ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1614 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 32261 - 32280 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32261 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. .... | สธ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการยื่นอุทธรณ์และวิธีพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้การอุทธรณ์ต้องทำเป็นหนังสือและมีรายละเอียดตามที่กำหนด และต้องยื่นต่อนายทะเบียน ณ สถานที่ตามที่กำหนด ๒. กำหนดหลักเกณฑ์การตรวจคำอุทธรณ์ในเบื้องต้น การยื่นเอกสารและหลักฐานเพิ่มเติม การขอแก้ไขเพิ่มเติมคำอุทธรณ์ ๓. กำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาอุทธรณ์ ระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณ์ การถอนอุทธรณ์ การทำคำวินิจฉัยอุทธรณ์และการแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32262 | สรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสามปี 2554 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปรายงานภาวะสังคมไตรมาสสาม ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การจ้างงาน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี พ.ศ. ๒๕๕๓ ร้อยละ ๑.๖ โดยการจ้างงานในสาขาการก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ ๔.๔ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ ๐.๗ เป็นผู้ว่างงาน ๒๖๒,๔๔๐ คน ผลตอบแทนค่าจ้างแรงงานและเงินเดือนที่ยังไม่รวมผลประโยชน์ตอบแทนอื่นเพิ่มขึ้นร้อยละ ๗.๒ แต่อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นร้อยละ ๔.๑ ส่งผลให้ค่าจ้างที่แท้จริงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ ๓.๐ ชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ๒. ตลาดแรงงานไทย ยังอยู่ในสภาพตึงตัว แต่เริ่มผ่อนคลายลงบ้างเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ภาคเศรษฐกิจที่ใช้กำลังแรงงานเข้มข้นในปัจจุบันจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การพึ่งพาเทคโนโลยีที่เข้มข้นมากขึ้นควบคู่ไปกับการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสนับสนุนให้การศึกษาระดับอาชีวศึกษาที่มีทักษะวิชาชีพที่ตรงกับความต้องการของตลาดและส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานควบคู่ไปกับการลงทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาที่จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมด้านกระบวนการผลิต ๓. ภาวะอุทกภัย ส่งผลกระทบสำคัญต่อตลาดแรงงานและคุณภาพชีวิตแรงงาน โดยระยะสั้น การว่างงานจะเพิ่มขึ้นเป็นภาวะชั่วคราว คาดว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. ๒๕๕๔ อัตราการว่างงานจะเท่ากับร้อยละ ๑.๘ - ๒.๓ หรือมีผู้ว่างงานประมาณ ๗.๓ - ๙.๒ แสนคน รายได้ของแรงงานลดลงประมาณ ๑๕๗ ล้านบาท/วัน แต่รายจ่ายค่าครองชีพสูงขึ้น สำหรับระยะยาว ตลาดแรงงานมีแนวโน้มกลับมาดึงตัวตามโครงสร้างเดิม ภาคธุรกิจเอกชนมีการปรับเปลี่ยนอุปกรณ์และเครื่องจักรในภาคอุตสาหกรรมและมีแนวโน้มปรับลดความเข้มข้นของการใช้แรงงานลง ๔. หนี้สินครัวเรือน มีแนวโน้มสูงขึ้นโดยเฉพาะในช่วงปลายปี ในช่วงครึ่งแรกปี พ.ศ. ๒๕๕๔ หนี้สินครัวเรือนเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น ๑๓๖,๕๖๒ บาทต่อครัวเรือน จาก ๑๓๔,๖๙๙ บาทในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ แต่สัดส่วนจำนวนครัวเรือนที่มีหนี้สินลดลงเป็นร้อยละ ๕๖.๙ จากร้อยละ ๖๐.๙ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ และปี พ.ศ. ๒๕๕๓ และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีหนี้สินครัวเรือนจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ในขณะที่การออมลดลง เนื่องจากรายได้ลดลงจากผลกระทบน้ำท่วม แต่ค่าครองชีพเพิ่มขึ้นทั้งในช่วงน้ำท่วมและในระยะการฟื้นฟูหลังน้ำลด ๕. สุขภาพกายและสุขภาพจิตของผู้ประสบภัยน้ำท่วมยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง พบว่าเป็นโรคน้ำกัดเท้าร้อยละ ๗๐ มีปัญหาสุขภาพจิตซึ่งมีสะสมสูงถึง ๑๒๑,๗๘๘ ราย ในช่วง ๒๕ กรกฎาคม - ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ขณะที่ดัชนีความสุขมวลรวมของคนไทยลดลงอยู่ที่ ๕.๙๘ ในเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นช่วงน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ประชาชนเจ็บป่วยด้วยโรคเฝ้าระวังโดยรวมลดลง โรคที่ยังเป็นปัญหาสำคัญคือ โรคปอดอักเสบ และโรคมือเท้าปาก ๖. ในช่วงประเทศไทยกำลังประสบภาวะอุทกภัยและการฟื้นฟูหลังน้ำลด มีประเด็นที่ผู้บริโภคควรรู้สิทธิและสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองต่าง ๆ ได้แก่ สิทธิในการระงับการใช้บริการโทรคมนาคม เช่น อินเทอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์พื้นฐาน ฯลฯ โดยไม่ต้องจ่ายค่าบริการ สิทธิและความคุ้มครองของการประกันภัยทรัพย์สินของตน เช่น ในกรณีการประกันภัยรถยนต์บางประเภทให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดจากภัยพิบัติ การเข้าถึงสินค้าและบริการที่จำเป็นซึ่งได้รับผลกระทบจากการกักตุนสินค้าและการขาดแคลนสินค้าในช่วงอุทกภัย ๗. คดีอาญา โดยรวมเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าของปีเดียวกันร้อยละ ๒๑.๕ และคาดว่าคดีประทุษร้ายต่อทรัพย์จะเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้าย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดอุทกภัย ประชาชนส่วนใหญ่ต้องละทิ้งบ้านเรือน/ทรัพย์สิน ส่วนคดียาเสพติดมีสัดส่วนมากที่สุดถึงร้อยละ ๘๑.๔ ของคดีอาญา ส่วนอุบัติเหตุจราจรทางบกลดลงร้อยละ ๒๐.๘ แต่มีจำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มมากขึ้นจากลักษณะการเกิดอุบัติเหตุที่รุนแรงมากขึ้น ในด้านการคุ้มครองสุขภาพในช่วงวิกฤตการณ์น้ำท่วมมีความพร้อมของระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขรองรับผู้ประสบภัย ๘. ความผันแปรของภูมิอากาศจากสภาวะโลกร้อน ทำให้ประเทศไทยประสบกับอุทกภัยครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ ๕๐ ปี เป็นสัญญาณเตือนที่ต้องเร่งวางระบบการบริหารจัดการภัยพิบัติที่เป็นรูปธรรม ตั้งแต่การวางแผนป้องกันระบบการเตือนภัย การเยียวยา/บรรเทาทุกข์ และการฟื้นฟู/การพัฒนาหลังเหตุการณ์ รวมทั้งมีการสร้างความตระหนักในการเตรียมรับมือกับภัยธรรมชาติในลักษณะเชิงรุกมากขึ้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32263 | การแต่งตั้งผู้สอบบัญชีขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย | พน | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้องค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย แต่งตั้งสำนักงาน M/s KPMG เป็นผู้สอบบัญชี (external auditor) ขององค์กรร่วมไทย - มาเลเซีย (Malaysia - Thailand Joint Authority, MTJA) ประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๔ แทนผู้สอบบัญชีรายปัจจุบันคือ สำนักงาน M/s Ernst & Young และแต่งตั้งให้เป็นผู้สอบบัญชีองค์กรร่วมต่อเนื่องเป็นเวลา ๕ ปี จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32264 | รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 และรายงานผลการดำเนินการตามมาตรา 17 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. 2548 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอรายงาน รวม ๒ ฉบับ และให้นำเสนอสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาทราบต่อไป ดังนี้
๑. รายงานการกู้เงินตามพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ และการเพิ่มการลงทุนของภาครัฐ เพิ่มการจ้างงานผ่านโครงการลงทุนขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ กระจายการลงทุนด้านบริการสาธารณะขั้นพื้นฐานไปยังส่วนภูมิภาคและชนบท และดำเนินโครงการลงทุนที่มีความสำคัญตามนโยบายของรัฐบาลที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ๑.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (ตุลาคม - ธันวาคม ๒๕๕๓) กระทรวงการคลังได้ดำเนินการกู้เงินภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินมาตรการเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการกู้เงินจากสถาบันการเงิน รวม ๒ ครั้ง และได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เพื่อสนับสนุนการดำเนินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๓๙๘,๙๔๐.๐๙ ล้านบาท จากเงินกู้ระยะสั้นในรูปแบบ Term Loan เป็นเงินกู้ระยะยาวในรูปแบบพันธบัตรออมทรัพย์ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วสัญญาใช้เงิน และพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ ๑.๓ ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ได้รับ จะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้กับภาคการเกษตรของประเทศ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และก่อให้เกิดการจ้างงาน ฯลฯ ๒. รายงานผลการดำเนินการตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการบริหารหนี้สาธารณะ พ.ศ. ๒๕๔๘ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๒.๑ วัตถุประสงค์ของการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อทดแทนเงินกู้จากต่างประเทศ ฯลฯ ๒.๒ รายละเอียดของการกู้เงิน เป็นการดำเนินการตามแผนการก่อหนี้ใหม่ ประกอบด้วย การก่อหนี้ใหม่ของรัฐบาล การก่อหนี้ใหม่ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และการดำเนินการตามแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ประกอบด้วย การปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐบาล และการปรับโครงสร้างหนี้ของรัฐวิสาหกิจ ซึ่งเป็นหนี้ในประเทศ และแผนการบริหารความเสี่ยงและแผนการบริหารหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนฯ ๒.๓ ประโยชน์ที่จะได้รับคือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจ และการพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32265 | การรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2554 ณ วันที่ 30 กันยายน 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการรายงานสถานะหนี้สาธารณะของประเทศ และผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานะหนี้สาธารณะของประเทศ ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ มีจำนวน ๔,๔๔๘,๒๔๙.๘๗ ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ ๔๑.๖๖ ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) แบ่งเป็นหนี้ที่รัฐบาลกู้โดยตรง จำนวน ๓,๑๘๑,๑๕๘.๘๙ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน จำนวน ๑,๐๗๙,๗๐๓.๘๔ ล้านบาท หนี้รัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินที่รัฐบาลค้ำประกัน จำนวน ๑๕๖,๙๔๑.๙๖ ล้านบาท และหนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน จำนวน ๓๐,๔๔๕.๑๘ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงานตามแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วงระยะเวลา ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (เมษายน - กันยายน ๒๕๕๔) กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้ดำเนินการบริหารและจัดการหนี้สาธารณะตามกรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๕๕๗,๘๔๗.๕๓ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๓๔ ของแผนฯ ส่วนผลการกู้เงินและบริหารจัดการหนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องขออนุมัติภายใต้กรอบแผนการบริหารหนี้สาธารณะ ในช่วง ๖ เดือนหลังของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ รัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๔๑,๖๒๑.๓๔ ล้านบาท ทั้งนี้ จากการดำเนินการดังกล่าว กระทรวงการคลังและรัฐวิสาหกิจได้กู้เงินและบริหารหนี้รวมทั้งสิ้น ๕๙๙,๔๖๘.๘๗ ล้านบาท แบ่งเป็นการกู้เงินใหม่ จำนวน ๑๕๕,๔๓๙.๔๗ ล้านบาท และการบริหารหนี้ จำนวน ๔๔๔,๐๒๙.๔๐ ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ ๔๒.๘๘ ของแผนฯ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32266 | มาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้า ธ.ก.ส. ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี 2554 เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2554 | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติมจากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๔ (เรื่อง มาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี ๒๕๕๔) กรณีลูกค้าด้านสถาบัน ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์นอกภาคเกษตร กลุ่มบุคคล (วิสาหกิจชุมชน) กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดย ธ.ก.ส. จะขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้ (หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย) เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา ๓ ปี ตั้งแต่ปีบัญชี ๒๕๕๔ - ๒๕๕๖ ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๓ ต่อปี รวมทั้งการให้เงินกู้ใหม่เพื่อการฟื้นฟูการผลิต โดยสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูการผลิตในอัตราดอกเบี้ยต่ำพิเศษ คือ MLR - 1 ซึ่งเท่ากับร้อยละ ๔ ต่อปี ซึ่ง ธ.ก.ส. จะขอชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาลในอัตราร้อยละ ๑ ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน ๓ ปี ๑.๒ อนุมัติกรอบวงเงินชดเชยดอกเบี้ยจากรัฐบาล จำนวน ๔,๔๔๓.๒๒ ล้านบาท ๒. ให้ ธ.ก.ส. ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณก่อนดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32267 | งบการเงินของ บสท. | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบงบการเงินของบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกดำเนินกิจการ) และงวดตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ (ระหว่างชำระบัญชี) ที่ผ่านการตรวจสอบจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินแล้ว ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
๑. งบการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกกิจการ) และวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๓ ผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) การเปลี่ยนแปลงสำหรับรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน และกระแสเงินสด สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๕๔ (วันเลิกกิจการ) และสำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ของ บสท. โดยถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การจัดทำงบการเงิน ทั้งนี้ มีข้อสังเกตหมายประกอบงบการเงินในส่วนของสินทรัพย์รับโอนที่ชำระเสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งบางส่วนอยู่ระหว่างตรวจสอบราคารับโอน โดย บสท. จะโอนล้างรายการสินทรัพย์รับโอนดังกล่าวเพื่อคำนวณกำไร (ขาดทุน) จากการบริหารสินทรัพย์รับโอนเมื่อสิ้นปีที่สิบ (๘ มิถุนายน ๒๕๕๔) และหมายเหตุประกอบงบการเงินในส่วนของการแสดงมูลค่าสินทรัพย์รับโอน สินทรัพย์รับโอนและตั๋วสัญญาใช้เงินในงบดุล แสดงมูลค่าตามราคาที่รับโอน ซึ่งจะมีมูลค่าเปลี่ยนแปลงหลังจากการตรวจสอบความถูกต้องของรายการที่รับโอนแล้ว รวมทั้งมีผลกระทบต่อดอกเบี้ยจ่ายตั๋วสัญญาใช้เงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายในการบริหารสินทรัพย์รับโอน ๒. งบการเงินแสดงฐานะการเงิน ณ วันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ผลการดำเนินงาน (เฉพาะทุนประเดิม) การเปลี่ยนแปลงสำหรับรายรับหรือรายจ่ายสุทธิรอปันส่วนไปยังสินทรัพย์รับโอน และกระแสเงินสด สำหรับงวดตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ ของ บสท. (ระหว่างชำระบัญชี) ถูกต้องตามที่ควรในสาระสำคัญตามเกณฑ์การจัดทำงบการเงิน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32268 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการ กรณีการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผล) | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. ให้ยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินปันผลที่ได้จากบริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย หรือที่ได้จากกองทุนรวมที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ให้แก่บริษัทใหม่อันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทผู้รับโอนกิจการทั้งหมดจากบริษัทอื่น เป็นจำนวนกึ่งหนึ่งของเงินปันผลที่ได้รับ เว้นแต่กรณีที่บริษัทผู้รับเงินปันผลเป็นบริษัทจดทะเบียน ให้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลที่ได้รับ และกรณีที่บริษัทผู้รับเงินปันผลถือหุ้นในบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละยี่สิบห้าของหุ้นทั้งหมดที่มีสิทธิออกเสียง โดยบริษัทผู้จ่ายเงินปันผลไม่ได้ถือหุ้นในบริษัทผู้รับเงินปันผลนั้น ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ให้ยกเว้นภาษีเป็นจำนวนเท่ากับเงินปันผลที่ได้รับ ๒. บริษัทผู้รับเงินปันผลต้องถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนที่ก่อให้เกิดเงินปันผลนั้นไว้ไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่ได้หุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นถึงวันที่มีเงินได้ดังกล่าว และต้องถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่าสามเดือนนับแต่วันที่มีเงินได้ดังกล่าว ทั้งนี้ ให้นับระยะเวลาถือหุ้นหรือหน่วยลงทุนนั้นของบริษัทเดิมอันได้ควบเข้ากันหรือบริษัทเดิมผู้โอนกิจการทั้งหมดรวมด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32269 | ร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการใช้ทรัสต์ เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน) | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่ผู้ก่อตั้งทรัสต์ ทรัสตี และผู้รับประโยชน์ สำหรับเงินได้ มูลค่าของฐานภาษี รายรับ และการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องมาจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นตามสัญญาก่อตั้งทรัสต์ตามกฎหมายว่าด้วยทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน บางกรณี เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนการก่อตั้งทรัสต์เพื่อธุรกรรมในตลาดทุน อันจะช่วยให้มีการระดมทุนในตลาดทุนมากยิ่งขึ้น ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32270 | รัฐบาลสาธารณรัฐอินโดนีเซียเสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายลุตฟี ราอุฟ (Mr. Lutfi Rauf) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐอินโดนีเซียประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงเทพมหานคร สืบแทน นายโมฮัมมัด ฮัตตา (Mr. Mohammad Hatta) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32271 | รัฐบาลสาธารณรัฐเอกวาดอร์เสนอขอแต่งตั้งเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย | กต | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนางโลวร์เดส ปูมา ปูมา (Mrs. Lourdes Puma Puma) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเอกวาดอร์ประจำประเทศไทยคนใหม่ โดยมีถิ่นพำนัก ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ สืบแทน นายมานูเอล เปซันเตส การ์เซีย (Mr. Manuel Pesantes Garcia) ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32272 | การรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง การศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ 2 | คค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการศึกษาแนวทางและกำหนดมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบกำหนดตำแหน่งบนโลก (Global Positioning System : GPS) มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะ ครั้งที่ ๒ ซึ่งเป็นการรายงานความก้าวหน้าในการดำเนินการระยะแรก ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้ดำเนินการศึกษาแนวทางการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมของศูนย์บูรณาการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบแห่งชาติ (NMTIC) ในด้านการปฏิบัติการด้านวิศวกรรม และการออกแบบอาคารปฏิบัติการ ทำการศึกษาองค์ประกอบของศูนย์ย่อย ประกอบด้วยศูนย์การบริหารจัดการเดินรถสาธารณะด้วยระบบ GPS หน้าที่บทบาทภายในศูนย์ NMTIC รูปแบบการดำเนินการ รวมทั้งการดำเนินการด้านการตลาดและโมเดลทางธุรกิจ เพื่อให้ศูนย์ NMTIC สามารถดำเนินการได้ด้วยตนเองอย่างยั่งยืน โดยบริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด ได้ขอรับการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน (กปถ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอความเห็นชอบจากคณะทำงานกลั่นกรองการขอรับจัดสรรเงินสำหรับการศึกษาวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ๒. กรมการขนส่งทางบกได้จัดทำข้อเสนอโครงการขยายผลการศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลรถโดยสารประจำทางโดยใช้เทคโนโลยี ซึ่งครอบคลุมการกำหนดแนวทางและมาตรการในการนำเทคโนโลยีระบบ GPS มาใช้ติดตั้งกับรถสาธารณะทั้งระบบ และเสนอต่อ กปถ. โดยผ่านการพิจารณาของคณะทำงานกลั่นกรองการขอรับจัดสรรเงินสำหรับการศึกษาวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และคณะอนุกรรมการด้านการวิจัยเพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนแล้ว และจัดทำรายละเอียดขอบเขตของงาน (Term of Reference : TOR) แล้วเสร็จ ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32273 | การลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปฏิบัติการร่วมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการเคลื่อนย้ายประชากร | สธ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการปฏิบัติการร่วมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการเคลื่อนย้ายประชากร มีสาระสำคัญเป็นการตกลงร่วมกันของประเทศสมาชิกอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงในการดำเนินนโยบายและมาตรการต่าง ๆ ร่วมกัน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อจากการเคลื่อนย้ายของประชากร ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้แทนที่จะเข้าประชุมสุดยอดผู้นำ ๖ ประเทศลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ ๔ ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ณ นครเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ทั้งนี้ หากมีการแก้ไขถ้อยคำหรือประเด็นที่มิใช่สาระสำคัญ ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้แทนที่จะเข้าร่วมประชุม โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่จะลงนามในบันทึกความเข้าใจในเรื่องนี้ด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32274 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติการยกเลิกโครงการศูนย์กำจัดขยะมูลฝอย องค์การบริหารส่วนจังหวัดแม่ฮ่องสอน อำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ของกระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕๐.๐๐ ล้านบาท และนำวงเงินโครงการมารวมเป็นเงินเหลือจ่ายต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๒. อนุมัติการยกเลิกโครงการเจลฟ้าทะลายโจรเพื่อใช้เสริมการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ ของกระทรวงอุตสาหกรรม วงเงิน ๑๙๓.๒๕ ล้านบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๓. อนุมัติหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติในการจัดสรรเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้โครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้สำนักงบประมาณเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ พ.ศ. ๒๕๕๒ และที่แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. ๒๕๕๓ และสำหรับโครงการเงินกู้ DPL ที่อยู่นอกแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะเป็นผู้จัดสรรเงินและดำเนินการอื่นใดที่เกี่ยวข้องตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการบริหารโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ต่อไป ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ๔. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว หรืออยู่ระหว่างดำเนินการ ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการเร่งรัดการดำเนินการให้แล้วเสร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้และเบิกจ่ายให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ ๕. โครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ใด ๆ ที่ยังมิได้มีการลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการพิจารณาทบทวนความจำเป็นเหมาะสมคุ้มค่า เพื่อนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีภายในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ เพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่งต่อไป ๖. อนุมัติให้ดำเนินโครงการต่าง ๆ ต่อไปได้ รวม ๗ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศิริรราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ ระยะที่ ๒ (สถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช) วงเงิน ๑,๕๔๓.๑๙๗๑ ล้านบาท โครงการพัฒนาบริการตติยภูมิศูนย์โรคหัวใจ ศูนย์มะเร็ง และเครือข่ายบาดเจ็บแห่งชาติ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๘๘๑.๘๒๙๘ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับห้องปฏิบัติการวิจัยและการศึกษาเพื่อสนับสนุนความเป็นเลิศด้านแพทยศาสตร์ (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๘๕.๘๐๐ ล้านบาท โครงการพัฒนาการผลิตยาและผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยเข้าสู่ระดับมาตรฐานสากล (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการพัฒนาและยกระดับการดูแลผู้ป่วยด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉิน (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๔๘.๒๒๕ ล้านบาท โครงการอาคารสมเด็จพระเทพรัตน์ เพื่อการบริการการเรียนการสอนและการวิจัย (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๑,๗๑๕.๘๓๕๙ ล้านบาท และโครงการจัดหาครุภัณฑ์ประจำอาคารเฉลิมพระเกียรติ ๕๐ พรรษา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (มหาวิทยาลัยมหิดล) วงเงิน ๓๙๙.๘๔๓๑ ล้านบาท ทั้งนี้ ให้เร่งรัดการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินตามโครงการดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ รวมทั้งให้ดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องด้วย ๗. ให้กระทรวงการคลังรับไปหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า หากโครงการทั้งหมดไม่สามารถดำเนินการและเบิกจ่ายงบประมาณได้ทันภายในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ กระทรวงการคลังจะสามารถกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณได้หรือไม่อย่างไร และหากกระทรวงการคลังไม่สามารถดำเนินการกันเงินไว้เบิกเหลื่อมปี/ขยายเวลาเบิกจ่ายเงินได้ จะต้องดำเนินการประการใด เพื่อให้เป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32275 | แผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2555 - 2558 (แผนนิติบัญญัติ) | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแผนการตรากฎหมายที่จำเป็นต่อการดำเนินการตามนโยบายและแผนการบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๘ (แผนนิติบัญญัติ) ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาและสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ และให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติให้เป็นไปตามแผนดังกล่าวต่อไป ทั้งนี้ ให้ส่งแผนดังกล่าวให้คณะกรรมการประสานงานสภาผู้แทนราษฎรทราบเพื่อเป็นข้อมูลด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32276 | ขออนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเพิ่มเติม | กษ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อขับเคลื่อนตามแนวทางในการป้องกันแก้ไขและฟื้นฟูผลกระทบจากโครงการฝายราษีไศลเพิ่มเติม ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้
๑. ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๑๒ ๒. ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๑๓ ๓. ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เขตตรวจราชการที่ ๑๔ ๔. ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ๕. ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ ๖. ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ๗. นางบุรี อาจโยธา ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรอีสาน ๘. นายทองวัน อาจสาลี ผู้แทนกลุ่มกำนัน - ผู้ใหญ่บ้าน ๙. นางวันเพ็ญ แสงศร ผู้แทนกลุ่มอิสระ ๑๐. นางพนมพร นนท์ศิลา ผู้แทนกลุ่มสมาพันธ์เกษตรกรแห่งประเทศไทย ๑๑. นางสมบัติ จันทร์สำโรง ผู้แทนกลุ่มเกษตรกรฝายราษีไศล ๑๒. นายศักดา กาญจนเสน ผู้แทนกลุ่มสมัชชาเกษตรกรภาคอีสาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32277 | ร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงปิโตรเลียมแห่งสาธารณรัฐแองโกลาและกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง | พน | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างกระทรวงปิโตรเลียมแห่งสาธารณรัฐแองโกลาและกระทรวงพลังงานแห่งราชอาณาจักรไทยว่าด้วยความร่วมมือด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง โดยร่างบันทึกความเข้าใจฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ ขอบเขตของความร่วมมือด้านพลังงาน ประกอบด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับนโยบายปิโตรเลียม อุตสาหกรรมปิโตรเลียม และการดำเนินการของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปิโตรเลียม กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การร่วมจัดเตรียมการศึกษาร่วมและโครงการความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย การฝึกอบรมหลักสูตรเฉพาะสำหรับผู้เชี่ยวชาญ และการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนการเยือนของผู้เชี่ยวชาญ ผู้บริหารในด้านปิโตรเลียมและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างบริษัทน้ำมันแห่งชาติของคู่ภาคี การเข้าร่วมสัมมนา จัดการประชุมและการจัดนิทรรศการร่วมกัน การให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและนำนโยบายการประชุม และการจัดนิทรรศการร่วมกัน รวมถึงการให้ความช่วยเหลือในการกำหนดและประยุกต์นำนโยบาย กฎหมายและกฎระเบียบไปใช้ในกิจกรรมอุตสาหกรรมปิโตรเลียมของแต่ละฝ่าย ๑.๑.๒ กำหนดให้มีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อทำหน้าที่ประสานงานและดำเนินการตามกิจกรรม แผนงาน และโครงการความร่วมมือต่าง ๆ โดยที่ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากกิจกรรมนั้นแต่ละฝ่ายเป็นผู้รับผิดชอบ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หรือผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นผู้ลงนามในบันทึกความเข้าใจฯ ๒. ให้กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่ผู้ที่จะลงนามฝ่ายไทยต่อไปด้วย |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32278 | การพิจารณามติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับบริหารราชการตามมาตรา 13 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ๒. ปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ เรื่อง การทบทวนแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ (มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันในงานติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี และให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการติดตามและการรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีในเรื่องสำคัญ ตามความเห็นของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ดังนี้ ๒.๑ ประเภทเรื่องที่หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบหรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีจะต้องรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบหรือพิจารณา ประกอบด้วย ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีกำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานตามกำหนดนั้นอย่างเคร่งครัด ๒.๑.๑ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรี หากคณะรัฐมนตรีมิได้กำหนดระยะเวลาไว้ ให้หน่วยงานของรัฐรายงานผลการดำเนินงานต่อคณะรัฐมนตรีอย่างน้อยทุกสามเดือน ทั้งนี้ ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. ๒๕๔๘ กรณีเป็นเรื่องสำคัญ เร่งด่วน และ/หรือที่อยู่ในความสนใจของสาธารณชน ให้หน่วยงานของรัฐสามารถรายงานได้ก่อนระยะเวลาที่กำหนด ๒.๒ ให้หน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบรายงานผลการดำเนินการโดยใช้แบบรายงานผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีทราบหรือพิจารณา (แบบรายงาน ๐๑) และส่งแบบรายงานดังกล่าวให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีทาง e-mail : [email protected] ๒.๓ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประเมินผลการติดตามผลการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเป็นระยะ กรณีที่เห็นว่าควรมีการปรับปรุงประเภทเรื่อง แบบรายงาน และระยะเวลาการรายงานผลการดำเนินการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ให้เลขาธิการคณะรัฐมนตรีพิจารณาตามความเหมาะสม ๓. ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำเนินการประสานกับสำนักงาน ก.พ. เพื่อพิจารณาปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๓ เรื่อง เครื่องมือวัดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ของส่วนราชการ ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32279 | ร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ (การรักษาพยาบาล) ของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. .... | สผ | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาและกรรมาธิการ พ.ศ. .... และร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ (การรักษาพยาบาล) ของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยเงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอย่างอื่นของประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานและรองประธานวุฒิสภา ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ ให้มีความสอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา ๒. ให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรรับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับการเบิกจ่ายค่าพาหนะเดินทางของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการ สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลในระหว่างดำรงตำแหน่ง และการเบิกค่าเบี้ยประชุม รวมทั้งข้อสังเกตของสำนักงบประมาณเกี่ยวกับเงินชดเชยค่าพาหนะของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา กรณีการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อเดินทางมาประชุม เห็นควรให้เบิกจ่ายได้ตามจ่ายจริงในอัตราตามระเบียบของทางราชการ ส่วนการเบิกจ่ายค่าเบี้ยประชุมของผู้ช่วยเลขานุการในคณะกรรมาธิการร่างพระราชบัญญัติของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และรัฐสภา ซึ่งแต่งตั้งมาจากข้าราชการรัฐสภาสามัญ เนื่องจากผู้ช่วยเลขานุการดังกล่าวเป็นข้าราชการที่มีอำนาจหน้าที่ในการจัดประชุมโดยได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทนพิเศษจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว จึงไม่ควรกำหนดให้ได้รับเบี้ยประชุม ไปประกอบการพิจารณาด้วย แล้วดำเนินการต่อไปได้ ๓. เห็นชอบในหลักการร่างระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเกี่ยวกับการประกันสุขภาพ (การรักษาพยาบาล) ของสมาชิกวุฒิสภาและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญคือ กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาได้รับสวัสดิการรักษาพยาบาลเพื่อเป็นการประกันสุขภาพในระหว่างที่ดำรงตำแหน่ง ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาพร้อมกับร่างพระราชกฤษฎีกาฯ แล้วดำเนินการต่อไปได้ เมื่อร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีผลใช้บังคับแล้ว |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32280 | ขออนุมัติใช้เงินงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สนับสนุนโครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ประสบอุทกภัยอย่างยั่งยืน | นร | 13/12/2554 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีใช้จ่ายจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ในวงเงิน ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อสนับสนุนโครงการฟื้นฟูคุณภาพชีวิตผู้ประสบอุทกภัยอย่างยั่งยืนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ซึ่งเป็นโครงการที่มีแนวทางในการให้ความช่วยเหลือและฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากอุทกภัยอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการส่งเสริมให้มีการพึ่งพาและช่วยเหลือตนเอง มีการรวมกลุ่มของผู้ได้รับผลกระทบ และต่อยอดการพัฒนาเป็นชุมชนที่เข้มแข็งและมีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของตนเองได้ในอนาคต ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ โดยให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณต่อไป
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
