ค้นหาข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี
ค้นหาเพิ่มเติม
หน้าที่ 1601 จากทั้งหมด 6223 หน้า แสดงรายการที่ 32001 - 32020 จากข้อมูลทั้งหมด 124459 รายการ
| ลำดับ | ชื่อเรื่อง | ส่วนราชการ เจ้าของเรื่อง |
วันที่มีมติ | ||||||||||||||||||||||||
|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
| 32001 | ผลการประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้งที่ 1/2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในภูมิภาค ครั้งที่ ๑/๒๕๕๕ เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งได้มีการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ ๑.๑.๑ ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงการคลังเร่งพิจารณารายละเอียดโครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพ - เชียงใหม่ โดยกำหนดรูปแบบการร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนตามที่ได้มีการตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔ รวมทั้งศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Impact Assessment : EIA) และทำการศึกษาความเหมาะสมทางการเงินและเศรษฐศาสตร์ของโครงการโดยละเอียด ๑.๑.๒ ให้กระทรวงคมนาคม (กรมทางหลวง) ศึกษาและสำรวจเส้นทางของการพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (Motorway) เส้นทางเชียงใหม่ - เชียงราย โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๑.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาความเป็นไปได้ในการเร่งรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านขีดความสามารถในการลงทุนของภาครัฐ และขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ๑.๑.๔ ให้กระทรวงคมนาคม (การรถไฟแห่งประเทศไทย) พิจารณาเพิ่มเส้นทาง เด่นชัย - เชียงราย - เชียงของ ภายใต้แผนการพัฒนาโครงการพัฒนารถไฟทางคู่ของประเทศไทย โดยคำนึงถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ ๑.๒ การส่งเสริมการค้าและการลงทุน ๑.๒.๑ ให้สำนักงานสภาความความมั่นคงแห่งชาติพิจารณาเรื่องการยกระดับจุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก และจุดผ่อนปรนบ้านห้วยต้นนุ่นเป็นจุดผ่านแดนถาวร เพื่อให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง และความพร้อมของประเทศเพื่อนบ้าน ๑.๒.๒ ให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทยประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ในการจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และให้หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดนเตรียมความพร้อมรองรับการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวกเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๑.๒.๓ ให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีการ่วมกับกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลังเร่งรัดการพิจารณาร่างกฎหมายที่เหมาะสมสำหรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศไทย โดยรวมถึงเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ๑.๓ การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ ๑.๓.๑ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการรับไปพิจารณาเตรียมความพร้อมในการประกาศให้ปี พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็น Year of MICE (Meeting, Incentive, Convention, and Exhibition) หรือธุรกิจการจัดประชุม การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล การแสดงสินค้าและนิทรรศการตั้งแต่ระดับเล็ก จนถึงระดับใหญ่อย่างระดับชาติ หรือระดับนานาชาติ ๑.๓.๒ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเร่งดำเนินการศึกษาเพื่อกำหนดรูปแบบการบริหารจัดการศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความพร้อมก่อนการเปิดตัวใช้งานในเดือนกันยายน ๒๕๕๕ ๑.๓.๓ ให้กระทรวงคมนาคม (สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร) กระทรวงมหาดไทย (กรมโยธาธิการและผังเมือง) จังหวัดเชียงใหม่ และเทศบาลนครเชียงใหม่ จัดทำแนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โดยนำผลการศึกษาจากโครงการจัดทำแผนแม่บทและออกแบบเพื่อการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนเชียงใหม่ ของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๐ มาประกอบการจัดทำแนวทางการพัฒนา ๑.๓.๔ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและสถาบันการศึกษาในพื้นที่ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นต้น ร่วมกันดำเนินโครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง โดยประสานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ๓ สถาบัน (กกร.) ๑.๓.๕ ให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาร่วมกับกระทรวงมหาดไทยจัดทำปฏิทินท่องเที่ยวภูมิภาคและสนับสนุนกิจกรรมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการท่องเที่ยวในเชิงกลุ่มพื้นที่ ๑.๔ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการน้ำ (กยน.) รับข้อเสนอของคณะกรรมการ กกร. เกี่ยวกับโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ไปพิจารณาในรายละเอียดตามขั้นตอนต่อไป ๑.๕ การพัฒนาตลาดทุนไทย ๑.๕.๑ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาความเหมาะสมในการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง การยกเว้นการหักภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ย ให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ (Offshore Holding Company and Funds) ในอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า และอนุสัญญาภาษีซ้อนระหว่างประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ๑.๕.๒ ให้กระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทยในการให้ความรู้พื้นฐานทางการเงินแก่ผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ และขยายกลุ่มเป้าหมายให้รวมถึงกองทุนหมู่บ้าน ๑.๕.๓ ให้กระทรวงการคลังรับความเห็นของที่ประชุมไปเร่งรัดการพัฒนาตลาดพันธบัตรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) โดยสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้บริหาร อปท. ผู้นำชุมชน ผู้ประกอบการ และประชาชนเกี่ยวกับการจัดทำระบบบัญชีที่ดี โดยคำนึงถึงความพร้อมของ อปท. ๒. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติที่ประชุมต่อไป โดยให้รายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีซึ่งกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ไปประสานงานกับผู้เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการประชาสัมพันธ์สนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน เช่น กกร. สทท. และสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นต้น ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาคดังกล่าวด้วย ๓. ให้รองนายกรัฐมนตรี (นายชุมพล ศิลปอาชา) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา รับไปพิจารณาร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เป็นต้น เพื่อจัดทำแผนงานด้านการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะยาว โดยให้มีการบูรณาการทุก ๆ มิติ เช่น การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ตลอดจนวางแผนงานเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลท่องเที่ยว (low season) โดยการจัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬา การจัดงานแสดงสินค้า เป็นต้น รวมทั้งการเร่งรัดประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32002 | สรุปผลการปฏิบัติราชการของคณะรัฐมนตรีในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือตอนบน (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา และน่าน) | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้ ๑.๑ เห็นชอบแนวทางและข้อสั่งการในการแก้ไขปัญหาของรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการในพื้นที่ ๗ จังหวัดภาคเหนือตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง เชียงราย พะเยา และน่าน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำรายละเอียดโครงการและรับข้อสั่งการของรัฐมนตรีไปดำเนินการ ๑.๒ เห็นชอบแนวทางการบริหารจัดการน้ำเพื่อบรรเทาปัญหาการขาดแคลนน้ำและอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือตอบน ๑ (เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน) และตอนบน ๒ (เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน) ตามที่รัฐมนตรีลงพื้นที่ได้ให้ความเห็นและมีข้อสั่งการเพิ่มเติม และให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) รับไปพิจารณาประกอบการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อให้เกิดการบูรณาการในการบริหารจัดการน้ำ ๑.๓ เห็นชอบโครงการวันเดย์ทัวร์ซึ่งต่อเนื่องกับโครงการปรับปรุงเส้นทางท่องเที่ยวอ่างเก็บน้ำแม่สัน - ทุ่งเกวียน โดยให้จังหวัดลำปางและศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเสนอบรรจุโครงการดังกล่าวไว้ในแผนพัฒนาจังหวัดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณจังหวัด ๑.๔ เห็นชอบในหลักการโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ ๑.๕ เห็นชอบโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและโครงการอุทยานเทคโนโลยีและความสร้างสรรค์ภาคเหนือ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปบูรณาการทั้งสองโครงการเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ให้ชัดเจน ๑.๖ เห็นชอบให้กระทรวงพาณิชย์รับไปพิจารณาเพิ่มจุดรับจำนำข้าวที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างทั่วถึง ๑.๗ เห็นชอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปจัดทำรายละเอียดโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๑ โครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข ๑๒๑ แนวใหม่ และโครงการก่อสร้างเส้นทางตัดใหม่ (Missing Link) และดำเนินการเพื่อขออนุมัติจัดทำโครงการต่อไป ๑.๘ เห็นชอบให้กระทรวงพลังงาน โดยการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยรับไปพิจารณาเรื่องการจ่ายค่าชดเชยให้แก่เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการเก็บกักน้ำของเขื่อนภูมิพลในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑.๙ ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดของโครงการและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามมติคณะรัฐมนตรีข้างต้น และรายงานความก้าวหน้าการดำเนินงานต่อรองนายกรัฐมนตรี (นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ) ซึ่งกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน ๑ และ ๒ ทุกระยะเวลา ๓ เดือน ๒. เห็นชอบให้แก้ไขหน่วยงานรับผิดชอบโครงการยกระดับชุมชนวัวลายเพื่อการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ จากเดิม "สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเชียงใหม่" เป็น “กระทรวงวัฒนธรรม” ตามที่เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ๓. ให้จังหวัดและหน่วยงานเจ้าของโครงการที่เกี่ยวข้องรับไปเตรียมความพร้อมของโครงการ และดำเนินการให้ถูกต้อง เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32003 | ข้อเสนอแผนงานโครงการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน (จำแนกประเภท) สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ ณ จังหวัดเชียงใหม่ วันที่ 15 มกราคม 2555 | นร | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
๑. เห็นชอบในหลักการแผนงาน/โครงการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน และ ๘ จังหวัดภาคเหนือตอนบน (จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) ซึ่งได้เสนอแผนงาน/โครงการ จำนวน ๑๒๘ โครงการ วงเงินรวม ๓๘๗,๓๘๙.๔๔ ล้านบาท ประกอบด้วยแผนงาน/โครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม/เกษตร จำนวน ๓๘ โครงการ วงเงินรวม ๑๙,๐๖๕.๕๓ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ขนส่ง และโลจิสติกส์ จำนวน ๕๙ โครงการวงเงินรวม ๓๕๔,๔๓๑.๗๖ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านเศรษฐกิจ การค้าการลงทุน บริการ การท่องเที่ยว จำนวน ๑๙ โครงการ วงเงินรวม ๑๐,๕๕๖.๙๐ ล้านบาท แผนงาน/โครงการด้านบริการทางสังคม จำนวน ๙ โครงการ วงเงินรวม ๓,๒๓๘.๕๒ ล้านบาท และแผนงาน/โครงการด้านอื่น ๆ จำนวน ๓ โครงการ วงเงิน ๙๖.๗๓ ล้านบาท โดยในส่วนของวงเงินงบประมาณให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเพื่อประกอบคำของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ตามขั้นตอนต่อไป โดยให้รับความเห็นต่อภาพรวมแผนงาน/โครงการดังกล่าว ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไปประกอบการดำเนินการ ๒. เห็นชอบในการยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ให้เป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยให้กระทรวงการต่างประเทศร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ประสานสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในการเร่งรัดจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการเปิดจุดผ่านแดนถาวรระหว่างกัน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องด้านการอำนวยความสะดวกและการบริหารจัดการบริเวณด่านพรมแดน เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการเป็นจุดผ่านแดนถาวร ๓. เห็นชอบโครงการอุทยานวิทยาศาสตร์ภาคเหนือและโครงการอุทยานเทคโนโลยีและความสร้างสรรค์ภาคเหนือ และให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รับไปบูรณาการทั้งสองโครงการเข้าด้วยกัน และจัดทำแผนธุรกิจ (Business Plan) ให้ชัดเจน โดยให้ความสำคัญกับการเชื่อมโยงบทบาทของภาคเอกชนให้สามารถต่อยอดงานวิจัยสู่เชิงพาณิชย์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๔. เห็นชอบโครงการด้านบริการทางสังคม รวม ๔ โครงการ ได้แก่ โครงการพัฒนาศักยภาพศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลลำปางเฉลิมพระเกียรติ ๘๔ พรรษา ระยะที่ ๓ โครงการขยายพื้นที่และเพิ่มศักยภาพโรงพยาบาลสันกำแพง โครงการพัฒนาปรับปรุงค่ายลูกเสือสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ เป็นศูนย์การเรียนรู้ค่ายลูกเสือต้นแบบ และโครงการสร้างเครือข่ายแจ้งข่าวสารสาธารณภัยและจัดตั้งอาสาสมัครป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (อส.ปภ.) โดยให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดประกอบการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ ดังนี้ ๕.๑ แผนงานโครงการด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มอบให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จำแนกโครงการที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการน้ำ ส่งให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) เพื่อดำเนินการ ๕.๒ แผนงานโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม ขนส่งและโลจิสติกส์ มอบให้กระทรวงคมนาคมรับไปพิจารณาในรายละเอียด และจัดลำดับความสำคัญเพื่อนำเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๓ แผนงานโครงการด้านเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน บริการและการท่องเที่ยว มอบให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียดเพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๕.๔ แผนงานโครงการด้านบริการทางสังคมที่นอกเหนือจากข้อ ๑ ให้หน่วยงานเจ้าของโครงการจัดทำรายละเอียด เพื่อขอรับการสนับสนุนงบประมาณปกติ สำหรับโครงการจัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพและศูนย์บริการสาธารณสุข (Medical Hub) ให้จังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางในการให้บริการด้านสาธารณสุขในภูมิภาค ทั้งนี้ ให้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่รับไปจัดทำภาพรวมทั้งระบบที่มีการบูรณาการเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่และได้รับการสนับสนุนจากแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง ๒๕๕๕ ไปบางส่วนแล้ว พร้อมทั้งระบุความเชี่ยวชาญเฉพาะ (Areas of Excellence) ความพร้อมด้านบุคลากร การสร้างเครือข่ายทางวิชาการทั้งในและต่างประเทศ และแนวทางการลดความเหลื่อมล้ำของการเข้าถึงบริการสุขภาพที่มีคุณภาพสำหรับประชาชนทั่วไป เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๖ ให้เกิดความต่อเนื่อง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32004 | การให้ความช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัย | อก | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานผลการดำเนินการสนับสนุนและช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม การสร้างภาพลักษณ์และเสริมสร้างความมั่นใจในการลงทุนของนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติในภาคอุตสาหกรรมของประเทศ และการขอรับความช่วยเหลือของภาคอุตสาหกรรม ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. การสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนภาคอุตสาหกรรม ได้แก่ การจัดงาน “BOI FAIR 2011 โลกสดใส ไทยยั่งยืน” หรือ “Going Green For The Future” ระหว่างวันที่ ๕ - ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ ณ ศูนย์ประชุมและนิทรรศการอิมแพค เมืองทองธานี และจัดการประชุมสุดยอดผู้นำธุรกิจ (CEO Forum) ในวันที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๕๕ ณ โรงแรมพลาซ่าแอทธินี กรุงเทพ, เอ รอยัล เมอริเดียน โดยมีผู้บริหารระดับสูงของภาครัฐ และบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมงานดังกล่าว พร้อมทั้งได้เชิญผู้บริหารระดับสูง (CEO) ของบริษัทชั้นนำของโลกมาพบและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารภาครัฐและเอกชนของไทยเกี่ยวกับบรรยากาศและโอกาสการลงทุนในประเทศไทยภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงรับฟังมาตรการป้องกันอุทกภัยและฟื้นฟูเศรษฐกิจในอนาคต ๒. โครงการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยและการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายหลังอุทกภัย ได้จัดทำโครงการเพื่อช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมทั้งด้านการส่งเสริม การฟื้นฟูกิจการ และการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมภายหลังเกิดปัญหาอุทกภัย ได้แก่ โครงการจัดตั้งศูนย์พักพิงอุตสาหกรรม โครงการบริหารจัดการด้านความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม และกากอุตสาหกรรมในสถานประกอบการที่ประสบอุทกภัย โครงการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ดิน และการปนเปื้อนของสารพิษอุตสาหกรรมในสถานประกอบการทั้งภายในและภายนอกนิคม โครงการคลินิกอุตสาหกรรม โครงการศูนย์สารพัดช่างช่วยเหลือผู้ประสบภัย ๓. มาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ได้แก่ ๓.๑ การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบที่นำมาทดแทนเครื่องจักรอุปกรณ์และวัตถุดิบนำเข้าที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย จำนวน ๑๑๓ โครงการ มูลค่า ๑๙,๒๐๐ ล้านบาท ๓.๒ เร่งอนุมัติวีซ่าและใบอนุญาตทำงานของเจ้าหน้าที่/ผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่เข้ามาซ่อมแซมเครื่องจักร จำนวน ๓๕๖ ราย ๓.๓ อนุญาตให้ส่งออกเครื่องจักรและวัตถุดิบไปต่างประเทศ และการย้ายเครื่องจักรและวัตถุดิบไปอยู่นอกโครงการเป็นการชั่วคราว จำนวน ๑๒๓ โครงการ ๔. การฟื้นฟูนิคม/เขตประกอบการ/สวนอุตสาหกรรมที่ประสบอุทกภัยในเขตจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและปทุมธานี จำนวน ๗ แห่ง โรงงานอุตสาหกรรมเร่งดำเนินการซ่อมแซมบำรุงรักษาเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหาย ปัจจุบันมีโรงงานเริ่มประกอบการแล้ว จำนวน ๑๖๗ แห่ง ๕. ผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมจากอุทกภัยในเขตจังหวัดภาคใต้ ระหว่างวันที่ ๑ - ๔ มกราคม ๒๕๕๕ ได้ให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นแล้ว ซึ่งขณะนี้โรงงานในจังหวัดนครศรีธรรมราช ชุมพร และสุราษฎร์ธานี สามารถกลับมาดำเนินการได้ตามปกติทั้งหมดแล้ว ยกเว้นโรงงานในจังหวัดสงขลา จำนวน ๑ แห่ง และจังหวัดพัทลุง จำนวน ๓ แห่ง ที่ยังไม่สามารถประกอบกิจการได้ แต่คาดว่าจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติภายในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32005 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ให้ข้าราชการอัยการพ้นจากตำแหน่ง | กต | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้กระทรวงการต่างประเทศรับโอน พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ข้าราชการอัยการ
ตำแหน่ง อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน สำนักงานอัยการสูงสุด และแต่งตั้งให้ทรงดำรงตำแหน่ง เอกอัครราชทูตประจำคณะกรรมาธิการแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการป้องกันอาชญากรรมและความยุติธรรมทางอาญา ณ กรุงเวียนนา สาธารณรัฐออสเตรีย เป็นกรณีพิเศษเฉพาะกิจ ระยะเวลา ๑ ปี (ธันวาคม ๒๕๕๔ - ธันวาคม ๒๕๕๕) โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๕๕ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32006 | การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์) | พณ | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางมาลี โชคล้ำเลิศ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองอธิบดีกรมส่งเสริมการส่งออก ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32007 | ขออนุมัติการลงนามแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างปี พ.ศ. 2555 - 2557 ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย | วท | 15/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเสนอ ดังนี้
๑. การจัดทำและลงนามร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕ - ๒๕๕๗ ระหว่างกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย โดยร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ มีสาะสำคัญคือ มีสาขาการดำเนินงาน ได้แก่ เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์การเกษตร การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยีชีวภาพ รวมถึงโรคติดต่อ มาตรวิทยา วิทยาศาตร์ทางทะเล การประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์อวกาศ การสื่อสารวิทยาศาสตร์ นโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ดาราศาสตร์ รวมทั้งสาขาความร่วมมืออื่น ๆ ที่สนใจและเห็นพ้องร่วมกัน ซึ่งจะมีการดำเนินการต่าง ๆ ร่วมกัน ได้แก่ การทำโครงการวิจัย การประชุมเชิงปฏิบัติการ และการแลกเปลี่ยนการเยือนภายใต้สาขาดังกล่าว ทั้งนี้ หากก่อนการลงนามมีความจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฯ ในส่วนที่มิใช่สาระสำคัญ ให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีหารือกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อพิจารณาดำเนินการในเรื่องนั้น ๆ แทนคณะรัฐมนตรี โดยไม่ต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอีก ๒. ให้ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามในร่างแผนความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี |
|||||||||||||||||||||||||||
| 32008 | ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดและส่งให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป | สผ | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปผลการดำเนินการตามญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหายาเสพติดและส่งให้รัฐบาลรับไปพิจารณาดำเนินการต่อไป และผลการดำเนินการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามญัตติด่วนดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ๑.๑ ได้ออกแผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหายาเสพติด ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๑ - ๒๕๕๔ และแผนปฏิบัติการรวมพลังประชาไทยพ้นภัยยาเสพติด เพื่อดำเนินการสืบสวนปรามปราม เครือข่ายการค้ายาเสพติดระหว่างประเทศ ระดับประเทศ รายใหญ่/รายสำคัญ ยึดและอายัดทรัพย์สินของผู้ค้า ติดตามจับกุมตามหมายจับคดีค้างเก่า รวมถึงสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ๑.๒ กำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด ประจำปี ๒๕๕๔ ภายใต้แนวคิด “กรอบยุทธศาสตร์ ๕ รั้วป้องกัน ระยะที่ ๓ (ปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็ง ชนะยาเสพติดยั่งยืน)” มาเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยมุ่งเน้นการปฏิบัติ ๒. สำนักงบประมาณ ได้จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด เป็นจำนวนเงิน ๔,๘๒๙,๓๕๐,๙๐๐ บาท ครอบคลุมภารกิจ ๔ ด้าน ได้แก่ ด้านการป้องกันยาเสพติด ด้านการปราบปรามยาเสพติด ด้านการบำบัดรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาและสารเสพติดและด้านการบริหารจัดการแบบบูรณาการ ๓. กระทรวงสาธารณสุข มีแนวทางเช่น ชักชวน จูงใจผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดฟื้นฟู และเน้นนำเข้าระบบสมัครใจเป็นหลัก, มีศูนย์บำบัดฟื้นฟูทุกอำเภอ/เขต, มีกระบวนการติดตาม ดูแลช่วยเหลือหลักผ่านการบำบัด ๔. กระทรวงศึกษาธิการ มีโครงการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต้านยาเสพติดในสถานศึกษา โครงการป้องกัน เฝ้าระวังและแก้ไขปัญหายาเสพติดในสถานศึกษา โครงการจัดระเบียบสังคมและแก้ไขปัญหากลุ่มเสี่ยง ๕. กระทรวงยุติธรรม ได้กำหนด “ยุทธศาสตร์พลังแผ่นดินเอาชนะยาเสพติด” โดยมีแผนงาน การสร้างพลังสังคมและพลังชุมชนเอาชนะยาเสพติด การแก้ไขปัญหาผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด การสร้างภูมิคุ้มกันและป้องกันยาเสพติด การปราบปรามยาเสพติด บังคับใช้กฎหมาย ความร่วมมือระหว่างประเทศ การสกัดกั้นยาเสพติดและการบริหารจัดการแบบบูรณาการ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32009 | ร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... | รง | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการร่างประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ และให้ส่งคณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติที่เสนอคณะรัฐมนตรีตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างประกาศฯ มีสาระสำคัญคือ แก้ไขความในข้อ ๕๕ และข้อ ๕๖ ของประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ เรื่อง มาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้างในรัฐวิสาหกิจ ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๙ เพื่อให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังนี้
๑. ข้อ ๕๕ ให้นายจ้างบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ๒. ข้อ ๕๖ ให้นายจ้างจัดให้มีการตรวจสุขภาพของลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32010 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือ กรณีศึกษา : ลำไย ลิ้นจี่ และส้ม | สว | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาระบบการผลิตและการตลาดผลไม้เศรษฐกิจภาคเหนือ กรณีศึกษา : ลำไย ลิ้นจี่ และส้ม ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปรายละเอียดได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช ส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในผลไม้ทุกชนิด นำเทคโนโลยีการผลิตไม้ผลนอกฤดูมาแนะนำส่งเสริมในการผลิตเพื่อลดปริมาณผลผลิตในฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีการคัดเลือกพันธุ์ วิจัยพันธุ์ และนำพืชพันธุ์ใหม่มาใช้ในการผลิต ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า มีการคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด บรรจุหีบห่อและติดฉลากรับรองคุณภาพ กรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างให้สำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตในพื้นที่นำผลผลิตไปวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค และควบคุมการนำเข้า ดำเนินการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้างและออกใบรับรองปลอดศัตรูพืช อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศตลอดห่วงโซ่การผลิตและการตลาด เชื่อมโยงการผลิตและตลาดระหว่างผู้ผลิตกับผู้ประกอบการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. พัฒนาระบบ Logistics ครบวงจรจากแหล่งผลิตถึงตลาดปลายทาง โดยพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนระบบการขนส่งและการกระจายสินค้า ในส่วนของขนส่งจะได้นำเสนอคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้เพื่อพิจารณาต่อไป ๕. ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการผลิตในรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มปรับปรุงคุณภาพผลไม้ และกลุ่มส่งเสริมอาชีพต่าง ๆ จัดตั้งโรงอบไอน้ำต้นแบบเพื่อให้บริการเรื่องควบคุมศัตรูพืชและห้องเย็น สนับสนุนวัสดุอุปกรณ์สำหรับศูนย์คัดแยกผลไม้ชุมชน/โรงคัดแยกผลไม้ ๖. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทาง การพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ๒ แนวทาง ได้แก่แนวทางระยะยาวมีเป้าหมายให้ผลไม้เศรษฐกิจหลัก ๖ ชนิด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วงและลำไย มีการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูกาลผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุดตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32011 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนาส้มโอไทยอย่างยั่งยืน | สว | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนาส้มโอไทยอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช นำเทคโนโลยีการผลิตส้มโอมาแนะนำส่งเสริมในการผลิต ให้แก่เกษตรกร และส่งเสริมเกษตรกรผลิตส้มโอและผลไม้อื่นๆ ให้ได้คุณภาพ เพื่อเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานสินค้า ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ได้แก่ การคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด การบรรจุหีบห่อ ตลอดจนติดฉลากรับรองคุณภาพ ในกรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศ กำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างผลไม้เพื่อวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค มีการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศห่วงโซ่การผลิตและการตลาด เชื่อมโยงการผลิตและการตลาดระหว่างผู้ผลิตกับผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมการผลิตในรูปแบบของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยองค์กรภาครัฐและเอกชนได้มีการดำเนินการจัดตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์ฯ ในเชิงธุรกิจ ๕. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้เป็น ๒ แนวทาง ได้แก่ แนวทางระยะยาว มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูการผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุกตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32012 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ความครอบคลุมของพระราชบัญญัติที่ใช้กำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศไทยในห่วงโซ่อาหาร | สว | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง ความครอบคลุมของพระราชบัญญัติที่ใช้กำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศไทยในห่วงโซ่อาหาร ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ให้นโยบายความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศมีความเป็นเอกภาพและความชัดเจนในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งในปัจจุบันมีความเป็นเอกภาพของนโยบายความปลอดภัยด้านอาหารของประเทศและมีความชัดเจนในการนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติแล้ว โดยได้มีการจัดทำกรอบยุทธศาสตร์การจัดการด้านอาหารของประเทศไทย โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกว่า ๓๐ หน่วยงาน ร่วมให้ข้อคิดเห็นต่อกรอบยุทธศาสตร์ดังกล่าวปฏิบัติได้จริง ๒. ข้อเสนอแนะข้อ ๒ ให้การกำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหารต้องมีความครอบคลุมกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องตลอดห่วงโซ่อาหาร โดยมีการระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบที่ชัดเจน ไม่ก่อให้เกิดความซ้ำซ้อน หรือช่องโหว่ในการดำเนินงาน ๓. ให้การสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยอาหารของประเทศ โดยบูรณาการการดำเนินการของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีความเป็นเอกภาพและครอบคลุมทุกกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องในห่วงโซ่อาหาร ซึ่งมีความเข้มแข็งและชัดเจนในการปฏิบัติแล้ว ในส่วนของระบบควบคุมการนำเข้าสินค้าเกษตร อาหารและยา รวมทั้งการจัดตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ด้านคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร ๔. ให้มีการยุบรวมพระราชบัญญัติเป็นฉบับเดียวกัน โดยจะต้องมีการทำความตกลงกันระหว่างหน่วยงาน เพื่อระบุผู้รับผิดชอบที่ชัดเจน ๕. ให้มีการปรับแก้ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติหลัก ควรจะต้องมีการปรับแก้ข้อกำหนดในพระราชบัญญัติหลัก ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเพื่อให้มีความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสถานการณ์ด้านความปลอดภัยอาหารในปัจจุบัน ๖. ให้ทบทวนข้อกำหนดในการกำกับดูแลความปลอดภัยด้านอาหาร ไม่ให้มีความซ้ำซ้อนในการดำเนินกิจกรรมประเภทเดียวกัน ควรดำเนินการเรื่องข้อตกลงระหว่างหน่วยงาน เพื่อความชัดเจน ในเบื้องต้นควรจะต้องมีความตกลงร่วมกันระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้เกิดการบูรณาการเรื่องการตรวจรับรองระบบงานร่วมกัน ๗. ให้มีการปรับแก้ข้อกำหนดในการกำกับดูแล ตามพระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้เป็นมาตรฐานเดียว เพื่อลดช่องว่างทางกฎหมายที่มีอยู่
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32013 | รายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนามะละกอไทยอย่างยั่งยืน | สว | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการพิจารณาศึกษาของคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา เรื่อง แนวทางในการพัฒนามะละกอไทยอย่างยั่งยืน ตามที่สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาเสนอ และผลการดำเนินการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ตามรายงานดังกล่าว และแจ้งให้สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภาทราบต่อไป สรุปได้ ดังนี้
๑. ด้านการผลิต เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งคุณภาพและปริมาณตามความต้องการของตลาด มีการจดทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืช รวมทั้งส่งเสริมให้มีการจัดตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนในผลไม้ทุกชนิด ศึกษา พัฒนา ควบคุมคุณภาพและปริมาณการผลิต โดยนำเทคโนโลยีการผลิตมะละกอแบบต้นเตี้ยมาแนะนำส่งเสริมในการผลิต มีการวิจัยและศึกษาสายพันธ์ต้านทานโรค ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตมะละกอและวิธีการคัดเลือกมะละกอไว้ทำพันธุ์ ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตมะละกอและผลไม้อื่นๆ ให้ได้คุณภาพเพื่อเข้าสู่ระบบการรับรองมาตรฐานสินค้า ๒. ด้านวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวและแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่าสินค้า ได้แก่การคัดแยกคุณภาพ ทำความสะอาด การบรรจุหีบห่อ ตลอดจนติดฉลากรับรองคุณภาพ ในกรณีส่งออกผลไม้ไปต่างประเทศกำหนดให้ผู้ประกอบการส่งตัวอย่างผลไม้เพื่อวิเคราะห์หาสารเคมีตกค้างก่อนที่เกษตรกรดำเนินการเก็บเกี่ยว ๓. ด้านการตลาด เพื่อส่งเสริมขยายสินค้าสู่ตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค มีการตรวจวิเคราะห์สารพิษตกค้าง อำนวยความสะดวกในการส่งออกผลไม้แบบเบ็ดเสร็จ พัฒนาระบบสารสนเทศตลอดห่วงโซ่การผลิต เชื่อมโยงการผลิตและการตลาด และจัดทำมาตรฐานสินค้าผลไม้ให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ Codex ๔. ด้านการขนส่ง เพื่อกระจายสินค้าโดยพัฒนาระบบ Logistic ครบวงจรจากแหล่งผลิตถึงตลาดปลายทาง ซึ่งได้นำเสนอต่อคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ เพื่อพิจารณาต่อไป ๕. ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อสนับสนุนการผลิต ระบบขนส่งอุตสาหกรรมแปรรูป และการตลาด ได้ดำเนินการส่งเสริมการผลิตในรูปของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน กลุ่มปรับปรุงคุณภาพผลไม้ และกลุ่มส่งเสริมอาชีพ จัดตั้งโรงงานปุ๋ยอินทรีย์ ๖. ด้านการดำเนินงานของคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ ๒ แนวทาง ได้แก่แนวทางระยะยาว มีเป้าหมายให้ผลไม้เศรษฐกิจหลัก ๖ ชนิด ได้แก่ ทุเรียน เงาะ มังคุด ลองกอง มะม่วง และลำไย มีการพัฒนาศักยภาพการผลิต พัฒนาตลาดภายในประเทศและตลาดส่งออก และแนวทางระยะสั้น เป็นการแก้ไขปัญหาผลไม้ตามฤดูกาลผลิตออกสู่ตลาดมากและกระจุกตัวในช่วงเวลาเดียวกัน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32014 | ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 4184 สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา พ.ศ. .... | คค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๘๔
สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ คือ กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน เพื่อสร้างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๔๑๘๔ สายควนสตอ - วังประจัน ตอนบ้านหัวควน - บ้านทุ่งพัฒนา ในท้องที่อำเภอควนโคน จังหวัดสตูล มีส่วนกว้างตลอดแนวเขตทางสองร้อยเมตร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกา เพื่ออำนวยความสะดวกและความรวดเร็วแก่การจราจรและการขนส่งอันเป็นกิจการสาธารณูปโภค และให้เจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจและเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนที่แน่นอน ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32015 | ร่างกฎกระทรวงกำหนดการทำ การใช้ และการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... | อก | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดการทำ การใช้ และการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ โดยร่างกฎกระทรวงฯ มีสาระสำคัญ ดังนี้
๑. กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง ผู้ประกอบกิจการที่ได้รับการรับรองจากผู้รับใบอนุญาต ผู้รับใบรับรอง หรือหน่วยงานของรัฐที่ได้รับอนุญาตตามมาตรา ๔ วรรคสอง แล้วแต่กรณี เป็นผู้จัดทำเครื่องหมายมาตรฐาน ๒. กำหนดให้การแสดงเครื่องหมายมาตรฐานให้แสดงให้เห็นได้ง่ายและชัดเจนไว้ที่สถานที่ทำการ หรือสิ่งอื่นใด เฉพาะสาขาที่ได้รับใบอนุญาตหรือใบรับรอง และต้องไม่แสดงบนผลิตภัณฑ์ หรือไม่ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการรับรองผลิตภัณฑ์ ๓. กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลที่ใช้ในการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32016 | ผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2554 | กต | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบผลการประชุมคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ ครั้งที่ ๓/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ สรุปผลการประชุมได้ ดังนี้
๑. ที่ประชุมรับทราบรายงานความคืบหน้าการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา ได้แก่ การเมืองและความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคมและวัฒนธรรม ดังนี้ ๑.๑ รับทราบผลการประชุมคณะกรรมการดำเนินการเพื่อจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน เมื่อวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐในประเด็นต่าง ๆ ตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน และการหารือเรื่องแผนยุทธศาสตร์การเมืองและความมั่นคงอาเซียนของไทย ๑.๒ รับทราบการประเมินผลการดำเนินการตามแผนงานการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ซึ่งไทยมีผลการดำเนินงานร้อยละ ๗๒.๗๓ ในขณะที่อาเซียนมีผลการดำเนินงานในภาพรวมร้อยละ ๖๔.๑ โดยมาตรการส่วนใหญ่ที่ไทยมักประสบปัญหาในการปฏิบัติ ได้แก่ มาตรการเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกด้านการค้า การค้าข้ามแดน การรวมกลุ่มด้านศุลกากร และการปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกัน (harmonization of standards) ซึ่งมักมีสาเหตุหลักมาจากการประสานงานระหว่างหน่วยงานในประเทศ และการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อรองรับพันธกรณีต่าง ๆ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องขอความเห็นชอบรัฐสภา ๑.๓ รับทราบความคืบหน้าในการจัดทำแผนการศึกษาอาเซียน ๕ ปี การพัฒนาอัตลักษณ์อาเซียนรวมทั้งสร้างความเข้าใจผ่านวัฒนธรรม เพื่อสร้างอาเซียนที่เข้มแข็งและมีเอกภาพ การกำหนดท่าทีร่วมกันต่อปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการอาเซียนว่าด้วยการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิเด็ก และสิทธิสตรี การจัดตั้งองค์กรเฉพาะด้านการกีฬา และการประชุมรัฐมนตรีด้านสตรี โดยประเด็นที่ไทยผลักดันมาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การศึกษา การสร้างความตระหนักรู้ การดูแลคุ้มครองผู้ด้อยโอกาส การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การจัดการภัยพิบัติ และการส่งเสริมอาเซียนที่ปลอดยาเสพติด ๑.๔ รับทราบผลการดำเนินงานของคณะอนุกรรมการว่าด้วยความเชื่อมโยงระหว่างกันในอาเซียน และข้อเสนอของไทยเกี่ยวกับแนวคิดที่จะเชื่อมโยงกับประเทศนอกภูมิภาคอาเซียน (connectivity beyond ASEAN) และการสร้างความร่วมมือด้านความเชื่อมโยงในกรอบอาเซียน + ๓ (ASEAN Plus Three Partnership on Connectivity) เพื่อให้เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมในโอกาสครบรอบ ๑๕ ปี ความร่วมมืออาเซียน + ๓ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ๒. ที่ประชุมเห็นชอบประเด็นหลักที่ไทยควรผลักดันสำหรับการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ ๑๙ และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ ณ บาหลี ได้แก่ การบริหารจัดการภัยพิบัติ การส่งเสริมหลักธรรมาภิบาล การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่างกัน และการศึกษาและการสร้างความเข้าใจระหว่างประชาชนในอาเซียน ๓. ที่ประชุมได้พิจารณาร่างแผนงานแห่งชาติสำหรับการก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ของกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเป็นกรอบการดำเนินงานและติดตามผลการดำเนินงานของหน่วยงานไทยให้เป็นไปตามข้อผูกพันซึ่งไทยจะต้องปฏิบัติตามภายใต้แผนงานการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้งสามเสา และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งร่างแผนงานดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติม และจะนำร่างแผนงานเสนอคณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติให้ความเห็นชอบในการประชุมครั้งต่อไป ๔. ที่ประชุมเห็นชอบข้อเสนอการจัดตั้งคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ภายใต้คณะกรรมการอาเซียนแห่งชาติ เพื่อดำเนินแผนงานด้านการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้กับประชาชนอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32017 | ขอความเห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (O/D) | มท | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) กู้เงินระยะสั้นประเภทกู้เบิกเงินเกินบัญชี (OVERDRAFT) กับธนาคารที่มีเงื่อนไขเหมาะสมที่สุดเพื่อสำรองไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการเสริมสภาพคล่องในกรณีที่มีความจำเป็นเร่งด่วน เป็นระยะเวลา ๑ ปี (มกราคม - ธันวาคม ๒๕๕๕) ในวงเงิน ๔,๕๐๐ ล้านบาท ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงการคลังไม่ค้ำประกัน ๒. ให้สำนักงบประมาณร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย พิจารณาหาแนวทางและมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ค่าสาธารณูปโภคค้างชำระโดยอาจกำหนดเป็นตัวชี้วัดของสำนักงาน ก.พ.ร. เป็นต้น
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32018 | รายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ 4 ปีงบประมาณ 2554 | กค | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบรายงานการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๔) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ สรุปได้ ดังนี้
๑. สินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า มีมูลค่านำเข้ารวม ๖๗๒.๙๑๒ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ (กรกฎาคม - กันยายน ๒๕๕๓) รวม ๑๘๖.๑๙๕ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๓๘.๒๖ ๒. มูลค่าการนำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยทั้ง ๑๗ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับมูลค่านำเข้ารวมของสินค้าทุกชนิดในไตรมาสที่ ๔ ของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ (๖๒,๗๗๓.๑๖๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มูลค่านำเข้ามีสัดส่วนคิดเป็นร้อยละ ๑.๐๗ ของมูลค่านำเข้ารวม ๓. มูลค่านำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยในช่วงไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ มีมูลค่านำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า ตั้งแต่ร้อยละ ๑๐.๗๓ ถึง ๑๒๙.๑๓ ๔. สินค้าฟุ่มเฟือยที่มีมูลค่านำเข้าสูงสุด ๓ อันดับแรก ได้แก่ น้ำหอมและเครื่องสำอาง มูลค่านำเข้า ๑๐๔.๒๘๗ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๒๑.๕๓๔ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๒๖.๐๒ นาฬิกาและอุปกรณ์ มูลค่านำเข้า ๙๘.๐๓๐ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๔๒.๒๕๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๘๕.๗๔ และผลไม้ มูลค่านำเข้า ๘๕.๘๙๖ ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น ๘.๓๒๓ ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือร้อยละ ๑๐.๗๓ ๕. สินค้าฟุ่มเฟือยในไตรมาสที่ ๔ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ๑๕ กลุ่มสินค้า เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๓ และ ๕ อันดับแรกที่มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องแก้วชนิดใช้บนโต๊ะอาหารหรือใช้ตกแต่งภายในที่ทำด้วยคริสตัล เลนซ์ นาฬิกาและอุปกรณ์ ดอกไม้ และแว่นตา มีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๒๙.๑๓, ๙๙.๐๖, ๘๕.๗๔, ๗๙.๖๓ และ ๖๐.๔๒ ตามลำดับ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32019 | การพิจารณากำหนดอัตราค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ | ทก | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติ ดังนี้
๑. เห็นชอบการกำหนดค่าเบี้ยประชุมคณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอ ดังนี้ ๑.๑ ประธานกรรมการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๗,๕๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๒ รองประธานกรรมการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๗๕๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๓ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๔ กรรมการและเลขานุการให้ได้รับอัตราค่าเบี้ยประชุมเป็นรายเดือน ๆ ละ ๖,๐๐๐ บาท เฉพาะเดือนที่มีการประชุม หากเดือนใดไม่มีการประชุม หรือมีการประชุมแต่ไม่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยให้งดจ่าย ๑.๕ ผู้ช่วยเลขานุการให้ได้รับค่าเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ในอัตราครั้งละ ๑,๒๐๐ บาท โดยได้รับค่าตอบแทนเพียงครั้งเดียวในหนึ่งวัน และมีสิทธิได้รับค่าเบี้ยประชุมไม่เกิน ๒ คน ๒. สำหรับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการปรับอัตราเบี้ยประชุม ให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้รับจัดสรร ตามความเห็นของสำนักงบประมาณ
|
|||||||||||||||||||||||||||
| 32020 | การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงวัฒนธรรม) | วธ | 10/01/2555 | ||||||||||||||||||||||||
|
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติแต่งตั้ง นางสาววันทนีย์ ม่วงบุญ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง นักวิชาการละครและดนตรีเชี่ยวชาญ
(ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านโขนละคร) สำนักการสังคีต กรมศิลปากร ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิชาการละครและดนตรี (โขน ละคร และดนตรี) (นักวิชาการละครและดนตรีทรงคุณวุฒิ) กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ตั้งแต่วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๓ ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
|
|||||||||||||||||||||||||||
.....
