ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1618 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 32341 - 32360 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32341 | ร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐโดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา | ศธ | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ สำหรับสาระสำคัญของร่างข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและแนวทางการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐฯ มีดังนี้ ๑.๑ ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย โดยหลักการไม่ควรมีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยของรัฐใหม่ แต่ควรใช้วิธีการยุบรวม หลอมรวม ยกฐานะสถาบันอุดมศึกษาในการจัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ โดยรัฐควรสนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งให้กับมหาวิทยาลัยที่มีอยู่แล้ว โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยใหม่ และวิทยาเขตต่าง ๆ เพื่อให้เป็นสถานศึกษาที่มีคุณภาพ มีความคล่องตัวในการบริหารจัดการทั้งการบริหารทั่วไปและการบริหารวิชาการโดยมีแผนการดำเนินงาน ทิศทางและงบประมาณในการพัฒนาด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องและใช้การจัดสรรงบประมาณอุดมศึกษาเป็นเครื่องมือในการกำหนดทิศทางการพัฒนาของมหาวิทยาลัย ๑.๒ นโยบาย และวิธีการในการหลอมรวม ยุบรวม ๑.๒.๑ สถานภาพของมหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวม ยุบรวม ควรเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง (Specialized University) ที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่น มุ่งสนองการผลิตบัณฑิตในสาขาที่เป็นความต้องการของท้องถิ่น และเป็นมหาวิทยาลัยที่ได้รับความร่วมมือจากท้องถิ่นและทุกภาคส่วน ในรูปของการสนับสนุนด้านทรัพยากร เช่น งบประมาณในสัดส่วนที่เหมาะสม (ร้อยละ ๕๐ - ๗๐) ของบุคลากร ที่ดิน สิ่งปลูกสร้าง ตลอดจนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรและการพัฒนามหาวิทยาลัย เป็นต้น สำหรับกรณีเป็นมหาวิทยาลัยของกลุ่มจังหวัด จะต้องได้รับความเห็นร่วมจากกลุ่มจังหวัด เกี่ยวกับสถานที่จัดตั้งและสาขาวิชาที่จะเปิดสอนเพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อกลุ่มจังหวัดอย่างแท้จริง ๑.๒.๒ การดำเนินงานประกอบด้วย (๑) ต้องมีการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ในการหลอมรวม ยุบรวม เพื่อให้มีความมั่นใจว่าจะได้มหาวิทยาลัยใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (๒) ต้องมีการวางแผนแม่บท (Master Plan) อย่างเป็นระบบทั้งด้านบริหาร ด้านกายภาพ ด้านวิชาการ ด้านการเงินและด้านบุคลากร (๓) ระบบบริหารตามแผนแม่บทต้องเป็นระบบที่มีธรรมาภิบาล สามารถสรรหาผู้บริหารที่มีภาวะผู้นำสูงที่จะนำมหาวิทยาลัยให้มีความก้าวหน้าในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อพื้นที่และต่อประเทศในภาพรวม (๔) ต้องมีระบบในการบริหารเป้าหมายในการรับนักศึกษาเพื่อให้จำนวนรับ สอดคล้องกับนโยบายของท้องถิ่นและของประเทศ และ (๕) อาจใช้การสร้างเป็นวิทยาเขตที่สามารถพัฒนาให้เกิดคุณภาพขึ้น ๒. ให้กระทรวงศึกษาธิการรับความเห็นของกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และฝ่ายเลขานุการร่วมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่เห็นควรมีการศึกษาความเป็นไปได้และความต้องการจากทุกภาคส่วนในสังคมและในพื้นที่เพื่อให้การจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาคน ชุมชน ท้องถิ่นและประเทศชาติ การกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินความพร้อมในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) การประสานและส่งเสริม อปท. ให้สามารถจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายและได้มาตรฐานการศึกษา การเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอุดหนุนในการจัดการศึกษาของ อปท. การมุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพทางด้านการศึกษา ศักยภาพ ประสิทธิภาพ และไม่ก่อให้เกิดภาระงบประมาณเพิ่มขึ้นทั้งด้านบุคลากรและการลงทุนในระยะยาว การกำหนดแนวทางเพื่อไม่ให้สถาบันการศึกษาของรัฐไปจัดตั้งหรือขยายวิทยาเขตในพื้นที่ที่มีการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา การกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนบริหารจัดการทรัพยากรที่บูรณาการในมิติพื้นที่ทั้งด้านสถานศึกษา ด้านบุคลากร ด้านหลักสูตรการเรียนการสอน ด้านงบประมาณ ด้านการบริหารจัดการ ด้านความต้องการของตลาดแรงงาน ตลอดจนการติดตามประเมินผลการหลอมรวม ยุบรวมสถาบันอุดมศึกษาที่ผ่านมาเพื่อนำมาปรับปรุง พัฒนา แนวทางในการดำเนินการให้เกิดความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด และเห็นควรคำนึงถึงสถานที่ตั้งและการจัดการเรียนการสอนทางไกลของสถานศึกษาของรัฐ เอกชน และต่างประเทศในพื้นที่ประกอบด้วย นอกจากนี้ ในการหลอมรวมหรือยุบรวมต้องไม่ทำให้เกิดมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นอีก ๑ แห่ง รวมทั้งจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่ามหาวิทยาลัยที่เกิดจากการหลอมรวมหรือยุบรวมจะมีความเฉพาะทางที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นอย่างไร และกำหนดเงื่อนไขให้มีการเสนอแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา แผนบูรณาการทรัพยากร และแผนการติดตามประเมินผล ก่อนการดำเนินการทุกครั้ง ไปประกอบการพิจารณาดำเนินการด้วย ๓. การจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นใหม่ ให้ใช้แนวทางการหลอมรวม ยุบรวม สถาบันอุดมศึกษา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ |
|||||||||||||||||||||
| 32342 | สรุปผลการประชุม The Asian and Pacific Regional Preparatory Meeting for the United Nations Conference on Sustainable Development เมื่อวันที่ 19 - 20 ตุลาคม 2554 ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี | ทส | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการประชุม The Asian and Pacific Regional Preparatory Meeting for the United Nations Conference on Sustainable Development ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปผลการประชุมฯ ได้ ดังนี้
๑. ผลการประชุมที่สำคัญคือ “ผลลัพธ์โซล (Seoul Outcomes)” ซึ่งเป็นข้อสรุปจากข้อคิดเห็นของประเทศที่เข้าร่วมประชุม และจะใช้เป็นข้อเสนอของกลุ่มประเทศเอเชียและแปซิฟิกต่อการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. ๒๐๑๒ (Rio + 20) โดยมีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้ ๑.๑ เน้นย้ำถึงหลักการต่าง ๆ ว่าด้วยการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้ให้การรับรองไว้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาริโอ (Rio Declaration on Environment and Development) และแผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) รวมทั้งกลไกต่าง ๆ ที่ได้รับรองโดยประชาคมโลก เช่น แผนปฏิบัติการ ๒๑ และแผนการดำเนินงานโจฮันเนสเบอร์ก ๑.๒ ยืนยันว่า วัตถุประสงค์หลักของการประชุม Rio + 20 คือ การยืนยันพันธกรณีทางการเมืองระหว่างประเทศในการดำเนินงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมทั้งการประเมินความก้าวหน้าและช่องว่างของการดำเนินงานตามพันธกรณีที่เกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และการแก้ปัญหาใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น โดยผลลัพธ์ของการประชุม Rio + 20 ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของหลักการริโอ ซึ่งรวมถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่าง โดยเน้นการลงมือปฏิบัติและสนับสนุนข้อริเริ่มที่เป็นหุ้นส่วน ๑.๓ เศรษฐกิจสีเขียวจะต้องคำนึงถึงวัตถุประสงค์ที่สำคัญ ๒ ประการ คือ การพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน โดยแนวทางเศรษฐกิจสีเขียวจะต้องคำนึงถึงหลักการริโอ ซึ่งรวมถึงหลักการความรับผิดชอบร่วมกันในระดับที่แตกต่างกัน และไม่ควรใช้เศรษฐกิจสีเขียวเป็นเครื่องมือ หรือมาตรการกีดกันทางการค้า โดยแนวทางเศรษฐกิจสีเขียวควรประกอบด้วยการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนเพื่อขจัดความยากจน การสร้างโอกาสทางการค้าให้กับประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศกำลังพัฒนา การบูรณาการ ๓ เสาหลักของการพัฒนาที่ยั่งยืน ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การให้แต่ละประเทศควรมีความยืดหยุ่นในการดำเนินงานด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนตามสภาพและระดับของการพัฒนาของประเทศ การสนับสนุนการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และคำนึงถึงกลุ่มที่ด้อยโอกาสในสังคม เช่น สตรีและเด็ก รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการประดิษฐ์ คิดค้น และถ่ายทอดเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้เกิดการเข้าถึงเทคโนโลยีสีเขียว ๑.๔ มีความจำเป็นที่จะต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยพิจารณาแนวทางในการดำเนินงาน ได้แก่ การสร้างเอกภาพและส่งเสริมการประสานงาน การสร้างความเข้มแข็ง และการบูรณาการระหว่าง ๓ เสาหลัก และการส่งเสริมบทบาทขององค์การสหประชาชาติในทุกระดับ รวมทั้งระดับภูมิภาค และอนุภูมิภาค ๒. ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ในฐานะองค์หัวหน้าคณะผู้แทนไทยได้ทรงกล่าวถ้อยแถลงในเรื่อง เศรษฐกิจสีเขียวในบริบทของการพัฒนาที่ยั่งยืนและการขจัดความยากจน โดยทรงกล่าวว่าประเทศไทยสนับสนุนหลักการของการพัฒนาที่ยั่งยืน และได้มีการปรับเปลี่ยนแนวทางจากการพัฒนาเศรษฐกิจด้านเดียวมาเป็นการพัฒนาที่ให้ความสำคัญกับเสาหลักด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น และให้ความสำคัญกับปัญหาสุขภาพของประชาชนตามที่ระบุไว้ในแผนปฏิบัติการ ๒๑ (Agenda 21) ว่า “สุขภาพเป็นส่วนสำคัญของการบรรลุเป้าหมายของการพัฒนาที่ยั่งยืน” การส่งเสริมด้านเศรษฐกิจสังคม การที่จะทำให้ประชาชนมีสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ดีจะต้องมีการให้การศึกษา จัดหาที่อยู่อาศัย สาธารณูปโภค และได้รับการสนับสนุนจากองค์กรต่าง ๆ เช่น ภาคธุรกิจ โรงเรียน มหาวิทยาลัย องค์กรศาสนา และองค์กรวัฒนธรรม เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||
| 32343 | ร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... | ศธ | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยปริญญาในสาขาวิชา อักษรย่อสำหรับสาขาวิชา ครุยวิทยฐานะ เข็มวิทยฐานะ และครุยประจำตำแหน่งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดปริญญาในสาขาวิชา และอักษรย่อสำหรับสาขาวิชา และสีประจำสาขาวิชาการบัญชี สาขาวิชาการศึกษา สาขาวิชานิติศาสตร์ สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สาขาวิชาพยาบาลศาสตร์ สาขาวิชารัฐประศาสนศาสตร์ สาขาวิชาวิจิตรศิลป์และประยุกต์ศิลป์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ สาขาวิชาศิลปศาสตร์ และสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ ๒. กำหนดครุยวิทยฐานะของมหาวิทยาลัย ครุยประจำตำแหน่งและเครื่องหมายประกอบครุยประจำตำแหน่งของนายกสภามหาวิทยาลัย อธิการบดีและกรรมการสภามหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ๓. กำหนดเข็มวิทยฐานะของมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี
|
|||||||||||||||||||||
| 32344 | ร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. .... | ศธ | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่งพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎ ก.ค.ศ.ฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดตัวบุคคลผู้มีอำนาจสั่งพักราชการหรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ๒. กำหนดหลักเกณฑ์การสั่งพักราชการ การสั่งพักราชการเพื่อรอฟังผลการสอบสวน การถูกพักใช้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ และหลักเกณฑ์การสั่งราชการกรณีถูกกล่าวหาซึ่งกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือถูกฟ้องคดี ๓. กำหนดหลักเกณฑ์การมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ๔. กำหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผู้ดำรงตำแหน่งซึ่งมีวิทยฐานะเชี่ยวชาญพิเศษ ตำแหน่งศาสตราจารย์ ตำแหน่งอธิการบดี หรือตำแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นที่มีฐานะเทียบเท่าออกจากราชการไว้ก่อน ๕. กำหนดให้คำสั่งพักราชการ คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน คำสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือกลับเข้ารับราชการ ต้องทำเป็นหนังสือตามแบบแนบท้าย
|
|||||||||||||||||||||
| 32345 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... | คค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางพลัด เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี และเขตทวีวัฒนา เขตตลิ่งชัน เขตบางกอกน้อย เขตบางซื่อ และเขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างทางพิเศษศรีรัช - วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร และเพื่อให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 32346 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองกระบี่ พ.ศ. .... | มท | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองกระบี่ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองกระบี่ ในท้องที่ตำบลกระบี่น้อย ตำบลทับปริก ตำบลไสไทย ตำบลกระบี่ใหญ่ และตำบลปากน้ำ อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาและการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 32347 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองนครสวรรค์ พ.ศ. .... | มท | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองนครสวรรค์ พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลบ้านมะเกลือ ตำบลบางม่วง ตำบลบึงเสนาท ตำบลเกรียงไกร ตำบลวัดไทรย์ ตำบลบางพระหลวง ตำบลหนองกรด ตำบลแควใหญ่ ตำบลปากน้ำโพ ตำบลนครสวรรค์ตก และตำบลตะเคียนเลื่อน อำเภอเมืองนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 32348 | การลงนามร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ 7 ของบริการขนส่งทางอากาศภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน | คค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างพิธีสารเพื่ออนุวัติข้อผูกพันชุดที่ ๗ ของบริการขนส่งทางอากาศ ภายใต้กรอบความตกลงว่าด้วยบริการของอาเซียน โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ๑.๑.๑ พิธีสารฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้เมื่อประเทศสมาชิกอาเซียนตั้งแต่ ๖ ประเทศขึ้นไปให้สัตยาบัน และจะมีผลบังคับใช้เฉพาะประเทศสมาชิกอาเซียนที่ให้สัตยาบันแล้วเท่านั้น ๑.๑.๒ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ยื่นข้อผูกพันจะต้องให้สิทธิและให้การปฏิบัติเป็นพิเศษในบริการเสริมด้านการขนส่งทางอากาศตามที่ระบุไว้ในข้อผูกพันเฉพาะของตนแก่ประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ซึ่งประเทศไทยยื่นเสนอปรับปรุงบริการที่ได้ยื่นข้อผูกพันไว้แล้ว ๒ บริการ ได้แก่ บริการซ่อมบำรุงรักษาอากาศยาน และบริการสำรองที่นั่งด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และเสนอเปิดตลาดเพิ่มในบริการให้เช่าอากาศยานแบบมีลูกเรือ ๑.๒ อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมาย ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการประชุมรัฐมนตรีขนส่งอาเซียนร่วมลงนามร่างพิธีสารฯ ทั้งนี้ หากมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมที่มิใช่สาระสำคัญ ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ใช้ดุลยพินิจในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง ๑.๓ ให้กระทรวงการต่างประเทศจัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมมอบหมายเป็นผู้ลงนามในพิธีสารดังกล่าว ๒. ให้กระทรวงคมนาคมรับความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเกี่ยวกับกรณีก่อนการแสดงเจตนาให้ร่างพิธีสารฯ มีผลผูกพัน กระทรวงคมนาคมจะต้องให้ประชาชนเข้าถึงรายละเอียดของพิธีสารฯ นั้น และในกรณีที่มีการปฏับัติตามพิธีสารฯ ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน หรือผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม จะต้องดำเนินการแก้ไขหรือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบนั้นอย่างรวดเร็ว เหมาะสม และเป็นธรรม รวมทั้งเสนอร่างพิธีสารฯ ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามมาตรา ๑๙๐ วรรคสองและวรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อประกอบการพิจารณาในการดำเนินการต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 32349 | การพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษเชิงพาณิชย์ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย | คค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบและเห็นชอบในหลักการแนวทางการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ โดยการนำพื้นที่ในเขตทางพิเศษไปพัฒนาเพื่อสาธารณประโยชน์ และการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษในเชิงพาณิชย์ตามแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ควบคู่กันไปตามพระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ รวมทั้งให้ยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗ (เรื่อง การดำเนินการตามแผนงานพัฒนาการขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล) ที่ให้ กทพ. ดำเนินการจัดระบบการใช้ประโยชน์พื้นที่บริเวณใต้ทางด่วนต่าง ๆ ให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพพื้นที่และเกิดประโยชน์สาธารณะสูงสุดโดยไม่นำไปใช้ในกิจการเชิงพาณิชย์ เช่น การจัดทำเป็นสวนสาธารณะ ลานกีฬา ที่จอดรถ เส้นทางลัดเพื่อระบายรถยนต์ และเส้นทางรถโดยสารใต้ทางด่วน เป็นต้น ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย กทพ. นำรายละเอียดโครงการต่าง ๆ ที่จะดำเนินการพร้อมข้อมูลที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาในรายละเอียดร่วมกับกระทรวงการคลัง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งต่อไป |
|||||||||||||||||||||
| 32350 | การจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของผู้ปฏิบัติงานประจำสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เตรียมความพร้อมนอกเวลาทำการ | พน | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการจ่ายเงินเพิ่มพิเศษของผู้ปฏิบัติงานประจำสถานีไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่เตรียมความพร้อมนอกเวลาทำการ ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) วันทำการวันละ ๑๐๐ บาท และในวันหยุดวันละ ๑๕๐ บาท ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงพลังงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงพลังงาน และ กฟผ. รับความเห็นของกระทรวงการคลังที่เห็นควรตรวจสอบการเบิกจ่ายเงินดังกล่าวและบริหารจัดการลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่ควบคุมได้ รวมทั้งมีแนวทางในการเพิ่มรายได้จากธุรกิจเสริมเพื่อให้ครอบคลุมรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยอาจพิจารณากำหนดเป็นเงื่อนไขให้คงสัดส่วนของรายจ่ายด้านบุคลากรต่อรายได้ให้คงอยู่ในอัตราเดิม ไปพิจารณาดำเนินการด้วย
|
|||||||||||||||||||||
| 32351 | รายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2554 จนถึงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2554 | กค | 06/12/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. ผลการเบิกจ่ายเงินปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๒,๔๗๓,๖๕๘.๓๖ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๑.๗๔ ของวงเงิน จำนวน ๒,๖๙๖,๓๙๔.๑๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ๑.๑ เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ จำนวน ๑,๙๕๗,๘๙๙.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๔.๕๘ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๙๓.๐๐) อยู่ร้อยละ ๑.๕๘ ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑,๖๙๙,๕๒๒.๒๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๙.๑๐ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๕๘,๓๗๗.๑๐ ล้านบาท หรือร้อยละ ๗๒.๗๙ สูงกว่าเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี (ร้อยละ ๗๒.๐๐) อยู่ร้อยละ ๐.๗๙ ๑.๒ เงินงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ตั้งแต่วันที่ ๑๙ เมษายน จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ๒๕๕๔ เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๙๒,๖๔๐.๔๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙๒.๖๘ ของวงเงินงบประมาณ จำนวน ๙๙,๙๕๓.๘๔ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายเพื่อชดใช้เงินคงคลัง จำนวน ๘๔,๑๔๒.๕๖ ล้านบาท รายจ่ายลงทุนตามแผนงานฟื้นฟูและแก้ไขปัญหาผลกระทบจากภัยพิบัติ จำนวน ๕,๑๘๑.๒๘ ล้านบาท และรายจ่ายประจำ จำนวน ๓,๓๑๖.๕๙ ล้านบาท ๑.๓ เงินงบประมาณที่กันไว้เบิกเหลื่อมปีและขยายเวลาเบิกจ่ายเงิน ประกอบด้วย เงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๖ - ๒๕๕๓ สามารถเบิกจ่ายได้ จำนวน ๑๒๗,๓๕๕.๓๒ ล้านบาท หรือร้อยละ ๖๙.๓๓ ของวงเงินงบประมาณเหลื่อมปี จำนวน ๑๘๓,๖๘๓.๘๑ ล้านบาท ๑.๔ เงินโครงการลงทุนภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงินรวมทั้งสิ้น ๓๔๙,๙๖๐.๔๔ ล้านบาท มีการจัดสรรแล้ว (ณ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔) จำนวนทั้งสิ้น ๓๔๒,๗๔๒.๗๖ ล้านบาท เบิกจ่ายแล้ว จำนวน ๒๙๕,๗๖๓.๒๓ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘๖.๒๙ ๒. ผลการเบิกจ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน ตั้งแต่ต้นปีงบประมาณจนถึงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ มีการเบิกจ่ายแล้วจำนวนทั้งสิ้น ๑๘๔,๑๖๖.๒๗ ล้านบาท หรือร้อยละ ๘.๙๐ ของวงเงิน จำนวน ๒,๐๗๐,๐๐๐.๐๐ ล้านบาท ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ จำนวน ๑๖๓,๕๙๕.๘๘ ล้านบาท หรือร้อยละ ๙.๕๙ และรายจ่ายลงทุน จำนวน ๒๐,๕๗๐.๓๙ ล้านบาท หรือร้อยละ ๕.๖๖ ซึ่งเป็นการใช้จ่ายเงินตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๔ (เรื่อง การใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ไปพลางก่อน)
|
|||||||||||||||||||||
| 32352 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมชุมชนบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลปลายกลัด ตำบลเต่าเล่า ตำบลบางซ้าย และตำบลแก้วฟ้า อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 32353 | ร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ. .... | นร | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงให้ใช้บังคับผังเมืองรวมเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ. .... ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว มีสาระสำคัญคือ ให้ใช้บังคับผังเมืองรวม ในท้องที่ตำบลโพธิ์พระยา ตำบลพิหารแดง ตำบลสนามชัย ตำบลรั้วใหญ่ ตำบลบ้านโพธิ์ ตำบลไผ่ขวาง ตำบลดอนโพธิ์ทอง ตำบลท่าพี่เลี้ยง ตำบลดอนกำยาน ตำบลท่าระหัด และตำบลทับตีเหล็ก อำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา และการดำรงรักษาเมืองและบริเวณที่เกี่ยวข้องหรือชนบท ในด้านการใช้ประโยชน์ในทรัพย์สิน การคมนาคมและการขนส่ง การสาธารณูปโภค บริการสาธารณะ และสภาพแวดล้อม และให้ดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
| 32354 | ความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย | พณ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ของคณะกรรมการบริหารโครงการช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้
๑. ผลการดำเนินงาน วงเงิน ๓,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๕๓ - ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๔ เพื่อให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ มีผู้ขอกู้ จำนวน ๑,๔๘๓ ราย วงเงิน ๔,๕๓๔.๘๘ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๑,๐๓๒ ราย วงเงิน ๒,๙๙๘.๓๒ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๑,๐๐๘ ราย วงเงิน ๒,๙๑๓.๗๒ ล้านบาท ๒. ผลการดำเนินงาน วงเงิน ๒,๐๐๐ ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ ๖ มิถุนายน - ๓๐ กันยายน ๒๕๕๔ เพื่อช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย ธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีดังนี้ ๒.๑ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ไทย มีผู้ยื่นขอกู้จำนวน ๗๒๓ ราย วงเงิน ๒,๒๓๖.๓๐ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๕๑๑ ราย วงเงิน ๑,๔๙๙.๓๔ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๔๗๐ ราย วงเงิน ๑,๓๗๕.๗๕ ล้านบาท ๒.๒ การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีผู้ยื่นขอกู้ จำนวน ๑๐๑ ราย วงเงิน ๗๙.๘๑ ล้านบาท ธนาคารอนุมัติสินเชื่อ จำนวน ๔๖ ราย วงเงิน ๓๐.๙๑ ล้านบาท มีการเบิกจ่ายเงินกู้ จำนวน ๓๖ ราย วงเงิน ๒๓.๖๓ ล้านบาท ๒.๓ การช่วยเหลือผู้ประกอบธุรกิจแฟรนไชส์และธุรกิจขายตรง มีผู้ประกอบการสนใจขอใช้วงเงิน แต่มีข้อจำกัดในเงื่อนไขการขอกู้ของธนาคาร จึงทำให้มีผู้ประกอบการได้รับอนุมัติวงเงินไม่มาก
|
|||||||||||||||||||||
| 32355 | แจ้งกำหนดการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริง การติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด | สผ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ผู้แทนจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และกรุงเทพมหานคร ไปชี้แจงแสดงความคิดเห็นต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญตรวจสอบข้อเท็จจริงการติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ในวันพุธที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. ณ ห้องประชุมคณะกรรมาธิการ หมายเลข ๒๒๐ ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา ๒
|
|||||||||||||||||||||
| 32356 | แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. 2555 - 2559 | รง | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙ เพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบมีหลักประกันทางสวัสดิการสังคมควบคู่กับหลักประกันทางด้านรายได้ในยามชราภาพ ภายในระยะเวลา ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) และได้รับการพัฒนาทักษะฝีมือและคุ้มครองให้มีความปลอดภัยในการทำงานเช่นเดียวกับแรงงานในระบบ โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การขยายขอบเขตการคุ้มครองและสร้างหลักประกันทางสังคม การเสริมสร้างองค์ความรู้และพัฒนาสมรรถนะแรงงานนอกระบบเพื่อขยายโอกาสการมีงานทำ และการเพิ่มสมรรถนะการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามที่ปรากฏในแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบฯ ได้ดำเนินการพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงานนอกระบบตามแนวทางที่กำหนดไว้ในแผนต่อไป ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ๒. ให้กระทรวงแรงงานรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงอุตสาหกรรม สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงบประมาณ ที่เห็นควรส่งเสริมให้แรงงานนอกระบบพัฒนาตนเป็นวิสาหกิจชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ยั่งยืน และส่งเสริมให้เป็นผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้ในระยะยาว โดยเริ่มตั้งแต่กระบวนการพัฒนาฝีมือแรงงานเพื่อให้มีทักษะและคุณภาพ ตลอดจนช่วยเหลือในการเข้าถึงแหล่งทุนในรูปแบบต่าง ๆ และเห็นควรให้ความสำคัญกับกลุ่มเป้าหมายแรงงานนอกระบบตามความรุนแรงของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อกลุ่ม รวมทั้งกำหนดมาตรการแนวทางให้สอดคล้องกับศักยภาพของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้การขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์สามารถตอบสนองต่อกลุ่มต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการบูรณาการโครงการที่มีวัตถุประสงค์หรือลักษณะกิจกรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน หรือมีความต่อเนื่องเชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินโครงการกิจกรรมตามแผนยุทธศาสตร์ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดเป้าหมายตัวชี้วัดร่วมกันที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หน่วยงานตามแผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแรงงานนอกระบบดังกล่าวควรมีการบูรณาการการทำงานและงบประมาณร่วมกันเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน ไปพิจารณาดำเนินการด้วย |
|||||||||||||||||||||
| 32357 | ร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ 2 (พ.ศ. 2555 - 2559) | วธ | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ระยะที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๙) ซึ่งเป็นการจัดทำยุทธศาสตร์ฯ ให้มีความต่อเนื่องจากยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ (พ.ศ. ๒๕๕๒ - ๒๕๕๔) เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของไทยใหม่มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีกลไกการบริหารจัดการในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และพัฒนาประเทศไทยให้ก้าวไปสู่การเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ของเอเชีย และเป็นแหล่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่สำคัญในตลาดโลก โดยมียุทธศาสตร์ที่สำคัญคือ การพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตของอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พัฒนาตลาดภาพยนตร์และวีดิทัศน์ไทยเชิงรุกทั้งในและต่างประเทศ เสริมสร้างให้ประเทศไทยเป็นเขตปลอดสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ในงานภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เสริมสร้างค่านิยมที่เหมาะสมในการบริโภคภาพยนตร์และวีดิทัศน์ ส่งเสริมธุรกิจการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย และส่งเสริมความร่วมมือในการลงทุนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์กับต่างประเทศ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ ๒. ให้กระทรวงวัฒนธรรมรับความเห็นของกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญกับการให้บริการของภาครัฐเพื่อลดต้นทุนให้กับภาคธุรกิจ เช่น การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ การอำนวยความสะดวกหรือประสานงานด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ ให้กับธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ เป็นต้น ส่วนข้อจำกัดหรืออุปสรรคจากโครงสร้างระบบภาษีต่อการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กระทรวงการคลังจะพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี นอกจากนี้ ในร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ควรมีความชัดเจนในด้านกลไกการดำเนินงาน กระบวนการทำงาน และแผนปฏิบัติการเพื่อให้สามารถบูรณาการการดำเนินงานของหน่วยปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้ความสำคัญกับการระดมความร่วมมือจากผู้ประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ สถาบันการศึกษา และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้เข้ามามีส่วนร่วมดำเนินการตามยุทธศาสตร์มากขึ้น ไปพิจารณาดำเนินการด้วย ทั้งนี้ ตามร่างยุทธศาสตร์การส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์และวีดิทัศน์ฯ ได้กำหนดให้มีการจัดตั้งองค์การมหาชนขึ้นใหม่ และเพื่อให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๓ (เรื่อง การขยายระยะเวลาของมาตรการระงับการขอจัดตั้งหน่วยงานใหม่หรือขยายหน่วยงานตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๖ มกราคม ๒๕๕๓) ให้กระทรวงวัฒนธรรมนำเรื่องนี้ไปพิจารณารวมกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาหน่วยงานของกระทรวงเพื่อจะได้พิจารณาในภาพรวมและนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ตามความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. |
|||||||||||||||||||||
| 32358 | การกำหนดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมที่ราชพัสดุท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย | คค | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กำหนดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมที่ราชพัสดุท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย ตามผลการพิจารณาของคณะกรรมการพิจารณากำหนดอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมที่ราชพัสดุท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงราย โดยให้เรียกเก็บอัตราค่าเช่าท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ ๒ จังหวัดเชียงรายในอัตราร้อยละ ๒ ของรายได้ก่อนหักค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งยกเว้นค่าธรรมเนียมการจัดให้เช่า โดยกำหนดระยะเวลาการเช่า ๕ ปี ทั้งนี้ ค่าเช่าในปีที่ ๑ - ๕ จะต้องไม่ต่ำกว่าค่าเช่ากรณี Base Case ปีที่ ๑ - ๕ ที่ปรากฎในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบตอบแทนทางการเงินที่การท่าเรือแห่งประเทศไทยส่งให้กรมธนารักษ์ ปีที่ ๑ อัตราค่าเช่าขั้นต่ำ ๓๓๑,๘๙๑ บาท ปีที่ ๒ อัตราค่าเช่าขั้นต่ำ ๓๔๘,๑๐๑ บาท ปีที่ ๓ อัตราค่าเช่าขั้นต่ำ ๓๖๕,๑๑๐ บาท ปีที่ ๔ อัตราค่าเช่าขั้นต่ำ ๓๘๒,๙๕๗ บาท และปีที่ ๕ อัตราค่าเช่าขั้นต่ำ ๔๐๑,๖๘๔ บาท โดยกำหนดเงื่อนไขว่า ก่อนครบกำหนดอายุสัญญาเช่า ๕ ปี ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยและกรมธนารักษ์พิจารณาอัตราค่าเช่าและค่าธรรมเนียมร่วมกันอีกครั้ง ทั้งนี้ ผลตอบแทนที่ราชการได้รับจะต้องไม่ต่ำกว่าเดิม ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||
| 32359 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดให้มีคนงานซึ่งมีความรู้เฉพาะเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ เก็บ ส่ง และบรรจุก๊าซประจำโรงงาน ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) | อก | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้มีคนงานซึ่งมีความรู้เฉพาะเพื่อปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการใช้ เก็บ ส่ง และบรรจุก๊าซประจำโรงงาน ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานผลิตก๊าซซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ ส่ง หรือจำหน่ายก๊าซ และโรงงานบรรจุก๊าซในภาชนะ เฉพาะก๊าซอาร์กอน ฮีเลียม ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย คลอรีน หรือก๊าซอันตรายอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีกำหนด ต้องจัดให้มีคนงานซึ่งได้รับหนังสือรับรองการผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับรอง และขึ้นทะเบียนเป็นคนงานควบคุมก๊าซ คนงานส่งก๊าซ หรือคนงานบรรจุก๊าซ แล้วแต่กรณี ๒. กำหนดให้ผู้ประกอบกิจการโรงงานทุกประเภทที่มีการใช้หรือเก็บก๊าซเฉพาะก๊าซอาร์กอน ฮีเลียม ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ แอมโมเนีย คลอรีน อะเซทิลีน หรือก๊าซอันตรายอื่น ๆ ที่รัฐมนตรีกำหนด ที่มีการติดตั้งถังเก็บและจ่ายก๊าซ (Storage tank) หรือมีปริมาณการใช้หรือเก็บก๊าซในภาชนะบรรจุก๊าซ (cylinder) จำนวนรวมตั้งแต่ยี่สิบภาชนะบรรจุขึ้นไป หรือมีการใช้หรือเก็บก๊าซจากภาชนะบรรจุชนิดติดตั้งบนรถ (tube trailer) ต้องจัดให้มีคนงานซึ่งได้รับหนังสือรับรองการผ่านการฝึกอบรมจากหน่วยงานที่กรมโรงงานอุตสาหกรรมรับรอง และขึ้นทะเบียนเป็นคนงานควบคุมก๊าซ ยกเว้นก๊าซแอมโมเนียสำหรับระบบทำความเย็นในโรงงาน
|
|||||||||||||||||||||
| 32360 | ร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 | อก | 29/11/2554 | ||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๓๕) ออกตามความในพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกบริเวณโรงงานเพื่อการใดตามที่กฎหมายกำหนดให้เหมาะสมยิ่งขึ้น และยกเว้นการขออนุญาตนำสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่ไม่เป็นของเสียอันตรายบางประเภทหรือบางชนิดออกนอกบริเวณโรงงาน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||
.....
