวงพลังงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ให้นำระบบดัง กล่าวมาขยายผลในวงกว้างทั้งภาคอุสาหกรรม รวมถึงสถาบันการศึกษาค้นคว้าวิศวกรรมศาสตร์ให้มากยิ่งขึ้น ไป ดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
37337 | ร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | คค | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติการเดินอากาศ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. 2497 โดยเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการจำนองอากาศยาน การจดทะเบียน อากาศยาน และการกำหนดบุริมสิทธิเหนืออากาศยาน เพื่อให้สามารถนำอากาศยานซึ่งเป็นทรัพย์ที่มีมูลค่าทาง เศรษฐกิจมาจำนอง เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และ ให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา 2. ให้กระทรวงคมนาคมรับข้อสังเกตของกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการกำหนดให้ มาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เป็นบทจำกัดสิทธิและเสรีภาพไว้ในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิและเสรีภาพในการศึกษา และในร่างมาตรา 33/5 ซึ่งกำหนดให้ผู้ รับจำนองอากาศยานเป็นสถาบันการเงิน โดยกำหนดความหมายของคำว่า "สถาบันการเงิน" ไว้ เนื่องจากปัจจุบัน ได้มีพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 และยกเลิกกฎหมายว่าด้วยธนาคารพาณิชย์ และกฎหมายว่า ด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์แล้ว จึงควรปรับปรุงถ้อยคำในร่างพระ ราชบัญญัติ ฯ ไปพิจารณาด้วย แล้วส่งร่างพระราชบัญญัติ ฯ ให้คณะกรรมการประสานงานด้านนิติบัญญัติพิจารณา ก่อนเสนอสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
37338 | การประชุมระดับรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (BIMSTEC) ครั้งที่ 12 | กต | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ 1.1 เห็นชอบร่างแถลงการณ์ร่วมของรัฐมนตรีความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอลสำหรับความร่วมมือหลากหลาย สาขาทางวิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal Initiative for Multi-Sectoral Technical and Economic Cooperation -BIMSTEC) ครั้งที่ 12 และอนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศร่วมรับรองเอกสารดังกล่าว 1.2 หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารดังกล่าวที่ไม่ใช่สาระสำคัญหรือไม่ขัดต่อผลประโยชน์ของ ไทย ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก 2. ให้กระทรวงการต่างประเทศรับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่ง ชาติ ที่เห็นควรมีการสำรวจโอกาสในการขยายความร่วมมือในด้านการขนส่งสินค้าทางเรือกับกลุ่มประเทศ BIMSTEC โดยเฉพาะกับท่าเรือที่มีศักยภาพในอ่าวเบงกอล เพื่อเชื่อมโยงกับเส้นทางการขนส่งชายฝั่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาขึ้น ในกรอบ IMT-GT ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
37339 | การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงานก่อสร้างและผู้ประกอบอาชีพอื่น | มท | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยถอนเรื่อง การพิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบอาชีพงาน
ก่อสร้าง และผู้ประกอบอาชีพอื่น คืนไปได้ ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
37340 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเจ้าเจ็ด - บางยี่หน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... | กษ | 01/12/2552 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ทางน้ำชลประทานในเขตโครงการส่งน้ำและ
บำรุงรักษาเจ้าเจ็ด-บางยี่หน เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตร และสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ กระทรวง ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองเจ้าเจ็ด-พระยาบรรลือ จากคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หนกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลเจ้าเจ็ด อำเภอเสนา ถึงคลองพระยาบรรลือกิโลเมตรที่ 19.385 ในท้องที่ตำบลลาดบัว หลวง อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน 2. กำหนดให้ทางน้ำชลประทานคลองบางซ้าย-ลาดบัวหลวง จากคลองเจ้าเจ็ด-บางยี่หนกิโลเมตรที่ 0.000 ในท้องที่ตำบลบางซ้าย อำเภอบางซ้าย ถึงคลองพระยาบรรลือ กิโลเมตรที่ 19.000 ในท้องที่ตำบลลาด บัวหลวง อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นทางน้ำชลประทานที่จะเรียกเก็บค่าชลประทาน
|
.....