ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1869 จากทั้งหมด 6212 หน้า แสดงรายการที่ 37361 - 37380 จากข้อมูลทั้งหมด 124240 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
37361 | การแถลงข่าวโครงการ "เฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552" | นร | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้ตัวแทนข้าราชการจาก 76 จังหวัด จำนวน 89 คน ที่เข้าร่วมโครงการอุปสมทบเฉลิมพระเกียรติ ของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสามารถเดินทางไปอุปสมบท ณ สาธารณรัฐอินเดียและเนปาล ได้โดยไม่ถือเป็นวัน ลา เสมือนเป็นการปฏิบัติราชการ ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ 2. อนุมัติให้แก้ไขหนังสือคณะกรรมการรับผิดชอบการดำเนินโครงการ "เฉลิมพระเกียรติ และถวายเป็นพระ ราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาส 82 พรรษา 5 ธันวาคม 2552" ด่วนที่สุด ที่ นร 0402(พ)/ 12788 ลงวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 จากเดิม "ระหว่างวันที่ 19 กุมภาพันธ์-2 มีนาคม 2553" เป็น "ระหว่างวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2552-3 มีนาคม 2553" ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอเพิ่มเติม
|
|||||||||||||||||||||||||||
37362 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี พ.ศ. .... | ศธ | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขา
วิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี พ.ศ. .... ตามที่กระทรวง ศึกษาธิการเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระ ราชกฤษฎีกา ฯ มีสาระสำคัญคือ 1. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชา เทคโนโลยี สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชานิเทศศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขา วิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาวิศวกรรมศาสตร์ และสาขาวิชาศิลปศาสตร์ 2. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่ง และเครื่องหมายประกอบครุยประจำ ตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภามหาวิทยาลัย และอธิการบดี 3. กำหนดสีประจำสาขาวิชา 4. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย
|
|||||||||||||||||||||||||||
37363 | ร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง พ.ศ. .... | ศธ | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษา
ในทศวรรษที่สอง พ.ศ. .... ที่คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 1 ตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างระเบียบ ฯ มีสาระสำคัญ คือ 1. กำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาการปฏิรูปการศึกษาในสี่ด้านที่คณะกรรมการนโยบายการปฏิรูป การศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) และคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กขป.) ต้องดำเนินการเพื่อให้การปฏิรูปการศึกษาเป็นไปอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ 2. กำหนดให้มีคณะกรรมการนโยบายปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กนป.) และคณะกรรมการ ขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (กขป.) ประกอบด้วยกรรมการโดยตำแหน่งและกรรมการผู้ทรง คุณวุฒิ มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด 3. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่งของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ และกำหนดวิธีการ ประชุมของคณะกรรมการ 4. กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษาทำหน้าที่เป็นฝ่ายเลขานุการของ กนป. และ กขป. มีอำนาจหน้าที่ตามที่กำหนด 5. กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ บุคคล และกลุ่มบุคคล ซึ่งมีหน้าที่เกี่ยวข้องการปฏิรูป การศึกษาในทศวรรษที่สองให้ความร่วมมือ และสนับสนุนการดำเนินงานของ กนป. และ กขป. และสำนักงาน เลขาธิการ ฯ 6. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเบิกจ่ายค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ 7. กำหนดให้สำนักงานเลขาธิการ ฯ เสนอรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิต่อนายกรัฐมนตรีภายในหกสิบวันนับ แต่วันที่ระเบียบนี้ใช้บังคับ และให้ระเบียบนี้ใช้บังคับจนถึงวันสิ้นสุดปีปฏิทิน พ.ศ. 2561
|
|||||||||||||||||||||||||||
37364 | รายงานผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา และกรุงโซล ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา | กก | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอรายงานผลการเดินทางไปราชการ
ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น และกรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬา ระหว่างวันที่ 22-30 ตุลาคม 2552 สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโตเกียว นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น 1.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือกับผู้บริหารระดับสูงที่สำคัญ ๆ ของ ธุรกิจท่องเที่ยวที่กรุงโตเกียว โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบพำนักระยะ ยาว (Long Stay) และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้โครงการ Visit World Campaign (VWC) ที่จะส่งเสริมให้ ชาวญี่ปุ่นเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศทั่วโลก จำนวน 20 ล้านคน ในปี ค.ศ. 2010 ซึ่งทาง VWC พร้อมให้ความ ร่วมมือและจะพยายามในการส่งเสริมให้ชาวญี่ปุ่นเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย จำนวน 2 ล้านคน 1.2 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้หารือกับผู้บริหาร Shizuoka Prefecture โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวระหว่างจังหวัดชิซึโอกะ-ประเทศไทย ซึ่งทางจังหวัดชิซึ โอกะพร้อมจะสนับสนุนให้นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินทางมาประเทศไทยรวมทั้งความร่วมมือเพื่อเพิ่มศักยภาพในการ เดินทางระหว่างจังหวัดชิซึโอกะกับประเทศไทย โดยใช้ท่าอากาศยานนานชาติ Mt. Fuji-Shizuoka 1.3 การจัดสัมมนาโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระดับอุดมศึกษาระหว่างญี่ปุ่น-ไทย โดยมีวัตถุ ประสงค์ของการจัดสัมมนาเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมให้นักศึกษาระดับอุดมศึกษาในประเทศญี่ปุ่นได้ให้เดินทางมา ท่องเที่ยวและศึกษาเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม และภาษาอังกฤษในประเทศไทย 2. ผลการเดินทางไปราชการ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี 2.1 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาได้พบหารือกับ Mr. Yoo, In Chon รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมเกาหลี โดยมีประเด็นการหารือเกี่ยวกับการส่งเสริมการท่องเที่ยว ในรูปแบบทวิภาคีร่วมกัน ซึ่งผลการหารือ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันทำสัญญาที่เรียกว่า Thailand Korea Tourism Exchange Year 2010 ภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงการจัดตั้ง Thailand Kore a Joint Tourism Committee เพื่อส่งเสริม การโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกัน รวมทั้งการสถาปนาเมืองพี่น้องระหว่าง กรุงเทพมหานคร และกรุงโซล 2.2 การประชุมหารือกับผู้บริหารระดับสูงของบริษัทนำเที่ยวที่สำคัญของสาธารณรัฐเกาหลีเพื่อ เจรจาให้บริษัทนำเที่ยวชั้นนำของเกาหลีสนับสนุนการขายการท่องเที่ยวไทยภายในสิ้นปีนี้ให้มากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
37365 | ผลการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยใช้กลไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า ครั้งที่ 4/2552 | พณ | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีรับทราบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอผลการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลโดยใช้กล
ไกตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า โดยองค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดประมูลข้าวสารแบบเสนอส่วนต่างราคา (Basis) ครั้งที่ 4/2552 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2552 ปริมาณ 343,519.367 ตัน มีผู้ยื่นซอง จำนวน 33 ราย ซึ่งมีผลการ ประมูลดังนี้ ข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 44,137.889 ตัน เสนอส่วนต่างราคาสูงสุด +0.14 ถึงต่ำสุด -4.25 บาท/กก. จากราคาซื้อขายล่วงหน้า และข้าวขาว 5% ปริมาณ 299,381.478 ตัน เสนอส่วนต่างราคาสูงสุด +0.20 ถึงต่ำสุด -3.00 บาท/กก. โดยส่วนต่างราคาดีที่สุดอยู่ระหว่าง +0.20 ถึง -1.48 บาท/กก. จากราคาซื้อขายล่วง หน้า ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารได้มีมติเห็นชอบให้ อคส. และองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จำหน่ายข้าวหอมมะลิ 100% ชั้น 2 ปริมาณ 21,504.813 ตัน ที่มีการเสนอส่วนต่างราคาสูงสุด +0.14 ถึงต่ำสุด -0.40 บาท/กก. จากราคาซื้อขายล่วงหน้า ซึ่งเป็นการเสนอส่วนต่างราคาที่เหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อตลาดโดย รวม โดยให้ อคส. และผู้ชนะประมูลเข้าทำการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (AFET) ตามเงื่อนไขที่กำหนด สำหรับข้าวขาว 5% ให้ชะลอการระบายไว้ก่อนเพื่อดูสถานการณ์เนื่องจากผลผลิตข้าวนาปีเริ่ม ออกสู่ตลาดมากขึ้น และเป็นข้าวใหม่ซึ่งมีความชื้นสูงทำให้แนวโน้มราคาข้าวในประเทศลดต่ำลง ขณะที่ความต้องการ ซื้อข้าวจากตลาดต่างประเทศยังไม่ชัดเจน
|
|||||||||||||||||||||||||||
37366 | ขออนุมัติใช้สิทธิ์ในการใช้รถยนต์เช่าแทนการรับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่ายฯ | พว | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้ใช้สิทธิ์ในการใช้รถยนต์เช่าแทนการรับเงินค่าตอบแทนเหมาจ่าย สำหรับข้า
ราชการผู้มีสิทธิได้รับรถยนต์ประจำตำแหน่งของสำนักพระราชวัง จำนวน 11 คัน ตั้งแต่ปีงบประมาณรายจ่าย พ.ศ. 2553-พ.ศ. 2557 ตามที่สำนักพระราชวังเสนอ โดยเบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จำนวน 3,484,800 บาท ที่ได้ตั้งงบประมาณรองรับไว้แล้ว และผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2554-พ.ศ. 2557 จำนวน 13,939,200 บาท ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
|||||||||||||||||||||||||||
37367 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงพาณิชย์ และส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม | พณ | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรี
และรัฐสภา (ปคร.) ของกระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงาน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ และสำนักงานอัยการสูงสุด ดังนี้ 1. กระทรวงพาณิชย์ นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ที่ปรึกษาการพาณิชย์ 2. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการยาเสพติด พลตำรวจโท กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 3. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ นายภิญโญ ทองชัย เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ 4. สำนักงานอัยการสูงสุด นายประสิทธิ์ ปทุมารักษ์ อัยการอาวุโส
|
|||||||||||||||||||||||||||
37368 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 235 สายทางเลี่ยงเมืองนาแก ตอนทางเลี่ยงเมืองนาแกด้านเหนือ พ.ศ. .... | คค | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้าง
ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 235 สายทางเลี่ยงเมืองนาแก ตอนทางเลี่ยงเมืองนาแกด้านเหนือ พ.ศ. .... มีสาระ สำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนเพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 235 สายทางเลี่ยงเมือง นาแกด้านเหนือ ในท้องที่อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะ กรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
37369 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสงขลา เขตเลือกตั้งที่ 1 แทนตำแหน่งที่ว่าง | ลต | 01/12/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งเบิกจ่ายงบประมาณจากงบประมาณ
รายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 12,600,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เขตเลือก ตั้งที่ 1 แทนตำแหน่งที่ว่าง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37370 | ร่างพระราชบัญญัติการกำกับและพัฒนานโยบายรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. .... | กค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังรับร่างพระราชบัญญัติการกำกับและพัฒนานโยบายรัฐวิสาหกิจ
พ.ศ. .... ไปพิจารณาร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงอุตสาหกรรม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม แล้วเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง |
|||||||||||||||||||||||||||
37371 | มาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วนราชการ ตามมาตรา 33 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 | นร | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่นายกรัฐมนตรีเสนอขอนำเรื่อง มาตรการทบทวนบทบาทภารกิจของส่วน
ราชการ ตามมาตรา 33 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 ไปพิจารณาในการประชุมร่วมกันของคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) และคณะกรรมการพัฒนาระบบราช การ (ก.พ.ร.) ก่อน และให้รองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) รับไปประสานกับสำนักงาน ก.พ. และ สำนักงาน ก.พ.ร. เพื่อดำเนินการต่อไป โดยให้รับความเห็นและข้อสังเกตของหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องที่เห็นควร นำผลการประเมินการปฏิรูประบบราชการที่ผ่านมา มาใช้ประกอบเป็นแนวทางการพิจารณาทบทวนบทบาทภาร กิจภาครัฐคราวนี้ด้วย และควรมีความชัดเจนให้กับส่วนราชการต่าง ๆ ด้วยว่าภารกิจที่ควรยุบเลิก และ/หรือถ่าย โอนภารกิจจะมีลักษณะอย่างไร หรือรูปแบบภารกิจงานเช่นไร เพื่อที่แต่ละส่วนราชการจะได้นำไปใช้เป็นกรอบแนว คิดในการดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ มาตรการสนับสนุนที่ให้คณะกรรมการ ก.พ. ไม่กำหนดตำแหน่งข้าราชการ เพิ่มใหม่และยุบเลิกตำแหน่งข้าราชการเกษียณอายุปกติ และเกษียณอายุก่อนกำหนดนั้น ควรมีการศึกษา วิเคราะห์ ให้ชัดเจน และสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินการของคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาค รัฐ (คปร.) เพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และลดความซ้ำซ้อน เป็นต้น ไปประกอบการ พิจารณาด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37372 | การจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และงบประมาณจัดตั้งมูลนิธิฯ และสถาบันฯ | นร | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบตามที่สำนักงาน ก.พ.ร. เสนอ 1.1 ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ สืบสานแนวพระราชดำริ เพื่อเป็นหน่วยงานที่เป็นกลไก ของรัฐรับผิดชอบการจัดการความรู้และการส่งเสริมการพัฒนาตามแนวทางโครงการพระราชดำริ 1.2 ให้โอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณโครงการปิดทองหลังพระ สืบสานแนวทางพระราช ดำริจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) องค์การมหาชน ให้แก่มูลนิธิปิดทองหลังพระ และสถาบันส่งเสริมและพัฒนาปิดทองหลังพระ ฯ ให้โอนในจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ที่ สสปน. ณ วันที่จดทะเบียน จัดตั้งมูลนิธิปิดทองหลังพระ ฯ ตามกฎหมาย ตามความเห็นของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี 2. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีรับความเห็นของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับการโอนภารกิจ ทรัพย์สิน และงบประมาณให้เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และให้มีการพิจารณาปรับ เป้าหมายการดำเนินงาน และงบประมาณที่จะขอรับการอุดหนุนจากรัฐบาล ให้เหมาะสมสอดคล้องกับการปรับ เปลี่ยนรูปแบบองค์กรและการบริหารจัดการ โดยให้ภาคเอกชน ชุมชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้ามามี ส่วนร่วม รวมทั้งความเห็นของกระทรวงวัฒนธรรมเกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานจัดตั้งมูลนิธิ ไปพิจารณาดำเนิน การต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37373 | อุซเบกิสถานขอรับสิทธิการตรวจลงตราเข้าไทย ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง | กต | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ประเทศอุซเบกิสถานมีสิทธิในการรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาต
ของด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย (Visa-on-Arrival-VOA) เพื่อพำนักอยู่ในไทยได้ไม่เกิน 15 วัน ตามที่กระทรวง การต่างประเทศเสนอ |
|||||||||||||||||||||||||||
37374 | มาตรการประหยัดในการเบิกค่าใช้จ่าย | กค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมาตรการประหยัดในการเบิกค่าใช้จ่ายและขอความร่วมมือจากส่วนราชการให้
ใช้ดุลพินิจในการเบิกค่าใช้จ่ายในอัตราต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1. ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ขอความร่วมมือให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมทุกแห่งใช้อำนาจ ตามกฎหมายข้อ 3.1 (มาตรา 6) โดยขอความร่วมมือให้ออกระเบียบภายในให้ผู้ดำรงตำแหน่งระดับ 9 ขึ้นไป หรือ ตำแหน่งที่เทียบเท่าเบิกค่าโดยสารเครื่องบินในประเทศในอัตราชั้นประหยัด เว้นแต่ผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา รองประธานศาลฎีกา ประธานรัฐสภา รองประธานรัฐสภา ประธานวุฒิ สภารองประธานวุฒิสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร รองประธานสภาผู้แทนราษฎร รัฐมนตรี ปลัดกระทรวงและ อธิบดี หรือผู้ดำรงตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าปลัดกระทรวง หรืออธิบดี จะเบิกค่าโดยสารเครื่อง บินในอัตราที่ตนมีสิทธิหรือในอัตราต่ำกว่าที่ตนเองมีสิทธิได้รับก็ได้ 2. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในการฝึกอบรม ขอความร่วมมือให้เบิกในอัตรา 25 บาทต่อมื้อต่อคน ส่วน ค่าอาหารในการฝึกอบรม กรณีจัดฝึกอบรมในสถานที่ราชการ ขอความร่วมมือให้เบิกไม่เกินคนละ 150 บาทต่อมื้อ และกรณีจัดฝึกอบรมในสถานที่เอกชน ถ้าจัดเลี้ยงอาหารมื้อเดียว เช่น มื้อกลางวันขอความร่วมมือให้เบิกได้ไม่เกิน คนละ 400 บาท (ถ้าเลี้ยงเกิน 1 มื้อ ให้เบิกไม่เกินอัตราตามระเบียบ) 3. ค่าอาหารว่างและเครื่องดื่มในการประชุม ให้เบิกในอัตรา 25 บาทต่อมื้อต่อคน ส่วนค่าอาหารในการ ประชุม ไม่เกิน 80 บาทต่อมื้อต่อคน โดยขอความร่วมมือให้จัดประชุมภายในสถานที่ราชการ ทั้งนี้ การเบิกค่าใช้จ่ายดังกล่าวข้างต้น หากส่วนราชการไม่สามารถเบิกจ่ายตามอัตราที่ขอความร่วมมือ ไว้ได้ ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าส่วนราชการที่จะพิจารณาเบิกจ่าย โดยให้คำนึงถึงความจำเป็น เหมาะสม และ ประหยัดภายใต้หลักเกณฑ์ของระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ
|
|||||||||||||||||||||||||||
37375 | ขออนุมัติผลการทบทวนกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา ค่าจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการและที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างสำหรับงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค และช่วงบางซื่อ - ท่าพระ | คค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติผลการทบทวนกรอบวงเงินค่าก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง -บางแค และช่วงบางซื่อ-ท่าพระ จากจำนวน 48,821 ล้านบาท เป็นกรอบวงเงินใหม่ จำนวน 52,460 ล้านบาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ทั้งนี้ ให้กระทรวงการคลัง โดยกรมบัญชีกลาง ร่วมกับสำนัก งบประมาณและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบค่าใช้จ่ายในส่วนของค่ารื้อย้ายสาธารณูปโภคที่ขอปรับวง เงินเพิ่มขึ้นเป็น 1,432 ล้านบาท ให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและเกณฑ์การคำนวณราคาต่อหน่วย (unit cost) ก่อน ดำเนินการต่อไปด้วย 2. อนุมัติแนวทางการระดมทุนในส่วนค่าก่อสร้างงานโยธา โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ฯ ตามความ เห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรให้รัฐบาลเป็นผู้รับภาระการลงทุนในส่วนโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดตามมติคณะ รัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2549 โดยกระทรวงการคลังจะพิจารณาระดมทุนโดยการกู้เงินบาทจากแหล่งเงิน ทุนภายในประเทศซึ่งจะสามารถเร่งรัดให้สามารถเปิดประกวดราคาได้เร็วขึ้นตามนโยบายรัฐบาล โดยการกู้เงินใน ประเทศนั้น ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กู้และนำมาให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กู้ต่อ ซึ่งจะ ทำให้ต้นทุนในการระดมทุนต่ำกว่า รฟม. กู้เงินเอง ทั้งนี้ การดำเนินงานตามแนวทางดังกล่าวอยู่ภายใต้อำนาจของ กระทรวงการคลังตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2551 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง กำหนดให้กระทรวงการคลังสามารถกู้เงินและนำมาให้กู้ต่อแก่รัฐวิสาหกิจเพื่อดำเนินโครงการพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศได้ หากการให้กู้ต่อดังกล่าวจะเป็นการประหยัดและทำให้การบริหาร หนี้สาธารณะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยให้สำนักงบประมาณพิจารณาจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีเป็นงบ ชำระหนี้ให้แก่ รฟม. เพื่อใช้ชำระหนี้คืนแก่แหล่งเงินกู้โดยตรงทั้งในส่วนเงินต้น ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นที่เกี่ยวข้อง ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กระทรวงการคลังจะได้ตกลงกับ รฟม. ต่อไป 3. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับแนวทางการให้เอกชนร่วมลงทุนใน ส่วนงานระบบรถไฟฟ้า อาณัติสัญญาณและตัวรถไฟฟ้า ซึ่ง รฟม. ควรเร่งจัดทำรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครง การตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินงานในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 และความเห็น ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ รฟม. และการรถไฟแห่งประเทศ ไทยเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า 3 สายทาง ตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิด ความโปร่งใสและสามารถเปิดให้บริการแก่ประชาชนได้ตามเป้าหมาย ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37376 | ขออนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล | กษ | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ราษฎรที่ได้รับผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล จำนวน
3,608 แปลง เนื้อที่ 24,861-1-05.90 ไร่ ในอัตราไร่ละ 32,000 บาท เป็นเงินทั้งสิ้น 795,560,472 บาท โดยใช้ เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ให้กรมชลประทานนำมาใช้จ่ายเพื่อการนี้ ตามความ เห็นของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2552 ตามที่รองนายก รัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ) ประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศล เสนอ ทั้งนี้ ให้กรมชลประทานกำกับการตรวจสอบสิทธิของบุคคล และการจ่ายเงินให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและโปร่งใส ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ และให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับแปลงที่ดินที่จะได้รับความช่วย เหลือในครั้งนี้จะต้องไม่ซ้ำซ้อนกับแปลงที่ดินที่ได้รับความช่วยเหลือไปก่อนหน้านี้แล้ว รวมทั้งความเห็นของสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการพิจารณาตรวจสอบพิสูจน์จำนวนแปลงที่ดินที่เหลือ อีก จำนวน 2,993 แปลง ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37377 | ขออนุมัติแผนแม่บทการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552 - 2559) | วท | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติแผนแม่บทการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2552-2559) ตามมติคณะ กรรมการมาตรวิทยาแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2552 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 โดยวัตถุประสงค์ของแผนแม่บท ฯ เพื่อใช้เป็นกรอบและแนวทางการกำหนดทิศทางการดำเนินงาน และเป็นกรอบในการจัดทำแผนกลยุทธ์ และแผน ปฏิบัติการของสถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาระบบมาตรวิทยาแห่งชาติ ให้สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาประเทศ รวมทั้งความต้องการของผู้ใช้บริการในประเทศอันจะนำไปสู่การปฏิบัติ อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ 2. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงาน ก.พ. ที่เห็นควรส่งเสริมความเข้มแข็งของสถาบันมาตร วิทยาแห่งชาติ ให้พัฒนาไปสู่การเป็นหน่วยตรวจสอบรับรองมาตรฐานในระดับสากล เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างสรรค์ที่ส่งเสริมการให้ความรู้ การใช้ความรู้ และนวัตกรรม เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของ ภาคอุตสาหกรรม โดยเพิ่มการบูรณาการด้านมาตรวิทยาในประเทศนอกเหนือกับต่างประเทศ โดยให้ความสำคัญ กับการขับเคลื่อนการทำงานในลักษณะเครือข่ายภายในประเทศ และควรส่งเสริมความเข้มแข็งของภาคีเครือข่าย ในภูมิภาค อาทิ ห้องปฏิบัติการวิจัยของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เพื่อพัฒนาเป็นหน่วยวัดที่มีมาตรฐานสามารถให้ บริการอย่างมีประสิทธิภาพ นอกเหนือจากการจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ ทดสอบ และสอบเทียบในภูมิภาค เพื่อบรรเทาปัญหาความไม่เพียงพอทั้งในด้านจำนวน และการกระจายตัวของการให้บริการในภูมิภาค นอกจากนี้ ควรเร่งสร้างความตระหนักถึงความสำคัญ และประโยชน์ของระบบมาตรวิทยาในกลุ่มประชาชนทั่วไป ไปพิจารณา ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37378 | มาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 | กค | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบมาตรการและแนวทางการเร่งรัดติดตามการใช้จ่ายเงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติ การไทยเข้มแข็ง 2555 ตามมติคณะกรรมการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ ในคราวประชุมเมื่อวัน ที่ 13 พฤศจิกายน 2552 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ 1.1 กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายไม่น้อยกว่าร้อยละ 100.00 ของวงเงินตามแผนที่ได้รับอนุมัติให้ ดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 1.2 ให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 1.3 ให้หน่วยงานที่ได้รับเงินโครงการ ฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ดำเนินการลงนามในสัญญา ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 1 และบันทึกข้อมูลแผนงาน งวดงานและงวดเงิน ตามระเบียบที่กระทรวงการคลัง กำหนด และให้รายงานผลความก้าวหน้าตามแผนงาน งวดงานและงวดเงินที่สอดคล้องกับความสำเร็จของงาน ในแต่ละเดือนไตรมาส เพื่อเป็นข้อมูลในการติดตามเร่งรัดการใช้จ่ายเงินให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ของโครงการ 1.4 ให้นำอัตราการเบิกจ่ายเงินโครงการ ฯ ตามเป้าหมายที่คณะรัฐมนตรีกำหนดเป็นตัวชี้วัดในคำ รับรองการปฏิบัติราชการของหน่วยงาน 1.5 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดกำกับหน่วยงานในสังกัดที่ได้รับเงินโครงการ ฯ ให้ปฏิบัติตามแผนการ ปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินอย่างเคร่งครัด 1.6 ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเพิ่มบทบาทให้คลังจังหวัดดำเนินการติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายเงินโครง การ ฯ ของส่วนราชการในจังหวัดเพื่อให้การเบิกจ่ายเป็นไปตามเป้าหมาย 2. เว้นแต่กรณีหน่วยงานใดไม่สามารถส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงินให้แล้ว เสร็จได้ภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552 ตามที่กำหนดตามมาตรการ ฯ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเรื่องดังกล่าว เสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไป |
|||||||||||||||||||||||||||
37379 | การกู้เงินสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 | กษ | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. อนุมัติให้องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การ เกษตร (ธ.ก.ส.) โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันและพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ เพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุน หมุนเวียนในการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ตามโครงการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 ใน วงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท และรัฐรับภาระชดเชยผลขาดทุนของโครงการ ฯ โดยให้สำนักงบประมาณจัดสรร งบประมาณเพื่อชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยให้แก่ ธ.ก.ส. ให้ครบถ้วนจากงบประมาณแผ่นดินประจำปี พ.ศ. 2554 หากสำนักงบประมาณไม่สามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อชำระหนี้ได้ครบถ้วน ให้ขยายระยะเวลาการกู้เงินของโครง การ ฯ ออกไปจนกว่าสำนักงบประมาณจะสามารถจัดสรรงบประมาณให้แก่โครงการ ฯ เสร็จสิ้น โดยมีกระทรวง การคลังค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าว โดยรัฐบาลรับภาระชำระคืนต้นเงินและดอกเบี้ยเงินกู้โครงการ ฯ ตามที่กระทรวง เกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ โดยให้ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และการพิจารณาอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ให้ อ.ต.ก. เจรจาต่อรองกับสถาบันการเงินเพื่อพิจารณาอัตรา ดอกเบี้ยที่เหมาะสม ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง 3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (อ.ต.ก.) รับความเห็นของรองนายกรัฐมนตรี (นายกอร์ปศักดิ์ สภาว สุ) ประธานกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและ สังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรเร่งรัดประชาสัมพันธ์ รวมทั้งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับเกษตร กรถึงหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และวิธีดำเนินการในการแทรกแซงตลาดรับซื้อข้าวเปลือก ปี 2552/53 โดยรับซื้อแทรก แซงตามเกณฑ์กลางอ้างอิงและมาตรฐานที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเพื่อให้การดำเนินมาตรการบรรลุวัตถุประสงค์ และเกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล นอกจากนี้ เมื่อ อ.ต.ก. ดำเนินการซื้อข้าวเปลือกเสร็จ สิ้นตามโครงการ ฯ แล้ว ให้รายงานผลการดำเนินงานปัญหาและอุปสรรค ให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไปด้วย ไป ดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
37380 | การลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม | กษ | 24/11/2552 | ||||||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติดังนี้
1. เห็นชอบให้มีการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม ตามอัตราการเรียกเก็บค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ให้เหลือในอัตราร้อยละ 0.01 ตามราคา ประเมินทุนทรัพย์ ออกไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ตามที่ระบุไว้ในร่างประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเป็นพิเศษตามประมวลกฎหมายที่ดิน สำหรับ กรณีการโอนอสังหาริมทรัพย์ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ 2. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) รับความ เห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ให้ ส.ป.ก. จัดทำแผนการดำเนินงานที่ ชัดเจนในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ และส่วนที่จะครบสัญญาเช่าซื้อภายในปี พ.ศ. 2555 รวมทั้งให้เร่งแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้องให้แล้วเสร็จก่อนที่จะครบกำหนดเวลาที่ระบุในร่างประกาศ ฯ เพื่อให้สามารถ ดำเนินการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในระยะ ยาว ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย |
.....