ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1619 จากทั้งหมด 6199 หน้า แสดงรายการที่ 32361 - 32380 จากข้อมูลทั้งหมด 123968 รายการ
ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
32361 | รายงานความก้าวหน้าโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ประจำปี 2554 | ยธ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความก้าวหน้าโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงยุติธรรม โดยสำนักงาน ป.ป.ส. เสนอ จำแนกผลการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์โดยสรุป ดังนี้
๑. ยุทธศาสตร์ที่ ๑ ด้านการพัฒนาอาชีพและการตลาด ๑.๑ จัดกิจกรรมศึกษาดูงานเพื่อเรียนรู้จากโครงการหลวงด้านการเพาะปลูกพืชในระบบเศรษฐกิจ อาหารปลอดภัย การเลี้ยงปศุสัตว์ การอนุรักษ์ดินและน้ำ การปลูกป่าชาวบ้าน และกระบวนการการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน ๑.๒ จัดอบรมและสาธิตเพื่อให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกษตรกรด้านการปลูกและเพิ่มผลผลิตพืชเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร และพืชสร้างรายได้ จำนวน ๖ ชนิด ได้แก่ พืชเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร : ข้าวไร่ ข้าวนาดำ และพืชผักสวนครัว เพื่อบริโภค และพืชสร้างรายได้ : พืชตระกูลถั่ว ข้าวโพด กาแฟอราบิก้า และไม้ผลไม้ยืนต้น ๑.๓ จัดอบรมและสาธิตเพื่อให้ความรู้และพัฒนาทักษะเกษตรกรด้านการเลี้ยงและการควบคุมโรคในสัตว์ ได้แก่ ไก่ สุกร และกระบือ ๑.๔ การส่งเสริมการปลูกพืชอาหาร การส่งเสริมการปลูกพืชรายได้ การส่งเสริมการปลูกและเพิ่มผลผลิตไม้ผลไม้ยืนต้น และการส่งเสริมการปลูกและดูแลรักษากาแฟอราบิก้า ๑.๕ การส่งเสริมอาชีพนอกภาคการเกษตร ส่งเสริมการรวมกลุ่มด้านงานหัตถกรรม โดยการจัดตั้งกลุ่มหัตถกรรมเพื่อผลิตงานหัตถกรรมจำหน่ายเป็นรายได้เสริม ๑.๖ การถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม รณรงค์ลดการใช้สารเคมีและให้บริการตรวจวัดระดับสารเคมีตกค้างในกระแสเดือด ๒. ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ด้านการเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนและการพัฒนาสังคม ๒.๑ จัดทำแผนชุมชนโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ๒.๒ การส่งเสริมความเข้มแข็งของชุมชนและองค์กรชุมชนโดยสนับสนุนและจัดกิจกรรมวันชนเผ่าสามัคคีบนวิถีความพอเพียงและกิจกรรมประเพณีชนเผ่าในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน ๒.๓ การสนับสนุนกิจกรรมเสริมสร้างความเข้มแข็งของกลุ่มอาชีพและกลุ่มออมทรัพย์ ๒.๔ จัดกิจกรรมการรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด ๓. ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ด้านการพัฒนากระบวนการชุมชนเพื่อแก้ปัญหายาเสพติด ได้แก่ การบำบัดผู้ติดยาเสพติดในพื้นที่โครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน การจัดตั้งอาสาสมัครและแกนนำเฝ้าระวังในระดับชุมชน และการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้เพื่อการป้องกันยาเสพติดในรูปแบบการจัดวิทยุชุมชนและเสียงตามสายหมู่บ้านร่วมกับภาคเอกชน กลุ่มเสียงสันติ สภาคริสตจักรเชียงใหม่ ในเขตอำเภออมก๋อยและใกล้เคียงจังหวัดเชียงใหม่ ๔. ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ๔.๑ วางแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินโดยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อกำหนดขอบเขตการใช้ประโยชน์โดยกระบวนการมีส่วนร่วม ฟื้นฟูพื้นที่ที่บุกรุกบริเวณที่มีความลาดชันสูง และมาตรการหยุดยั้งการบุกรุกทำลายป่าเพิ่มเติมโดยกระบวนการมีส่วนร่วม และนำร่างแผนการใช้ประโยชน์ที่ดินสู่การประชาคมในพื้นที่ โดยให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการจัดทำโมเดลเพื่อกำหนดพื้นที่หมู่บ้านและพื้นที่ทำกิน ๔.๒ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในการปลูกป่าฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธาร ๔.๓ ส่งเสริมและรณรงค์การปลูกหญ้าแฝกอย่างมีส่วนร่วมเพื่อลดการชะล้างและป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ๕. ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ด้านการบริหารจัดการและกำกับดูแล ได้แก่ การสร้างศูนย์ปฏิบัติการเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และเป็นสถานที่ประชุมร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ การประชุมคณะกรรมการอำนวยการโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน การประชุมคณะทำงานบริหารและประสานการดำเนินงานแผนแม่บทโครงการขยายผลโครงการหลวงเพื่อแก้ปัญหาพื้นที่ปลูกฝิ่นอย่างยั่งยืน และการประชุมคณะกรรมการระดับจังหวัดและคณะทำงานระดับอำเภอ
|
||||||||||||||||||||||||
32362 | การเสนอความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าเพื่อดำเนินการให้มีผลใช้บังคับ | กต | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบความตกลงเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองการลงทุนระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสหภาพพม่าให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ โดยหลักการทั่วไปของความตกลงฯ สอดคล้องกับหลักการที่ปรากฏในความตกลงที่ประเทศไทยจัดทำกับประเทศต่าง ๆ คือ มุ่งให้ความคุ้มครองนักลงทุนไทยในการไปลงทุนในต่างประเทศ และให้ความคุ้มครองนักลงทุนต่างประเทศในการเข้ามาลงทุนในไทย ๒. เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว มอบให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือแจ้งฝ่ายพม่าว่า ฝ่ายไทยได้ดำเนินการตามกระบวนการกฎหมายภายในที่กำหนดไว้เสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับ
|
||||||||||||||||||||||||
32363 | ขออนุมัติลงนามและสัตยาบันสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) | กต | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบร่างสนธิสัญญาระหว่างราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีนว่าด้วยการโอนตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษา (สนธิสัญญาโอนตัวนักโทษ) ซึ่งมีเนื้อหาสาระเช่นเดียวกับสนธิสัญญาประเภทที่ประเทศไทยได้จัดทำกับประเทศต่าง ๆ และสอดคล้องกับหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติการปฏิบัติเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศในการดำเนินการตามคำพิพากษาคดีอาญา พ.ศ. ๒๕๒๗ (แก้ไข พ.ศ. ๒๕๓๐) โดยกำหนดเงื่อนไขและขั้นตอนในการขอโอนและการรับตัวผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาระหว่างรัฐภาคี ๒. อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายลงนามสนธิสัญญาฯ ๓. อนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศให้สัตยาบันสนธิสัญญาฯ และแลกเปลี่ยนสัตยาบันสารในโอกาสอันเหมาะสมตามแต่จะตกลงกับฝ่ายจีนต่อไป ๔. หากมีความจำเป็นต้องแก้ไขปรับปรุงร่างสนธิสัญญาฯ ในส่วนที่ไม่ใช่สาระสำคัญก่อนมีการลงนาม ให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถดำเนินการได้โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้ง
|
||||||||||||||||||||||||
32364 | ขออนุมัติเปลี่ยนแปลงวงเงินงบประมาณค่าจ้างที่ปรึกษา เปลี่ยนแปลงแหล่งเงิน สำหรับการเบิกจ่ายขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ ค่าใช้จ่ายสำหรับงานภายใต้โครงการเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (2608 - THA) และธนาคารโลก (7775 - TH) ของกรมทางหลวง | คค | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการเพิ่มวงเงินก่อหนี้ผูกพันงบประมาณเกินกว่าที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติและเปลี่ยนแปลงแหล่งเงินที่จะนำมาใช้ให้เป็นไปตามสัดส่วนที่กำหนด ในส่วนของงานภายใต้โครงการเงินกู้ธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank - ADB) สัญญากู้เงินเลขที่ 2608 - THA และธนาคารโลก (World Bank - International Bank for Reconstruction and Development - IBRD) สัญญากู้เงินเลขที่ 7775 - TH สำหรับค่าจ้างที่ปรึกษารายการค่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาควบคุมงานตามโครงการภายใต้เงินกู้ ADB ในวงเงินทั้งสิ้น ๘๖,๑๑๐,๔๗๐ บาท ตามที่สำนักงบประมาณได้พิจารณาเห็นชอบความเหมาะสมของราคาแล้ว โดยขยายระยะเวลาก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ จากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ - พ.ศ. ๒๕๕๙ ส่วนรายการค่าจ้างผู้ตรวจสอบจากภายนอก โครงการภายใต้เงินกู้ IBRD ค่าว่าจ้างผู้ตรวจสอบจากภายนอก โครงการเงินกู้ ADB ค่าว่าจ้างผู้ตรวจสอบงานก่อสร้างจากภายนอก โครงการเงินกู้ IBRD และค่าจ้างบริษัทวิศวกรที่ปรึกษาคุมงานก่อสร้าง ตามโครงการเงินกู้ IBRD เมื่อกรมทางหลวงดำเนินการ ผลเป็นประการใดแล้วก็ให้ขออนุมัติคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ในการจัดทำรายการงบประมาณของโครงการต่าง ๆ ในครั้งต่อ ๆ ไป หากโครงการใดมีการใช้จ่ายทั้งจากงบประมาณแผ่นดินและมีเงินสมทบจากแหล่งอื่นด้วย ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการระบุข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งเงินสมทบดังกล่าวในรายการงบประมาณให้ชัดเจนครบถ้วนด้วย |
||||||||||||||||||||||||
32365 | การแต่งตั้งผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ ดังนี้
๑. รายชื่อผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของส่วนราชการที่นายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการและส่วนราชการที่อยู่ในบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ๒. รายชื่อ ปคร. ของรองนายกรัฐมนตรี/รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ ปคร. ของส่วนราชการ
|
||||||||||||||||||||||||
32366 | ร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | กห | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาแบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของส่วนราชการ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่ของสำนักผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ ๒. แก้ไขเพิ่มเติมหน้าที่ของกรมยุทธบริการทหาร เพื่อให้สอดคล้องกับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบ |
||||||||||||||||||||||||
32367 | ร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตสั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์ พ.ศ. .... | กห | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่าด้วยการขอใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบแทนใบอนุญาตสั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิต หรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ แก้ไขปรับปรุงแบบคำขอและแบบใบอนุญาต สั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิตหรือมีซึ่งยุทธภัณฑ์ โดยยกเลิกกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ และกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕ (พ.ศ. ๒๕๔๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
||||||||||||||||||||||||
32368 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดยุทธภัณฑ์ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 พ.ศ. .... | กห | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดยุทธภัณฑ์ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้ยุทธภัณฑ์ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ได้รับยกเว้นไม่ต้องขอใบอนุญาตทุกครั้งที่นำเข้ามา ผลิต หรือมียุทธภัณฑ์เพื่อการวิจัยและพัฒนายุทธภัณฑ์ดังกล่าว ตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรมเกี่ยวกับรายการสารเคมีบางรายการควบคุมเป็นวัตถุอันตรายที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ และเป็นสารเคมีในรายการสารเคมีของอนุสัญญาห้ามอาวุธเคมี ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๒. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) เป็นผู้ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานขององค์การมหาชนทั้งหมด ว่าหน่วยงานใดควรเป็นผู้รับผิดชอบภารกิจนั้นต่อไป หรือควบรวม ตลอดจนยุบเลิก เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ๓. ให้กระทรวงกลาโหมรับความเห็นของคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการขอยกเว้นให้สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งพระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กระทรวงกลาโหมควรมีอำนาจกำกับดูแลการดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และสถาบันควรขยายวัตถุประสงค์ให้ครอบคลุมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศในเรื่องภัยพิบัติและอาชญากรรมข้ามชาติ รวมทั้งติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานขององค์การมหาชนต่าง ๆ ว่าปฏิบัติงานเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ นโยบายของรัฐบาลและคุ้มค่ากับงบประมาณดำเนินการหรือไม่ อย่างไร โดยกำหนดตัวชี้วัดที่ถูกต้องและเหมาะสม เพื่อให้การจัดตั้งองค์การมหาชนเป็นไปตามวัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ไปพิจารณาดำเนินการ |
||||||||||||||||||||||||
32369 | ขออนุมัติการจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจและความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์ และความคุ้มกันสำหรับการจัดกิจกรรมการฝึก Challenge Inspection Field Exercise 2011 (CI-2011) | อก | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำและลงนามในบันทึกความเข้าใจและความตกลงว่าด้วยเอกสิทธิ์และความคุ้มกันสำหรับการจัดกิจกรรมการฝึก Challenge Inspection Field Exercise 2011 (CI - 2011) ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ โรงงานบริษัท ไบเออร์ไทย จำกัด จังหวัดระยอง ๑.๑.๑ ร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดรายละเอียดการจัดกิจกรรมการฝึก CI - 2011 ในประเทศไทย ระหว่างวันที่ ๓๑ ตุลาคม - ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ๑.๑.๒ ร่างความตกลงฯ มีสาระสำคัญเป็นการให้เอกสิทธิ์และความคุ้มกันแก่องค์การห้ามอาวุธเคมีและบุคคลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก เป็นผู้ลงนามบันทึกความเข้าใจและความตกลงดังกล่าว และให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก เพื่อลงนามในเอกสารทั้งสองฉบับ ๑.๓ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมหารือร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศเพื่อพิจารณาดำเนินการในกรณีที่มีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเอกสารในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญก่อนการลงนามได้ โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๒. สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย รวมถึงการเลี้ยงรับรองผู้แทนรัฐภาคีและผู้แทนองค์การห้ามอาวุธเคมี (Organiztion for the Prohibition of Chemical Weapons : OPCW) จำนวน ๖๔๔,๐๐๐ บาท ให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมได้รับการจัดสรรตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ |
||||||||||||||||||||||||
32370 | พระราชดำริในโอกาสที่พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะบุคคลเข้าเฝ้าฯ | รล | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอสรุปพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๔ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานสนองพระราชดำริ ดังนี้
๑. เครื่องอุทกพลวัต ๑.๑ ให้ทดลองศึกษาเครื่องอุทกพลวัตในกรณีน้ำขึ้นและน้ำลง โดยให้ใช้เครื่องอุทกพลวัตที่สามารถหมุน ๒ ทิศทางได้ ๑.๒ หากเครื่องอุทกพลวัตทดลองประสพความสำเร็จแล้ว ให้นำไปติดตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งคลองและเขื่อน ๑.๓ เครื่องอุทกพลวัตหากมีการปรับปรุงแล้วได้องค์ความรู้ใหม่ให้ดำเนินการจดสิทธิบัตรเพิ่มเติม ๑.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์พิจารณาสนับสนุนงบประมาณการดำเนินการขยายผลเครื่องอุทกพลวัต ๒. การบริหารจัดการน้ำ ๒.๑ แม่น้ำยมมีปัญหามากที่สุด หากดำเนินการก่อสร้างเขื่อนแม่ยมเช่นเดิมก็จะประสบปัญหามากมาย แต่ถ้าก่อสร้างเขื่อนขนาดเล็กจะไม่ได้ประโยชน์ตามที่ต้องการ ดังนั้น ต้องดำเนินการให้ได้ประโยชน์อย่างเต็มที่และส่งผลกระทบเสียหายน้อยที่สุด ถ้าไม่เสียหายเลยคงไม่ได้ ๒.๒ ขณะนี้มีพื้นที่เหลืออยู่ไม่กี่แห่งที่มีความเหมาะสมในการก่อสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ โดยให้สำรวจพื้นที่ในภาคกลางและภาคเหนือก่อน ๒.๓ จังหวัดพิษณุโลกมีเขื่อนแควน้อยซึ่งสามารถบรรเทาปัญหาอุทกภัยได้มาก สามารถกักเก็บน้ำในลุ่มน้ำแควน้อยอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนจำนวนมาก ๒.๔ ขณะนี้แม่น้ำเจ้าพระยามีปริมาณน้ำมาก ระดับน้ำยังคงที่ทั้งที่ก่อนหน้านี้ระดับน้ำลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำค่อนข้างมาก ๒.๕ พื้นที่ภาคใต้ให้พิจารณาจัดทำระบบป้องกันการเกิดดินถล่ม หากสามารถแก้ไขปัญหาดินถล่มได้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
32371 | รายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา 35 (1) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 และที่แก้ไขเพิ่มเติม | กค | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานะหนี้สาธารณะตามมาตรา ๓๕ (๑) แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ และที่แก้ไขเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔,๒๘๐,๐๕๓.๓๖ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๐.๕๗ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) ได้แก่ หนี้รัฐบาลกู้โดยตรง ๓,๐๑๖,๔๘๕.๐๗ ล้านบาท หนี้ที่รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน ๑,๐๗๔,๙๐๘.๖๗ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน (รัฐบาลค้ำประกัน) ๑๕๘,๑๐๖.๕๗ ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ๓๐,๕๕๓.๐๕ ล้านบาท ๒. หนี้สาธารณะ ตามข้อ ๑ แบ่งออกเป็นหนี้ต่างประเทศ ๓๓๘,๖๒๑.๗๙ ล้านบาท และหนี้ในประเทศ ๓,๙๔๑,๔๓๑.๕๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๗.๙๑ และร้อยละ ๙๒.๐๙ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง ตามลำดับ และเป็นหนี้ระยะยาว ๔,๒๑๖,๙๓๒.๓๘ ล้านบาท และหนี้ระยะสั้น ๖๓,๑๒๐.๙๘ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๙๘.๕๓ และร้อยละ ๑.๔๗ ของยอดหนี้สาธารณะคงค้าง
|
||||||||||||||||||||||||
32372 | การหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายกระทรวงเกี่ยวกับการช่วยเหลือ ดูแลฟื้นฟูผู้ประสบอุทกภัย | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และให้หน่วยงานและผู้ที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ตามผลการหารือของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอ โดยสาระสำคัญของแนวทางการให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย ดังนี้ ๑.๑ แนวทางในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยและขั้นตอนการฟื้นฟู ๔ ระยะ ประกอบด้วย ๑.๑.๑ ระยะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ได้แก่ การป้องกันกระแสน้ำที่จะก่อให้เกิดความเสียหาย การอพยพและให้ความช่วยเหลือประชาชน และการจัดหาปัจจัยการดำรงชีพ ๑.๑.๒ ระยะของการช่วยเหลือระหว่างที่ระดับน้ำในพื้นที่ยังท่วมสูง เป็นระยะที่ประชาชนที่ประสบปัญหาที่อยู่อาศัย ซึ่งพักพิงในศูนย์อพยพ มีความตึงเครียด เนื่องจากทรัพย์สินถูกทำลาย และมีความกังวลในด้านการประกอบอาชีพ ซึ่งในจุดนี้จะต้องมีการบูรณาการที่ศูนย์อพยพ ๑.๑.๓ ระยะการฟื้นฟูภายหลังน้ำลดแล้ว ได้แก่ การซ่อมแซมถนน เส้นทางคมนาคม โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ราชการ โบราณสถาน และแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ๑.๑.๔ ระยะการปรับโครงสร้างถาวร เป็นการปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานหลักของประเทศเพื่อสร้างเป็นระบบถาวร ทั้งในด้านระบบชลประทาน ระบบป้องกันอุทกภัยและภัยธรรมชาติ ระบบคมนาคม ระบบการวางระบบผังเมืองของประเทศ และระบบการฟื้นฟูระบบนิเวศน์ ๑.๒ การจัดทำระบบฐานข้อมูลการฟื้นฟู ดำเนินการเกี่ยวกับการจัดระบบฐานข้อมูลรายบุคคล ตั้งแต่ฐานข้อมูลด้านอาชีพ ที่อยู่อาศัย รวมถึงข้อมูลทางกายภาพเพื่อประกอบในการวางแนวทางฟื้นฟูแบบถาวร โดยให้กระทรวงมหาดไทยเป็นเจ้าภาพหลักและประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น ๑.๓ รูปแบบของการบูรณาการกิจกรรมในศูนย์อพยพ ๔ - ๖ สัปดาห์ ให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) เป็นเจ้าภาพในการให้หน่วยงานต่าง ๆ ให้การสนับสนุน ซึ่งศูนย์อพยพนี้จะต้องให้ความช่วยเหลือประชาชนในระยะ ๔ - ๖ สัปดาห์ โดยประสานกับกระทรวงที่เกี่ยวข้อง เริ่มดำเนินการตั้งแต่การจัดทำฐานข้อมูลรายบุคคล การให้บริการด้านสาธารณสุข การจัดหาอาหาร การบริการขั้นพื้นฐาน การฟื้นฟูจิตใจ และการฝึกอาชีพเพื่อโอกาสของการจ้างงานในช่วงเวลาน้ำลดตามโครงการฟื้นฟูต่าง ๆ ๑.๔ การมอบหมายกิจกรรมด้านสังคมในการจัดทำแผนช่วยเหลือ ฟื้นฟูผู้ได้รับผลกระทบ ๑.๔.๑ ให้กระทรวงกลาโหม และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับไปแก้ไขปัญหาน้ำเน่าเสียในพื้นที่ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนก่อน และให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมประสานกระทรวงมหาดไทยในการส่งเจ้าหน้าที่ไปแนะนำการผลิต EM และจัดชุดเครื่องมืออุปกรณ์ให้แต่ละชุมชน รวมทั้งสำรวจข้อมูลพื้นที่ที่เป็นพื้นที่น้ำท่วมซ้ำซาก แล้วส่งข้อมูลให้คณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (ด้านสังคม) เพื่อดำเนินการพิจารณาจัดหาที่ทำกินใหม่ที่เหมาะสมต่อไป ๑.๔.๒ ให้กระทรวงสาธารณสุขเฝ้าระวังโรคระบาดต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยอาศัยเครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ในการวางระบบการป้องกันและสนับสนุน และให้รองนายกรัฐมนตรี (พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ) ดูแลเรื่องรูปแบบ (model) ของศูนย์อพยพถาวรว่าควรจะมีองค์ประกอบอะไรบ้างที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดเป็นชุมชน เช่น มีหัวหน้าศูนย์ฯ ครู แพทย์ พยาบาล มีการสอนหนังสือ ฝึกอาชีพ เป็นต้น ๑.๔.๓ ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขในการฝึกอบรมอาชีพต่าง ๆ เช่น งานซ่อมบ้าน งานอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ในศูนย์อพยพ ทั้งนี้ ต้องสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชุมชนแต่ละจังหวัด และประสานกับกระทรวงมหาดไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดทำฐานข้อมูลของผู้ตกงานที่เป็นลูกจ้างทั่วไป และลูกจ้างโรงงาน ๑.๔.๔ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์) เร่งรัดประเมินความเสียหายของโบราณสถานต่าง ๆ กรณีเป็นงานด้านโยธาให้เสนอคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฯ (ด้านโครงสร้างพื้นฐาน) พิจารณา และให้กระทรวงวัฒนธรรมจัดทำแผนป้องกันโบราณสถานในระยะยาวด้วย รวมทั้งให้กระทรวงวัฒนธรรมประชาสัมพันธ์สร้างความมั่นใจในความสมบูรณ์ของโบราณสถานให้กับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ๑.๔.๕ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แจ้งว่า การเปิดเทอมเป็นไปตามกำหนดเดิมคือ วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้อำนวยการโรงเรียนที่จะพิจารณาได้ตามความจำเป็น กรณีที่โรงเรียนใดไม่สามารถเปิดเทอมในวันดังกล่าวได้ ให้แจ้ง สพฐ. ทราบก่อนถึงวันเปิดภาคเรียน ๑ สัปดาห์ ส่วนการสอบ GAT - PAT ให้เลื่อนเป็นวันที่ ๑๙ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ และวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ สำหรับโรงเรียนที่ยังไม่ทำการสอบภาคเรียนที่ ๑ ให้จัดให้มีการทบทวนบทเรียนให้กับเด็กนักเรียนก่อนทำการสอบต่อไป และให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำฐานข้อมูลความเสียหายของโรงเรียน ครู และเด็กนักเรียนที่ประสบอุทกภัย ส่วนกรณีโรงเรียนที่ยังไม่สามารถจัดทำการสอนได้ให้จัดการสอนที่ศูนย์อพยพ และกรณีการช่วยเหลือด้านการเงินให้กับครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้ช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยโดยตรงเท่านั้น ๑.๕ แนวทางในการช่วยเหลือในระยะการรอการฟื้นฟูในด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ ประกอบด้วย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงอุตสาหกรรมจัดทำแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาและให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรม โรงงานต่าง ๆ ผู้ประกอบการ SME ในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด ทั้งในส่วนที่เป็นผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนและที่ไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ทั้งที่อยู่ในและนอกนิคมอุตสาหกรรม มีประกันภัยและไม่มีประกันภัย เช่น การให้ความช่วยเหลือในด้านเครื่องมือ/เครื่องจักร และวัตถุดิบที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงการต่างประเทศที่จะทำความช่วยเหลือในลักษณะรัฐต่อรัฐด้วย และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ๑.๕.๒ ให้กระทรวงแรงงานจัดทำแผนการดำเนินการแก้ไขปัญหาและแนวทางการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ใช้แรงงานในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลดให้ครอบคลุมถึงผู้ใช้แรงงานในแต่ละกลุ่ม ทั้งผู้ที่อยู่/ไม่อยู่ในระบบประกันสังคม แรงงานที่ถูกเลิกจ้างถาวร (เช่น การฝึกอาชีพ) และแรงงานที่ว่างงานชั่วคราว และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อตรวจสอบข้อมูลของผู้ใช้แรงงานกับแหล่งข้อมูลต่าง ๆ เพื่อให้แนวทางการให้ความช่วยเหลือมีความครบถ้วน ถูกต้อง และไม่เกิดความซ้ำซ้อน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงคมนาคมจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาและบูรณะซ่อมแซมเส้นทางคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ให้กลับมาใช้งานได้ในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด ทั้งในส่วนที่เป็นเส้นทางสายหลักและเส้นทางโครงข่ายต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการขนส่งสินค้าและบริการ โดยประสานข้อมูลในการดำเนินการกับกระทรวงพาณิชย์ และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ ๑.๕.๔ ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดทำแผนและแนวทางในการเร่งระบายน้ำออกจากพื้นที่ประสบอุทกภัยอย่างเป็นระบบในช่วง ๒ เดือนก่อนน้ำลด โดยให้ครอบคลุมถึงประเด็นต่าง ๆ เช่น เส้นทางการระบายน้ำ ความต้องการเครื่องมือ/อุปกรณ์ในการสูบน้ำ และกรอบระยะเวลาการระบายน้ำ เป็นต้น และให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีภายใน ๑ สัปดาห์ และให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมชลประทานประสานกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อจัดทำข้อมูลระดับน้ำสูงสุดของแต่ละพื้นที่เพื่อให้ประชาชน และผู้ประกอบการในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าใจได้ง่าย และจัดทำพนังกั้นน้ำให้มีความสูงสอดคล้องกับระดับน้ำสูงสุดในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้เผยแพร่ข้อมูลดังกล่าวในเว็บไซต์ของทางราชการ เพื่อให้เป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไป ๑.๕.๕ ให้กระทรวงพาณิชย์จัดทำแผนและแนวทางในการกำกับดูแลการกระจายสินค้าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็นสำหรับประชาชนให้เพียงพอและทั่วถึง รวมทั้งควบคุมดูแลให้ราคาสินค้ามีความเหมาะสมและเป็นไปตามกลไกตลาด ทั้งนี้ ให้ประสานกับกระทรวงคมนาคมเกี่ยวกับเส้นทางคมนาคมที่จำเป็น เพื่อให้การขนส่งสินค้าต่าง ๆ ไปยังปลายทางมีความสะดวกและรวดเร็ว ๑.๕.๖ มาตรการด้านการเงินและการคลัง รวมทั้งการตั้งเป้าหมายด้านเศรษฐกิจมหภาค ๑.๕.๖.๑ ให้กระทรวงการคลังร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทยหารือกับสมาคมธนาคารไทยในการออกมาตรการทางด้านสังคมในการที่จะพักชำระหนี้และอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบการรายย่อย (SME) รวมทั้งประชาชนที่ได้รับผลกระทบให้ได้เท่าเทียมกับธนาคารภาครัฐ ๑.๕.๖.๒ ให้คณะกรรมการฟื้นฟูด้านเศรษฐกิจจัดทำมาตรการในการฟื้นฟูกิจการต่าง ๆ รวมทั้งผ่อนปรนด้านภาษีในเรื่องเครื่องจักร วัตถุดิบ ทั้งนี้ ให้รวมถึงมาตรการที่จะสามารถใช้ความร่วมมือภาครัฐต่อรัฐกับทางกระทรวงการต่างประเทศด้วย เพื่อให้กา
|
||||||||||||||||||||||||
32373 | ขออนุมัติให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับเงินประจำงวดเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย 2554 | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติให้ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับเงินประจำงวดเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องการให้การช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ๒๕๕๔ โดยให้มีผลย้อนหลังในกรณีที่ส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการไปก่อนที่คณะรัฐมนตรีจะมีมติอนุมัติด้วย ทั้งนี้ จนกว่าอุทกภัยจะสิ้นสุด ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยเสนอ ๒. กรณีที่หน่วยงานใดมีความจำเป็นเร่งด่วนในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยโดยได้จ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันก่อนได้รับเงินประจำงวด และยังมิได้นำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ ให้หน่วยงานนั้นจัดทำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติให้ดำเนินการได้ โดยให้มีผลย้อนหลังนับแต่วันที่เริ่มดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย
|
||||||||||||||||||||||||
32374 | ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี 2554 เพิ่มเติม | กษ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและรับทราบตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนยปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม จำนวน ๖,๕๑๔.๖๖ ตัน ในอัตราภาษีร้อยละ ๕ เท่ากับอัตราภาษีในโควตาที่เก็บจริงในปัจจุบัน โดยให้ผู้ประกอบการนำเข้าให้แล้วเสร็จ ภายในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ โดยมีเงื่อนไข และแนวทางการจัดสรรโควตาส่วนนี้ ตามที่คณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นมเสนอ คือ จัดสรรให้กับผู้ประกอบการที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตในปี ๒๕๕๔ โดยต้องนำเข้าตามโควตาเดิมที่ได้รับไปแล้ว ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ และจะต้องไม่กระทบต่อมาตรการ ๑.๒ รับทราบความเห็นของคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ต่อความเห็นและข้อสังเกตของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติจัดสรรโควตานำเข้านมผงขาดมันเนยที่ผู้ประกอบการแจ้งคืนโควตาและขอเพิ่มเติม ปี ๒๕๕๔) ดังนี้ ๑.๒.๑ ให้ยังคงจัดสัดส่วนการนำเขานมผงขาดมันเนย ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ (เรื่อง การบริหารจัดการนมทั้งระบบ) เช่นเดิม เพื่อไม่ให้กระทบต่อมาตรการ และปริมาณการรับซื้อน้ำนมโคจากเกษตรกรตามนโยบายของรัฐบาล และยังเห็นว่ากลไกการบริหารจัดการโควตายังตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการได้อย่างเหมาะสมอยู่ โดยกรณีที่ในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา มีการคืนโควตาของผู้ประกอบการกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ (กลุ่มผู้รับซื้อน้ำนมดิบ) ยกให้กับกลุ่มนิติบุคคลที่ ๒ (กลุ่มผู้ประกอบการทั่วไป) นั้น เนื่องจากการเติบโตของตลาดและธุรกิจที่แตกต่างกัน ซึ่งในอดีตกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ ก็เคยมีปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตเช่นเดียวกัน จนเป็นเหตุให้มีการอนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย เพิ่มเติม ในปี ๒๕๔๘ จำนวน ๑๐,๐๐๐ ตัน ปี ๒๕๔๙ จำนวน ๗,๕๐๐ ตัน และปี ๒๕๕๑ จำนวน ๒๐,๙๗๑.๓๑ ตัน โดยส่วนที่เปิดตลาดเพิ่มเติมนั้น ส่วนใหญ่เป็นความต้องการของกลุ่มนิติบุคคลที่ ๑ ๑.๒.๒ ให้มีการติดตามผลการดำเนินงานการบริหารจัดการโควตานำเข้านมผงขาดมันเนย เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมนมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง โดยให้คณะอนุกรรมการพิจารณาโควตาและอัตราภาษีนำเข้านมผงขาดมันเนย ซึ่งกรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบ ติดตามผลการนำเข้านมผงขาดมันเนย ทุกเดือน แล้วรายงานเป็นรายไตรมาสเสนอต่อคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ตั้งแต่ปี ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่เห็นควรติดตามและตรวจสอบปริมาณการนำเข้านมผงของผู้ประกอบการให้เป็นไปตามปริมาณที่ขอนำเข้าเพิ่มเติม และปริมาณการรับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรตามที่ได้ขอความร่วมมือไว้กับผู้ประกอบการที่ได้รับโควตาการนำเข้านมผงเพิ่มเติมในครั้งนี้ เพื่อไม่ให้เกษตรกรเดือดร้อนจากปัญหาน้ำนมดิบที่อาจล้นตลาดในอนาคต ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
32375 | การปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ในวงเงิน ๒,๓๘๐,๐๐๐ ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ที่กำหนดไว้ ๒,๑๖๙,๙๖๗.๕ ล้านบาท จำนวน ๒๑๐,๐๓๒.๕ ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๙.๗ ประกอบด้วยโครงสร้างรายจ่ายหลัก คือ รายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๘๕๕,๘๔๑ ล้านบาท รายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๕๓,๙๑๘ ล้านบาท รายจ่ายลงทุน จำนวน ๔๒๓,๓๘๗ ล้านบาท และรายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้ จำนวน ๔๖,๘๕๔ ล้านบาท โดยมีนโยบายขาดดุลงบประมาณ จำนวน ๔๐๐,๐๐๐ ล้านบาท รวมทั้งการปรับปรุงงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น โดยมีการปรับลดงบประมาณของกระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่น ในวงเงิน ๔๘,๘๕๙.๘ ล้านบาท และปรับลดงบประมาณเพิ่มเติม จำนวน ๒๑,๑๔๐.๒ ล้านบาท รวมเป็นการปรับลดทั้งสิ้น ๗๐,๐๐๐ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณที่ปรับลดดังกล่าวได้นำไปจัดสรรเพิ่มเติมในยุทธศาสตร์การสร้างรากฐานการพัฒนาที่สมดุลสู่สังคม แผนงานเยียวยา ฟื้นฟู และป้องกันความเสียหายจากอุทกภัยอย่างบูรณาการ ๑.๒ ให้สำนักงบประมาณนำข้อเสนอตามข้อ ๑.๑ ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีไปจัดทำเป็นร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ และเอกสารประกอบงบประมาณ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบในวันอังคารที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ และนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรต่อไป ๒. ให้กระทรวง ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอื่นเตรียมการดำเนินโครงการที่มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้พร้อมเพื่อสามารถดำเนินการได้ทันที
|
||||||||||||||||||||||||
32376 | ขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน | ยธ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพิ่มเติม จำนวน ๑,๕๐๐ ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผู้อำนวยการ ศปภ. เสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
32377 | ขออนุมัติงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. 2555 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 ไปพลางก่อน เพื่อเป็นงบประมาณสำหรับดำเนินการโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชน (SML) | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน สำหรับให้สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ (สทบ.) ดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมือง (SML) ในส่วนที่จะต้องดำเนินการเร่งด่วนในช่วงตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๕๔ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนและชุมชนที่ประสบอุทกภัย ในวงเงิน ๖,๐๐๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท โดยให้ขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามความจำเป็นและความพร้อมของการปฏิบัติงานต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้ สทบ. ให้ความสำคัญกับการดำเนินโครงการพัฒนาศักยภาพของหมู่บ้านและชุมชนเมือง (SML) ในจังหวัดที่ประสบอุทกภัยเป็นลำดับแรกก่อน และให้กำกับดูแลการดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมเป็นไปตามข้อกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
|
||||||||||||||||||||||||
32378 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา | ศธ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งศาสตราจารย์วิชัย ริ้วตระกูล เป็นประธานกรรมการในคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
32379 | แต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน | กษ | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาที่ดิน จำนวน ๕ คน ที่ครบวาระการดำรงตำแหน่งแล้ว ให้ดำรงตำแหน่งในวาระต่อไป ทั้งนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. ศาสตราจารย์พิเศษสันทัด โรจนสุนทร ๒. นายสมเจตน์ จันทวัฒน์ ๓. นายไชยสิทธิ์ เอนกสัมพันธ์ ๔. นายสำราญ สมบัติพานิช ๕. นายนพดล เภรีฤกษ์
|
||||||||||||||||||||||||
32380 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายซึ่งมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... | นร | 18/10/2554 | |||||||||||||||||||||
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหายจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ปรับหลักการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหาย สรุปได้ ดังนี้
๑. แก้ไขบทนิยามคำว่า “การบำบัดภยันตราย” ให้หมายความถึง “การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่เพื่อเป็นผลให้สาธารณภัยที่เกิดหรือคาดว่าจะเกิดได้รับการแก้ไขให้บรรเทาลงโดยฉับพลัน” ๒. แก้ไขการพิจารณาจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย โดยให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายพิจารณาเฉพาะข้อเท็จจริงอันเกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ว่าได้ดำเนินการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยไปตามอำนาจหน้าที่ และได้กระทำให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายหรือไม่เท่านั้น ๓. แก้ไขความหมายของบทนิยามคำว่า “ผู้เสียหาย” จาก “ผู้ได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยของเจ้าหน้าที่ และมิใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยนั้น” เป็น “ผู้ซึ่งทรัพย์สินของตนได้รับความเสียหายจากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัยของเจ้าหน้าที่...” เพื่อให้เกิดความชัดเจนว่าเฉพาะเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นที่จะได้รับการชดเชยความเสียหาย ๔. เพิ่มบทบัญญัติกำหนดให้กรณีที่ผู้บัญชาการ รองผู้บัญชาการ ผู้อำนวยการกลาง ผู้อำนวยการจังหวัดหรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการหรือมีส่วนร่วมในการดำเนินการบำบัดภยันตราย ให้นายกรัฐมนตรี ผู้บังคับบัญชา หรือผู้กำกับดูแลของบุคคลดังกล่าวมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายแทน ๕. แก้ไขการเริ่มนับระยะเวลาสามสิบวันในการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการ กรณีที่ผู้เสียหายที่มิได้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อยื่นคำร้องขอชดเชยความเสียหายต่อผู้อำนวยการท้องถิ่นหรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร จาก “นับแต่วันที่ได้รับการร้องขอ” เป็น “นับแต่วันที่ได้รับเรื่องที่ส่งมา” เพื่อให้การเริ่มนับระยะเวลาการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสอดคล้องกับความเป็นจริง ๖. เพิ่มบทบัญญัติกำหนดขั้นตอนการรายงานความเห็นของคณะกรรมการ เกี่ยวกับผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยความเสียหายและจำนวนค่าชดเชยความเสียหาย ไปยังผู้แต่งตั้ง โดยผู้แต่งตั้งมีสิทธิขอให้ทบทวนหรือสอบสวนเพิ่มเติมได้ และความเห็นของคณะกรรมการไม่ผูกมัดผู้แต่งตั้งที่จะมีความเห็นเป็นอย่างอื่น ๗. แก้ไขข้อกำหนดให้ “เมื่อผู้มีอำนาจแต่งตั้งได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการฯ แล้ว ให้ออกคำสั่งจ่ายค่าชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหาย...ภายในเจ็ดวัน” เป็น “ให้ผู้แต่งตั้งคณะกรรมการแจ้งผลการวินิจฉัยเกี่ยวกับการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายทราบ...ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการ” ๘. เพิ่มบทบัญญัติให้คณะกรรมการประกาศบัญชีรายชื่อผู้เสียหายที่มีสิทธิได้รับการชดเชยความเสียหาย ณ ศาลากลางจังหวัดหรือศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร และที่ว่าการอำเภอหรือสำนักงานเขตแห่งพื้นที่ที่ทรัพย์สินของผู้เสียหายตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่มีความเห็นของผู้แต่งตั้งคณะกรรมการ และกำหนดให้อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกำหนดแบบคำร้องขอและใบรับคำขอโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนและความชัดเจนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ๙. แก้ไขระยะเวลาในการยื่นคำขอให้ชดเชยความเสียหาย จากเดิมที่ “ต้องยื่นภายในสามสิบวันนับแต่วันที่รู้หรือควรจะรู้ถึงการจัดทำบัญชีรายชื่อ แต่ไม่เกินหนึ่งปีนับแต่วันที่เกิดความเสียหาย” เป็น “ต้องยื่นภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้ประกาศบัญชีรายชื่อผู้เสียหาย”
|
.....