ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1608 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 32141 - 32160 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | |||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32141 | ขออนุมัติเงินอุดหนุนองค์การระหว่างประเทศ โครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies | สธ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการ Asia Pacific Observatory on Health Systems and Policies โดยบริจาคเงินอุดหนุนให้แก่องค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปีละ ๑๐๐,๐๐๐ ดอลลาร์สหรัฐ หรือ ๓,๐๙๕,๐๐๐ บาท เพื่อให้ประเทศไทยเข้าไปมีบทบาทในการเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำกับทิศทาง ในการสร้างและขยายบทบาทการเป็นผู้นำด้านสุขภาพในระดับภูมิภาค และเป็นการขยายเครือข่ายการทำงานวิจัยด้านนโยบายและระบบสุขภาพ รวมทั้งเป็นการสร้างภาพพจน์อันดีของประเทศไทยในประชาคมโลกและระดับภูมิภาค โดยค่าใช้จ่ายที่ต้องบริจาคในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้กระทรวงสาธารณสุขพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ให้เสนอขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ - พ.ศ. ๒๕๕๗ ตามความจำเป็นและเหมาะสมต่อไป ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ ๒. ให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของกระทรวงการคลังและกระทรวงการต่างประเทศเกี่ยวกับการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย เห็นควรให้กระทรวงสาธารณสุขดำเนินการตามนัยมาตรา ๑๙๐ แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ นอกจากนี้ เมื่อมีการจัดทำร่างความตกลงเกี่ยวกับการบริจาคเงินอุดหนุนฯ กับองค์การอนามัยโลก ส่วนราชการเจ้าของเรื่องอาจพิจารณาส่งร่างความตกลงฯ ให้กระทรวงการต่างประเทศพิจารณาในประเด็นมาตรา ๑๙๐ ของรัฐธรรมนูญฯ ก่อนที่จะลงนามและดำเนินการแสดงเจตนาให้ความตกลงมีผลผูกพันต่อไป ไปดำเนินการด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 32142 | โครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด 1 เมกกะวัตต์ | วท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติตามมติคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ ๔ (ฝ่ายเศรษฐกิจ) ในการประชุมครั้งที่ ๒/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเห็นชอบในหลักการโครงการพัฒนาและถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลเพื่อสร้างต้นแบบโรงไฟฟ้าชีวมวลขนาด ๑ เมกกะวัตต์ ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ และอนุมัติงบประมาณจำนวน ๕๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อใช้เป็นงบดำเนินการในการศึกษาวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโครงการฯ ในด้านต่าง ๆ เช่น ชนิดและความพอเพียงของชีวมวล พื้นที่ดำเนินโครงการ รูปแบบการลงทุน หลักเกณฑ์การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ เทคโนโลยีการผลิต ความคุ้มค่าและผลตอบแทนทางด้านเศรษฐกิจ ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การมีส่วนร่วมและการยอมรับของชุมชน และรูปแบบการบริหารจัดการ เป็นต้น สำหรับงบประมาณในการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลต้นแบบนั้น ให้พิจารณาใช้แหล่งเงินทุนอื่น ๆ ที่มีภารกิจที่สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน ๒. ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีรับความเห็นของกระทรวงพลังงาน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่เห็นควรให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดหาเชื้อเพลิงที่จะใช้ป้อนโรงไฟฟ้าและการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ที่ดำเนินโครงการฯ และมีการควบคุมการระบายมลพิษทางอากาศให้เป็นไปตามประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้าใหม่ และประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดให้โรงไฟฟ้าใหม่เป็นแหล่งกำเนิดมลพิษ ที่จะต้องถูกควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียออกสู่บรรยากาศอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานกับกระทรวงพลังงานและคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสร้างความร่วมมือในการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน ๑๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๖๕) ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย ๓. ในส่วนของงบประมาณในการดำเนินโครงการนอกเหนือจากงบประมาณในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งสำนักงบประมาณได้ตั้งงบประมาณไว้จำนวน ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประสานงานกับกระทรวงพลังงานและหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อขอใช้จ่ายเพิ่มเติมจากเงินกองทุนอนุรักษ์พลังงานหรือแหล่งทุนอื่น ๆ ที่มีวัตถุประสงค์สอดคล้องกับการส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน เพื่อดำเนินการต่อไป |
||||||||||||||||||||||||
| 32143 | รายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (วันที่ 19 - 25 ธันวาคม 2554 และ วันที่ 27 ธันวาคม 2554 - 2 มกราคม 2555) | ทก | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสรุปสภาวะอากาศในรอบสัปดาห์ฯ ของกรมอุตุนิยมวิทยา และรายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสภาวะอากาศทั่วไปในรอบสัปดาห์และการพยากรณ์อากาศใน ๗ วันข้างหน้า ของกรมอุตุนิยมวิทยา ๑.๑ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันที่ผ่านมา (ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔) บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็น ส่วนบริเวณภาคใต้ตั้งแต่จังหวัดสุราษฎร์ธานีลงไปมีฝนตกกระจายและมีฝนตกหนักบางแห่ง คลื่นลมบริเวณภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังแรง คลื่นสูง ๒ - ๕ เมตร ๑.๒ ลักษณะอากาศในช่วง ๗ วันข้างหน้า (ระหว่างวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ - ๒ มกราคม ๒๕๕๕) ช่วงต้นสัปดาห์ทั่วทุกภาคของประเทศไทยมีอากาศหนาวเย็น บริเวณภูเขาสูงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือยังคงมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด ส่วนคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง ๒ - ๔ เมตร หลังจากนั้นบริเวณความกดอากาศสูงที่ปกคลุมประเทศไทยมีกำลังอ่อนลง แต่โดยทั่วไปยังคงทำให้ประเทศไทยตอนบนมีอากาศหนาวเย็นและมีหมอกในตอนเช้า สำหรับมรสุมตะวันออกเฉียงหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยมีกำลังค่อนข้างแรง ทำให้ภาคใต้มีฝนกระจาย และอ่าวไทยตอนล่างมีคลื่นสูง ๒ - ๓ เมตร ๒. รายงานการปฏิบัติงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ และศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ๒.๑ การดำเนินงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ มีการแจ้งข่าวแผ่นดินไหว และการแจ้งเฝ้าระวังน้ำป่าไหลหลากและดินโคลนถล่ม ซึ่งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติได้เฝ้าระวังสภาวะอากาศและติดตามประเมินผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมพร้อมเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัติได้ ทั้งนี้ ขอให้ประชาชนระวังอันตรายที่อาจเกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณเชิงเขาและพื้นที่ต้นน้ำ และดินโคลนถล่ม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ด้วย ๒.๒ การดำเนินการของ ศปภ. ตั้งแต่วันที่ ๙ ตุลาคม - ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้รับแจ้งจากผู้ขอความช่วยเหลือโดยผ่านหมายเลข ๑๑๑๑ กด ๕ โดยมีจำนวนผู้โทรเข้าทั้งหมด ๙๕๘,๗๒๑ ราย แยกเป็นการโทรเพื่อขอความช่วยเหลือ ๑๕๙,๔๘๙ ราย สอบถาม ๔๕๕,๗๘๑ ราย ร้องเรียน ๙,๕๒๖ ราย ชมเชย ๗๓๓ ราย แจ้งบริจาค ๓,๔๖๔ ราย ติดตามงาน ๒,๖๓๐ ราย โทรระบายความเครียด ๓๒๔,๘๒๓ ราย และข้อเสนอแนะ ๒,๒๗๕ ราย
|
||||||||||||||||||||||||
| 32144 | รายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ 13 - 19 ธันวาคม 2554) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานสถานการณ์น้ำในรอบสัปดาห์ (วันที่ ๑๓ - ๑๙ ธันวาคม ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สถานการณ์น้ำในภาพรวม ๑.๑ สภาพน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีปริมาณน้ำเก็บกักประมาณร้อยละ ๘๙ อยู่ในเกณฑ์ดีมาก โดยเขื่อนในภาคใต้ต้องพร่องน้ำเพื่อบริหารจัดการรับอุทกภัย ๑.๒ เขื่อนที่มีน้ำล้นอาคารระบายน้ำ มีจำนวน ๖ แห่ง ประกอบด้วย เขื่อนแม่งัดสมบูรณ์ชล จังหวัดเชียงใหม่ เขื่อนกิ่วคอหมา จังหวัดลำปาง เขื่อนลำตะคอง เขื่อนลำแซะ จังหวัดนครราชสีมา เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเขื่อนกระเสียว จังหวัดสุพรรณบุรี สำหรับเขื่อนที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดีมาก มีจำนวน ๒๑ แห่ง เขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๕๑ - ๘๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำดี มีจำนวน ๕ แห่ง และเขื่อนที่มีน้ำระหว่างร้อยละ ๓๑ - ๕๐ อยู่ในเกณฑ์น้ำพอใช้ มีจำนวน ๑ แห่ง ส่วนสภาพน้ำในแม่น้ำสายสำคัญส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีแม่น้ำที่มีปริมาณน้ำล้นตลิ่ง ๒. สถานการณ์อุทกภัยในรอบสัปดาห์ มีพื้นที่ที่เกิดเหตุน้ำท่วม ๑๐ จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี กรุงเทพมหานคร นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี พัทลุง และปัตตานี ๓. การเตรียมรับสถานการณ์อุทกภัย ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓.๑ สภาพภูมิอากาศในสัปดาห์หน้า คาดว่าวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ความกดอากาศสูงกำลังแรงระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่เสริมลงมาปกคลุมตอนบนของประเทศ ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชลงไป มีฝนตกกระจายและอาจจะมีฝนตกหนักบางแห่ง ๓.๒ สถานีเตือนภัยล่วงหน้าของกรมทรัพยากรน้ำมีการแจ้งเตือนภัยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวน ๔ สถานี ครอบคุลม ๑๕ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด โดยแบ่งออกเป็นการเตือนภัยในระดับเตรียมอพยพ ๒ สถานี ครอบคลุม ๗ หมู่บ้าน ใน ๒ จังหวัด คือ ที่อำเภอนบพิตำ จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอป่าบอน จังหวัดพัทลุง และการเตือนในระดับเฝ้าระวัง ๒ สถานี ครอบคลุม ๘ หมู่บ้าน ที่อำเภอพิปูน อำเภอลานสกา จังหวัดนครศรีธรรมราช ๓.๓ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เขื่อนขนาดใหญ่ของกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) มีปริมาณน้ำลดลงเล็กน้อย เนื่องจากปริมาณฝนลดลง สำหรับพื้นที่ภาคใต้ยังอยู่ในช่วงปลายฤดูฝน แต่เนื่องจาก กฟผ. ได้ควบคุมน้ำในเขื่อนบางลางไว้แล้ว ทำให้สามารถรองรบสถานการณ์น้ำหลากได้ ๓.๔ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะปกติภายในสัปดาห์นี้ ส่วนพื้นที่ลุ่มการเกษตรจะยังคงมีน้ำท่วมขังบ้าง ๓.๕ กรมควบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์คุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลักที่รองรับน้ำหลากลงสู่ทะเลอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาก โดยเฉพาะแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่จังหวัดปทุมธานีลงไป และแม่น้ำท่าจีนตั้งแต่จังหวัดนครปฐมลงไป ๓.๖ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ติดตามสถานการณ์น้ำและการประสานงานด้านการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และสนับสนุนระบบประปาสนาม รถบรรทุกน้ำ รถบรรทุก และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ประสบภัย การซ่อมแซมบ่อบาดาล การประสานเครือข่ายแจ้งเตือนภัยน้ำท่วมฉับพลันและดินถล่ม ๓.๗ ที่ประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และ กฟผ. เร่งการพิจารณาปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รวมทั้งพิจารณาบริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม เช่น ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาใหญ่ต้องพิจารณาแยกเป็นพื้นที่ ประกอบด้วย ๔ พื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ด้านเหนือเขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์ พื้นที่ท้ายเขื่อนทั้งสองถึงเขื่อนเจ้าพระยา พื้นที่จากเขื่อนเจ้าพระยาถึงปากแม่น้ำ และระดับน้ำทะเลหนุนในช่วงเวลาต่าง ๆ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32145 | สรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ (ข้อมูล ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2554) | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปสถานการณ์อุทกภัย สาธารณภัย และการช่วยเหลือ ตามที่กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สรุปสถานการณ์อุทกภัย และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๑๙ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) ๑.๑ ปัจจุบันมีสถานการณ์อุทกภัยและประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (อุทกภัย) ใน ๒ พื้นที่ คือ ประเทศไทยตอนบน และภาคใต้ โดยสถานการณ์อุทกภัยบริเวณประเทศไทยตอนบน และภาคใต้บางจังหวัด ยังคงมีสถานการณ์อุทกภัย ๕ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลพบุรี นครปฐม ปทุมธานี และนนทบุรี รวม ๓๓ อำเภอ ๓๔๘ ตำบล ๒,๔๖๐ หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน ๘๙๔,๖๔๕ ครัวเรือน ๒,๒๗๐,๐๑๗ คน ส่วนสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ มีพื้นที่ประสบอุทกภัยจากอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกำลังแรงพัดปกคลุมอ่าวไทย และภาคใต้ และมีการประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินตั้งแต่วันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งสิ้น ๘ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส พัทลุง และตรัง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ ราย ปัจจุบันสถานการณ์ได้คลี่คลายแล้วอยู่ระหว่างฟื้นฟู ๑.๒ สรุปการจ่ายเงินช่วยเหลือครัวเรือนละ ๕,๐๐๐ บาท (กรณีอุทกภัย) ปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ (ข้อมูล ณ วันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) โดยพื้นที่กรุงเทพมหานครที่ประสบอุทกภัย ๓๐ เขต กรอบครัวเรือน จำนวน ๖๒๑,๓๕๕ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๑๐๖,๗๗๕,๐๐๐ บาท รวมส่งธนาคารออมสินแล้ว ๑๔๓,๑๙๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๗๑๕,๙๖๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๒๓.๐๕ และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๔๗,๙๐๓ ครัวเรือน (ณ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔) คิดเป็นร้อยละ ๓๓.๔๕ สำหรับในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัย ๖๒ จังหวัด กรอบครัวเรือน จำนวน ๒,๒๘๙,๕๖๒ ครัวเรือน เป็นเงิน ๑๑,๔๔๗,๘๑๐,๐๐๐ บาท กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้รวบรวมรายชื่อจำนวนครัวเรือนที่ขอรับการช่วยเหลือส่งธนาคารออมสินแล้ว ๖๗๓,๒๐๓ ครัวเรือน เป็นเงิน ๓,๓๖๖,๐๑๕,๐๐๐ บาท คิดเป็นร้อยละ ๔๔.๓๐ และธนาคารออมสินจ่ายเงินแล้ว ๔๘๐,๕๗๔ ครัวเรือน (ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔) คิดเป็นร้อยละ ๗๑.๓๙ จังหวัดแจ้งระงับการจ่าย ๖๕๔ ครัวเรือน ๒. สรุปสถานการณ์ภัยหนาว และการช่วยเหลือ (ระหว่างวันที่ ๒ พฤศจิกายน - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีจังหวัดที่ได้ประกาศเป็นพื้นที่ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ภัยหนาว) เนื่องจากมีสภาพอากาศหนาว (อุณหภูมิ ๘.๐ - ๑๕.๙ องศาเซลเซียส) ถึงหนาวจัด (อุณหภูมิต่ำกว่า ๘.๐ องศาเซลเซียส) ในพื้นที่ ๒๓ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ตาก น่าน พะเยา พิษณุโลก เพชรบูรณ์ แพร่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง ลำพูน อุตรดิตถ์ กาฬสินธุ์ นครพนม บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร เลย สกลนคร หนองคาย อุบลราชธานี ราชบุรี และสุพรรณบุรี รวม ๒๒๑ อำเภอ ๑,๗๕๗ ตำบล ๒๐,๓๑๑ หมู่บ้าน สำหรับการให้ความช่วยเหลือ ทางจังหวัดที่ประสบภัยหนาวและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ระดมการช่วยเหลือ โดยการจัดหาผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัยหนาวแล้ว ๓. สรุปสถานการณ์คลื่นลมแรง (ระหว่างวันที่ ๒๔ - ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔) มีรายงานฝนตกหนักและคลื่นลมแรง ๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชุมพร ในพื้นที่อำเภอหลังสวน อำเภอปะทิว อำเภอเมืองชุมพร อำเภอสวี อำเภอทุ่งตะโก และอำเภอละแม จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในพื้นที่อำเภอทับสะแก อำเภอหัวหิน อำเภอกุยบุรี และอำเภอสามร้อยยอด จังหวัดนครศรีธรรมราช ในพื้นที่อำเภอปากพนัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในพื้นที่อำเภอดอนสัก อำเภอไชยา อำเภอท่าชนะ อำเภอกาญจนดิษฐ์ และอำเภอเกาะสมุย จังหวัดสงขลา ในพื้นที่อำเภอระโนด จังหวัดปัตตานี ในพื้นที่อำเภอยะหริ่ง และจังหวัดจันทบุรี ในพื้นที่อำเภอท่าใหม่ และอำเภอนายายอาม
|
||||||||||||||||||||||||
| 32146 | การดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบการดำเนินการแก้ไขปัญหาสถานการณ์น้ำท่วมและช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การดำเนินงานสนับสนุนเครื่องสูบน้ำ และระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ๑.๑ กรมทรัพยากรน้ำได้ดำเนินการจัดตั้งศูนย์สนับสนุนการดำเนินงานติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเล โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๔ การดำเนินการระยะที่ ๑ เป็นการระบายน้ำลงทะเล ดำเนินการระหว่างวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ถึงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ปัจจุบันการดำเนินการได้เสร็จสิ้นลงแล้วเนื่องจากสถานการณ์น้ำได้เข้าสู่ภาวะปกติสามารถไหลผ่านแม่น้ำและลำคลองได้ตามปกติ สูบน้ำได้ทั้งสิ้น ๒๔,๔๘๗,๙๕๓ ลูกบาศก์เมตร ๑.๒ ศูนย์สนับสนุนการดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพื่อระบายน้ำลงสู่ทะเลได้รับการสนับสนุนเครื่องสูบน้ำปัจจุบัน จำนวนทั้งสิ้น ๓๓๓ เครื่อง ดำเนินการติดตั้งเครื่องสูบน้ำในพื้นที่เป้าหมายจังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม สมุทรสาคร และกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพุทธมณฑล ระบายน้ำจนแห้งแล้ว ๗๘ แห่ง เป็นปริมาณน้ำ ๒๑,๐๑๐,๕๓๔ ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันได้นำเครื่องสูบน้ำกลับแล้ว ๒๑๙ เครื่อง จำนวนเครื่องสูบน้ำที่มีการติดตั้งในจังหวัดนนทบุรีและนครปฐม จำนวน ๑๑๔ เครื่อง ได้เดินเครื่องเพื่อสูบน้ำ จำนวน ๖๘ เครื่อง ปริมาณการสูบน้ำได้ ๕๐๘,๐๔๐ ลูกบาศก์เมตร/วัน ๒. การประชุมคณะอนุกรรมการติดตามและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ ภายใต้คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมมอบให้กรมอุตุนิยมวิทยาติดตามสถานการณ์ฝนและพายุอย่างต่อเนื่องเน้นการพยากรณ์ล่วงหน้า และให้กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยปรับปรุงเกณฑ์ควบคุมระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ (Rule Curve) ให้สอดคล้องกับสภาพทางอุทกวิทยาในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อเตรียมรับสถานการณ์น้ำหลากในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ให้บริหารการระบายน้ำแบบองค์รวม ๓. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำชี เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมได้มีการนำเสนอปัญหาและแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำชี โดยเน้นการอนุรักษ์ฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นแก้มลิง ป้องกันน้ำท่วมและเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง และเสนอให้พิจารณาสร้างเขื่อนในพื้นที่ต้นน้ำชี เพื่อกักเก็บน้ำและป้องกันปัญหาน้ำท่วมในลุ่มน้ำชี เช่น เขื่อนโปร่งขุนเพชร เขื่อนชีบน เขื่อนยางนาดี เขื่อนผาคะเฮ้า ๔. การประชุมคณะกรรมการลุ่มน้ำเจ้าพระยา ป่าสักและสะแกกรัง และการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่ประชุมรับทราบรายงานสถานการณ์อุทกภัยและแนวทางการแก้ไขของจังหวัดนครสวรรค์ รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและเสนอแนวทางการป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา รายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการป้องกันภัยปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก และรายงานภาพรวมสถานการณ์น้ำและแนวทางการแก้ไขป้องกันปัญหาอุทกภัยพื้นที่ลุ่มน้ำสะแกกรัง รวมทั้งการนำเสนอโครงการสำรวจศักยภาพลำน้ำแม่น้ำเจ้าพระยา ๕. การตรวจติดตามปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเล เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะได้เดินทางไปตรวจติดตามสภาพปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลจังหวัดสงขลา ซึ่งมีความเสียหายรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรัพยากรชายฝั่งทะเล ทรัพย์สินของประชาชน และของราชการเสียหายเป็นจำนวนมาก ๖. การแก้ไขปัญหาลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมคณะ ได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการลุ่มน้ำทะเลสาปสงขลา โดยที่ประชุมได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบบูรณาการเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีหลายมิติได้ควบคู่กันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง โดยขอให้ขุดลอกปรับปรุงคลองระบายน้ำให้ระบายลงทะเลได้มากขึ้น เพิ่มแหล่งเก็บกักน้ำและพื้นที่รับน้ำในบริเวณต้นน้ำ และขอให้แก้ไขปัญหาคุณภาพน้ำจากน้ำเสียชุมชน น้ำเสียอุตสาหกรรม และสารพิษปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 32147 | ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อย้ายข้าราชการไปแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกรอบอัตรากำลังข้าราชการพลเรือนสามัญในภาพรวม รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรภาครัฐ เพื่อย้ายนางวิสุนี บุนนาค ผู้อำนวยการสำนักโฆษก (อำนวยการระดับสูง) สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีฝ่ายข้าราชการประจำ ด้านสังคม (อำนวยการระดับสูง) กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการวางแผน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32148 | ผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ 3/2554 | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการ กยน. และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กรรมการและเลขานุการร่วมคณะกรรมการ กยน. เสนอ โดยที่ประชุมมีมติ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ๖ แผน และมอบหน่วยงานหลักในการดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการฯ ดังนี้ ๑.๑.๑ แผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก มอบกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนการบริหารจัดการเขื่อนเก็บน้ำหลัก และแผนบริหารจัดการน้ำของประเทศประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๕ และรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมคณะกรรมการ กยน. ภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง เห็นชอบหลักการและกรอบวงเงินแผนการดำเนินงาน จำนวน ๑๗,๑๒๖ ล้านบาท แยกเป็นงบประมาณดำเนินการในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จำนวน ๑๒,๖๑๐ ล้านบาท และปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จำนวน ๔,๕๑๖ ล้านบาท โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการเพื่อเสนอคณะกรรมการ กยน. และคณะรัฐมนตรีพิจารณา ๑.๑.๓ แผนการพัฒนาคลังข้อมูล ระบบพยากรณ์ และเตือนภัย มอบ ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี เป็นเจ้าภาพในการจัดทำแผนการพัฒนาคลังข้อมูลร่วมกับกรมแผนที่ทหาร องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งประเทศญี่ปุ่น (JICA) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายรอยล จิตรดอน ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ และมอบกรมชลประทานเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำแผนการปรับปรุงระบบการพยากรณ์ ส่วนแผนการปรับปรุงระบบการเตือนภัย มอบ ดร. ปลอดประสพ สุรัสวดี หารือกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ) เพื่อออกแบบและจัดทำแผนดังกล่าว โดยให้รวมถึงการติดตั้งระบบโทรทัศน์วงจรปิดให้ครบทุกประตูระบายน้ำเพื่อใช้ประโยชน์ในการติดตามและสั่งการระบบปิดเปิดประตูระบายน้ำจากส่วนกลางได้ ๑.๑.๔ แผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ มอบกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานหลักบูรณาการแผนการดำเนินงานร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและกระทรวงกลาโหม และจัดทำข้อเสนอของแผน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่เศรษฐกิจและอุตสาหกรรม และพื้นที่เมือง รวมถึงการปรับปรุงแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยอาจพิจารณาจัดจ้างที่ปรึกษาระดับมืออาชีพทำการศึกษารายละเอียดของข้อเสนอแผนงานเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ได้ ๑.๑.๕ แผนงานการกำหนดพื้นที่รับน้ำนองและมาตรการเยียวยา มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นหน่วยงานหลักบูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทยในการจัดทำแผนดังกล่าว ๑.๑.๖ แผนงานปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ มอบสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นหน่วยงานหลักในการจัดประชุมหารือระหว่างคณะกรรมการ กยน. และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) เพื่อจัดทำข้อเสนอแผนงานการปรับปรุงองค์กรเพื่อบริหารจัดการน้ำ และให้มีคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อติดตามการดำเนินงานภายใต้แผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงคมนาคม โดยมีสำนักงานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (ส.กยน.) ทำหน้าที่ฝ่ายเลขานุการ ๑.๒ เห็นชอบในหลักการของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) โดยมอบฝ่ายเลขานุการฯ ประสานกับประธานอนุกรรมการด้านการวางแผนและกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนดำเนินการบูรณาการและปรับปรุงรูปแบบการนำเสนอของร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำแบบบูรณาการและยั่งยืน (กรณีลุ่มน้ำเจ้าพระยา) ให้สอดคล้องกับรูปแบบของร่างแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน และหารือผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศในการจัดทำรายละเอียดของแผนปฏิบัติการดังกล่าว เพื่อเสนอคณะกรรมการ กยน. พิจารณาอีกครั้งก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รวม ๒ แผนงานที่ถือว่ามีความเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการไว้ในแผนปฏิบัติการเพื่อบรรเทาปัญหาอุทกภัยระยะเร่งด่วน คือ แผนฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ และแผนสร้างความเข้าใจ การยอมรับและการมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการอุทกภัยขนาดใหญ่ของทุกภาคส่วน ๒. เห็นชอบกรอบวงเงินงบประมาณสำหรับแผนการดำเนินงานภายใต้แผนฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง จำนวน ๑๗,๑๒๖ ล้านบาท ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๖ และให้หน่วยงานที่รับผิดชอบจัดทำรายละเอียดโครงการเสนอคณะกรรมการ กยน. และคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๓. ให้คณะกรรมการ กยน. เร่งพิจารณาและจัดทำร่างยุทธศาสตร์การบรรเทาอุทกภัยในพื้นที่ต่าง ๆ ให้ครบทั้ง ๒๕ ลุ่มน้ำ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของการฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าและระบบนิเวศ นั้น ให้บูรณาการแนวทางการดำเนินงานเชื่อมโยงกับมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 32149 | แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการนวัตนกรรมแห่งชาติแทนตำแหน่งที่ว่าง | วท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งนายพรชัย รุจิประภา ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการในคณะกรรมการนวัตกรรมแห่งชาติ แทนประธานกรรมการเดิมที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32150 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การจัดการน้ำเสีย จำนวน ๗ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้ ๑.๑ นายชเยนทร์ คำนวณ เป็นประธานกรรมการ ๑.๒ นายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา เป็นกรรมการ ๑.๓ นายชัยวัธน์ จุลมนต์ เป็นกรรมการ ๑.๔ นายวีรวัฒน์ ยมจินดา เป็นกรรมการ ๑.๕ นายอมรินทร์ ผจญยุทธ เป็นกรรมการ ๑.๖ นายวิบูลย์ เพิ่มอารยวงศ์ เป็นกรรมการ ๑.๗ นางสาวประกายดาว เขมะจันตรี เป็นกรรมการ ๒. สำหรับนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการมีมติอนุมัติเป็นต้นไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 32151 | ขอความเห็นชอบหลักการในการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารจัดการพื้นที่ตลาดนัดจตุจักรของการรถไฟแห่งประเทศไทย | คค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบการดำเนินงานตลาดนัดจตุจักรของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมา และการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) จะเข้าจัดการพื้นที่ตลาดนัดจตุจักรภายหลังสิ้นสุดสัญญาเช่าพื้นที่ตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๕ เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับไปพิจารณาจัดทำแผนบริหารจัดการทรัพย์สินตลาดนัดจตุจักร โดยให้หารือร่วมกับคณะกรรมการกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงบประมาณ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แล้วนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป ๒. ให้กระทรวงคมนาคม โดย รฟท. รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเกี่ยวกับการจัดตั้งบริษัทลูกเพื่อบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักร ของ รฟท. เนื่องจากคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ (เรื่อง ผลการประชุมคณะกรรมการรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ครั้งที่ ๑๖/๒๕๕๒) เห็นชอบในหลักการของการปรับโครงสร้างองค์กรของ รฟท. โดยการจัดตั้งหน่วยธุรกิจบริหารทรัพย์สิน ซึ่งเป็นการบริหารจัดการทรัพย์สินของ รฟท. ในภาพรวมทั้งหมด กรณีการจัดตั้งบริษัทลูกของ รฟท. เพื่อบริหารจัดการตลาดนัดจตุจักรเป็นการเฉพาะ จึงควรคำนึงถึงความสอดคล้องกับรูปแบบโครงสร้างการจัดการทรัพย์สินของ รฟท. ในภาพรวม และควรศึกษาความเหมาะสมในรายละเอียดการจัดตั้งบริษัทดังกล่าว โดยเฉพาะในด้านต้นทุนค่าใช้จ่าย รายได้ ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน การบริหารจัดการด้านบุคลากร โดยมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ และ รฟท. สามารถดำเนินการในทางปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไปพิจารณาประกอบการดำเนินการด้วย
|
||||||||||||||||||||||||
| 32152 | รายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการพิจารณาจัดสรรงบประมาณ เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย ตามที่สำนักงบประมาณเสนอ ดังนี้
๑. โครงการที่ดำเนินการได้ทันทีภายในเดือนมกราคม ๒๕๕๕ วงเงิน ๒๐,๑๑๐.๕๕๗๒ ล้านบาท จัดสรรเงินงบกลางฯ ให้แล้ว จำนวน ๑๙,๒๓๗.๗๐๓๐ ล้านบาท ประกอบด้วย ด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต จำนวน ๑,๕๓๓.๕๘๔๙ ล้านบาท ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน ๔,๕๒๘.๕๖๘๑ ล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมฯ จำนวน ๑๓,๑๗๕.๕๕๐๐ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๘๗๒.๘๕๔๒ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณคงเหลือดังกล่าว เป็นโครงการฟื้นฟู บูรณะโบราณสถาน จำนวน ๕๙๙.๗๗๕๕ ล้านบาท นอกนั้นเป็นการปรับลดค่างานตามเกณฑ์และโครงการที่มีความซ้ำซ้อน รวมทั้งไม่มีความพร้อม ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และของบประมาณไม่เต็มกรอบ จำนวน ๒๗๓.๐๗๘๗ ล้านบาท ๒. โครงการที่มีความจำเป็นเร่งด่วน และคณะรัฐมนตรีได้เคยมีมติเห็นชอบกรอบวงเงินไว้ วงเงิน ๔๐,๘๗๒.๖๔๕๕ ล้านบาท ได้แก่ ๒.๑ แผนงาน/โครงการที่สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณารายละเอียดร่วมกัน และได้นำเสนอประธานคณะกรรมการเพื่อให้ความช่วยเหลือฟื้นฟู เยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย (กฟย.) เห็นชอบวงเงิน ๙,๕๕๘.๒๐๘๓ ล้านบาท เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ จัดสรรเงินงบกลางฯ ให้แล้ว จำนวน ๗,๑๒๙.๓๗๐๕ ล้านบาท ประกอบด้วย ด้านฟื้นฟูคุณภาพชีวิต จำนวน ๔,๙๑๔.๖๕๓๕ ล้านบาท ด้านโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน ๒,๑๒๐.๒๘๔๘ ล้านบาท ด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมฯ จำนวน ๙๔.๔๓๒๒ ล้านบาท คงเหลือ จำนวน ๒,๔๒๘.๘๓๗๘ ล้านบาท ทั้งนี้ งบประมาณคงเหลือดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานซึ่งจำเป็นต้องพิจารณาความซ้ำซ้อนของการดำเนินโครงการระหว่างหน่วยงานและค่าใช้จ่าย ๒.๒ แผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานเกี่ยวกับการขุดลอกคลอง และปรับปรุงซ่อมแซมแหล่งน้ำ จำนวน ๓,๗๖๔.๘๔๐๒ ล้านบาท สำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติได้พิจารณารายละเอียดร่วมกันแล้ว และอยู่ระหว่างเสนอคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) พิจารณาให้ความเห็นชอบ ๒.๓ กรอบวงเงินส่วนที่เหลือ จำนวน ๒๙,๙๗๘.๔๓๔๘ ล้านบาท (๔๐,๘๗๒.๖๔๕๕ - ๗,๑๒๙.๓๗๐๕ - ๓,๗๖๔.๘๔๐๒ ล้านบาท) สำนักงบประมาณได้ประสานให้ส่วนราชการตรวจสอบกับจังหวัด หากพิจารณาแล้วเห็นว่ามีความจำเป็นและมีความพร้อมในการดำเนินโครงการ ให้ส่วนราชการเสนอเรื่องขอรับจัดสรรงบประมาณมายังสำนักงบประมาณโดยเร็ว เพื่อสำนักงบประมาณและสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจะได้พิจารณากลั่นกรองแผนงาน/โครงการร่วมกัน และเสนอ กฟย. พิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 32153 | การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ดังนี้
๑. รองศาสตรจารย์ณรงค์ ใจหาญ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านกฎหมาย ๒. รองศาสตราจารย์สุรางค์รัตน์ วศินารมณ์ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านสังคมสงเคราะห์ ๓. พลตำรวจตรี ชาญ วัฒนธรรม เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิด้านการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
|
||||||||||||||||||||||||
| 32154 | ค่าตอบแทนคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศและคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ | นร | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) และคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) และคณะอนุกรรมการ ได้รับค่าตอบแทน แทนการได้รับเบี้ยประชุมในการปฏิบัติหน้าที่ให้เหมาะสมกับภารกิจและความรับผิดชอบ ตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. ค่าตอบแทนกรรมการและที่ปรึกษา ๑.๑ ประธานกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย ๑๐,๐๐๐ บาท/เดือน ๑.๒ กรรมการและที่ปรึกษา ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย ๘,๐๐๐ บาท/เดือน ๒. ค่าตอบแทนอนุกรรมการ ๒.๑ ประธานอนุกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย ๕,๐๐๐ บาท/เดือน ๒.๒ อนุกรรมการ ให้ได้รับค่าตอบแทนในอัตราเหมาจ่าย ๔,๐๐๐ บาท/เดือน ทั้งนี้ เดือนใดไม่มีการประชุมให้งดเบิกค่าตอบแทน และการประชุมแต่ละครั้งจะต้องมีกรรมการหรืออนุกรรมการ แล้วแต่กรณี มาประชุมเกินกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการ หรืออนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้งทั้งหมด จึงจะเป็นองค์ประชุม
|
||||||||||||||||||||||||
| 32155 | การบริหารโครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน เพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 และโครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน | กค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและรับทราบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้ ๑.๑ โครงการภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ ๑.๑.๑ อนุมัติในหลักการให้โครงการที่ได้รับอนุมัติเงินกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ๒๕๕๒ และอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณหรือได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว แต่ยังไม่ได้ลงนามในสัญญา รวมทั้งกรณีโครงการที่ไม่ต้องมีการลงนามในสัญญา (ใช้เงินอุดหนุน/งบประจำ) ที่หัวหน้าส่วนราชการหรือหน่วยงานเจ้าของโครงการได้แจ้งยืนยันมาที่คณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ให้สามารถดำเนินการลงนามในสัญญาและเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ให้เร่งรัดดำเนินการโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๑.๒ อนุมัติการยกเลิกโครงการวิจัยสู่ภาคเอกชน ณ โครงการพัฒนาที่ดิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สระบุรี รายการจัดซื้อรายการครุภัณฑ์ จำนวน ๑๐ รายการ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕,๐๑๙,๔๘๐ บาท และโครงการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า รายการการจัดซื้อรายการปืนไรเฟิล ของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วงเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ๑.๑.๓ รับทราบสถานะการดำเนินโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ๑.๑.๔ รับทราบโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรเงินจากสำนักงบประมาณแล้วแต่ยังไม่ลงนามในสัญญา วงเงิน ๑๑๙.๕๓ ล้านบาท ซึ่งหน่วยงานเจ้าของโครงการไม่ได้แจ้งผลการทบทวนความจำเป็นคุ้มค่าของการดำเนินโครงการมายังคณะกรรมการฯ ๑.๑.๕ รับทราบโครงการที่หน่วยงานจะขอยกเลิกโครงการเดิมและเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ วงเงิน ๑,๒๙๙.๕๘ ล้านบาท ได้แก่ โครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้วิชาชีพด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มเติม ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๕๑๒.๕๙ ล้านบาท และโครงการพัฒนาการเรียนรู้แบบบูรณาการองค์ความรู้ด้วยวิชาชีพด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ของ สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ วงเงิน ๗๘๗.๐๔ ล้านบาท ๑.๒ โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๒.๑ อนุมัติให้โครงการเงินกู้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Development Policy Loan : DPL) ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ จำนวน ๕๙ โครงการ วงเงิน ๙,๒๓๕.๖๘ ล้านบาท สามารถดำเนินโครงการต่อไปได้ โดยให้เร่งรัดการดำเนินโครงการและการเบิกจ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และเห็นชอบในหลักการให้โครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๑๔,๒๕๘.๖๔ ล้านบาท (รวมโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ วงเงิน ๕,๐๒๒.๙๖ ล้านบาท ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๔ ด้วย) สามารถลงนามในสัญญาและการเบิกจ่ายเงินต่อไปได้จนกว่าจะบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการ ทั้งนี้ ไม่เกินเดือนกันยายน ๒๕๕๕ และให้หน่วยงานเร่งจัดส่งข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อประกอบการพิจารณาจัดสรรเงินของสำนักงบประมาณ ๑.๒.๒ รับทราบการแจ้งยืนยันความจำเป็นเหมาะสมและคุ้มค่าในการดำเนินโครงการเงินกู้ DPL ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ของกระทรวงสาธารณสุข จำนวน ๔ โครงการ วงเงิน ๓,๔๒๖.๓๕ ล้านบาท ๑.๓ การบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ๑.๓.๑ อนุมัติการจัดสรรเงินสำรองจ่ายโครงการถนนไร้ฝุ่น ของกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคม วงเงิน ๓,๙๔๗,๐๗๑ บาท โครงการฝายหัวงานและอาคารประกอบ โครงการฝายชั่วคราวกั้นแม่น้ำปิง (หัวงานที่ ๑) จังหวัดนครสวรรค์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๑,๘๒๐,๕๒๖ บาท และโครงการอ่างเก็บน้ำห้วยปอ ตำบลนาบอน อำเภอคำม่วง จังหวัดกาฬสินธุ์ ของกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ วงเงิน ๙๙๕,๒๖๓.๔๘ บาท ๑.๓.๒ อนุมัติการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดของโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยให้หน่วยงานส่งข้อมูลให้สำนักงบประมาณพิจารณาเพื่อขอจัดสรรเงิน ซึ่งรวมถึงแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินให้แล้วเสร็จภายใน ๑๕ วันทำการ ๑.๓.๓ รับทราบการปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายเงินของโครงการก่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมพื้นที่ชุมชนป่าแดด ระยะที่ ๑ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ วงเงิน ๒๐๐ ล้านบาท ของกรมโยธาธิการและผังเมือง กระทรวงมหาดไทย ๑.๓.๔ รับทราบการขอรับการจัดสรรเงินเพิ่มเติมภายใต้วงเงินที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติ โครงการปรับปรุงโรงเรียนให้เป็นมาตรฐาน รายการพัฒนาห้องสมุด (E - library) โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร ของกรุงเทพมหานคร กระทรวงมหาดไทย วงเงิน ๕,๗๒๔,๕๐๐ บาท ๑.๔ รับทราบความเห็นเบื้องต้นของกระทรวงการคลังในประเด็นการดำเนินการและเบิกจ่ายเงินโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ หลังวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ที่จะนำไปหารือกับสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ๒. สำหรับโครงการก่อสร้างศูนย์การประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ของกรมธนารักษ์ ให้กระทรวงการคลังรับไปพิจารณาทบทวนอีกครั้งหนึ่ง แล้วนำเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองและบริหารโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ โดยเร็วต่อไป
|
||||||||||||||||||||||||
| 32156 | การยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษสายบางพลี - สุขสวัสดิ์ กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. 2554 | คค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบมติที่ประชุมคณะกรรมการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๑๑/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ที่เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง กำหนดให้ทางพิเศษบูรพาวิถี (ทางพิเศษสายบางนา - ชลบุรี) ทางยกระดับด้านทิศใต้สนามบินสุวรรณภูมิเชื่อมทางพิเศษบูรพาวิถี และทางเชื่อมต่อทางพิเศษกาญจนาภิเษก (บางพลี - สุขสวัสดิ์) กับทางพิเศษบูรพาวิถี เป็นทางต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษ ประเภทของรถที่ต้องเสียหรือยกเว้นค่าผ่านทางพิเศษ และอัตราค่าผ่านทางพิเศษ พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยยกเว้นให้ผู้ใช้รถบนทางพิเศษสายดังกล่าวไม่ต้องเสียค่าผ่านทางพิเศษตามอัตราที่ประกาศ ตั้งแต่วันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๔ เวลา ๐๐.๐๑ นาฬิกา ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๕ เวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32157 | การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม อันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย | กษ | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. อนุมัติและเห็นชอบตามมติคณะกรรมการโคนมและผลิตภัณฑ์นม ในการประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ ดังนี้ ๑.๑ อนุมัติงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๕ วงเงินไม่เกิน ๒๐๕.๕๐ ล้านบาท โดยโอนงบประมาณดังกล่าวให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เพื่อจัดซื้อนมพาสเจอร์ไรส์ ให้เด็กนักเรียนชั้นก่อนวัยเรียนถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ในเฉพาะโรงเรียนรัฐบาลในสังกัด อปท. ของกรุงเทพมหานคร จังหวัดปทุมธานี นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา จำนวนนักเรียนประมาณ ๕๓๒,๕๒๑ คน ได้ดื่มเพิ่มขึ้นเป็น ๒ ถุง/วัน จากเดิมที่ได้ดื่มวันละ ๑ ถุง ตามงบประมาณปกติ ในระยะเวลาเฉพาะวันเรียนจำนวน ๖๐ วันของภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ โดยให้ อปท. ดำเนินการจัดซื้อโดยวิธีกรณีพิเศษกับองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ค.ส.) เช่นเดียวกับแนวทางปฏิบัติโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๒ (เรื่อง การทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน) เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำนมโคของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากเหตุการณ์อุทกภัย ประมาณวันละ ๘๐ ตัน จนถึงกลางเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ๑.๒ เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงศึกษาธิการขอความร่วมมือกับ อปท. และโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ ที่ได้รับงบประมาณจัดซื้ออาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ จากงบปกติที่ได้รับไปแล้ว จัดซื้ออาหารเสริม (นม) ตามที่ได้รับจัดสรรงบประมาณ จำนวน ๑๓๐ วัน ของภาคเรียนนี้ให้ครบถ้วน โดยเฉพาะในจังหวัดที่เลื่อนการเปิดภาคเรียนเนื่องจากปัญหาภาวะภัยน้ำท่วม ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการบริหารจัดการนมทั้งระบบในภาพรวม เนื่องจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการได้มีข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบ หรือ MOU กับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม เพื่อจัดจำหน่ายตามสิทธิที่ได้รับในโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๕๔ ตลอดภาคเรียนไปแล้ว หากผู้ประกอบการไม่ได้จำหน่ายตามที่ได้รับจัดสรรอาจส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำนมดิบล้นตลาดขึ้นอีก ๒. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประสานงานกับกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและกำกับดูแลการดำเนินการจัดซื้อและแจกจ่ายอาหารเสริมนมโรงเรียนให้แก่นักเรียนให้เป็นไปตามคุณภาพมาตรฐานและกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด ๓. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กำกับติดตามให้ผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ (เรื่อง ขออนุมัติเปิดตลาดนำเข้านมผงขาดมันเนย ปี ๒๕๕๔ เพิ่มเติม) ที่ให้รับซื้อน้ำนมดิบจากเกษตรกรในประเทศอย่างเคร่งครัดด้วย |
||||||||||||||||||||||||
| 32158 | การลงนามในสัญญาเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (European Union) ภายใต้โครงการการสร้างกลไกการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยการบูรณาการทุกภาคส่วน (Holistic Approach of Public Partnership for Environment : HAPPEN) | ทส | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานสิ่งแวดล้อม ภาคที่ ๑ (เชียงใหม่) สำนักงานปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการการสร้างกลไกการจัดการสิ่งแวดล้อมโดยการบูรณาการทุกภาคส่วน (Holistic Approach of Public Partnership for Environment : HAPPEN) ในการลงนามในสัญญาเงินช่วยเหลือจากสหภาพยุโรป (European Union) ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32159 | แต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน | คค | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการสถาบันการบินพลเรือน จำนวน ๓ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ ดังนี้
๑. พลอากาศเอก หม่อมหลวงสุทธิรัตน์ เกษมสันต์ เป็นประธานกรรมการ ๒. พลอากาศเอก พิธพร กลิ่นเฟื่อง เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ๓. นายเชิดศักดิ์ หิรัญสิริสมบัติ เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
|
||||||||||||||||||||||||
| 32160 | แต่งตั้งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด | มท | 27/12/2554 | |||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้
๑. ให้ประธานกรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การตลาด จำนวน ๑๒ คน ที่ยังไม่ได้ลาออก พ้นจ้างตำแหน่งก่อนถึงวาระ ๒. แต่งตั้งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นในคณะกรรมการองค์การ ตลาด ชุดใหม่ จำนวน ๑๔ คน โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ (๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๔) เป็นต้นไป โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้ นายสำคัญ ธรรมรัตน์ เป็นประธานกรรมการ นายสมิทธิ ดารากร ณ อยุธยา เป็นรองประธานกรรมการ และกรรมการอื่นอีก ๑๒ คน ยกเว้นนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการอัยการอนุมัติเป็นต้นไป แต่ไม่ก่อนวันที่คณะรัฐมนตรีมีมติ
|
||||||||||||||||||||||||
.....
